ฉบับที่ 203 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือน มกราคม 2561สคบ.เตรียมออกประกาศคุมค่าน้ำ-ไฟหอพัก  ชาวหอพักอาจมีเงินเก็บเพิ่มหลังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เตรียมออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.นี้ ความในประกาศจะระบุให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องยกเลิกสัญญาฉบับเก่าที่เคยทำไว้กับผู้เช่าทั้งหมด แล้วทำสัญญาภายใต้ข้อกำหนดใหม่  โดยสาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ จะกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการเช่า เช่น เขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้ให้เช่าและผู้เช่า กำหนดระยะเวลาในการเช่า จำนวนเงินประกัน สภาพอาคาร อัตราค่าสาธารณูปโภค อัตราค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าส่วนกลาง ค่าที่จอดรถ ค่าใช้จ่ายในการให้บริการ  ซึ่งหากไม่ทำตามจะมีโทษทันที คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องร้องเรียนค่าเช่าที่พักอาศัย และค่าบริการสาธารณูปโภคที่แพงเกินควร  น่าจับตาว่าประกาศฉบับนี้จะสามารถแก้ปัญหาให้ชาวหอพักได้จริงหรือไม่ จะสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการที่กระทำความผิดได้รวดเร็วและเป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหนซดหอยนางรมสด - กินเนื้อดิบ เสี่ยงอาจถึงตาย เล่นเอาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ใจสั่นหวั่นไหว เมื่อมีข่าวผู้เสียชีวิตจากการกินหอยนางรมสดอย่างต่อเนื่อง เพราะหอยนางรมสดแม้ว่าจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) และยังเชื่อกันว่าเป็นอาหารเสริมสมรรถภาพทางเพศให้กับคุณผู้ชายทั้งหลาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารดิบแล้ว ล้วนแต่มีอันตรายแอบแฝงทั้งสิ้นหอยนางรมสดแทบจะทุกตัวมี เชื้อแบคทีเรียวิบริโอ(Vibrio) ซึ่งอาจก่อโรคระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาหารเป็นพิษ ล่าสุดมีข่าวหญิงอเมริกันวัย 55 ปี ในรัฐเท็กซัส กินหอยนางรมสดที่ซื้อจากตลาดในรัฐหลุยเซียนารวดเดียว 24 ตัว แล้วถูกเชื้อแบคทีเรียวิบริโอซิส(Vibriosis) กัดกินเนื้อบริเวณขาทั้งสองข้างจนเป็นแผลฉกรรจ์ภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนจะเสียชีวิตอีก 21 วันต่อมา กรณีนี้นักวิชาการในเมืองไทยได้ออกมาให้ความรู้ว่า เหตุที่บางคนกินหอยนางรมดิบๆ แล้วไม่เป็นอะไร เพราะยังมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง แต่สำหรับกลุ่มผู้มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคตับ โรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยเอชไอวี หรือผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกันอยู่ ต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคหอยนางรมสดอย่างเด็ดขาดนอกจากนี้ ยังมีข่าวหนุ่มจากสปป.ลาว 4 ราย ที่กินลาบหมูดิบแล้วท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งมารักษาต่อยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคทริคิโนซิส โดยจากการตัดชิ้นเนื้อบริเวณน่องขาไปตรวจจึงพบพยาธิ 5 ตัวชอนไชอยู่ภายในชิ้นเนื้อที่มีขนาดเท่าเมล็ดส้ม พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปฟักตัวอยู่ในลำไส้แล้วเริ่มผสมพันธุ์วางไข่ และชอนไชไปฝังตัวตามกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกาย รู้อย่างนี้แล้ว เลิกกินของดิบกันดีกว่า อาหารสนามบินไทย แพงเว่อร์จริงหรือ? หลังสื่อมวลชนญี่ปุ่นรายหนึ่งนำเสนอข่าวราคาอาหาร-เครื่องดื่มในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองทั้งสองแห่งว่ามีราคาแพงเกินเหตุ ทำเอาหน่วยงานรัฐที่ดูแลรับผิดชอบต้องรีบลงพื้นที่ตรวจสอบและแถลงชี้แจงกันวุ่น โดยให้สัมภาษณ์โต้คำกล่าวอ้างดังกล่าวว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวจากสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่สำรวจราคาอาหารบริเวณภายในสนามบินทั้งสองแห่ง พบว่ามีจำหน่ายทั้งโซนอาหารราคาแพงและราคาถูกโดยในโซนสำคัญของสนามบินนั้น อาหารจะมีราคาแพง ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ร้านอาหารที่เปิดอยู่ในห้างสรรพสินค้าทั่วไป ซึ่งถูกควบคุมราคาไม่ให้สูงเกินกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของราคาอาหารตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่งที่อาหารมีราคาแพงนั้น ก็ด้วยมีต้นทุนสูง เนื่องจากต้องจ้างพนักงานไว้คอยบริการตลอด 24 ชั่วโมง ต้องใช้แรงงานที่มีทักษะด้านภาษาสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการประมูลเช่าพื้นที่ในราคาค่อนข้างสูง สำหรับโซนฟู้ดคอร์ต (Food Court) ที่เป็นศูนย์อาหารอยู่ภายใต้การดูแลของท่าอากาศยานนั้น จะมีราคาถูกและย่อมเยา เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคและพนักงานภายในสนามบิน แต่เป็นคำถามว่าเหตุใดนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่ง จึงไม่ทราบว่ามีโซนร้านอาหารราคาถูก จำหน่ายอยู่ภายในสนามบินนับเป็นเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดในสนามบิน นอกจากปัญหาเครื่องบินดีเลย์ กระเป๋าเดินทางชำรุดสูญหาย แถวตรวจคนเข้าเมืองที่ใช้เวลานาน จนถึงปัญหามิจฉาชีพที่หากินกับผู้โดยสาร เรื่องจุกจิกเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ ต้องขยันมากกว่าเดิมอีกหรือไม่ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ป่วน งานด่วนของใคร“แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ระบาดหนัก เหยื่อสูญเงินกว่าล้านบาทในพริบตา” พาดหัวข่าวแนวนี้ ที่ปรากฏอย่างไม่ขาดสาย ตอกย้ำ ซ้ำๆ ว่าเหตุใดผู้บริโภคจึงตกเป็นเหยื่อได้ง่ายดายขนาดนี้แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ ธนาคาร หน่วยงานภาครัฐ จะเร่งสื่อสารให้ประชาชนเท่าทันเล่ห์กลของแก๊งค์มิจฉาชีพ แต่ก็ไม่สามารถบอกเล่าเก้าสิบได้ทั่ว โจรพวกนี้มีเทคนิคล่อลวง หลากหลายท่วงท่า ทั้งโทรมาแอบอ้างเป็นไปรษณีย์ หลอกว่ามีพัสดุตกค้างส่งไม่ถึง ลวงถามชื่อ-เลขบัตรประชาชน หรือแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โทรมากล่าวหาว่าเหยื่อไปพัวพันคดียาเสพติด ให้รีบแจ้งเลขที่บัญชีให้ตรวจสอบโดยด่วน ใครที่ตกใจง่ายเกินไป รู้ตัวอีกทีก็เสร็จโจรมันเสียแล้วล่าสุดข่าวพระลูกวัดแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ถูกหญิงสาวอ้างว่าโทรมาจากไปรษณีย์ไทย บอกว่ามีพัสดุตกค้างส่งไม่ถึงหลวงพี่ สงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย และโอนสายไปให้ชายคนหนึ่งรับสายต่อ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถามเลขบัตรประชาชน 13 หลักไปตรวจสอบ พร้อมโน้มน้าวถามเรื่องเงินในบัญชี โชคดีหลวงพี่ไหวตัวทัน เพราะเคยอ่านข่าวแก๊งต้มตุ๋น หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงรุดแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตัวจริง มีที่ไหนเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของจำนวนเงินในบัญชีกันเล่าน่าสังเกตว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่รู้ทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อก็เพราะเคยดูข่าว หรือมีเพื่อนสนิทมิตรสหายมาบอกกล่าวเล่าเตือนให้ฟัง ความมีสติ การเสพข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอจึงเปรียบเสมือนการสร้างภูมิคุ้มกันให้พ้นภัยกลโกงของแก๊งค์โจรเหล่านี้ไปได้ด้วยดี มาสด้าฟ้องผู้บริโภค ภาพสะท้อนเมื่อผู้บริโภคตัวเล็กถูกผู้ประกอบการละเมิดซ้ำซ้อนช่วงปลายปีที่แล้ว กลุ่มผู้เสียหายจากการใช้รถยนต์ มาสด้า 2 รุ่น คือ รุ่น XD High Plus และ Sky Active ปี 2014 – 2016 รวมตัวกัน พร้อมตัวแทนศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) เรียกร้องให้ผู้ประกอบการแสดงความรับผิดชอบ กรณีรถเกิดอาการเครื่องยนต์สั่นผิดปกติ เร่งความเร็วไม่ขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงถึงชีวิต อีกทั้งยังได้ร่วมกันยื่นหนังสือต่อตัวแทนบริษัทฯ ในงาน Motor EXPO จนต้องถูกบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดฟ้องคดี ซึ่งผู้เสียหายจากการใช้รถยนต์มาสด้า 2 รุ่นดังกล่าวรายหนึ่งถูกเรียกค่าเสียหายถึง 84 ล้านบาทเศษ โดยอ้างเหตุว่า เป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ทำให้ภาพลักษณ์บริษัทฯ เสียหาย ขายรถไม่ได้ ฯลฯ ในขณะที่กลุ่มผู้เสียหาย โดยตัวแทนคือ นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ผู้เสียหายจากการซื้อรถยนต์มาสด้าและผู้ถูกบริษัทมาสด้าฟ้อง กล่าวว่าการออกมาเรียกร้องสิทธินั้นตนได้ทำด้วยความสุจริตใจและอยากให้บริษัทแก้ปัญหาที่เกิดเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาหรือจงใจทำลายชื่อเสียงของบริษัท “ปัญหาของรถเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงต่อชีวิต โดยเฉพาะผู้ใช้รถที่ไปเจอปัญหานี้ครั้งแรกบนถนนในจังหวะเร่งแซงซึ่งอันตรายมาก ตนได้ส่งรถเข้าซ่อมที่ศูนย์ฯแล้วแต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น จึงมีการตั้งกลุ่มทางเฟซบุ๊คชื่อว่า อำนาจผู้บริโภคช่วยเหลือผู้ใช้ Mazda Sky Active เครื่องสั่น เร่งไม่ขึ้น ฯลฯ เพื่อรวมตัวกันเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของรถ แต่กลับถูกฟ้องเมื่อเราลุกขึ้นมาใช้สิทธิ ก็อยากจะขอความเป็นธรรม” นายภัทรกรกล่าว กรณีนี้ ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้จัดงานแถลงข่าวขึ้นในวันที่ 19 มกราคม 2561 เพื่อย้ำว่า องค์กรผู้บริโภคสนับสนุนให้ผู้บริโภคที่เป็นผู้เสียหายใช้สิทธิร้องเรียนเพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และไม่อยากให้บริษัทฯ ใช้วิธีการฟ้องคดีกับผู้บริโภค แต่ขอให้ดูแลรับผิดชอบผู้เสียหายทุกรายเหมือนการรับผิดชอบเรียกคืนรถในต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัทฯ มากกว่า อีกประการหนึ่งคือ ถ้าผู้บริโภคถูกฟ้องเป็นคดีแล้ว สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) จะไม่สามารถรับเป็นคดีผู้บริโภคได้ “อยากให้ สคบ.ได้ใช้อำนาจตามหน้าที่ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และอยากให้ช่วยกันผลักดัน พ.ร.บ. ความรับผิดต่อสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้เกิดขึ้นในเร็ววัน เพื่อให้เท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน” ในส่วนของคดีความหากผู้ประกอบการยังคงเดินหน้าฟ้องผู้บริโภค ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคก็จะยืนหยัดอยู่ข้างผู้บริโภคเพื่อต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าการออกมาใช้สิทธิของผู้บริโภคเองนั้น ถือเป็นการพิทักษ์สิทธิและเป็นตัวอย่างให้กับผู้บริโภคท่านอื่นๆ"ขอชื่นชมที่ผู้บริโภคออกมาใช้สิทธิและถือว่าเป็นผู้สะท้อนปัญหาสินค้าและการใช้บริการให้กับบริษัทดังกล่าว การที่บริษัทฟ้องผู้บริโภคที่ออกมาใช้สิทธินั้นถือเป็นการฟ้องเพื่อปิดปากผู้บริโภค แทนที่จะขอบคุณที่สะท้อนปัญหาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อยกระดับสินค้าและบริการ ซึ่งผู้บริโภคที่ถูกบริษัทฟ้องมูลนิธิฯ ยินดีให้ความช่วยเหลือ"

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 กระแสต่างแดน

ดังก็โดนกิจการของ Red Balloon เว็บไซต์ขายประสบการณ์ตื่นเต้นเร้าใจกำลังไปได้สวย  ใครๆ ก็อยากจะลองเหินฟ้าดิ่งพสุธา นั่งบอลลูน ตระเวนชิมไวน์ หรือเรียนทำอาหารแปลกๆ ผู้ก่อตั้งเว็บนี้ก็กลายเป็นคนดังในสังคมออสซี่ เพราะเธอเป็นหนึ่งในผู้ตัดสินประจำรายการ Shark Tank เกมโชว์ปั้นธุรกิจหน้าใหม่  นาโอมิ ซิมสัน ดังยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อบริษัทของเธอถูกคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งปรับเป็นเงิน 43,200 เหรียญ(ประมาณ 1.07 ล้านบาท) เพราะคิดค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเดบิตและเครดิตเกินกำหนดกับลูกค้าไป 4 รายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม และ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เธอให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เจตนาของบริษัท ทีมงานของเธอแค่พลาดรายละเอียดเรื่องนี้ไปเท่านั้น กฎหมายห้ามคิดค่าธรรมเนียมเกินควรนี้บังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่มาได้ประมาณหนึ่งปีแล้ว ส่วนธุรกิจรายย่อยนั้นเริ่มบังคับเมื่อเดือนกันยายน คณะกรรมการฯ บอกว่าผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยไม่สามารถผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรให้กับผู้บริโภคเกินกำหนดได้กลับเองได้บรรดาครูและผู้บริหารโรงเรียนในอิตาลีต่างพากันโล่งออกเมื่อได้ข่าวว่าจะมีการแก้กฎหมายให้นักเรียนอายุต่ำกว่า 14 ปีสามารถกลับบ้านโดยไม่มีผู้ใหญ่มารับได้   สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการแก้กฎหมายที่ว่าคือการที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาออกมาเรียกร้องให้พ่อแม่ผู้ปกครองไปรับลูกที่โรงเรียนเพราะ “มันเป็นกฎหมาย และทุกคนต้องปฏิบัติตาม” ถ้าไม่ว่างก็ต้องจัดให้ปู่ย่าตายายไปรับแทน(สื่ออิตาลีแอบไปขุดคุ้ยมาได้ว่าตัวเธอเองไม่เคยว่างไปรับหลานสาวที่โรงเรียนเหมือนกัน)  คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะต้องมีการจัดเวรยามเพิ่มเติมหลังเลิกเรียน การเตรียมตัวถูกฟ้องร้องกรณีที่เกิดอันตรายกับเด็กในระหว่างที่เดินทางกลับบ้านในที่สุดข้อเสนอที่ออกมาคือการให้ทางเลือกแก่ผู้ปกครอง หากเชื่อมั่นในบุตรหลานและต้องการให้เด็กกลับบ้านด้วยตนเองก็สามารถเซ็นใบอนุญาตให้กับทางโรงเรียนไว้ได้เลยดีเซลหมดสิทธิเห็นเงียบๆ แต่เยอรมนีก็มลพิษเพียบนะคะ ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมยื่นฟ้องเยอรมนีในวันที่ 7 ธันวาคม โทษฐานที่ไม่ดูแลคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงของอียูและหากศาลยุโรปเห็นว่ามีความผิดจริง ก็จะต้องจ่ายค่าปรับมิใช่น้อยการตัดสินใจนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลท้องถิ่นบางรัฐในเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐบาลเดิน เวิร์ทเทมเบิร์กที่ชื่อว่าเมืองชตุทท์การ์ท เป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าไนโตรเจนไดออกไซด์ในอากาศเกินกำหนดถึงสองเท่า กำลังจะออกประกาศห้ามรถดีเซลเข้าเขตเมืองภายในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า ตามคำตัดสินของศาลท้องถิ่น Environmental Action Germany ผู้ยืนฟ้องรัฐบาเดิน เวิร์ทเทมเบิร์ก ระบุว่าการห้ามรถดีเซลนี้เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะข้อเสนอของบรรดาค่ายรถ(เช่น เดมเลอร์ และปอร์เช่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองนี้เช่นกัน) เรื่องการอัปเดตซอฟต์แวร์นั้นไม่ช่วยอะไรตามแผนนี้ รถที่จะวิ่งในเขตตัวเมืองได้จะต้องมีสติกเกอร์สีน้ำเงิน ซึ่งจะออกให้เป็นการรับรองรถที่ผ่านมาตรฐานยูโร- 6 เท่านั้น  ข่าวบอกว่ามิวนิคก็เล็งจะแบนรถดีเซลในเมืองเช่นกันต้องไม่หวั่นไหวเหตุการณ์แผ่นดินไหวทางใต้ของเกาหลีเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนไม่น้อย เพราะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ที่น่าตกใจกว่าคือผลการสำรวจของเทศบาลกรุงโซลที่ออกมาหลังจากนั้น เทศบาลกรุงโซลพบว่ามีเพียงร้อยละ 30 ของอาคารบ้านช่องในโซลเท่านั้นที่สามารถต้านทานความแรงของแผ่นดินไหวได้   ถ้าแยกเป็นอาคารที่อยู่อาศัยแล้วจะพบว่ามีร้อยละ 46 ที่ถูกออกแบบมารองรับความสั่นสะเทือน ในกรณีของบ้านเดี่ยวแล้วมีเพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น   ส่วนอาคารสำนักงานนั้นดีขึ้นมาอีกนิดเพราะมีถึงร้อยละ 63 ที่พร้อมรับแผ่นดินไหว ในขณะที่ตัวเลขของโรงเรียนอยู่ที่ร้อยละ 33.5     เกาหลีใต้เริ่มจริงจังเรื่องการก่อสร้างอาคารเพื่อรองรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาตั้งแต่ปี 2012 และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้กำหนดให้อาคารทุกชนิดที่สูงเกินสองชั้นและมีพื้นที่รวมกันมากกว่า 500 ตารางเมตร ต้องออกแบบให้รองรับการสั่นสะเทือนด้วยภาระคนโสด มหกรรมจับจ่ายเงินของคนโสดในประเทศจีนเมื่อนวันที่ 11เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทำให้เกิดการไหลสะพัดของเงินมากเป็นประวัติการณ์ แต่ละชั่วโมงร้านค้าออนไลน์มีรายได้ถึง 1 พันล้านเหรียญ ด้านผู้ซื้อก็เบิกบานกันทั่วหน้าเพราะได้สั่งซื้อสินค้า(ที่เชื่อว่าเป็น) ราคาโปรฯ มาครอบครอง แต่สิ่งที่มาพร้อมกันกับมหกรรมช้อปกระจายคือ ขยะจำนวนมหาศาล ลองจินตนาการถึงแพคเก็จจำนวน 331 ล้านกล่อง บวกด้วยถุง เทปกาว และเชือก สถิติปีก่อนระบุว่า “วันคนโสด” ปีที่แล้วทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติถึง 52,000 ตัน(ในขั้นตอนการผลิต บรรจุหีบห่อ และขนส่งนั่นเอง)  ผู้ประกอบการอย่างเจดี เถาเป่า หรืออาลีบาบา ต่างก็เคยแสดงท่าทีว่าจะรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้แพคเก็จที่ย่อยสลายเร็ว ใช้กล่องพลาสติกแทนกล่องกระดาษ หรือแม้แต่การออกแบบกล่องที่ไม่ต้องใช้เทปใสปิดทับ    แต่องค์กรสิ่งแวดล้อมที่นั่นยืนยันว่าความพยายามนี้ยังไม่เด่นชัดนัก ปีหน้าเราอาจได้เห็นนวัตกรรมเด็ดๆ ในการจัดส่งสินค้าแดนมังกรในวัน “โสดต้องซื้อ” ก็ได้  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนกรกฎาคม 2554 11 กรกฎาคม 2554 ซื้อเนื้อซื้อหมูแล้วมีปัญหาเชิญมาร้องเรียนผ่านออนไลน์ ต่อจากนี้ไปใครที่มีปัญหาจากการบริโภคผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย สินค้าไม่ได้คุณภาพ หรืออยากได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ สามารถร้องเรียนและข้อมูลจากผู้รู้ตัวจริงผ่านระบบออนไลน์ของกรมปศุสัตว์ได้ที่ www.facebook.com/GreenstarAlert โดยกระทรวงเกษตรฯ และกรมปศุสัตว์ได้จัดทำ "โครงการดาวเขียว โซเชียลเน็ตเวิร์ค" ระบบแจ้งเตือนภัยสินค้าปศุสัตว์ผ่านเฟซบุ๊ค เพื่อเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์และเนื้อสัตว์อย่างถูกวิธี ถูกสุขอนามัย และมีความปลอดภัย เช่น วิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสัตว์และเนื้อสัตว์อย่างถูกวิธี อาทิ เนื้อสัตว์ นม และไข่ นอกจากนี้ผู้บริโภคที่มีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสัตว์ หรือพบเห็นผู้จำหน่ายรวมทั้งแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ดูน่าสงสัยก็สามารถแจ้งข้อมูลต่างๆ ถึงกรมปศุสัตว์ เพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงแก้ไขในการดูแลและควบคุมมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ให้มีประสิทธิภาพ -----------    20 กรกฎาคม 2554 ใช้น้ำยาบ้วนปากระวังเจอแบคทีเรียใครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากอาจต้องใส่ใจกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพิ่มมากขึ้น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ออกมาให้ข้อมูลว่ามีการตรวจพบการปนเปื้อนของแบคทีเรียเกินกว่ากฎหมายกำหนดในบางรุ่นการผลิตของผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ ออรัล-บี ทูธแอนด์กัมแคร์ และ ออรัล-บี ทูธแอนด์กัมแคร์ ไม่ผสมแอลกอฮอล์ ขนาด 350 มล. และ 500 มล. โดยปนเปื้อนใน 3 รุ่นการผลิต ได้แก่ รุ่น 1009852525 1010852521 และ 1066852522 แบคทีเรียที่ปนเปื้อนมีชื่อว่า เบิร์คโฮลเดอเรีย แอนทีน่า (Burkholderia anthina) เป็นแบคทีเรียชนิดฉวยโอกาส พบได้ในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในธรรมชาติทั่วไป ไม่ใช่ชนิด ก่อโรครุนแรง แต่อาจมีผลต่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งทาง อย. ก็ได้กำชับให้บริษัท พี แอนด์ จี เรียกคืนสินค้าออกจากตลาดทั่วประเทศแล้ว     21 กรกฎาคม 2554อย.ปรับสถานะยาแก้หวัดผสมซูโดอีเฟรดรีนเป็นยาควบคุมพิเศษอย. สั่งปรับสถานะของยาแก้หวัดชนิดเม็ด/แคปซูล ที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน 3 สูตร ได้แก่ สูตรซูโดอีเฟรดรีน และไตรโพรลิดรีน ,สูตรซูโดอีเฟรดรีน และบรอมเฟนิรามีน และสูตรบรอมเฟนิรามีน และคลอเฟนิรามีน จากยาอันตรายให้เป็น“ยาควบคุมพิเศษ" เนื่องจากพบว่ามีการจับกุมการกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง และมีการจำหน่ายเกินกำหนด ซึ่งประชาชนทั่วไปห้ามจำหน่ายเกิน 60 เม็ดต่อเดือน และร้านขายยาห้ามจำหน่ายเกิน 5,000 เม็ดต่อเดือน โดยจะให้จำหน่ายได้เฉพาะในสถานพยาบาลของรัฐและสถานพยาบาลเอกชนประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน --------------   มือถือเติมเงินยังแย่โดนใจ ยอดร้องเรียนอันดับ 1สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยข้อมูลการรับเรื่องร้องเรียนในช่วงครึ่งปี 2554 ที่ผ่านมา ปัญหาที่มีคนร้องเรียนเข้ามามากที่สุดคือเรื่อง วันหมดอายุของบัตรเติมเงิน ที่ผู้ใช้ยังรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบจากการกำหนดอายุบัตรเติมเงิน ต้องคอยเติมเงินทั้งที่ยังมีเงินเหลืออยู่ในระบบ รวมทั้งการถูกยึดเงินทั้งที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งปัญหาที่ว่านี้มีจำนวนผู้ร้องเรียนเข้ามาคิดเป็นจำนวนถึงร้อยละ 55  อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหนักใจของคนใช้มือถือก็คือ การคิดค่าบริการผิดพลาด โดยเฉพาะการคิดค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศหรือโรมมิ่ง คิดเป็นค่าเสียหายมากกว่า 1 ล้านบาท แม้จะมีเรื่องร้องเรียนไม่ถึง 30 เรื่อง แต่เพราะแต่ละรายที่มาร้องเรียนล้วนถูกเรียกเก็บเงินในจำนวนที่สูงมากตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลักแสนบาท ซึ่งสาเหตุก็มาจากการรู้ไม่เท่าทันการใช้โทรศัพท์ “สมาร์ทโฟน” และการไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน ผู้ใช้จึงมักเผลอเปิดใช้ระบบเชื่อมต่อโดยไม่รู้ตัว  ช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2554 สบท.ได้รับเรื่องร้องเรียนมากกว่า 3,000 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นเรื่องที่มีการดำเนินการแจ้งบริษัทแก้ไข 1,409 เรื่อง โดยร้อยละ 72 หรือจำนวน 1,019 เรื่อง เป็นปัญหาจากการใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ที่เหลือเป็นปัญหาจากการใช้บริการอินเตอร์เน็ต จำนวน 311 เรื่อง หรือร้อยละ 22 และปัญหาจากการใช้บริการโทรศัพท์พื้นฐานจำนวน 52 เรื่อง หรือร้อยละ 4-------------------  รังนกแท้...แค่ 1%มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคติงผู้ผลิตรังนกสำเร็จรูป ใช้ข้อความโฆษณาสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภค แม้จะผลิตจากรังนกแท้ 100% แต่ถ้าว่ากันถึงส่วนประกอบในรังนกสำเร็จรูป 1 ขวด จะมีรังนกผสมอยู่แค่ 1% แถมตัวโฆษณายังสร้างความเชื่อว่ารับประทานรังนกแล้วสุขภาพแข็งแรง ทั้งที่คุณค่าทางอาหารไม่ต่างจากถั่วลิสง แต่เมื่อเทียบเรื่องราคากลับต่างกันค่อนข้างมาก  นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหารโดยผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์รังนกสำเร็จรูป พบว่า รังนกสำเร็จรูปยี่ห้อดังอย่าง  สก็อต และ แบรนด์ ระบุแค่น้ำตาลกรวด 10-12% กับ รังนกแห้งที่ 1.1-1.4% ส่วน เอฟแอนด์เอ็น โกลด์ ระบุว่า มี นมโค 19% รังนกแห้ง 0.16% นมผงขาดมันเนย 4.8% และส่วนประกอบอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งเป็นการแสดงข้อมูลส่วนประกอบที่ไม่ครบ 100% มีเพียงยี่ห้อเดียวที่แสดงส่วนประกอบครบ 100% คือ เบซซ์ ที่ระบุว่า มีน้ำ 83.8% น้ำตาลกรวด 15.0% และ รังนกก่อนต้ม 1.2% เป็นส่วนประกอบ   ส่วนปัญหาการใช้คำโฆษณาว่าผลิตจากรังนกแท้ 100% ที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทางคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องตีความว่า รังนกแท้ 100% เป็นการโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งในเบื้องต้นเห็นควรให้ปรับข้อความบนฉลากให้เข้าใจง่าย ป้องกันการสับสน โดยจะมอบให้คณะอนุกรรมการว่าด้วยฉลากดำเนินการแจ้งไปยังบริษัทผู้ผลิตรังนกทุกยี่ห้อให้มีการปรับปรุงข้อความบนฉลาก โดยจะให้ปรับปรุงข้อความว่ารังนกแท้ 100% ซึ่งมีความหมายกำกวม เป็นคำว่า "รังนกแท้" เพียงอย่างเดียว หรือบอกว่ามีปริมาณรังนกแท้ 1% ของน้ำหนักหรือส่วนประกอบทั้งหมด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการว่าด้วยฉลากจะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป ข้อมูลจากสถาบันโภชนาการ ม.มหิดล ระบุไว้ว่า รังนกปริมาณ 1% ในรังนกสำเร็จรูป 1 ขวด มีคุณค่าทางโภชนาการเท่ากับนมสดครึ่งช้อนโต๊ะ หรือถั่วลิสง 2 เมล็ด ผู้บริโภคจึงควรต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ 25533 กุมภาพันธ์ 53กินยาแก้ไอเล่นอาจถึงตายจากกรณีที่นักเรียนชั้นมัธยมกว่า 80 คน ถูกหามส่ง ร.พ. หลังเกิดอาเจียนจนหมดสติ เนื่องจากรับประทานยาแก้ไอที่ซื้อจากร้านเกมเพราะเชื่อกันว่ากินไปแล้วครูตีไม่เจ็บนั้น กระทรวงสาธารณสุข และอย. ได้ออกมาชี้แจงว่า ยาแก้ไอนี้มีชื่อสามัญว่า เดกโทเมโทรแฟน (Dextromethorphan) เป็นยาที่มีผลต่อระบบประสาท ซึ่งมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว ปกติไม่ควรกินเกินครั้งละ 2 เม็ด ถ้ากินมากเกินไปอาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน กดระบบทางเดินหายใจ ความดันลดลงและเกิดอาจถึงขั้นช็อค ยานี้อนุญาตให้ขายในร้านยาที่มีใบอนุญาตให้ขายเท่านั้น หากซื้อจากร้านเกมจริงถือว่าผิดกฎหมาย ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 22 กุมภาพันธ์ 53ลูกชิ้นปลาเรืองแสง เกิดกระแสข่าว “ปริศนาลูกชิ้นปลาเรืองแสง” ซึ่งเป็นที่ฮือฮามาก หลังมีผู้นำมาร้องเรียนกับ นสพ.เดลินิวส์ ส่งผลให้ทางกระทรวงสาธารณสุขรีบเก็บตัวอย่างลูกชิ้นปลาส่งเข้าทดสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง พบว่า ลูกชิ้นปลามีการปนเปื้อนของแบคทีเรียลูมิเนสเซนท์ แนะนำให้กินแบบทำสุกแล้วเท่านั้น จากการเก็บตัวอย่างลูกชิ้นปลาจำนวน 28 ตัวอย่าง พบมีสารเรืองแสงเฉพาะลูกชิ้นที่ผลิตจากโรงงานแห่งหนึ่งในจ.สมุทรสาครเพียงตัวอย่างเดียวโดยตรวจพบเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม ลูมิเนสเซนท์ (Luminescence) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการเรืองแสงได้ แบคทีเรียนี้พบได้ในน้ำทะเล ส่วนสาเหตุของการปนเปื้อนอาจเกิดได้ในขั้นตอนการผลิต ทั้งจากวัตถุดิบ เครื่องมือและจากคน รวมถึงในช่วงการเก็บรักษาระหว่างขนส่งและรอจำหน่าย โดยเฉพาะถ้าเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม (มากกว่า 4 องศา) ก็มีโอกาสที่แบคทีเรียจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แนะนำว่าในการรับประทานลูกชิ้นปลา คือควรลวกน้ำร้อนก่อนที่จะนำมารับประทาน หรือทำให้สุกด้วยวิธีการอื่นก่อนรับประทาน เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคไม่ว่าจะชนิดใดก็ตาม ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 23 ก.พ. 53น้ำประปาเลิกฟรี แต่ไฟฟ้า รถเมล์ รถไฟ ให้อีก 3 เดือน แม้สถานการณ์การเมืองจะเคร่งเครียด แต่ผู้บริโภคยังพอมีเรื่องให้ยิ้มได้ เมื่อรัฐบาลยังใจดีไฟเขียวให้ประชาชนได้ใช้บริการไฟฟ้า รถเมล์ และรถไฟ ฟรีต่อไปอีก 3 เดือน ยกเว้นค่าน้ำประปาที่ต่อจากนี้ไปต้องกลับมาเสียเงินตามปกติ ค่าไฟฟ้าฟรี ค่ารถเมล์ฟรี รถไฟฟรี จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2553 รัฐบาลขยายไปสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ส่วนมาตรการค่าน้ำฟรีนั้นให้สิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค. 2553 สาเหตุที่คงมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนไว้ 3 มาตรการ เพราะเป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนผู้มีรายได้ต่ำได้จริง และมีประชาชนจำนวนมากได้ประโยชน์โดยเฉพาะมาตรการใช้ไฟฟ้าฟรี +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ผู้บริโภควอนรัฐฯ ยืดเวลามาตรการกระตุ้นอสังหาฯจากกรณีที่คณะรัฐมนตรี มีมติไม่ต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ทำให้ค่าธรรมเนียมการโอนขึ้นจาก 0.01% เป็น 2% ค่าจดจำนองจาก 0.01% เป็น 1%และภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 0.01% เป็น 3.3% ส่งผลให้ผู้ที่กำลังจะซื้อบ้านและคอนโดฯ ต้องรับภาระค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นบาท ซึ่งตอนที่ตัดสินใจซื้อเป็นตอนก่อนที่จะมีการประกาศมาตรการดังกล่าว รวมทั้งผู้ประกอบการบ้านและดอนโคฯ บางโครงการไม่ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวแก่ผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า เรื่องสัญญาการเช่าซื้อและโอนอสังหาริมทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนความรับผิดชอบของลูกค้า และผู้ประกอบการซึ่งต้องรับผิดชอบกันคนละครึ่ง การจ่ายเงินค่าโอน ค่าจำนอง หรือค่าอื่นๆ นั้น ต้องมีการเขียนในสัญญาที่ชัดเจน ส่วนความเห็นในเรื่องการยกเลิกมาตรการดังกล่าวเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะมาตรการดังกล่าวใช้ในช่วงที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปรับลดนู่นนี่เพื่อจูงใจให้คนมาซื้อบ้านและคอนโดฯ กันเยอะๆ แต่พอจะมาประกาศยกเลิกก็ยกเลิกแบบกะทันหัน ทำให้ผู้ที่ตัดสินใจซื้อในตอนแรกมีปัญหา ซึ่งอยากให้แนะนำให้คนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ออกมาร้องเรียนกับภาครัฐฯ ทางด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า “มติดังกล่าวเป็นการประกาศที่รวดเร็วเกินไป ผู้บริโภคตั้งตัวไม่ทัน อย่างคนที่วางเงินดาวน์แล้ว ก็ถอนคืนไม่ได้ ต้องเสียเงินเพิ่ม กู้แบงก์ก็ไม่ทันแล้ว รัฐบาลต้องเร่งสำรวจปัญหาอย่างถ่องแท้ไม่ว่าจะเป็นของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ซึ่งถ้าพบปัญหาความเดือดร้อน ก็ให้ทบทวนมติ ครม. อาจจะโดยการเลื่อนระยะเวลาออกไปอีก พร้อมกับแจ้งประชาสัมพันธ์ประชาชนให้เข้าใจตรงกัน ซึ่งน่าจะเลื่อนไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน” ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ร่วมค้านหลักสูตรแพทย์อินเตอร์ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เครือข่ายผู้ป่วย และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสุขภาพ ออกแถลงการณ์เรียกร้องกระทรวงสาธารณสุขแก้กฎหมายให้มีตัวแทนจากบุคคลภายนอกเป็นคณะกรรมการแพทยสภา เพราะการมีเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ทำให้ขาดความเข้าใจสังคม เอื้อประโยชน์ รพ.เอกชน และโดยเฉพาะคณะกรรมการที่เป็นเจ้าของและผู้บริหารของ รพ.เอกชนเป็นกรรมการตัดสินใจ จากการแพทยสภาได้รับรองหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาษาอังกฤษ (English program) ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ก่อให้เกิดประโยชน์โดยที่สภามหาวิทยาลัยยังไม่อนุมัติหลักสูตรดังกล่าว เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นเรื่องส่งเสริมคุณภาพและปริมาณของแพทย์ในประเทศไทย แต่เมื่อมีผู้เรียนมากขึ้นแถมยังกำหนดให้ได้เรียนกับอาจารย์ตั้งแต่ระดับรองศาสตราจารย์ขึ้นไป เท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนรวยเท่านั้น เนื่องจากต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 7 ล้านบาทในการเรียนแพทย์หลักสูตรนี้ ดังนั้นกระทบกับหลักสูตรปกติที่ให้โอกาสทุกคนในการเข้าเรียนแน่นอน การอ้างว่า คณะที่จะดำเนินการเปิดสอนหลักสูตรได้จะต้องได้รับอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยของตน ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของแพทยสภา เป็นการปัดความรับผิดชอบ เพราะแพทยสภาควรเสนอให้คณะแพทย์ มศว. ขอความเห็นชอบหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยก่อน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการเรียน รวมถึงรายละเอียดเรื่อง ค่าเทอม การจัดการและความพร้อม ตลอดจนกำหนดการเปิดรับนักศึกษาเป็นต้น ไม่ใช่ทำผิดขั้นตอนโดยเห็นชอบข้อเสนอจากคณะแพทย์โดยตรงทั้งที่ยังไม่ผ่านสภามหาวิทยาลัย ตาม พ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ตามมาตรา 7 (5) แพทยสภามีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำแก่รัฐในประเด็นสุขภาพและปัญหาทางการแพทย์ ดังนั้นการให้ข่าวของแพทยสภาที่อ้างว่า แพทยสภาไม่ได้มีหน้าที่ในด้านนโยบาย medical hub และแพทย์ต่างชาติ เพราะเป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบนั้น ไม่เป็นจริงเพราะแพทยสภามีหน้าที่โดยตรงในการให้คำแนะนำเรื่องนี้ และสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจขาดความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของตนเองและผลประโยชน์สาธารณะขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ม.61 ทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและกระทบต่อการผลิตแพทย์ในหลักสูตรปกติ องค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายเอกชนด้านสุขภาพและผู้ป่วย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งแก้ไขกฎหมายประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ให้คณะกรรมการแพทยสภามีบุคคลภายนอก ดังเช่นกรรมการแพทยสภาในหลายประเทศที่มีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่แพทย์เป็นกรรมการมากถึง 50 % เพราะการตัดสินใจของแพทยสภาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสังคมกระทบต่อสาธารณะ เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุขที่เป็นบริการจำเป็นพื้นฐานของทุกคน ดังนั้นจึงต้องโปร่งใส มีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้ง และมีผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมพิจารณา ด้วยเหตุว่าสการผลิตแพทย์หลักสูตรภาษาอังกฤษนี้ หากพิจารณาให้ดีก็เหมือนการเตรียมการตอบสนองโรงพยาบาลเอกชนที่ต้องการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของอาเซียน (Medical Hub) นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 172 แก่ยากอ้วนยากคือ ใคร

วันหนึ่งผู้เขียนได้เจอบทความในเว็บชื่อ 10 Reasons Japanese Women Don’t Get Old or Fat ซึ่งว่าไปแล้วมันน่าจะเป็นไปได้ เพราะมีใครบ้างจะต่อสู้กับความเสื่อมถอยของสังขารได้ เนื่องจากมันเป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ว่า รูปลักษณ์ภายนอกของมนุษย์นั้นเป็นของไม่เที่ยง ขอให้ทุกท่านที่แต่งงานแล้วอย่างเปิดเผยตระหนักว่า ท่านจะได้สามีหรือภรรยาใหม่ทุกวัน โดยไม่ต้องจดทะเบียนใหม่ เพียงแต่ว่าท่านจะพอใจในความใหม่หรือไม่เท่านั้นมีข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับนักเขียนญี่ปุ่นท่านหนึ่งชื่อ นาโอมิ มอริยามา ซึ่งเขียนหนังสือชื่อ10 Reasons Japanese Women Don’t Get Old or Fat แม้ชื่อเรื่องดูจะโม้ไปหน่อย แต่เอาเถอะลองมาดูกันว่า สิ่งที่ปรากฏในเน็ต ซึ่งเป็นบทคัดย่อข้อมูลจากหนังสือนั้นจะสมจริงสมจังหรือไม่มอริยามาได้พาผู้อ่านเข้าไปในครัวของแม่เธอในประเทศญี่ปุ่น จากนั้นเธอก็เปิดเผยความลับของการมีชีวิตอยู่ทนแบบเป็นสุข ซึ่งมอริยามาอ้างว่าท่านผู้อ่านคงไม่ได้ยินจากแหล่งใดมาก่อน เพราะความลับนี้เป็นวัฒนธรรมการปฏิบัติตนของชาวญี่ปุ่นในการกินอาหารที่ทำให้อายุยืนพร้อมทั้งยังแข็งแรงและสุขภาพดีประการแรกอาหารต้มเคี่ยวของคนญี่ปุ่นนั้นใช้วัตถุดิบพื้นๆ และเหมือนกันทุกวันคือ ปลาต่างๆ ผักจากทะเล(คงเป็นพวกสาหร่าย) และผักต่างๆ ที่ปลูกบนบก ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าว ผลไม้ ชาเขียว ที่น่าสนใจคือ คนญี่ปุ่น(ประเภทแก่ตายช้าที่ไม่ใช่พวกคอตกเล่นเน็ต) นั้น นิยมปรุงอาหารเองทุกวัน โดยมีปลาย่าง ข้าวหนึ่งชาม ซุปผักต้มเปื่อย ซุปมิโซะ(มิโซะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่น หมักจากข้าว ข้าวบาร์เลย์หรือถั่วเหลืองกับเกลือแล้วหมักด้วยราชื่อ kojikin มักนำมาประกอบอาหาร ทำซุปโดยละลายมิโซะในน้ำ เติมผัก เต้าหู้ เห็ดหรือสาหร่าย หรือทำเป็นเครื่องจิ้มปรุงรส สำหรับอาหารประเภทเนื้อ ปลา หอยและผัก) โดยมีผลไม้หั่นเป็นของหวาน แล้วจึงล้างคอด้วยชาเขียวมีการคำนวณกันว่า กระเพาะของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นสุสานของปลาถึงร้อยละ 10 ที่ถูกจับได้ในโลกนี้ ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นน้ำหนักปลาต่อคนต่อปีแล้วคือ 150 ปอนด์หรือเกือบ 70 กิโลกรัม ซึ่งคิดเป็นราว 2 เท่าของอัตราเฉลี่ยการกินปลาของคนทั้งโลก ซึ่งทำให้เห็นได้ประการหนึ่งว่า คนญี่ปุ่นได้รับน้ำมันโอเมกา 3 มากกว่าคนอื่นจึงมีอายุยืนกว่าคนอื่น(ข้อมูลนี้มักใช้ในการโฆษณาขายน้ำมันโอเมกา 3..... กรุณาฟังหูไว้หู!!!!) ที่น่าสนใจและน่าทำตามมากคือ คนญี่ปุ่นที่อายุยืนนั้นกินผักตระกูลกระหล่ำเช่น บร็อคโคลี กระหล่ำปลี คะน้า กระหล่ำดอก และกระหล่ำดาว (Brussels sprouts) มากกว่าคนอเมริกันถึง 5 เท่า ที่น่าประทับใจคือ วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารของคนญี่ปุ่นนั้น สดและเป็นไปตามฤดูกาล(สำหรับผู้เขียนแล้ว บางครั้งมันสดจนน่ากลัว ดังที่เห็นได้ในหนังสารคดีเกี่ยวกับการกินอาหารของคนที่อยู่เอเชียตะวันออกคือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ที่มีการแล่เนื้อสิ่งมีชีวิตเป็นๆ เพื่อสนองตัณหาความอยากกินของสด) จนเหมือนกับแม่บ้านนั้นซื้อวัตถุดิบที่เพิ่งถูกใส่ในบรรจุภัณฑ์ได้เพียงครึ่งชั่วโมงก็ถูกนำมาใช้เตรียมอาหารที่ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จและที่น่าประทับใจมากในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่อายุยืนคือ การกินอาหารแต่น้อย ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการที่พบว่า ใครที่กินอาหารแค่พอมีชีวิตอยู่ ซึ่งเรียกว่า Dietary restriction นั้นมักอายุยืน โดยกินอย่างช้าๆ ให้ลิ้นสัมผัสกับความอร่อยของอาหารที่กำลังถูกบดในปาก คนกินเร็วมักกินอาหารได้มากเพราะสมองสั่งการให้หยุดกินไม่ทันมือที่พุ้ยอาหารเข้าปาก สิ่งที่น่าทำตามที่สุดสำหรับผู้ที่อายุเริ่มขึ้นเลขสาม(ซึ่งเป็นวัยเริ่มสะสมไขมันที่พุง) คือ อย่าตักอาหารให้เต็มจาน อย่าตักอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น ตักน้อยๆ ก็พอ(ประเด็นนี้ทำให้เป็นข้อจำกัดมากในการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ซึ่งส่วนใหญ่มักคิดว่า ต้องเอาให้คุ้มกับที่จ่าย) ที่น่ารำคาญใจคือ อาหารคนญี่ปุ่นมีการประดับประดาและปรุงแต่งน้อยมาก(ต่างจากอาหารไทยที่รสชาติต้องเต็มที่ ถูกใจพระเดชพระคุณ รวมทั้งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งมักประจักษ์ความจริงว่า แม้แต่สุกี้ที่จืดชืดในญี่ปุ่น พอมาถึงเมืองไทยแล้วแซ่บได้หลายเด้อ)การปรุงอาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ นั้น ว่าไปแล้วแทบจะไม่ได้ปรุงอะไรมากนัก เพราะอาหารส่วนใหญ่ไม่ว่าจะใช้ความร้อนแบบใด มักเป็นแบบที่รวดเร็ว(ซึ่งน่าจะเป็นการรักษาคุณค่าทางโภชนาการและไม่เปิดโอกาสให้เกิดสารพิษ) ดังนั้นรสชาติส่วนใหญ่จะมาจากน้ำสต็อกที่เตรียมอย่างดี การกินข้าวทั้งเมล็ดเป็นแหล่งของอาหารคาร์โบไฮเดรตนั้น เป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างชาติตะวันออกและชาติตะวันตก ซึ่งน่าจะเป็นคำอธิบายว่าทำไมชาวตะวันตกจึงมักกินแป้งเกินกว่าที่ควรกิน เพราะแป้งกินง่ายกว่าและมากกว่าในช่วงเวลาเท่ากัน ดังนั้นคนอเมริกันที่เริ่มตระหนักกับความหมายนี้จึงหันมากินข้าวกล้อง 1-2 มื้อต่อวันแล้วปรัชญาการกินอาหารของคนญี่ปุ่นนั้น มื้อเช้าสำคัญที่สุด มีองค์ประกอบสมบูรณ์ที่สุด โดยอย่างน้อยต้องมีชาเขียว ข้าวสวย ซุบมิโซะที่มีเต้าหู้กับต้นหอม สาหร่ายโนริชิ้นเล็กๆ และไข่เจียวแบบญี่ปุ่นหรือปลาชิ้นหนึ่ง สำหรับของหวานในปัจจุบัน(ซึ่งคนไทยมักพร่ำเพ้ออยากกินนัก) นั้น คนญี่ปุ่นที่มีสุขภาพดีอายุยืนมักมองข้ามไปเพราะมันไร้สาระ(เนื่องจากมีแต่แป้ง และดูเป็นขนมที่ดัดแปลงจากต่างชาติ) และไปรบกวนความอยากอาหารที่เป็นประโยชน์แทนสิ่งที่น่านับถือเป็นอย่างยิ่งสำหรับพฤติกรรมการดำรงชีวิตของชาวญี่ปุ่นคือ การออกกำลังกายทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ โดยในปี 2004 นิตยสาร Time ได้มีบทความเรื่อง How to Live to Be 100 ได้กล่าวถึงการที่ชาวญี่ปุ่นมีสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่สมส่วน เพราะมีความตื่นตัวในการเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันซึ่งรวมถึงการออกกำลังกาย รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะแก่การออกกำลังกายเช่น ทางจักรยานรอบเมือง(ซึ่งไม่มีมอเตอร์ไซต์หรือหาบเร่แผงลอยเข้าไปแจม) เส้นทางจ๊อคกิ้ง เส้นทางปีนเขา และการออกกำลังกายอื่นๆ ที่จะคลายความซึมเศร้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับคนญี่ปุ่น ที่ทำงานหนัก (ซึ่งกำลังเข้ามาสู่ชีวิตของคนไทยบางกลุ่มแล้วและรัฐยังไม่ได้เตรียมทางออกให้สักเท่าไร)โดยสรุปแล้ว ข้ออวดอ้างที่ว่า สาวญี่ปุ่นแก่ยากอ้วนยากนั้น น่าจะจริง เพราะองค์ประกอบของอาหารนั้นเป็นไปในรูปแบบที่นักโภชนาการปัจจุบันพยายามนักหนาที่จะขอให้คนไทยทั่วไปกิน ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่สำเร็จยากหน่อยเพราะ การกินอะไรได้ตามใจคือไทยแท้   

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 155 ยิ่งหวานยิ่งแก่

ความอ่อนเยาว์ใครกันไม่ปรารถนา แต่คนเราก็ไม่สามารถอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป ความเสื่อมย่อมเกิดขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป อย่างไรก็ตามมนุษย์เราไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ผลิตภัณฑ์เพื่อทำนุบำรุงผิวพรรณ ซึ่งเป็นจุดแรกที่คนจะสังเกตเห็นได้ง่ายถึงความชราภาพของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหยาบกร้าน รอยด่างดำ จึงถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังช่วยชะลอความเสื่อมของผิว และเหตุที่ต้องทุ่มเทกับเครื่องสำอาง แบบว่าอะไรว่าดีก็เอามาลองก่อน เลยมีการสำรวจพบว่าผู้หญิงจะทิ้งขว้างเครื่องสำอางถึง 75% เพราะใช้แล้วไม่เวิร์ก และเหลือเพียง 2-3 ผลิตภัณฑ์(25%) ที่โอเค จริงๆ แล้ว เครื่องสำอางบำรุงผิวเป็นแค่ตัวช่วยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวจริง ถ้าอยากผิวพรรณอ่อนเยาว์ สดใส เราต้องมองปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาแก่ผิวและบำรุงส่งเสริมให้ถูกจุด โดยตัวที่ควรให้ความสำคัญคือแสงแดด คิดว่าหลายคนรู้ ซึ่งคราวนี้จะไม่พูดถึง แต่อยากบอกว่า มีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณอาจคิดไม่ถึง นั่นคือ “ความหวาน” ใช่แล้วยิ่งหวาน ยิ่งแก่ คุณเชื่อไหมล่ะ   น้ำตาลต้นเหตุของความเสื่อมของผิว ให้ชัดเจนต้องบอกว่า น้ำตาลทำให้เนื้อเยื่อในร่างกายเสื่อม น้ำตาลในร่างกายถ้าสูงมากๆ จะไปจับกับโปรตีนในร่างกายทำให้เกิดความเสื่อม เช่น ทำให้เป็นต้อกระจก ผนังหลอดเลือดแข็ง โรคไต สมองเสื่อมและริ้วรอยแก่กร้านบนผิวหนัง คอลลาเจนและอีลาสติน เป็นชื่อของโปรตีนที่ทำให้ผิวของเรากระชับและยืดหยุ่น (ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทคอลลาเจนนี่ทำยอดขายอันดับหนึ่งเลยนะคะ) ที่จริงแล้วโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกายก็คือ คอลลาเจน นั่นแหละ ถ้าร่างกายเรามีน้ำตาลมากไป เจ้าน้ำตาลส่วนเกินนี้จะไปจับกับโปรตีน คอลลาเจนและอีลาสตินทำให้แห้งและแข็งจนเกิดริ้วรอย เหี่ยวย่นและหย่อนยาน โดยจะแสดงผลชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อผ่านวัย 35 ปีขึ้นไป (The British Journal of Dermatology, 2007) การฟื้นฟูสภาพที่คอลลาเจนถูกทำลายจากน้ำตาลหรือความหวานมีด้วยกันหลายวิธี แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเลิกกินน้ำตาลมากไป เพื่อลดการทำลายสภาพผิว ที่ไม่แนะนำให้งดน้ำตาลไปเลย ก็เพราะว่ามันเป็นไปได้ยาก เพราะน้ำตาลปะปนอยู่ในอาหารที่เรารับประทานประจำวัน ไม่เว้นแม้แต่ข้าวหรือผัก ผลไม้ แต่เสนอให้ลดตัวที่เป็น “น้ำตาล” ซึ่งถูกปรุงแต่งในอาหารสำเร็จรูปต่างๆ โดยเฉพาะน้ำอัดลม ขนม หรือแม้แต่น้ำผลไม้   5 อันดับของหวานที่ควรกินแต่น้อย น้ำอัดลม มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย ประมาณ 8-10 ช้อนชาต่อ 1 กระป๋อง แต่บางรสชาติน้ำตาลก็พุ่งไปถึง 16 ช้อนชาได้ สิ่งที่ทำให้เราชอบน้ำอัดลมน่าจะเป็นความซ่าและความเย็น อาจเลี่ยงไปดื่มน้ำโซดาผสมน้ำมะนาวหรือน้ำหวานเข้มข้น(ชงบางๆ) แทน ไม่ก็ดื่มประเภท 0% แคลอรีแทน น้ำผลไม้ ชาเย็น กาแฟเย็น รวมชานมไข่มุก มีปริมาณประมาณน้ำตาล 7-10 ช้อนชาต่อแก้ว(ขวด) ชนิดสำเร็จรูปให้ตรวจดูที่ฉลาก ชนิดสั่งควรระบุหวานน้อย และดื่มให้น้อยลง โดยเปลี่ยนเป็นน้ำชาชนิดไม่มีน้ำตาลหรือน้ำเปล่าแทน ได้คาเฟอีนแก้อาการหงุดหงิดได้เหมือนกัน ขนมอบ เค้ก คุ้กกี้ ปริมาณน้ำตาลไม่เบา เค้ก 1 ชิ้น น้ำตาลเฉลี่ย 6-12 ช้อนชา ถ้าเป็นชนิดบรรจุหีบห่อ โปรดอ่านฉลากก่อน แต่ถ้าเป็นแบบสั่ง ปัจจุบันจะมีแบบใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล(แต่อาจไม่อร่อยเท่า) เลี่ยงมากินพวกขนมปังโฮลวีตแทน หรือกินแต่น้อยพอได้รสชาติ ช็อกโกแลต หลายคนติดใจเลิกไม่ได้ ขอแนะนำให้เป็นดาร์กช็อกโกแลตแทน จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นด้วย ไอศกรีม ว่ากันว่าเวลาอากาศร้อน ไอศกรีมจะขายดิบขายดี เพราะมันทั้งหวานและเย็นชื่นใจ แต่เชื่อเถอะมันหวานมากไป นอกจากเสี่ยงน้ำตาลสูงแล้ว ยังเสี่ยงกับสารเคมีปรุงแต่งรสชาติต่างๆ ด้วย   อย่าลืมนะคะ ยิ่งหวาน ยิ่งแก่เร็วค่ะ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 168 ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(ใครจะทำไม)

“ในโลกนี้ไม่มีใครอยากแก่ จะเป็นอย่างไรถ้าเราได้ค้นพบวิธี หยุดความแก่ชราได้จริง คำตอบ คือ สเต็มเซลล์” ข้อความโปรยหัวโฆษณาที่กระหน่ำส่งมาทางอีเมล์หลายอีเมล์ในช่วงเวลาไล่เรียงกันนี้ คงกระตุ้นต่อมกลัวแก่ของใครหลายต่อหลายคนได้บ้าง ยิ่งมันไม่ได้ส่งแค่ข้อความเดียวตามลำพัง แต่มันยังส่งอาวุธลับกระแทกต่อมกลัวแก่ซ้ำเข้าไปอีก ด้วยรูปใบหน้าที่เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังที่เหี่ยวย่นตามวัยกับผิวหนังที่ดูราบเรียบขึ้นมาอย่าน่าอัศจรรย์(อันที่จริงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำแบบนี้ได้นะครับ..ฮา) ยังไม่พอครับ เจ้าโฆษณานี้มันคงกลัวคนที่กลัวแก่จะไม่ใจอ่อน มันเลยงัดเอาไม้ตายที่เด็ดเสร็จทุกรายมากระทืบซ้ำ โดยการอ้างข้อมูลที่พยายามดูน่าเชื่อถือมากขึ้น “สเต็มเซลล์ เป็นสิ่งที่สามารถซ่อมแซมร่างกาย และสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ ในขณะที่เราอายุมากขึ้นเซลล์จะเสื่อมสภาพลง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเซลล์ใหม่เข้าไปทดแทน และสิ่งที่จะเข้าไปทดแทนได้นั่นก็คือ สเต็มเซลล์ (ขึ้นต้นเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่ทำไปทำมาเหมือนทำท่าจะขายของ ลองอ่านต่อไปอีก) ดังนั้น เราจึงได้คิดค้นและพัฒนา Growth Factor Complex Technology (เอาละเหวย ใช้ศัพท์หรู ดูดีมีความขลังเข้าไว้ มันน่าเชื่อถือดี) ซึ่งจะเข้าไปฟื้นฟูและชะลอกระบวนการแก่ชรา โดย ค้นหาสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะพบได้ในชั้นไขมันของมนุษย์ ด้วยการใช้ไซรินจ์พิเศษ ในภาวะปลอดเชื้อ (มันเป็นยังไงเนี๊ย ไอ้ไซรินจ์หรือเข็มฉีดยาชนิดพิเศษเนี่ย) ดึงเอาเนื้อเยื่อไขมันและสเต็มเซลล์กลุ่มที่มีความแข็งแรงออกมา (อย่ากังวลครับว่ามันคืออะไร เพราะยิ่งสงสัย ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือกับเทคโนโลยีนี้ที่พิเศษมากขึ้นไปอีก) จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์อีกครั้ง ด้วยการปั่นแยกโดยเครื่องระบบหมุนเหวี่ยงจากศูนย์กลาง จากนั้นนำสเต็มเซลล์มาเพาะเลี้ยง และให้สารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต ในขณะที่เซลล์กำลังเติบโต เซลล์จะแบ่งตัวมากขึ้น แบบทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อเติมเต็มให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ที่มีอยู่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการที่ร่างกายใช้รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง” เป็นไงครับ ถ้าชาวบ้านทั่วๆ ไปอ่านแล้วคงทึ่งกับขั้นตอนอันแสนมหัศจรรย์ของเขา ที่สามารถไปแสวงหาและดึงเอาเจ้าสเต็มเซลล์สุดเจ๋งออกมาจนได้ แล้วก็เอามาทนุถนอมเลี้ยงและเร่งให้แพร่พันธุ์แบ่งตัวเยอะๆเพื่อมาซ่อมแซมร่างกาย แต่หากใครพอมีความรู้ร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็คงได้แต่กุมขมับไปว่า อะไรมันจะมหัศจรรย์ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะเท่าที่ทราบมายังไม่มีเครื่องสำอางใดที่ได้รับอนุญาตเรื่องสรรพคุณของสเต็มเซลล์แบบที่โฆษณานี้เลยนี่นา แล้วไอ้ที่มาป่าวประกาศปาวๆ นี้มันโอเวอร์หลอกลวงเกินจริงไปหรือเปล่า คิดให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจคร่ำครวญเพลง “ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(สตางค์) จากกระเป๋า” นะเออ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 สายลับจับโกหก..รกปลา

ละครที่มีพล๊อตเรื่องแบบพระเอกงี่เง่า นางเอกงุนงง ปล่อยให้ตัวอิจฉาตีหน้าเศร้าเป่ารูหูไปค่อนเรื่อง ก่อนจะมาทราบความจริงตอนใกล้จบนั้น แม้จะเป็นละครน้ำเน่าแต่ผู้ชมหลายคนก็ยังชื่นชอบ บางคนบอกดูแล้วสนุกดี แต่ถ้าในชีวิตจริงของเรามีคนเอาผลิตภัณฑ์อันตรายมาหลอกขายมันคงไม่ใช่สนุกแบบละครแน่นอน เมื่อเร็วๆ นี้มีกระทู้ดังในเว็ปพันทิป (http://pantip.com/topic/31736836 ) เล่าว่าเพื่อนของเขาไปซื้อยาแก้ปวดจากเภสัชกรร้านยาแห่งหนึ่ง ได้ยาแก้ปวดมาหนึ่งมาแผง ซึ่งยานี้ใน 1 เม็ด จะมีส่วนประกอบเป็นพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ผสมกับยาอื่นอีกตัว แต่ที่เขาต้องมาเล่าจนกลายเป็นกระทู้ฮิตก็เพราะเพื่อนของเขาบอกว่า ยาเม็ดที่ได้จากเภสัชกรนั้น เป็นเม็ดสี่เหลี่ยมขอบมน มีตัวอีกษร MERA บนเม็ด เมื่อนั่งดู นอนดู ตะแคงดู มันดันเหมือนกับผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่มีการโฆษณาขายในอินเตอร์เน็ตในชื่อ มีรา รกปลา 100มก. (MERA FISH PLACENTA 100 mg) ยังกับแกะ   ที่แสบทรวงคือ ไอ้เจ้าผลิตภัณฑ์ที่ดันอ้างว่าเป็นรกปลา(ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็รู้ว่า ปลามันวางไข่ไม่มีรก) มันดันโฆษณาสรรพคุณโอเวอร์กระแทกกระทั้นสนั่นโลกแบบไม่กลัวรกกระจุย เช่น ลดริ้วรอย รอยแดง รอยดำ ฝ้า กระ ลดอาการอักเสบของผิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดความเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากระชับและทำให้ผิวเนียนเรียบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง เพิ่มความนุ่ม ชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ลดอาการบวมของถุงใต้ตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านโรค กระตุ้นความตื่นตัวและเสริมสร้างสมาธิ เสริมสร้างพละกำลังและความทนทาน ลดอาการของหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน และชะลอการหมดประจำเดือน ทำให้หน้าอกกระชับและเพิ่มขนาดเต้านมในรายที่หน้าอกเล็กกว่ามาตรฐาน เพิ่มความต้องการทางเพศ พละกำลังทางเพศ ฯลฯ  ที่น่ากลัวคือ เจ้าผลิตภัณฑ์รกปลานี้ ดันระบุให้ กินก่อนนอนหรือเช้าตอนตื่นนอนครั้งละ 3-4 เม็ด นั่นหมายความว่าถ้าผู้บริโภคที่หลงไปซื้อมารับประทานแบบนี้ ก็จะได้รับยาพาราเซตามอล ครั้งละ 3 – 4 เม็ด หรือปริมาณ 1500 – 2000 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าสูงเกินขนาดใช้ปกติด้วยซ้ำ (ปกติคนทั่วไปรับประทานครั้งละ 1 เม็ด)  ซึ่งปริมาณที่สูงอย่างนี้จะมีอันตรายต่อตับแน่นอนหากกินติดต่อกันไปเรื่อย ผมลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็พบว่า ในเฟซบุ๊คที่โฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ เริ่มบล็อกไม่ให้คนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนเข้าไปอ่านแล้ว แต่ทราบว่าเรื่องนี้ไปถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว และกำลังติดตามจัดการอยู่ ช่วงนี้เลยต้องรีบมาเตือนผู้บริโภค ให้ระวังภัยนะครับ ยุคนี้ทำมาค้าขายกันแบบไม่คำนึงถึงชีวิตผู้คนกันแบบนี้ ไม่ใช่รกปลาครับ น่าจะรกโลกมากกว่า //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 สะระแหน่ แก้ปวด

ใบอะไรเอ่ย...กลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว แต่มีรสชาติคล้ายกับตะไคร้หอม คำตอบนั่นก็คือ ใบสะระแหน่ นี้นี่เอง ใบเล็กๆ เขียวเข้ม ขอบย่นๆ หยักๆ อยู่ในพล่า ยำ นั้น เห็นหลายคนชอบเขี่ยออกไปไม่ยอมกิน เห็นแล้วให้นึกเสียดาย เพราะสะระแหน่นั้นมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความหอมให้กับอาหาร นั่นเป็นเพราะว่า ใบสะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยมาก น้ำมันหอมระเหยของสะระแหน่นี้ ประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) อยู่มาก จึงไม่เพียงช่วยให้อาหารมีความหอมยังช่วยดับกลิ่นปากได้ดีอีกด้วย   สารเมนทอล(รสเย็นซ่า) ในสะระแหน่มีคุณสมบัติเย็นจึงใช้รักษาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน หลอดลมอักเสบ และหอบหืดได้ นอกจากนี้หลายสำนักวิจัยเรื่องสมุนไพรยังยกย่องให้สะระแหน่เป็นเจ้าแห่งการบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ทั้งปวดศีรษะ ปวดฟัน โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง หรือปวดท้อง จากบิด ท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ เมนทอลของสะระแหน่นั้นเขาสรรเสริญกันว่าสุดยอด มีการนำใบสะระแหน่มาสกัดทำหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น นำไปผสมในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก หมากฝรั่ง ลูกอม เจลอาบน้ำ สบู่ ยาแก้ไอ หรือแม้แต่ครีมลดการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ก็เพราะเมนทอลในสะระแหน่นี่เอง ปัจจุบันได้มีการสกัดสารจากสะระแหน่ในรูปแบบของลูกอมสะระแหน่ไว้ใช้อม หรือที่เรียกว่า ลูกอมมินต์ ที่ทำให้เราทั้งรู้สึกสดชื่น และระงับเชื้อแบคทีเรียในปากได้ สะระแหน่ยังปลูกง่าย เป็นพืชสวนครัวที่แทบไม่ต้องดูแลอะไรมาก เคยได้ยินไหมที่เขาพูดเปรียบรถเก่าๆ ว่าน่าจะเอาไปปลูกสะระแหน่ได้แล้ว แสดงถึงความนิยมในเรื่องของการปลูกทั้งเป็นไม้ประดับและพืชสวนครัว พืชนี้ชอบน้ำชุ่ม คนโบราณจะปลูกไว้ใกล้ครัวและมักใช้น้ำคาวปลา(น้ำล้างปลา)รดสะระแหน่ เชื่อว่าจะทำให้แตกยอดและใบงาม สะระแหน่ขยายพันธุ์โดยใช้ไหลแยกไปปลูก(ปักชำ) ในบริเวณที่ต้องการได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร นอกจากหยิบจับใช้ทำอาหารแล้ว เวลาฉุกเฉินแมลงสัตว์กัดต่อย ขอให้รีบหยิบใบสะระแหน่มาขยี้หรือตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่โดนกัด จะแก้พิษ บรรเทาอาการปวดแผลได้ผลชะงัดนัก รู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามีสะระแหน่ประดับในจานอาหารขออย่าได้เขี่ยทิ้ง มันเสียของ จงกินมันเข้าไป และหากได้ไหลของต้นสะระแหน่ติดมือกลับมาบ้านก็ให้ปักชำทำเป็นพืชสวนครัวเสีย มีประโยชน์มากๆ เลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 159 เถ้าแก่ร้านค้าออนไลน์ ต้องมุ่งคุ้มครองผู้ซื้อ

ใครหลายๆคนที่กำลังสนใจอยากมีกิจการเป็นของตนเอง ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) หรือธุรกิจพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์ บนโลกออนไลน์เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าจับตามองอย่างดีสำหรับ “เถ้าแก่ยุคใหม่”ทั้งหลายนะครับ.. เพราะไม่จำเป็นต้องหาสถานที่ ตกแต่งร้าน หรือแม้กระทั่งนั่งเฝ้าหน้าร้านกันขโมยตลอดเวลา ก็สามารถเปิดร้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเป็นการทำธุรกิจที่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีเงินทุนไม่มาก เริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจง่าย ๆ เลย คือคุณอยากรู้ว่าจะขายอะไร พร้อมเตรียมเงินลงทุนในกระเป๋าไม่กี่พันบาท และคุณใส่ใจเรื่องของอินเทอร์เน็ต อยากมีหน้าเว็บไซต์เป็นของตนเองที่เหล่าบรรดานักพัฒนาทั่วโลกได้เขียนขึ้นในรูปแบบของการทำเว็บไซต์สำเร็จรูปมาให้คุณเลือกใช้ (Content Management System:CMS) ที่สามารถใส่เนื้อหา ข้อความง่ายๆ, ภาพถ่าย, เพลง, วิดีโอ, หรือเอกสาร โดยที่ไม่ต้องเรียนรู้โค๊ดเฉพาะยากๆเหมือนในอดีต สมัยนี้การจดทะเบียนประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็ทำได้สะดวก ในไทยเองก็มีจำนวนผู้จดทะเบียนไปแล้วประมาณ 8,000 ราย เป็นแบบบุคคลธรรมดา  5,000 ราย เป็นนิติบุคคล 3,000 ราย ซึ่งผู้ประกอบการ 1 รายอาจมีเว็ปไซต์ได้มากกว่า 1 เว็ปไซต์ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจเป็นเถ้าแก่บนโลกออนไลน์ อย่างจริงๆ จังๆ แล้วล่ะก็ นอกจากเรื่องการวางแผนธุรกิจแล้วคุณก็ต้องมีการ ตั้งชื่อให้ร้านของคุณ โดเมนเนม (Domain name) หรือ ชื่อเว็บไซต์ เป็นตัวตนของร้านที่จำเป็นต่อการสร้างแบรนด์คุณให้ติดตา แก่บรรดาขาช้อปในโลกออนไลน์ มีชื่อร้านแล้ว...รายละเอียดของสินค้า หรือ Content ข้อมูลต้องมีการระบุให้ละเอียด ชนิดที่ลูกค้าที่มาใช้บริการอ่านปุ๊ป แล้วทราบข้อมูลและการบริการ ข้อเท็จจริงอย่างละเอียด มีการเชื่อมโยงหน้า หรือทำ Link ให้ง่ายต่อการค้นหา แม้ธุรกิจค้าขายบนโลกออนไลน์ดูจะสดใสเป็นอนาคตของคนรุ่นใหม่ แต่ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ต้องพึงระมัดระวังในการทำธุรกิจอย่างยิ่งยวด นั่นคือเรื่องข้อกฏหมายและเรื่องการดูแลคุ้มครองผู้ซื้อ ในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีตั้งแต่กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์,กฎหมายว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันและแก้ไข เมื่อเกิดปัญหาจากการซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ อย่างไรก็ตามเถ้าแก่หน้าใหม่ทั้งหลาย หากคิดจะค้าขายทางนี้ ก็ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า รับผิดชอบหากสินค้าชำรุดหรือบกพร่อง รับประกันสินค้าให้ตรงตามสรรพคุณที่โฆษณา และมีบริการหลังการขายที่ดีพอ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง แล้วคุณจะได้ความพึงพอใจจากลูกค้า และการไว้วางใจ ที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าหรือบอกต่อให้ญาติสนิท มิตรสหาย มาซื้อสินค้าบนหน้าร้านออนไลน์ของคุณ เรียกว่าต้องคำนึกถึงการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นปัจจัยหลักสำคัญเลยทีเดียว ผมอยากให้เถ้าแก่หน้าใหม่ มาจับจองเปิดพื้นที่ร้านค้าออนไลน์กันให้มากๆ เพราะคุณจะได้ลูกค้าคนไทยกว่า 73% หรือ 25.1 ล้านคน ที่มีปริมาณการใช้งานค้นหากว่า 19 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งนับว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับเถ้าแก่ที่กำลังหาลูกค้า และถ้ามองให้กว้างไปอีกนิดในเอเชียมีคนใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 1.76 พันล้านคน และทั่วโลกกว่า 2.4 พันล้านคน ถือเป็นการวางแผนธุรกิจที่สร้างรายได้ให้คุณได้ง่ายๆ และนอกจากผู้ประกอบการหรือเถ้าแก่จะมีรายได้เติบโต เศรษฐกิจในประเทศเติบโต และยังทำให้การค้าประเทศชาติเติบโตยิ่งขึ้นอีกด้วย.

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 เสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้เดือดร้อนกรณี เชฟโรเลต ครูซ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็คือความมั่นใจของคนใช้รถมันไม่เหลืออยู่แล้ว แล้วในความรู้สึกก็คือ ผู้ให้บริการอย่าง GM ของเชฟนั้น เขาผลักภาระความเสี่ยงให้กับลูกค้าโดยที่เขาไม่ยอมพิจารณาหรือพิจารณาความผิดว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเป็นความผิดของเขาเลย ก็คือพูดง่ายๆ ว่าผู้บริโภครับไปเต็มๆ ในวันที่ปิดต้นฉบับเรื่องนี้  มีข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่จากรถโดยสารสาธารณะสายอีสานที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นรุนแรงที่สุดในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา จนผู้เขียนอยากจะภาวนาให้อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าคำตอบจะเป็นไปได้ยากก็ตาม  การให้บริการรถสาธารณะในบ้านเราที่ไม่ปลอดภัยเช่นนี้ หลายๆ จึงคนหันมาซื้อรถยนต์ส่วนตัวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ตนเองและครอบครัว ( อารมณ์ประมาณว่าขับเองดีกว่า อุ่นใจกว่า )  แต่ไม่ว่าจะหาข้อมูลครบถ้วน รอบด้านมากสักเพียงใด ก็ไม่วายที่จะเกิดปัญหาขึ้นจนได้  คุณณฐกร แก้วชิน และคุณวายุพัฒน์  บัวชุม ผู้เสียหายจากกรณี เชฟโรเลต ครูซ คือ 2 ตัวแทนจากกลุ่มที่จะมาเล่าว่าว่าพวกเขาประสบปัญหาอะไรบ้าง   รถที่อยู่ในกลุ่มของเรามีปัญหาอะไรบ้าง? ส่วนใหญ่หลักๆ เลยเป็นปัญหาเรื่องเกียร์ ช่วงแรกเกียร์ก็จะมีเรื่องอาการกระตุก กระชากเวลาออกตัวไม่นิ่งเหมือนตอนซื้อรถมาใหม่ๆ บางคันรถป้ายแดงก็มีอาการ และหนักหนาสุดก็คือรถมีการกระชากอย่างแรง เกียร์มันกระชากอย่างแรงสมมติว่าขับอยู่ 80 – 90 กม./ชม.ความเร็วมันตกมาเหลือ 20 แต่ความเร็วรอบจาก 2,000 มันขึ้นถึง 3,000-4,000 รอบแทน แต่ความเร็วมันตกลงมานะครับสมมติว่าเราขับอยู่ข้างหน้าสิบล้อ สิบล้อก็มาเร็วเหมือนกันแล้วความเร็วมันหายไปเหมือนกับเราเบรกกะทันหัน คือเจอกรณีนี้หลายเคสเหมือนกัน อย่างล่าสุดเมื่อวันก่อนก็มีแซงสิบล้อไปแล้วเกียร์น็อกไปเฉยๆ   รวมกลุ่มกันตอนนี้มีประมาณกี่คัน ก็ที่หามาได้ก็ประมาณ 70 กว่าคันแต่ตอนนี้ที่ซ่อมไปแล้วก็ประมาณหลักร้อยคัน แต่ทีนี้มีข้อมูลเชิงลึกว่ามันก็หลายพันคันครับที่มีอาการแบบนี้แต่ว่ายังไม่ถึงกับเข้ารับการเข้าซ่อมบำรุงแต่ถ้าเริ่มมีอาการก็หลักพันคัน   เป็นรถรุ่นเดียวกันทั้งหมด? เป็นรุ่นเดียวกันครับเป็นรุ่น 2011-2012 ก็ถ้ารุ่นนี้ขับไปจริงๆ ก็สองหมื่นคันจากสองหมื่นคันจะเป็นเครื่องบล็อก 1.8 หรือเครื่อง 1,800 cc. นี้ประมาณ 17,000 คัน 17,000 คัน นี้ไม่รอดแน่นอน แต่ว่าตอนนี้มันเริ่มทยอยมีอาการไงครับ คนที่ซื้อมาทีหลังขับน้อยก็จะยังไม่มีอาการ แต่คนที่ซื้อมาก่อนใช้รถเยอะจะมีอาการมาก่อน หรือคนที่ซื้อรถมาทีหลังแต่ใช้รถเยอะก็จะเจออาการก่อนเหมือนกัน   อาการจะอยู่ที่ขับไปได้กี่กิโลเมตร ประมาณ 15,000 กม. ขึ้นก็จะเจอ ส่วนมากเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 กม. เศษๆ ก็จะเจอที่เกียร์พัง แต่ถ้ารอบมันกระตุกนี้ประมาณซัก 5,000 กม. แรกก็จะมาแล้วครับ อย่างผมเคยเปลี่ยนเกียร์ทั้งลูกไปลูกหนึ่ง ออกศูนย์ได้ประมาณพันกิโลฯ เวลาเปลี่ยนเกียร์ก็กระชาก   ทางผู้ประกอบการแจ้งผลเกี่ยวกับปัญหาของเราอย่างไรกับเรื่องเกียร์? ในกรณีผมเริ่มต้นคือเรื่องเกียร์กระชากจากเกียร์หนึ่งไปเกียร์สอง รถของผมเพิ่งใช้ไปประมาณสี่หมื่นหนึ่งพันกว่ากิโลฯ แล้วก็มีอาการเหยียบแล้วคันเร่งไม่ขึ้น เบื้องต้นเอาเข้าตรวจสอบที่ศูนย์ ศูนย์แจ้งว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆทั้งสิ้น เอาเข้าไปเขาก็ตรวจเช็คเอาคอมมาต่อทำนั้นทำนี่แล้วก็แจ้งว่าไม่มีปัญหา ซึ่งเราก็ยังไม่มีความรู้หรือว่ายังไม่เท่าทันในเรื่องนี้พอสมควร แต่ในกรณีแบบนี้ให้ศูนย์ออกเป็นใบว่า คุณรับรองว่ามันไม่มีปัญหาแต่ว่าศูนย์ก็ไม่มีอะไรตอบกลับเข้ามา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็คือความมั่นใจของคนใช้รถมันไม่เหลืออยู่แล้ว แล้วในความรู้สึกก็คือ ผู้ให้บริการอย่าง GM ของเชฟนั้น เขาผลักภาระความเสี่ยงให้กับลูกค้าโดยที่เขาไม่ยอมพิจารณาหรือพิจารณาความผิดว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเป็นความผิดของเขาเลย ก็คือพูดง่ายๆ ว่าผู้บริโภครับไปเต็มๆ ในกรณีที่เขาให้ข้อเสนอให้เพิ่มขึ้นมาจาก 1 กม. เป็น 150,000 กม. จาก 3 ปีเป็น 4 ปี แล้วถ้าเกิดเป็นในกรณีที่เราใช้รถน้อยแล้วเกิดหลังจากประกันนี่แล้วคุณจะรับผิดชอบอย่างไร แล้วถ้ามีคนที่ใช้แล้วเกิดในระยะประกันเกิดอุบัติเหตุตามที่เราได้แจ้งไปแล้วคุณจะรับผิดชอบอย่างไร   มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการใช้รถรุ่นนี้บ้างไหมจากที่เราทราบ? มีอยู่รายหนึ่งครับ คือรถมันพุ่งเองแล้วก็ไปชนรถคันข้างหน้า ทีนี้รถคันนี้ก็จะได้รับการดูแลจาก GM โดยมีวิศวกรจากเกาหลีเขามาเช็ครถ สุดท้ายเขาบอกว่ารถปกติ เขาก็ไม่ได้โยนว่าเป็นความผิดของผู้บริโภคหรือคนขับหรอกแต่มันก็กลายๆ นะครับ เพราะเขาบอกว่าเขาพิสูจน์ทางเทคนิคแล้วว่ามันไม่ได้มีความผิดปกติจากรถ แต่มันเป็นความผิดที่ว่าคนขับอาจจะรถยังจอดไม่สนิทแล้วเปลี่ยนจากเกียร์ D เกียร์ T มันทำให้เฟืองที่เขาเรียกกันว่าเฟืองล็อกมันสับไม่ลงตรงเกียร์ T มันก็เลยเกิดอาการรถมันก็เลยพุ่งออกไป   รถรุ่นนี้เกิดในเกียร์ออร์โต้ทั้งหมด ครับ ออร์โต้ทั้งหมดเลย เพราะว่าเกียร์กระปุกนั้นจะมีเฉพาะเครื่อง 1,600 cc.  แต่เครื่อง 1,800 2,000 cc. นั้นจะเป็นเกียร์ออร์โต้ทั้งหมด   เรารวมกลุ่มกันได้อย่างไร เพราะว่าหลายๆ คนก็มาจากคนละที่ อย่างของตัวผมเริ่มจากการโพสต์ปัญหาในหน้าเพจ Facebook ของเชฟโรเลตไทยแลนด์ ก็ไปเจอกลุ่มคนที่มีปัญหาเดียวกันเราก็แอดมาคุยกัน มาแชร์ปัญหากันว่าแต่ละคนเจอปัญหาอะไรบ้าง ปัญหาเกียร์กี่ครั้ง ปัญหาเครื่องดับกี่ครั้ง ปัญหารถพุ่งกี่ครั้ง ก็มาคุยกันแล้วก็โทรเข้าไปคุยกับ GM ว่าเขาจะรับผิดชอบกับพวกเราอย่างไร สาเหตุมันเกิดจากอะไรมันก็ยังไม่มีคำตอบที่น่าพอใจ เราก็เลยรวมตัวกันขึ้นมาแล้วก็ตั้งกลุ่ม Facebook ขึ้นมา คือมันคิดอะไรไม่ออกก็เลยตั้งว่า ครูซรวมตัวไปช่อง 3 เนื่องจากว่าจุดประสงค์หลักตอนนั้น คือช่อง 3 น่าจะเป็นสื่ออะไรให้เราได้บ้าง ทีนี้ก็เลยรวมตัวกันมาเรื่อยๆจากหลักสิบ ยี่สิบ สามสิบแต่ละคนก็จะดึงเพื่อนเข้ามาที่ใช้ครูซเหมือนกันก็ช่วยแชร์ว่าคนไหนเคยซ่อมแล้ว คนไหนยังไม่เคยซ่อม ซ่อมแล้วยังไม่เป็นที่น่าพอใจอะไรแบบนี้นะครับ ซ่อมหลายครั้งแล้วยังมีปัญหาอยู่ ก็มารวมตัวกัน คุยแลกเปลี่ยนกันจนจำนวนมันเพิ่มขึ้นจนตอนนี้น่าจะประมาณหนึ่งพันถึงพันสามร้อยคน แต่ก็มีหลายกลุ่มคือกลุ่มที่เสียหายแล้ว และกลุ่มที่ยังไม่เสียหาย และกลุ่มออกรถใหม่ ออกรถแล้วเพิ่งมาเจอแบบนั้นนะครับ(หัวเราะ) เราก็เลยมาแลกเปลี่ยนข้อมูล มาสอบถามเราจะดูแลรถอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น หรือถ้ารถมีปัญหาแล้วเราจะต่อรองกับเชฟโรเลตอย่างไร จะเจรจากับศูนย์อย่างไร ก็คือเป็นที่แลกแลกเปลี่ยนข้อมูลไป   เรามีแกนนำที่ติดต่อประสานงานหลักเลยไหม ประมาณสิบกว่าคนครับ อย่างผมก็เป็นหนึ่งในแกนนำหรือเรียกว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มดีกว่า   เรามีการสื่อสารกับสาธารณะอย่างไรให้คนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้ใช้ครูซ แต่ให้พวกเราได้ระวัง? ตัวพวกผมที่เป็นตัวแทนต้องขอขอบคุณสถานีไทยพีบีเอส รายการสถานีประชาชนนะครับ แล้วก็รายการวิทยุของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค รายการภูมิคุ้มกัน  ที่ออกอากาศทางช่องอินเตอร์เน็ตนะครับ( http://www.thaipbsonline.net ) ซึ่งตอนนี้สื่อหลักก็คือช่องไทยพีบีเอสช่องเดียว อย่างช่อง 3 ก็จะเป็นข่าวช่วงเย็นแค่สรุปข่าวช่วงเดียว ในกรณีช่อง 7 ก็มีการเสนอแค่ว่าเสียอย่างไรแต่ไม่ได้มีการเจาะรายละเอียดว่าเสียจากเหตุอะไร จะมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร ก็ยังไม่มีข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติม   อยากให้สะท้อนว่ามีอะไรบ้างและอยากให้หน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทำอะไร ให้กับเราบ้าง ? อย่างตัวผมก็อยากจะเน้นความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์มากกว่า เพราะว่ามันสำคัญไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ เกียร์ ซึ่งมันเป็นหัวใจของเครื่องยนต์เลย ถ้าเกิดความบกพร่องขึ้นมาระหว่างที่เราใช้อยู่นั้นมันเสี่ยงกับชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อย่างผมก็ประสบมาเยอะเพราะว่าเกียร์พังไปสี่ครั้ง แต่ละครั้งนี่คือชีวิตทั้งนั้นเลย แต่ผมมีสติพอที่จะประคับประคองรถทำให้ไม่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ถ้าเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเราก็ไม่สามารถจะมาบอกคนข้างหลังได้ว่า ณ ช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไร ทีนี้อยากให้สะท้อนถึงสิทธิของผู้บริโภคให้มันเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เพราะตอนนี้กฎหมายบ้านเรายังไม่ได้ดูแลผู้บริโภคจริงๆ จังๆ สักที จะเป็นลักษณะการเจรจาไกล่เกลี่ย จบแล้วก็จบเลย ถ้ามีกฎหมายที่มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเพื่อจะรักษาสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคให้มันเป็นรูปธรรมมากกว่านี้เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่เอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไป ผมอยากให้ผู้ประกอบการหรือทางเชฟโรเลตให้มีความรับผิดชอบต่อปัญหา เพราะว่าปัญหาแต่ละอย่างถ้าเกิดขึ้นมาแล้วนั้นคุณน่าจะมีวิธีการป้องกันหรือการแก้ไขปัญหานั้นให้เสร็จไป แน่นอนว่าปัญหาไม่มีใครอยากให้เกิดทั้งผู้ให้และผู้รับบริการแต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วนั้นทำไมเราไม่หันหน้ามาคุยกัน สิ่งที่คุณทำคือผลักภาระ ความรับผิดชอบ โยนความเสี่ยง คุณจะเป็นอะไรเรื่องของคุณ สิ่งที่ผมอยากสะท้อนก็คือความรับผิดชอบของพวกเขามากกว่านี้ สองคือผู้บริโภคนั้นให้ความมั่นใจกับสินค้าของคุณแล้วแต่คุณมาทำลายความมั่นใจของผู้บริโภคนั้นผมว่ามันไม่ใช่ น่าจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้   อยากให้ฝากอะไรถึงผู้บริโภคที่กำลังมองหารถซักคัน ธราธร : ก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทุกอย่างเลยต้องหาข้อมูลก่อน อย่างเชฟโรเลตเราก็หาข้อมูลเพื่อที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุด อย่างผมกับพี่เขาเลือกเชฟโรเลตเพราะคิดว่ามันปลอดภัย ความปลอดภัยมาเป็นหลักเลยเรื่องอื่นเราอาจจะมองน้อยลง คือเลือกเพราความปลอดภัยอย่างเดียวเลย หน้าตาภายนอกเป็นส่วนประกอบแต่ก็มาเป็นอย่างนี้ เราเดินทางบ่อยเราเลยเลือกสมรรถนะรถ ความเซฟตี้ของรถ มีความแข็งแรง พอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคนรอบข้างเย็บสามสี่เข็ม ผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง นี่เป็นเหตุผลที่เราเลือกเชฟโรเลตเพราะเราคงไม่ได้ซ่อมรถบ่อยๆ เผื่อว่าเราเกิดอุบัติเหตุขึ้นมามันจะช่วยเซฟชีวิตเราได้ เลยอยากจะฝากว่าคนทั่วไปหรือผู้บริโภคทั่วไปจะเลือกซื้อก็ศึกษาข้อมูลให้ดี ขนาดเราหาข้อมูลดีแล้วนะยังโดนขนาดนี้ มีไกด์ไลน์ของรถเลยนะ เอารุ่นนี้มาเปรียบกับรุ่นนี้ รถรุ่น ก.ข.ค.ง. เอาสี่รุ่นนี้ข้อดีข้อเสียของครูซมาเปรียบเทียบกับสี่รุ่นนี้ คือผมดูมาหมด ความเตี้ย หน้าฐานกว้างคือผมหาข้อมูลละเอียดมากก็ยังเจอปัญหาอย่างนี้   แล้วยังอยากจะใช้รถคันนี้ต่อไหม วายุพัฒน์ : สำหรับผมพูดตรงๆ คือคันนี้คันแรก แล้วก็หนี้ก้อนใหญ่เลยทีเดียวพูดกันตรงๆ ถามว่าอยากใช้ต่อไปไหมถ้าครูซไม่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับเกียร์ เครื่องดับกลางอากาศ เกียร์กระตุก ผมก็ยืนยันว่าจะใช้นะแต่ถ้ามันเกิดกรณีนี้ขึ้นมาผมบอกตรงๆ ไม่กล้าใช้ ณฐกร : ผมก็ไม่กล้าใช้เพราะว่ามันสี่ครั้งแล้วมันเสี่ยงชีวิตมาก คือมันอันตรายกับชีวิตเรานะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 130 ผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ความยั่งยืนของอาหาร ที่คุณทำได้

  “ถ้าปีหน้าน้ำมันท่วมอีก ข้าวของก็คงขาดตลาดอีก คนก็ตุนมาม่า ปลากระป๋อง ไข่ พอมีความต้องการเยอะ ราคาของก็แพงขึ้น ทำไมเราไม่คิดกลับบ้าง ซื้ออาหารสดพวกปลา หมู มาทำหมูเค็ม ปลาเค็ม ก็เก็บไว้ได้นานเหมือนกัน ที่สำคัญคือผัก น้ำท่วมเราปลูกกินเองได้ ถั่วงอก ผักบุ้งนี่ก็ปลูกง่ายคุณค่าทางโภชนาการก็เยอะ” แก้วตา ธัมอิน นักเขียนบทกวีคนรุ่นใหม่เผยแนวคิดที่แตกต่าง แต่ลงตัวให้กับฉลาดซื้อได้เห็นในอีกมุมมองของการใช้ชีวิต เพื่อจะมีชีวิตอยู่และอยู่อย่างมีชีวิต ในการข้ามฝ่าวิกฤต ที่อาจอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด ฉลาดซื้อขอบอกเล่ากิจกรรมโครงการรณรงค์ของมูลนิธิชีววิถี โดยผ่านเรื่องราวจากปากของ แก้วตา ธัมอิน ที่วันนี้ไม่ได้มาในบทบาทของกวี แต่มาในบทบาทของเจ้าหน้าที่รณรงค์ เกิดกอ ก่อเมล็ดพันธุ์“โครงการ(ผ้าป่าเมล็ดพันธุ์) นี้เกิดขึ้นมาเพราะภาวะน้ำท่วมขังที่ยาวนาน บางพื้นที่ เช่น จ.นครสวรรค์ ท่วมนานกว่า 3 เดือนทำให้พื้นที่การเกษตร ทั้งที่นา ที่สวน จนสวนรอบบ้าน ไม้ผล และพืชผักสวนครัว ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด เกษตรกรไม่สามารถเก็บพันธุ์ไว้ปลูกเพื่อการผลิตในรอบต่อไปได้อีกเลย และเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในระยะฟื้นฟู เราจึงรับบริจาคเมล็ดพันธุ์ผัก-ข้าว กิ่งพันธุ์ผัก-ผลไม้ ที่เกษตรกรสามารถเก็บและขยายพันธุ์ไปปลูกต่อได้ รวมถึงสามารถตอบสนองต่อความจำเป็นเฉพาะหน้า เช่น พืชผักสวนครัว เมล็ดพันธุ์ที่จะปลูกเพื่อเป็นรายได้ช่วงหลังน้ำท่วม” นั่นคือที่มาของโครงการดี ดี แบบนี้ แต่จุดหมายหลักๆ ก็คือความพยายามจะสร้างความยั่งยืนด้านอาหารนั่นเอง ไม่ให้เมล็ดพันธุ์ตกไปอยู่ในมือของนายทุน หรือบรรษัทไม่กี่บรรษัท เพราะตลาดเมล็ดพันธุ์มีมูลค่าทางการตลาดมหาศาล ซึ่งเมล็ดพันธุ์นั้นถือเป็นฐานความมั่นคงทางอาหาร ถ้าหากเกษตรกรไม่ได้จัดการเมล็ดพันธุ์ด้วยตัวเอง สุดท้ายพันธุ์พื้นเมืองก็จะสูญหายไป ความหลากหลาย การเข้าถึงด้านอาหารก็ยากขึ้น ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นที่ทางมูลนิธิชีวิถีเล็งเห็นก็คือ เกษตรกรมีรายได้น้อยเมื่อต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ที่จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ลูกผสม(hybrid) ทั้งหมด แล้วไหนจะต้องติดเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ก็จะเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้เกิดวงจรการเข้าไม่ถึงอาหาร ต้องเข้าเป็นหนี้ และยากจน หมุนวนเป็นวงจร เมล็ดพันธุ์ที่ทางมูลนิธิชีววิถีจับตาและรณรงค์อยู่ก็คือเมล็ดพันธุ์ข้าว เมล็ดพันธุ์ข้าวโพด รวมถึงผักพื้นบ้าน ที่พยายามให้พื้นที่เครือข่ายได้แลกเปลี่ยนกันเพื่อให้เกิดความหลากหลายนั่นเอง ผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ ความยั่งยืนด้านอาหาร พื้นที่เครือข่ายโรงเรียนชาวนาที่เราทำงานด้วยอย่างจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดอุบลราชธานี ก็จะมีการแบ่งปันพันธุ์ข้าวมาให้กัน อย่างคนที่อบรมกับเครือข่ายโรงเรียนชาวนาที่อยู่จังหวัดกำแพงเพชรก็ปันเมล็ดข้าวมาให้ ถึงแม้มันไม่มากมายแต่ก็ถือว่าเบาแรงกับต้นทุนที่ต้องลงทุนใหม่ ตอนนี้ชาวบ้านต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวที่อายุสั้น เพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว เพราะว่าไม่ได้ทำนามารอบหนึ่งแล้ว แล้วข้าวที่ทางเรามีอยู่ก็เป็นข้าวปี ซึ่งต้องใช้เวลานาน ข้าวอายุสั้นจึงเป็นที่ต้องการของชาวบ้าน เพราะถ้าดูแล้วในฤดูกาลหน้า น้ำก็จะมาอีกแล้ว พฤษภาคม น้ำก็จะมีอีกแล้ว ถึงแม้ทาง.ธ.ก.ส.ที่ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ช่วยเกษตรกร โดยการนำพันธุ์ข้าว ซีพี 111 มาขายให้ชาวบ้านในราคาถูก แต่ก็ต้องพ่วงปุ๋ย พ่วงยาของเขาไปด้วยพร้อมๆ กัน เรื่องผักที่เรารวบรวมก็เป็นพวกเครื่องเทศต่างๆ เพราะมันตายหมดเลยนะ ทั้งพริก ขิง ข่า ตะไคร้ กระเพรา คือเหมือนห้องครัวของบ้านหายไปเลย เราก็รวบรวมให้ได้เยอะที่สุดแล้วนำไปให้กับชาวบ้าน รวมกันเป็นผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ 12 – 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็ได้นำไปมอบเป็นผ้าป่าให้กับชาวนครสวรรค์ ซึ่งรวบรวมจากเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ยกตัวอย่างจังหวัดฉะเซิงเทรา จะทำพวกผักพื้นบ้านเยอะ ก็จะรวมมาให้เยอะ ตอนนี้ก็จะมีพันธุ์พริก มะเขือ ถั่วพู เราจะไม่เพาะเป็นกล้านะ เพราะจะยากตอนขนย้าย ให้เป็นเมล็ดพันธุ์ไปเลยจะสะดวกกว่า สวนผักคนเมืองที่นครปฐม คลองโยงก็ได้รับผลกระทบนะ ทางเครือข่ายเชียงใหม่ที่จับเรื่องที่ดินก็จะระดมเมล็ดพันธุ์ไปช่วย ชาวบ้านที่ปลูกผักออร์แกนิคที่ลาดหลุมแก้ว ก็ได้รับผลกระทบเยอะก็คิดไว้ว่าน่าจะมีผ้าป่าเมล็ดพันธุ์เพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ถูกน้ำท่วมด้วย ภาพการเคลื่อนไหวในหลายๆ ส่วนที่เราระดมช่วยเหลือกันเรื่องเมล็ดพันธุ์ ซึ่งน่าจะได้มาพูดกันในเรื่องวิกฤติของอาหาร ทั้งเรื่องภัยพิบัติ ทั้งเรื่องการจะถูกคุกคามจากบรรษัทด้วย เพื่อหาทางออกร่วมกัน พยายามสต๊อกอาหารไว้เพื่อจะผ่านน้ำท่วมไป แต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องผัก ไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตคนเราต้องกินผักเหมือนกันนะ กินอาหารกระป๋องเยอะมันก็เบื่อ ขาดคุณค่าโภชนาการด้วยนะ แล้วทำไมไม่ตุนผักไว้บ้างละ อย่างฟักทอง ฟักเขียว นี่ก็เก็บไว้ได้นาน จินตนาการเกี่ยวกับอาหารของคนมันหายไปไหนหมด  การพึ่งตัวเองในภาวะวิกฤต ถ้าหากภาวะวิกฤตแบบนี้เกิดขึ้นอีก คุณจะเตรียมตัวรับมืออย่างไรบ้าง หลายคนอาจเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะตุนอะไรไว้บ้าง ทั้งอาหาร น้ำ แต่สำหรับแก้วตาเธอมีแผนไว้แล้วว่า จะอยู่กับน้ำยังไง “น้ำมาอีก ก็ปลูกผักลอยน้ำเลย หลายคนอาจเตรียมมาม่า ปลากระป๋อง มีน้องคนหนึ่งบ้านอยู่แถวนนทบุรี บอกว่าซื้อไข่เก็บไว้เป็นแข่งเลย ครอบครัวก็พยายามสต๊อกอาหารไว้เพื่อจะผ่านน้ำท่วมไป แต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องผัก ไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตคนเราต้องกินผักเหมือนกันนะ กินอาหารกระป๋องเยอะมันก็เบื่อ ขาดคุณค่าโภชนาการด้วยนะ แล้วทำไมไม่ตุนผักไว้บ้างละ อย่างฟักทอง ฟักเขียว นี่ก็เก็บไว้ได้นาน จินตนาการเกี่ยวกับอาหารของคนมันหายไปไหน ทำไมจินตนาการไม่พ้นอาหารกระป๋องใช่ไหม พวกปลาเค็ม ปลาแห้ง เก็บไว้ได้ตั้งเยอะ หน่อไม้ดอง หน่อไม้อัด แต่คนเราจินตนาการไปไม่ได้ ก็ไปแย่งกันซื้อไข่ ซื้ออาหารกระป๋อง อยากมีผักกินสดกินใช่ไหม อ้าวก็เพาะถั่วงอกสิ คือมันต้องคิดถึงการสำรองอาหารในอีกรูปแบบ อ่ะอยากซื้อหมูใช่ไหม เราก็เก็บได้ ซื้อมา ไม่ใช่ไปเก็บในช่องฟรีซในตู้เย็นนะ พอถูกตัดไฟขึ้นมาจะทำไง คุณก็ทำแหนม ทำหมูเค็ม หมูแดดเดียว เห็นไหมทำได้ตั้งหลายอย่างง่ายๆ แต่พอถึงสถานการณ์นั้นจริงๆ คิดอะไรไม่ออกเลย ก็นะมันเป็นเรื่องที่เราต้องจินตนาการกับมันหน่อย แล้วเราจะใช้ชีวิตได้อย่างมีชีวิต” สำหรับใครที่อยากร่วมทำบุญผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ ส่งมาได้ที่ มูลนิธิชีววิถี 125/356 ม.3 หมู่บ้านนราธิป ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 หากเป็นกิ่งพันธุ์ หรือต้นกล้าจะขนมาส่งที่มูลนิธิชีววิถีก็ได้ หรือไม่สะดวกจะให้ไปช่วยขนก็สามารถแจ้งมาได้ที่ 02-9853837-8 หรือ คุณสุบิน 086-9194868,คุณนนทวรรณ 086-1828423 ทำบุญกับคนที่เขาต้องการจริงๆ ด้วยของที่ขาดแคลนจริงๆ ได้บุญเยอะนะเออ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 รถไฟไทยกับสิทธิของผู้โดยสาร

  ทุกคนมีสิทธิฉบับนี้พาคุณนั่งรถไฟไปย้อนรำลึกเหตุการณ์อุบัติเหตุ รถไฟตกราง โดยขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง – กรุงเทพ ตกรางที่สถานีเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2552 มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บ 88 ราย นับเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝัน และไม่น่าจะเกิดขึ้น   สาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สรส.ร.ฟ.ท.) ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการรถไฟไทยมากว่า 29 ปี จะช่วยไขปริศนาที่ว่า ทำไมรถไฟไทยทำไมถึงไม่พัฒนา และควรจะยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยกันอย่างไร   รถไฟไทยทำไมไม่พัฒนา ในภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยเรามีรถไฟใช้เป็นประเทศแรกและเป็นรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการด้านการโดยสารและสินค้าตามพระราชบัญญัติการรถไฟฯ พ.ศ. 2494 แต่ปัจจุบันลองไปดูประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียก็จะเห็นว่าไทยเราล้าหลังที่สุดในขบวนการพัฒนา ต่อประเด็นนี้สาวิทย์ มองว่า  ผมก็คิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ภาคส่วนต่างๆ จำเป็นต้องหันมาดู โดยเฉพาะรัฐบาล เพราะที่ผ่านมา 115 ปี รถไฟไทยนั้น ก็อย่างที่เห็นว่าสภาพรถเก่า(มาก)  ขาดการเหลียวแล ทั้งเรื่องงบประมาณและนโยบายของรัฐบาล อันนี้ก็เป็นปัญหาอุปสรรคในการพัฒนารถไฟ ทั้งที่รถไฟต้องทำหน้าที่บริการขนส่งสาธารณะที่สำคัญของประเทศ ต้องสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสารว่า จะถึงที่หมายปลายทางอย่างปลอดภัย และต้องมีหัวรถจักรที่ลากจูงขบวนรถที่มีสภาพที่สมบูรณ์ 100 % ถ้าดูจากกรณีการเกิดอุบัติเหตุที่สถานีเขาเต่า สาเหตุที่หนึ่งก็คือเรื่องบุคลากร คือคนขับรถไฟ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ  ปัจจุบันเราขาดแคลนมากๆ เพราะมีมติ ครม.ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 41 กำหนดว่าพนักงานรถไฟที่เกษียณออกไปให้รับใหม่ไม่เกิน 5 % ของผู้เกษียณอายุ ซึ่งในปีหนึ่งๆ มีคนเกษียณประมาณ 300 – 400 คน นั่นก็เท่ากับว่าปีหนึ่งเรารับคนได้แค่ 20 คนเท่านั้นเอง ทำให้บุคลากรน้อยลง แต่ความต้องการของพี่น้องประชาชนก็ยังคงมีอยู่มาก ก็เลยจำเป็นที่จะต้องทำงานในชั่วโมงที่ยาวนาน แล้วก็ไม่มีวันหยุด นั่นก็เป็นด้านหนึ่งที่ทำให้พนักงานทั้งคู่ของขบวนที่ 84 ตอนนั้น วูบหลับไป เราพบว่าใน 1 เดือน พนักงานขับรถได้พักผ่อนแค่วันเดียว  สาเหตุที่สองก็คือเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย ซึ่งถือว่าสำคัญมาก สหภาพฯ หยิบขึ้นมารณรงค์กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในห้องบังคับจะมีระบบความปลอดภัยป้องกันพนักงานหลับหรือหมดสติ เรียกว่าระบบ Vigilance   ซึ่งระบบนี้จะทำงานตลอดเวลาจะอยู่ที่เท้าของพนักงาน และต้องใช้เท้าเหยียบทุกๆ 8 วินาที ถ้าไม่เหยียบก็จะส่งเสียงสัญญาณเตือน ถ้าหากไม่มีการตอบโต้ต่อสัญญาณเตือนภายใน 120 วินาที ระบบความปลอดภัยก็จะเริ่มลดกำลังไฟลงที่เรียกว่าระบบ Deadman ระบบห้ามล้อก็จะทำงานและขบวนรถก็จะหยุดในที่สุด แต่ระบบความปลอดภัยของรถไฟขบวนที่ 84 ปี 2552 มันใช้การไม่ได้  อีกสาเหตุหนึ่งก็คือซีนยางของประตูห้องเครื่องกับห้องคนขับมันรั่ว ก็เป็นไปได้ที่ควันไอเสียเข้ามาแล้วทำให้พนักงานดมควันเข้าไปแล้วหมดสติ   ทางออกเรื่องการพัฒนาความปลอดภัยสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟ ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อการรถไฟ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต รวมทั้งปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของการรถไฟ โดยการรถไฟต้องเร่งจัดซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ บนรถจักร รถพ่วง ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ก่อนนำรถออกไปวิ่งและต้องมีระบบ Vigilance และ Deadman ที่ใช้งานได้ เพราะถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป แนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก และไม่เกิดผลดีกับใครเลยไม่ว่าจะเป็นการรถไฟที่จะต้องสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งเกิดจากภาษีอากรของพี่น้องประชาชน แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เราไม่ต้องการให้ประชาชนต้องไปสุ่มเสี่ยงกับการเดินรถที่ไม่ปลอดภัย เหมือนการเกิดอุบัติเหตุที่สถานีรถไฟเขาเต่าอีก ซึ่งถือเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงในช่วง 30 ปีของการรถไฟเลยทีเดียว อีกทางหนึ่งในการพัฒนาความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ได้แก่ ผู้โดยสารควรได้รับความคุ้มครองในการเดินทาง มีระดับมาตรฐานความปลอดภัย คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน รัฐบาลควรกำหนดนโยบายให้การรถไฟจัดตั้งสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการรถไฟขึ้นมา โดยมีบทบาทในการกำกับดูแลมาตรฐานการบริการสาธารณะ  และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการความปลอดภัยของการรถไฟด้วย   จริงๆ แล้วการขนส่งทางราง เป็นการขนส่งที่ปลอดภัยสูงสุด ถ้าหากเราสนับสนุนกันจริงจัง และส่งเสริมให้เกิดการขนส่งกันทางรางในแง่เศรษฐกิจเราจะสูญเสียน้อยที่สุด   การเยียวยา ค่าชดเชยที่ไม่ตายตัวด้วยหลักเกณฑ์การเสียชีวิตการบาดเจ็บ เราเองไม่ต้องการให้เกิดขึ้นและมองว่าการชดเชยเยียวยาเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะการชดเชยไม่ว่าจำนวนเท่าไรมันก็ไม่เพียงพอสำหรับความสูญเสียที่ต้องเสียไป เพราะว่าชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งมันชดใช้ด้วยเงินแค่ สองสามแสนบาท ไม่ได้ มันไม่สามารถที่จะไปทดแทนชีวิตคนได้หรอก เพราะว่าถ้าเขามีชีวิตอยู่ ก็มีโอกาสที่จะเอื้อชีวิตให้กับครอบครัว  ต่อชุมชนเยอะแยะมากมาย  ในแง่ของจำนวนเงินบางครั้งมันอาจจะช่วยเยียวยาช่วยเหลือได้บางส่วนก็จริง แต่การชดเชยเยียวยา ไม่ควรไปมองแค่การกำหนดตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ แต่ควรดูว่า อายุ ครอบครัว ฐานะ กับสิ่งที่เขาจะมีจะได้ถ้ามีชีวิตอยู่เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้ครอบครัวสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่มองว่าตามระเบียบ ตามเกณฑ์กำหนดไว้แค่นี้ ก็ชดเชยแค่นี้ ผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่ถูกต้อง บ้านเราเรื่องความปลอดภัยเหมือนเป็นเรื่องที่ห่างไกลและเบาบางมาก ในขณะที่บ้านเราทุ่มงบประมาณเรื่องความปลอดภัยจำนวนมาก อย่างการให้สวมหมวกนิรภัย มีการรณรงค์ “คมนาคมปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข” มันก็ถือเป็นการดีนะที่มีการรณรงค์และให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรเทศกาลทีไรก็มีคนตาย คนบาดเจ็บไม่ต่ำกว่าพันราย ซึ่งนั่นเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาช่วยกันในการกำหนดมาตรการ โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งทางราง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการขนส่งที่ปลอดภัยสูงสุด ถ้าหากเราสนับสนุนกันจริงจัง และส่งเสริมให้เกิดการขนส่งกันทางรางในแง่เศรษฐกิจเราจะสูญเสียน้อยที่สุด  การขนส่งบ้านเราถือว่าน่ากลัวนะ อย่างการใช้รถตู้ขนส่งผู้โดยสารระหว่างจังหวัดจะมีคนขับรถเพียงแค่คนเดียวอย่างกรุงเทพฯ -หัวหิน หรือ กรุงเทพฯ  – นครสวรรค์ แล้ววิ่งทำรอบกัน แล้วรถตู้เหล่านั้นก็ออกแบบใช่ว่าจะแน่นหนา พอเกิดอุบัติเหตุทีไรก็เกิดความสูญเสียที่ไม่คาดฝัน แทนที่จะนำเงินจำนวนนั้นมาพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่   องค์การอิสระผู้บริโภคจะมีประโยชน์ไหมต่อการพัฒนารถไฟไทยองค์การอิสระฯ ปัจจุบันมีหลายองค์กรนะ ผมคิดว่าต้องทำให้เกิดได้จริง ในแง่ของความเป็นอิสระ และเห็นด้วยในเชิงหลักการ แต่ก็ยังเป็นกังวลว่า ทำอย่างไรจะไม่ถูกครอบงำ จะไม่ถูกแทรกแซง แล้วประชาชนจะมีอิสระในการบริหารจัดการได้อย่างไร  และองค์การอิสระฯ นี้จะมีอำนาจได้อย่างไร  อย่างเช่น อุบัติเหตุที่เขาเต่า เราจะมีอำนาจบังคับการรถไฟได้อย่างไรว่า รถที่ไม่มีความปลอดภัยไม่ให้นำมาวิ่งรับส่งประชาชน ซึ่งอำนาจตรงนี้เรา(องค์การอิสระฯ)ต้องสามารถกำหนดได้ เมื่อตอนที่ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายและขอให้ศาลออกคำสั่งไม่ให้การรถไฟนำรถไม่ปลอดภัยออกมาวิ่งให้บริการกับผู้โดยสาร ศาลท่านบอกว่าในชั้นศาลแพ่งศาลไม่มีอำนาจในการบังคับได้  เพราะฉะนั้นองค์การอิสระฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องมีอำนาจในการสั่งการด้วยเพราะเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น  ไม่งั้นก็จะเหมือนองค์การอิสระอื่นๆ ที่ให้ความเห็น แต่ไม่มีอำนาจในการบังคับและสั่งการ  อีกอย่างคือ ต้องมีอำนาจในการบริหารจัดการโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน และไม่มีอำนาจอะไรมาแทรกแซง ที่สำคัญคือต้องวางโครงสร้างดีๆ และต้องสร้างกระบวนการรับรู้ให้กับประชาชนด้วยจะได้เคลื่อนไปพร้อมๆ กัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 เสียหายจากการรักษา ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการฟ้องเสมอไป

  “การรักษาดวงตานั้นมีความเสี่ยงสูง  โรงพยาบาลไม่ควรจะให้นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ฝึกหัดมาทำการรักษา เพราะอาจเกิดความผิดพลาดกับผู้ป่วยได้เพราะยังไม่มีความชำนาญในการรักษา...” คุณปภาวี รอดแก้ว วัย 49 ปี เป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก เธอมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา จึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แต่ผลการรักษาทำให้ตาบอด ต่อมาภายหลังโรงพยาบาลฯ ได้ยินดีจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับเธอจำนวนหนึ่ง   ดวงตาที่เริ่มมองไม่เห็นคุณปภาวี มีอาการเจ็บป่วยทางสายตาทั้งสองข้าง จึงได้เข้ารับการรักษาผ่าตัดรักษาจอประสาทตา ซึ่งกำหนดไว้ว่าต้องทำทั้งหมด 4 ครั้ง  โดยทำการผ่าตัดจอประสาทตาขวาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 1 ครั้ง เมื่อ 6 สิงหาคม 2552 ส่วนอีก 3 ครั้ง จำเป็นต้องย้ายไปทำการผ่าตัดจอประสาทตาซ้ายโดยแพทย์ของโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคู่กรณี โดยเข้ารับการผ่าตัดในวันที่ 4 มีนาคม, 4 เมษายน และ 28 เมษายน 2553  การผ่าตัดตาทั้งสองข้างนั้นคุณปภาวีทำการรักษาโดยการยิงเลเซอร์  เพื่อผ่าตัดเปลี่ยนน้ำวุ้นในตาและอัดแก๊สไว้ นอนคว่ำนาน 1 เดือนครึ่งทุกครั้ง ซึ่งเธอบอกว่าได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เหมือนกันทุกครั้ง ผลการรักษาที่ได้รับคือ จอประสาทตาด้านขวากลับมามองเห็นได้ปกติหลังการผ่าตัด ส่วนตาข้างซ้ายหลังการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง ตากลับมืดบอดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย “ตอนเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลแรกเพื่อรักษาตาข้างขวาพี่เริ่มมองไม่เห็นแล้วนะ ส่วนตาข้างขวายังพอมองเห็นอยู่หลังผ่าตัดเช้าวันรุ่งขึ้นคุณหมอเปิดผ้าปิดตา พี่เริ่มจะเห็นแสงแล้วนะ วันต่อมาก็เริ่มเห็นหน้าหมอ หมอเองก็ยังแปลกใจเลย วันต่อมาอาการก็ดีขึ้น จนมองเห็นเป็นปกติ ซึ่งมันต่างกันมากจากการผ่าตัดตาข้างซ้ายที่โรงพยาบาลอีกแห่ง เช้าวันรุ่งขึ้นนักศึกษาแพทย์ก็มาเปิดตาพี่แล้วก็ตรวจตาก่อนอาจารย์หมอจะมาตรวจ แต่ครั้งนี้พี่มองเห็นเป็นภาพขาวดำ หลังจากนั้นก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านจังหวัดพิษณุโลก 1 เดือนให้หลังตาก็มองไม่เห็นอะไรเลย”   เลือกเพราะวางใจ คุณปภาวีบอกว่า เหตุที่มาเข้ารับการรักษาที่ ร.พ. อีกแห่ง ก็เพราะโรงพยาบาลแรกนั้น เครื่องยิงเลเซอร์เสีย แพทย์เจ้าของไข้จึงได้เขียนใบส่งตัวให้ไปรักษาต่อที่อื่น “มาที่โรงพยาบาลนี้เพราะใกล้กับโรงพยาบาลแรก และเชื่อมั่นว่าแพทย์คงจะชำนาญในการรักษาเช่นเดียวกัน แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามทั้งที่ทำการผ่าตัดรักษาเหมือนกัน แต่แพทย์ก็เข้ามาชี้แจงว่า ตำแหน่งจอตาฉีกขาดนั้นต่างกัน คือตาขวาเป็นด้านบนจะติดง่ายกว่า ส่วนตาซ้ายเป็นด้านล่าง” คุณปภาวีซึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล เธอมีข้อสังเกตหลายอย่างที่ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่า โรงพยาบาลคู่กรณีอาจมีข้อบกพร่องในขั้นตอนการรักษา เธอบอกว่า “ผ่าตัดครั้งแรกกับนายแพทย์....... ซึ่งพี่ก็ไม่ทราบว่ามีความชำนาญพร้อมเพียงพอที่จะทำการรักษาหรือไม่ เพราะได้ยินพยาบาลห้องผ่าตัดพูดกับแพทย์คนนี้ว่า ไม่เป็นไรหรอกหมอ..... อีกเดือนเดียวก็จะจบแล้ว เราฟังแล้วก็เอ๊ะทำไมพูดแบบนี้ แล้วการผ่าตัด(ตาข้างซ้าย)ครั้งแรก ใช้เวลานานมากคือ 3 ชั่วโมงกว่า (ขณะที่ร.พ.แรกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง) มันปวดมากจนต้องขอฉีดยาชาเพิ่มเพราะมันหมดฤทธิ์ยาชา  เราไม่ได้สลบนะ ก็จะได้ยินทุกอย่างที่ทั้งหมอและพยาบาลคุยกันในห้องผ่าตัด เราก็จะรู้” เธอย้อนบอกเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งวัดดวงกับการผ่าตัดครั้งนั้น หลังรู้ผลการผ่าตัดตาข้างซ้ายของตนว่า “ตาบอด” ปภาวี จึงได้ไปตรวจที่ ร.พ.ศิริราช จักษุแพทย์ได้บอกกับเธอว่า ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะจอประสาทตาเป็นแผลเป็น ลักษณะก้อนแข็งกลม ถ้าหากว่าแผ่เป็นแผ่นบางๆ ก็อาจจะช่วยรักษาได้บ้าง ที่เป็นอย่างนั้นแพทย์บอกว่ามันเป็นภาวะแทรกซ้อนซึ่งเกิดขึ้นได้   ร้องเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ“เราก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเรา ก็เลยทำบันทึกข้อความร้องเรียนไว้ที่สำนักผู้อำนวยการโรงพยาบาล ต่อมาผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้ ก็เรียกเข้าไปคุยบอกว่า “โรงพยาบาลไม่มีนโยบายจะจ่ายเงินชดเชย เพราะท่านเองไม่มีอำนาจ ได้แต่บอกว่า จะช่วยผ่าตัดตาขวาซึ่งมีต้อกระจกให้ เรารีบปฏิเสธเลย ผ่ามา 3 ครั้งยังไม่ดีขึ้นเลย  แล้วการที่เราตาบอดมันส่งกระทบกับเรามากทั้งครอบครัว ทั้งการงานของเราด้วยเนื่องจากจะไม่ได้รับเงินเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษในอาชีพของตนเองจากที่เคยได้ รับเดือนละ 2,000 บาท ตาที่มองไม่ชัดทำให้ทำคลอดไม่ได้ เย็บแผลไม่ได้ ทำหัตถการต่างๆ ไม่ได้เลย ตอนนี้ก็ช่วยสรุปเขียนแฟ้มประวัติผู้ป่วยกลับบ้าน ส่งแฟ้มคืนห้องบัตร ทำเรื่องเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ มากกว่า คืนมันเปลี่ยนไปหมดเลย” เธอจึงร้องเรียนมาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หลังศูนย์ฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และทำจดหมายขอเข้าพบเพื่อรับทราบคำชี้แจงเกี่ยวกับมาตรฐานการรักษาพยาบาลกับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 และในวันที่ 1 มีนาคม 2554 ผู้บริหารของโรงพยาบาลจึงได้นัดเจรจากับคุณปภาวีพร้อมครอบครัว โรงพยาบาลยินดีจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้เสียหาย เป็นเงินทั้งสิ้น 278,500 บาท ประกอบด้วยค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าสูญเสียรายได้  ตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือเมื่อวันที่ 29  มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา “การเยียวยาของโรงพยาบาลก็ถือเป็นการดี แต่เป็นการเยียวยาในระยะสั้น อยากให้ทางโรงพยาบาลได้เฝ้าระวัง การรักษาดวงตานั้นมีความเสี่ยงสูง  โรงพยาบาลไม่ควรจะให้นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ฝึกหัดมาทำการรักษา เพราะอาจเกิดความผิดพลาดกับผู้ป่วยได้เพราะยังไม่มีความชำนาญในการรักษา และอยากจะให้เรื่องของดิฉันเป็นตัวอย่างหรืออุทาหรณ์เตือนใจทั้งแพทย์และการแสดงความรับผิดชอบของโรงพยาบาลว่าไม่ควรจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก  อยากจะฝากบอกถึงผู้บริโภคท่านอื่นๆ ด้วยว่า เมื่อได้รับความเสียหายก็ต้องลุกขึ้นมาใช้สิทธิอย่าเงียบเฉยๆ หรือจะร้องเรียนที่โรงพยาบาลก็ได้เพราะในแต่ละโรงพยาบาลก็มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนแล้ว” คุณปภาวีกล่าว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 115 ขอนแก่นโมเดล

“เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นทางการรักษา เราก็ต้องขอโทษและแสดงความรับผิดชอบ เยียวยาและชดเชยความเสียหายในสิ่งที่เขาควรจะได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้นหรอกครับ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องกล้าที่จะยอมรับและขอโทษ” นายแพทย์วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2552 โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นตกเป็นข่าวครึกโครม เมื่อคนไข้ที่ผ่าตัดต้อกระจกจากโรงพยาบาลฯ ติดเชื้อจากการรักษาถึง 10 ราย ตาบอดถาวร 7 ราย มองเห็นเลือนลาง 3 ราย แต่ที่นี่ไม่มีคนไข้รายใดฟ้องร้องคุณหมอหรือโรงพยาบาล นับเป็นกรณีตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ที่น่าสนใจ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ยังลูกผีลูกคนรอเข้าสภาอยู่ และมีแพทย์บางกลุ่มออกมาคัดค้านเสียงดังว่า หากกฎหมายตัวนี้มีการบังคับใช้ คุณหมอและโรงพยาบาลจะถูกฟ้องมากขึ้น ความกังวลของกลุ่มแพทย์ที่คาดเดาไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับอนาคตที่อาจต้องตกเป็นจำเลยเพราะถูกฟ้องร้องวุ่นวายจากคนไข้ ฉลาดซื้อฉบับนี้เราจะพาคุณผู้อ่านไปคุยกับ น.พ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้ซึ่งผ่านอนาคตอันน่าเป็นห่วงของหมอบางกลุ่มมาแล้ว "ขอนแก่นโมเดล" ห้องทดลองภาคปฏิบัติของพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ถ้ามี พ.ร.บ.ตัวนี้ออกมาตอนนั้นผมคิดว่าจะช่วยคนไข้กับโรงพยาบาลของผมได้เยอะนะในตอนที่เกิดเหตุขึ้น เพราะคนไข้ที่ตาบอด 10 รายเป็นคนไข้บัตรทอง 6 ราย และอีก 4 รายใช้สิทธิข้าราชการ พอเกิดเหตุขึ้นก็กลายเป็นว่าคนไข้บัตรทองได้สิทธิที่ดีกว่า เพราะได้รับสิทธิการชดเชยตามมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งจะไม่ครอบคลุมถึงสิทธิของข้าราชการ เชื้อแบคทีเรียที่คนไข้ติดเชื้อชื่อว่า ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม ในตัวคนก็มี ทางเราก็รักษาความสะอาดอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เมื่อเกิดติดเชื้อก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัย พอเรารู้ว่ามีการติดเชื้อเราก็เรียกคนไข้ที่ผ่าตัดในช่วง 1 – 3 วัน กลับมาทั้งหมด คนที่ติดเชื้อเราก็รับตัวเข้ารักษา จะมีบางรายที่เขาไม่มั่นใจก็ขอย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น ทางเราก็ทำเรื่องให้ บางรายต้องการไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคตาเราก็ส่งตัวให้ไปรักษา การเยียวยาดำเนินการอย่างไร และทำอย่างไรให้คนไข้หรือญาติเข้าใจ คนไข้บางรายที่เกิดการติดเชื้อเร็วก็จะมาหาเราก่อนเพราะเขาปวดและบวม ญาติเขาก็เกิดความสับสนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางคนก็โวยวาย บางคนก็เริ่มกังวลว่าตาจะบอดไหม จะรักษาได้ไหม จะต้องทำอย่างไร ตอนนั้นคำถามก็พรั่งพรูมาเต็มไปหมด ญาติคนไข้ก็เครียดหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์ก็ร้อน ทำไมตรวจช้ารักษาช้า คล้ายๆ ว่า “เขาไม่ได้คำตอบจากเรา” ทีมหมอและพยาบาลก็เครียด การเกิดเหตุแบบนี้นานๆ จะเกิดสักที ผ่าตัดไปหนึ่งหมื่นก็จะเกิดขึ้นสักรายหรือสองราย เราก็ตั้งใจรักษาพยาบาล ดูแลพวกเขาเต็มที่ สักพักทั้งคนไข้และญาติก็เริ่มสงบลง เราก็ถามญาติว่าต้องการรักษาที่ไหนที่ไม่ใช่โรงพยาบาลของเราบ้าง เราก็ทำเรื่องส่งไป ขณะเดียวกันเราก็จะทำทีมขึ้นมาเพื่อดูแลผู้ป่วย จะมีทีมสอบสวนโรค ทีมรักษาโรค คนที่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลขอนแก่นเราก็ไปดูแลทุกวัน ตามไปดู ไปคุยกับหมอที่นั่นเพื่อร่วมกันรักษา และเฝ้าติดตามอาการของพวกเขา ใครที่ดีขึ้นแล้วและอยากกลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเราก็ไปรับกลับมา ส่วนค่าใช้จ่ายที่ไปรักษาต่างโรงพยาบาลเราก็รับผิดชอบ พออาการอักเสบทุเลาลงเราก็จะเริ่มรู้แล้วว่า บางรายต้องควักลูกตาออก บางรายต้องขูดเนื้อเยื่อออก บางรายรู้แบบนี้ก็ร้อนขึ้นมาอีก เราต้องคุยกับคนไข้และญาติตลอด จะมีหมอและพยาบาลเป็นทีมไกล่เกลี่ย ทำความเข้าใจ แต่หลักๆ เราจะสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน ไม่ทอดทิ้งเขา อยู่เป็นเพื่อนเขาให้เขารู้สึกว่า “เขายังพึ่งเราได้” จากนั้นเราก็เริ่มการเยียวยาและชดเชยด้านสิทธิการรักษา ใครมีสิทธิตามมาตรา 41 เราก็ทำเรื่องให้ ไปแจ้งกรรมการกองทุนชดเชยและเยียวยา และคุยกับกรรมการว่าให้เร่งพิจารณาให้หน่อย ส่วนนี้ก็ได้รับการเยียวยาเต็มที่ซึ่งตามสิทธิของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ว่าถ้าพิการต้องชดเชย 120,000 บาท ส่วนกลุ่มข้าราชการก็ใช้หลักการเดียวกัน แต่ใช้เงินจากโรงพยาบาลเยียวยาให้ บางรายก็พอใจ แต่บางรายไม่พอใจ เราก็เจรจากันใหม่ ก็จ่ายไปเท่าๆ กัน ซึ่งตามหลักการแล้วผมคิดว่ากฎหมายใหม่น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะครอบคุลมไปถึงสิทธิการรักษาอื่นๆ ด้วย เพราะมาตรา 41 จะมีข้อจำกัดการรักษาแค่สิทธิผู้ถือบัตรทอง ระหว่างการรักษาเยียวยามีการเรียกร้อง(ฟ้องร้อง)ค่าชดเชยจากคนไข้ไหม คนไข้เขาก็ดีนะ เขาไม่ได้เรียกร้องโดยตรง เขาจะถามว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป แต่เราต้องเร็วและต้องรู้ว่าสัญญาณแบบนี้คือสัญญาณบอกเหตุ อย่างการพาทนายมาด้วย มาดูว่านอกจากการรับรักษาต่อแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไปไหม อย่างผู้ป่วยบางรายพอเข้ารักษาตัว เขาก็ไม่ได้ทำงาน ไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน ตรงนี้เราก็ต้องดูแล บางรายลูกหรือสามีต้องมาเฝ้าแล้วไม่ได้ไปทำงาน ไม่มีรายได้ เราก็ต้องเข้าถึงผู้ป่วยนะ แรกๆ เขาก็ไม่บอกเราหรอกว่าเขามีปัญหา เราก็ถามไป พอเขาบอกเราก็รู้แล้วว่าเขาเดือดร้อน แล้วก็ช่วยเหลือเบื้องต้นไปก่อน ชาวบ้านที่มารักษายากจน หาเช้ากินค่ำ คนที่มีฐานะดีเขาก็อยากรู้ว่าเราจะช่วยเหลืออะไรเขาบ้าง เขาไม่ได้ถามนะว่าเราจะให้เท่าไร แต่เราต้องรู้ เราต้องเปิดเวทีเจรจาพูดคุยกัน เราก็ตั้งโต๊ะกลมเจรจาขึ้น มีหมอ พยาบาล นักจิตวิทยา ฟังคนไข้กับญาติระบายความกังวล ความคับข้องใจ และต่อว่าต่อขานเรา เราก็ต้องรับฟังและต้องขอโทษตลอด ต้องแสดงความรับผิดชอบ และต้องไม่ทอดทิ้ง เราต้องเป็นที่พึ่งเขาได้ เบื้องต้นเราเยียวยาให้ก่อน 3,000 บาท เพราะครอบครัวเขาเดือดร้อน แล้วก็เพิ่มเป็น 50,000 บาท แล้วสุดท้ายเราเยียวยาให้เขารายละ 300,000 บาท แต่เราจะให้เขาเท่าไรมันก็ไม่สมกับที่เขาต้องสูญเสียดวงตาของเขาหรอกนะ พอเราทำดีกับเขาเขาก็เห็นความจริงใจของเรา และเห็นใจเรา เพราะว่าเราเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เรื่องแบบนี้เกิด เขาก็เห็นใจหมอ เห็นใจพยาบาล ก็ให้กำลังใจ และนี่คือสัญญาณที่ดีแล้ว เพราะคนไข้ให้กำลังใจ บางรายยกมือท่วมหัวขอให้คุณพระ คุณเจ้าคุ้มครอง อวยพรให้เราด้วยทั้งที่เขาตาบอด นอกจากเราจะเยียวยาผู้ป่วยแล้ว ทีมหมอที่รักษาเราก็ต้องดูแลพวกเขาด้วยเหมือนกันเพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แรกๆ ที่เกิดเหตุก็จะมีการถามถึงคุณหมอว่าหมอคนไหนรักษา เราก็ต้องดูแลหมอด้วยเหมือนกัน คุณหมอมีความเห็นอย่างไร ต่อท่าทีของหมอหลายคนที่กังวลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ว่า หากมีกฎหมายขึ้นมาจะทำให้หมอถูกฟ้องมากขึ้น บางคนกังวลว่าจะมีการฟ้องร้องมากขึ้น ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนมากขึ้น หรืออาจจะมีคนมาหากินกับกองทุนนี้หรือเปล่า แล้วทำให้หมอไม่กล้ารักษาผู้ป่วยหนักเพราะกลัวจะผิดพลาด นั่นก็เป็นธรรมดามันเป็นเรื่องความกังวล เพราะหมอเขารักษาผู้ป่วยทุกวัน ก็อาจจะมีสักวันที่เกิดพลาดขึ้นมา ผมคิดว่าก็น่าจะมีการศึกษาให้เข้าใจมากขึ้น แล้วก็ต้องมองโลกในแง่ดีว่าถ้าเกิดความผิดพลาดเกิดขึ้น คนที่เขาจะฟ้องอย่างไรก็ต้องฟ้อง แต่จากประสบการณ์ตรง คนที่ฟ้องน่ะไม่เยอะ แต่คนที่ร้องเรียนมีเยอะ อย่างพูดไม่เพราะ หรือผ่าตัดไม่ดี หรือว่ารักษาไม่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่ก็จะคลี่คลายได้ด้วยการเจรจาต่อรองและช่วยเหลือให้เขาพอใจ มีน้อยรายที่จะฟ้อง เพราะถ้าฟ้องปุ๊บก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วก็จะเรียกร้องค่าเสียหายเยอะ คุยกันจะดีกว่าเพราะว่าคนไข้ก็ไม่ตั้งใจจะฟ้องหรอกถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ หมอเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะรักษาให้ผิดพลาดแต่เพราะมันสุดวิสัยจริงๆ ถ้าหากว่ามีกองทุนตาม พ.ร.บ.นี้มาก็น่าจะทำให้บรรยากาศไม่ร้อนแรง เพราะจะมีการเยียวยาก่อนโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด ให้บรรเทาความเดือดร้อนไปก่อน ตามธรรมชาติของคนไข้ถ้าเขาไม่มีที่พึ่ง เขาก็จะหันไปหาทนาย หันไปหาสื่อหรือว่าไปแจ้งตำรวจ พอได้รับการเยียวยาเบื้องต้นไปแล้วความร้อนแรงก็จะลดลง และก็จะเป็นเวทีในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ และเป็นการพัฒนามาตรฐานการให้บริการด้วย แต่ความกังวลต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้หากยังขาดความเข้าใจ ผมว่าถ้าเลือกที่จะมาเป็นหมอแล้ว ก็จะไม่บ่ายเบี่ยงที่จะไม่รักษาคนไข้หรอก ขอเพียงหมอมีความรู้ความเข้าใจ และมีความสามารถที่เพียงพอ หรือถ้าไม่พร้อมก็จะมองหาลู่ทางส่งต่อการรักษาแล้วว่าจะส่งไปที่ไหน ผมว่ากระบวนการเหล่านี้ก็จะได้รับการพัฒนาไปด้วยเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 เขาหาว่าผมเป็นเจ้าบ่าวพิการ

“ดูสิเจ้าบ่าวพิการด้วย” “ไม่มีปัญญาหาละมั้งเลยไปคว้าคนพิการมาแต่งงานด้วย” แขกที่มางานแต่งงานหลายคนแอบวิจารณ์ คู่บ่าว – สาว เพราะแทนที่คู่บ่าว – สาวจะทำอะไรพร้อมๆ กัน และนั่งอยู่เคียงกันระหว่างงานพิธี แต่ที่เห็นกลับเป็นภาพของเจ้าบ่าวต้องนั่งไหว้พระอยู่ในรถเข็นพิษณุ สันป่าแก้ว ชายหนุ่มจากจังหวัดแพร่ อาชีพวิศวกรไฟฟ้า คือเจ้าบ่าวของงานมงคลสมรสในวันนั้น ส่วนเจ้าสาวคือพันตำรวจตรีหญิงอุไรวรรณ แห้วนคร พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ หลังดูใจกันมากว่า 6 ปีทั้งคู่จึงตกลงใจว่าจะแต่งงานกัน งานวิวาห์ที่ทั้งสองเฝ้าเพียรเตรียมงานมาตั้งแต่ต้นปีดูจะไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไร เมื่อเจ้าบ่าวต้องมานั่งอยู่ในรถเข็นและในงานเลี้ยงก็มีเจ้าสาวเพียงคนเดียวที่เดินรับแขกตามโต๊ะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ่าว และเกี่ยวข้องกับสิทธิผู้บริโภคอย่างไร เชิญติดตาม ความปกติที่ไม่ปกติ“ปกติผมจะกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ทุกปี แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยคือผมไปแจกการ์ดแต่งงานด้วย (งานแต่งกำหนดไว้วันที่ 3 พ.ค.2552) ขณะผมเดินทางจากบ้านที่จังหวัดแพร่ เพื่อที่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ บริษัทรถโดยสารที่ผมใช้บริการประจำเต็มก็เลยต้องไปใช้ของอีกบริษัทหนึ่งคือวิริยะแพร่ทัวร์” พิษณุได้ตั๋วกลับกรุงเทพในวันที่ 17 เมษายน กับบริษัทวิระยะแพร่ทัวร์ จำกัด เป็นรถปรับอากาศ ม.1(ข) 34 ที่นั่ง หมายทะเบียน 13-9029 กรุงเทพ นั่งติดหน้าต่างแถวที่ 2 ฝั่งคนขับ พิษณุมารอขึ้นรถที่สถานีขนส่งจังหวัดแพร่ ตั้งแต่สองทุ่มครึ่งตามกำหนดเวลาออก แต่กว่ารถจะออกจากสถานีได้ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม พิษณุนั่งดูคนขับ ขับรถมาเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าขับเร็วมากและแซงตลอด แม้ในช่วงขึ้นเขาก็ยังแซง หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่ามาถึงเส้นทางช่วงระหว่างพิจิตรมาพิษณุโลก ก็นอนใจว่าคงไม่มีอะไรแล้วจึงงีบหลับไป ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีแต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงร้องเอะอะเกิดขึ้น รถทั้งคันมืดสนิทราวทุกอย่างหยุดนิ่ง มีแต่เสียงโวยวายของผู้คนเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า “รถชนเข้าแล้ว” รถโดยสารที่เขานั่งไปชนท้ายรถบรรทุก 18 ล้อ บรรทุกปูนซีเมนต์ ผู้โดยสารเต็มคันรถอลม่านกันอยู่ในความมืด และหนึ่งในห้าของผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือพิษณุ นั่นเอง “มันมืดแล้วก็ร้อนมาก เครื่องรถดับ ผมรู้แล้วว่ารถต้องชนแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าชนอะไรผมพยายามขยับตัว แต่ก็ลำบากเพราะว่าเก้าอี้มาทับผม ขยับขาไม่ได้ จนคนในรถเขาออกกันไปหมดเหลือผมอยู่คนเดียว…ผมต้องตะโกนและเคาะกระจกให้รู้ว่ายังมีผมติดอยู่ข้างในอีกคน” ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยออกมาจากรถ พิษณุยอมรับว่า ‘กลัวมาก’ เพราะระหว่างนั้นได้กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปทั่ว “กลัวไฟจะไหม้รถ มืดก็มืดแล้วก็ร้อน ผมใช้น้ำที่เขาให้ตอนขึ้นรถ ทั้งกินและทั้งรดตัวเอง ตอนนั้นผมเริ่มเจ็บขามากขึ้นๆ และพอจะรู้ว่าขาหักเพราะลองขยับแล้วมันไม่มีแรง กลัวรถระเบิดก็กลัว ถ้ามันระเบิดผมจะเป็นอย่างไร” พิษณุพาตัวเองกลับไปอยู่ในรถคันนั้นอีกครั้ง เพื่อที่จะถ่ายทอดบรรยากาศ ณ เวลานั้นออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด รอยยิ้มที่ผุดพรายระหว่างย้อนเล่าเรื่อง ราวกับจะบ่งบอกว่า“ผมดีขึ้นจากวันนั้น” เพราะในวันที่เกิดเหตุเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยิ้มให้ตัวเองเลยสักนิดในคืนนั้น พิษณุถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ได้รับการล้างแผล ฉีดยาป้องกันบาดทะยัก ก่อนพยาบาลจะช่วยเก็บข้าวของที่ติดตัวมาส่งให้พิษณุที่ยังมีสติอยู่พร้อมย้ำว่า “ให้เก็บตั๋วรถไว้ให้ดี” และส่งตัวต่อมายังโรงพยาบาลพุทธชินราช โรงพยาบาลประจำจังหวัดพิษณุโลกเพื่อที่จะทำการผ่าตัดขาซ้ายท่อนบนช่วงสะโพกที่หัก อีกทั้งเสียเลือดมากจากบาดแผลลึกที่หน้าแข้งซ้าย หลังจากย้ายมาที่โรงพยาบาลพุทธชินราชเขาก็ยังไม่ได้รับการผ่าตัด แต่โรงพยาบาลได้ทำการเอกซเรย์และดามขาเขาไว้ ก่อนจะให้พักที่โรงพยาบาลนี้หนึ่งคืน โดยที่ยังไม่ได้เย็บแผลให้ จนเช้าวันใหม่มาถึง “ผมนอนที่นั่นหนึ่งคืน จนเช้าทางโรงพยาบาลก็ฉีดยาแก้ปวดให้ผม ผมถามว่าเมื่อไรจะผ่าตัดให้ผมเขาบอกแต่ว่าให้รอก่อนเพราะมีเคสที่หนักกว่าผมอีกสองคน ผมเลยโทรหาแฟนบอกว่าไปรักษากรุงเทพฯ ดีกว่า เพราะผมปวดจะให้รอถึงเมื่อไรอีกคือมันรอไม่ได้แล้ว เลยให้แฟนติดต่อหารถพร้อมพยาบาล เพื่อจะมารับไปที่โรงพยาบาลตำรวจ” ในบ่ายวันที่ 18 เมษายน 2552 พิษณุจึงได้ย้ายมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่คนรักเป็นพยาบาลอยู่ โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่ารถพยาบาลและค่าพยาบาลสองคนที่มากับรถเป็นเงิน 6,000 บาท “ถึงโรงยาบาลตำรวจประมาณทุ่มกว่าๆ แล้วทางพยาบาลก็เปิดแผลออก พบว่าแผลที่หน้าแข้งยังไม่ได้เย็บ จึงล้างแผลใหม่และขูดแผลเพื่อให้เป็นแผลสด แล้วถึงจะเย็บแผลเพราะเขากลัวว่าเนื้อมันจะไม่ติด คือ...ตอนนั้นยังไงก็ได้ ก็ต้องทนล่ะ” พิษณุยังจำความเจ็บปวดคราวนั้นได้ดี จากสีหน้าเหยเก และยิ้มแห้งๆ ของเขา เจ้าบ่าวอย่างผมพิษณุพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2552 ก่อนจะออกมาเข้าพิธีแต่งงานในวันที่ 3 พฤษภาคม 2552 ช่วงที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พิษณุรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ที่ต้องให้แม่มาดูแลกลายเป็นภาระของแม่และคนรักไป ราวกับว่าเขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว พิษณุเดินทางมาเข้าพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าสาวที่จังหวัดบุรีรัมย์ทั้งๆ ที่ เขายังต้องนั่งรถเข็น และต้องใช้ไม้ค้ำยันในบางขณะที่ต้องเดินไปรับแขก วูบแรกที่เกิดอุบัติเหตุเขาคิดว่าอย่างไรเสียงานแต่งที่เตรียมงานมากว่าห้าเดือนต้องเลื่อนออกไปแน่ๆ แต่หญิงสาวคนรักก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่า อย่างไรก็จะไม่เลื่อนงานแต่ง ถึงแม้จะไม่ได้ยืนเคียงกันก็ขอให้ได้นั่งรถเข็นแต่งงานก็ได้ “มันก็ต้องแต่ง แต่งทั้งๆ ที่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยันอยู่นี่ล่ะ ดีกว่าจะเลื่อนงานออกไปเพราะเราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ยกเว้นผมคนเดียวที่ยังต้องนั่งรถเข็น ปวดแผลก็ปวดแต่ก็กินยาแก้ปวดไว้ ภาพถ่ายที่ออกมาจึงไม่เหมือนกับงานคู่อื่นๆ เขา อย่างตามโต๊ะรับแขกก็จะมีเพียงเจ้าสาวของผมเท่านั้น ผมได้แต่มอง มันรู้สึกไม่ดีมากๆ งานแต่งของผมทั้งที กลับต้องมีคนมาคอยดูแล แต่งตัวเองก็ไม่ได้ต้องรอให้เขามาช่วย...มันรู้สึกแย่ ต้องนั่งรถเข็น แล้วเวลาจะถ่ายรูปกับแขกแฟนผมก็เดินไปคนเดียวผมไปด้วยไม่ได้” ยิ่งกว่านั้นมีชาวบ้าน ที่ไม่รู้ว่าพิษณุประสบอุบัติต่างพูดคุยนินทากันทั่วงาน “เขาว่าผมเป็นคนพิการทั้งที่เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผม เขาไม่น่าจะพูดอย่างนั้น” พิษณุแค่นหัวเราะให้กับโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายกับเขา งานแต่งผ่านพ้นไปแล้ว แต่ละครชีวิตของพิษณุไม่ได้จบบริบูรณ์เหมือนละครทีวี ทั่วไปที่เรื่องมักจบลงอย่างมีความสุขหลังการแต่งงาน หลังงานแต่ง พิษณุกลับมาพักรักษาตัวต่อที่คอนโดย่านรามคำแหง โดยบริษัทที่เขาทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าอยู่ให้หยุดพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 เดือน ชีวิตประจำวันของพิษณุต้องเปลี่ยนไปเขาต้องพักฟื้นอยู่ในห้องพักชั้นเจ็ดที่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นเจ็ด เพราะเขาต้องจำใจ ขังเดี่ยวตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีครีม ที่ด้านข้างมีหน้าต่างเล็กๆ พอให้สูดอากาศภายนอกได้เท่านั้น ส่วนอาหารที่ตอนร่างกายปกตินึกอยากจะกินอะไรก็ได้ ก็ต้องกลายมาเป็นข้าวกล่อง ที่คนรักซื้อเตรียมไว้ให้ก่อนจะไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลตำรวจ ถึงเวลาอาหารพิษณุจะนำข้าวกล่องเข้าเตาไมโครเวฟ นั่งกินข้าวในห้องพักโดยลำพัง ไม่มีโอกาสได้ไปกินข้าวกับเพื่อนฝูง หรือวันหยุดแทนที่จะได้ออกไปเดินเล่น ไปเรียนภาษา ก็ต้องใช้ทีวีเป็นช่องทางในการออกสู่โลกภายนอกแทนขาทั้งสองข้าง ซ้ำในเวลาเดินก็ต้องมีขาที่สามและสี่งอกออกมาจากรักแร้ทั้งสองข้าง นอกจากที่จะต้องพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บหลังการผ่าตัดขาซ้ายแล้ว พิษณุยังต้องไปหาแพทย์เพื่อตรวจสภาพเข่าทั้งสองข้าง ซึ่งหลังการสแกนพบว่าเอ็นและข้อเข่ามีปัญหาแต่ไม่ถึงกับต้องผ่าตัด แพทย์สั่งให้กินยารักษาข้อเสื่อมอีกสามเดือน สิทธิต่างๆ ตอนเป็นผู้โดยสารผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าบริษัทต้องจ่ายเท่าไรจนบริษัทประกันมาบอกผมนี่ละ ว่าอ้อมีสิทธิรักษาเท่านี้นะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่รู้ว่ารถโดยสารมีประกันอะไร เพราะในตั๋วก็ไม่ได้เขียนไว้ว่ามีประกันอะไรบ้าง เรามีสิทธิเรียกร้องอย่างไรเรารู้แค่ว่าเราซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถได้ ผมว่าไม่มีใครจะไปคิดหรอกนะว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่พอมันเกิดแล้วนี่สิ เราถึงจะมาอ่าน มาหาความรู้ว่าสิทธิเราคืออะไร มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครบอก  ถามหาผู้รับผิดชอบ สำหรับค่ารักษาพยาบาลถ้าหากนับตั้งแต่โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ที่ต้องจ้างรถพยาบาลให้มาส่งที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเงิน 6,000 บาท ซึ่งเขาต้องจ่ายไปก่อนแล้วมาเบิกกับบริษัทประกันภายหลัง ค่ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันที่บริษัทวิริยะแพร่ทัวร์ทำไว้ที่จะต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่เขาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเช่นกัน “ทางบริษัทประกัน จ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมดตอนที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ 48,025 บาท แต่มันก็มีส่วนเกินที่ผมต้องออกไปก่อนประมาณสองหมื่น ตอนนี้ยังไม่ได้คืนจากบริษัทประกัน แล้วล่าสุดที่ผมเพิ่งไปสแกนเข่ามานี่ก็ 16,000 บาท ซึ่งทางบริษัทประกันได้เข้าแจ้งกับผมตอนที่อยู่โรงพยาบาลที่พิษณุโลกว่า ไปรักษาที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ในงบค่ารักษาไม่เกิน 5 แสนบาท เพราะบริษัทรถได้ทำประกันชั้น 1 ไว้กับ บริษัทสินมั่นคงประกันภัยจำกัด (มหาชน) ตอนนี้ก็รอให้ทางบริษัทจ่ายส่วนที่ผมจ่ายไปคืนมา” ตั้งแต่เกิดเหตุมาบริษัทรถและบริษัทประกันได้ไปเยี่ยมพิษณุที่โรงพยาบาลที่พิษณุโลก แล้วก็ไม่ได้ติดต่อมาหาพิษณุอีกเลย กลับเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาไปตามเรื่องเอง ตอนแรกโทรไปตามเรื่องที่บริษัทรถก็ทำอะไรไม่ได้ ถูกโยนให้ติดต่อไปที่บริษัทประกันแทน “คือก็เกินไปนะตั้งแต่ผมขาหักมาเนี่ยไม่เคยติดต่อมาหาผมเลย ทำเหมือนผมไปขอเขาขึ้นรถงั้นแหละทั้งๆ ที่ผมก็จ่ายเงินให้เขา ไม่อยากขึ้นรถบริษัทนี้อีกแล้วอยากเห็นหน้าเจ้าของบริษัทจริงๆ ” พิษณุเน้นย้ำว่าต้องการเห็นหน้าเจ้าของรถ แบบที่พูดจริงๆ นอกจากนั้นพิษณุยังต้องโทรศัพท์ไปติดต่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี ที่สถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้รับการติดต่ออะไรจากตำรวจเลย “มีอยู่ครั้งหนึ่งตำรวจมาสอบปากคำ ผมก็ให้การไปตอนแรกนึกว่าเขาจะยื่นฟ้องอาญากับคนขับ แต่กลายเป็นว่าจะเป็นการยื่นฟ้องแพ่งกับบริษัทรถ มีทนายให้แต่จะต้องให้ 30 เปอร์เซ็นต์กับทนาย ผมก็อ้าว..เลยยังไม่ฟ้อง ผมฟ้องเองดีกว่า เพราะผมกะว่าจะฟ้องบริษัทอยู่แล้ว เพราะไม่เคยมาติดต่อเลย กระเช้าสักกระเช้ายังไม่มี ตอนนี้จะยื่นฟ้องเองในคดีศาลผู้บริโภค” พิษณุได้ให้ทนายความอาสา ศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภครับมอบอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคต่อศาลแพ่ง (รัชดาภิเษก) โดยมี นายเจริญ ชาวส้าน พนักงานขับรถทัวร์ เป็นจำเลยที่ 1 บริษัทวิริยะแพร่ทัวร์ จำกัด เป็นจำเลยที่ 2 บริษัทขนส่ง จำกัดเป็นจำเลยที่ 3 และบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด เป็นจำเลยที่ 4 เรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 5,664,046.50 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยกับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ค่าชดเชยสินไหมสุดขอบฟ้าเมื่อถามถึงกระบวนการชดเชยค่าเสียหายต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรพิษณุ ตอบทันควันว่า “มันช้า” พร้อมเสนอทางออกว่าน่าจะมีเกณฑ์ออกมาให้มีการจ่ายค่าชดเชยทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ เคสนี้ เคสนั้นไม่ต้องรอให้เป็นคำสั่งศาลแล้วถึงจะจ่าย และน่าจะจ่ายที่เพดานสูงสุดไม่ต้องรอให้เคสสำรองเงินไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกจ่ายกันทีหลังอีก “นอกจากจะมีมาตรการชดเชยแล้วผมว่า บริษัทรถหรือคนขับก็ต้องประเมิน ต้องมีการควบคุมคนขับรถด้วยว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมไหม ไม่ขับรถเร็วเกินไป อย่างคันที่ผมนั่งมารู้จากตำรวจว่าขับมาสี่รอบแล้ว รัฐเองน่าจะเข้ามาดูตรงนี้ด้วย คืออุบัติเหตุมันไม่ได้มาจากเราน่ะ มันอยู่ตรงที่คนที่จะมาขับรถให้เราเขาอยู่ในสภาพพร้อมหรือเปล่า ต้องมีมาตรการตรวจสภาพคนขับด้วย อาจจะมีหมอมาตรวจสภาพหน่อยว่าพร้อมที่จะขับไหมเพราะมันเป็นช่วงเทศกาล ไม่ใช่กะทำรอบอย่างเดียว แล้วอีกอย่างไปดักจับคนเมาซะมากกว่า รถคันที่ผมนั่งมาคนขับน่ะไม่เมาหรอกแต่มันเหนื่อยเป่ายังไงก็ไม่เจอหรอก” พูดจบพิษณุหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวอย่างเอือมระอา “สิทธิต่างๆ ตอนเป็นผู้โดยสารผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าบริษัทต้องจ่ายเท่าไรจนบริษัทประกันมาบอกผมนี่ละ ว่าอ้อมีสิทธิรักษาเท่านี้นะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่รู้ว่ารถโดยสารมีประกันอะไร เพราะในตั๋วก็ไม่ได้เขียนไว้ว่ามีประกันอะไรบ้าง เรามีสิทธิเรียกร้องอย่างไรเรารู้แค่ว่าเราซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถได้ ผมว่าไม่มีใครจะไปคิดหรอกนะว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่พอมันเกิดแล้วนี่สิ เราถึงจะมาอ่าน มาหาความรู้ว่าสิทธิเราคืออะไร มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครบอก” ปัจจุบันอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้หายไปแล้ว และพิษณุได้ไปทำงานตามปกติแล้ว แต่ในอีกสองปีข้างหน้า เขายังต้องไปผ่าตัดเอาเหล็กที่ยึดกระดูกที่หักออก จนถึงตอนนี้ พิษณุมีคำถามที่อยากจะได้คำตอบจากใครสักคนว่า ทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทำไมเขาต้องการเป็นเจ้าบ่าวพิการ ในเมื่อเขาเองไม่ใช่คนผิด และกระบวนการชดเชยทำไมถึงได้ช้าหนักหนา ไม่มีกระบวนการเยียวยาอะไรผู้บริโภคเลยหรือไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 101 เจ้าพ่อศัลยกรรม

ทุกคนมีสิทธิ ชนิษฎา วิริยะประสาท - สัมภาษณ์สุมาลี พะสิม- เรียบเรียง / ถ่ายภาพ   เกิดปัญหาลุกขึ้นมาครับ อย่าเงียบการลุกขึ้นมาใช้สิทธิในฐานะที่เขาเป็นผู้บริโภคคนหนึ่งนั้น เขาให้ความเห็นว่าถ้าหากเกิดเรื่องแล้วเขาเงียบ ทุกอย่างคงจะจบแบบเจ็บปวด แต่การลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของเขาก็ใช่ว่าเขาเป็นคนก้าวร้าว เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนผิด เพียงแต่ว่าถ้าหากมีการพูดคุย ตกลงกันทั้ง 2 ฝ่ายได้ เรื่องก็สามารถจะจบลงด้วยดีได้ เรื่องนี้หากเกิดกับคนทั่วไปที่ไปทำศัลยกรรมแล้วโชคร้ายเกิดมีความผิดพลาดขึ้นมา อย่านิ่งเงียบควรออกมาใช้สิทธิเรียกร้องแบบเดียวกับที่วรวิทย์ทำ “คือเราก็สงสารหมอนะ ผมพูดเป็นกลางๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะหมอเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้น คงไม่มีหมอคนไหนที่อยากให้เกิดขึ้น เพราะหมอก็คงทำตามระบบที่เขาวางไว้ พอเกิดเรื่องขึ้นหมอกับคนไข้ก็ต้องคุยกัน ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร” สวย – หล่อ แบบเสี่ยงๆด้วยความที่วรวิทย์คลุกคลีในวงการ ”ศัลยกรรม” มานาน ทั้งประสบการณ์ตรง ทั้งจากการรับรู้จากเพื่อนๆ และด้วยความที่เขามีเพื่อนที่ประกอบธุรกิจเหล่านี้ด้วย เขาจึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่า การที่จะสวย หล่อ ด้วยมีดด้วยเข็มนั้น นอกจากจะแพงแล้วยังต้องยอมรับเรื่องความเสี่ยงด้วยเช่นกัน “เดี๋ยวนี้มีพวกหลอกนะ คือบอกว่าฉีดสารนี้ แต่กลับไปฉีดสารอีกอย่างหนึ่งให้คนไข้แทน แบบนี้ผมไม่ชอบมากๆ เพราะเพื่อนรุ่นน้องเคยพบมา อย่างบอกว่าจะฉีดคลอลาเจน แต่กลับไปฉีดซิลิโคนเหลวให้แทน อ้าว…คือพวกเราน่ะ คนทั่วไปน่ะ ไม่รู้หรอกว่าไอ้สารที่อยู่ในหลอดตอนฉีดคืออะไร เขาเข้าไปเตรียมเครื่องมือด้านหลังแล้วค่อยออกมาหาเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องระวังพวกหลอกให้มากๆ ” นอกจากเรื่องหลอกแล้ว เรื่อง “ยาปลอม” ก็มีเยอะโดยเขายกตัวอย่างโบท็อกซ์ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่ามีการนำเข้ามาจากหลายประเทศทั้งจากเวียดนาม จากจีน ซึ่งวรวิทย์บอกว่า “ปลอมทั้งนั้น แล้วยังแพงอีก” “การฉีดโบท็อกซ์ต่ำสุดก็หลักหมื่นขึ้น ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไปตามเกรดของผลิตภัณฑ์ คือก็ต้องเสี่ยงเอาอีกนั่นแหละ ที่ถามว่าควรจะมีหน่วยงานหรือมาตรการอะไรที่จะออกมาควบคุมให้ผู้บริโภคปลอดภัย ตามความเห็นผมนะ ผมว่ายาก อย่างกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลอยู่ ผมว่ามันหละหลวม คลินิกเถื่อนเพียบ บางแห่งเปิดในคอนโดก็มี แล้วคนฉีดก็ไม่ได้เป็นหมอ แค่เป็นพยาบาลก็ฉีดได้แล้วเพียงแค่รู้ตัวยาแค่นั้นก็ฉีดได้แล้ว ผมว่าทางที่ดีที่สุดก็อยู่ที่ตัวของคนทำเองหรือผู้บริโภคนั่นแหละ ที่จะต้องหาความรู้ก่อนที่จะทำศัลยกรรมเพราะว่าถึงแม้จะเจอหมอดีก็ตามนะครับ แต่ว่าการทำศัลยกรรมมีความเสี่ยง 50 : 50 ครับ ต้องคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำ เพราะบางทีเราก็ไปโทษหมอไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายของคนเรามันก็ต่างกัน อย่างรุ่นน้อง 2 คนไปทำจมูก อีกคนออกสวย อีกคนออกมาดูไม่ดี ผมเลยอยากบอกไว้เลยนะว่า ถ้าใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วกำลังคิดที่จะทำศัลยกรรมอยู่ ให้ทำใจไว้ได้เลยว่าคุณต้องเสี่ยง 50 : 50 ต้องเตรียมใจพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าดีก็ดีใจ ถ้ามันออกมาไม่ดีก็ต้องทำใจ” ควรทำบุญก่อนทำศัลยกรรมวรวิทย์จะพูดติดตลกเสมอ เวลามีคนโทรมาหาเขาว่าควรจะทำอย่างไรบ้างก่อนจะทำศัลยกรรมอะไรสักอย่าง ซึ่งคนทั่วไปก็จะแนะนำว่าให้เลือกคลินิกที่ไว้ใจได้ หมอที่มีชื่อเสียง แต่สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ได้แนะนำอะไรมากนักก็แค่ “ทำบุญไว้เยอะๆ” “อาจจะไปนั่งวิปัสสนาสัก 10 วันแล้วค่อยกลับมาทำก็ได้ คือมันขึ้นอยู่กับดวงจริงๆ คือมีดอยู่ในมือหมอ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะวาดหน้าคุณเป็นรูปอะไร การทำศัลยกรรมในความหมายของผมก็คือการที่หมอใช้มีดในมือวาดหน้าเราขึ้นมาใหม่น่ะ ไม่ต้องไปทำหรอกศัลยกรรมเกาหลีอะไรนั่นน่ะ จริงๆ คนไทยหน้าตาธรรมชาติสวยมากกว่าไม่สวย ส่วนคนเกาหลี 10 คน ทำศัลยกรรมกันหมดเพราะมันสวยไม่พอในความคิดของพวกเขา แต่ช่วงเด็กวัยรุ่นพ่อแม่เขายังไม่ให้ทำนะ ส่วนเรียนจบแล้วเป็นอีกเรื่องว่าจะทำหรือเปล่า ให้คิดเองแล้วกัน ซึ่งถ้าวัยรุ่นบ้านเราอยากจะทำก็อาจจะใช้แนวคิดข้อนี้ก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกต้องทำใจยอมรับสิ่งที่ตามมาให้ได้และฝากถึงคนที่ทำตา ทำมาแล้วห้ามแก้เลยนะ ถ้าไปแก้แล้วจะพัง และบางคนธรรมชาติก็ดูดีอยู่แล้วอย่าไปหาเรื่องเลย” ประสบการณ์ขาวสั่งได้นอกจากเรื่องศัลยกรรม เรื่องผิวขาวสั่งได้ก็เป็นอีกประสบการณ์ของ วรวิทย์ เพราะเขาเองก็เคยฉีดสารกลูตาไธโอนเช่นกัน “คือต้องทำความเข้าใจก่อนนะ ที่ผมรู้มาก็คือว่า กลูตาไธโอน เขาจะฉีดให้คนที่เป็นมะเร็งตับ คือสารตัวนี้มันจะไปดีท็อกซ์ตับ ขับสารพิษออกมาแล้วทำให้ตับเราทำงานได้ดีขึ้นแล้วพอตับทำงานดีขึ้น ร่างกายของเราก็ดีขึ้นแล้วผลที่ส่งออกมาก็คือทำให้ผิวดูผ่องขึ้นเพราะสุขภาพดีขึ้น แต่อย่าไปฉีดเยอะมันจะให้เป็นมะเร็งผิวหนัง แล้วถ้าฉีดมากเกินไปอีกก็จะส่งผลต่อตาทำให้ตาเราสู้แสงไม่ได้ และมันก็ขาวไม่นานครับ ต้องฉีดซ้ำ ผมว่าอย่าไปทำเลยครับ “อันตราย” ฝากถึงคนที่ต้องการทำศัลยกรรมในฐานะ เจ้าพ่อศัลยกรรม วรวิทย์ฝากถึงคนที่ต้องการทำศัลยกรรมว่า “ความคิดของผมนะ คนที่อยากทำศัลยกรรม ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ คิดให้ดี ให้ตกว่า เป็นสิ่งที่เราต้องการทำจริงๆ จำเป็นจริงๆ ไม่ใช่ตามกระแส และต้องทำใจล่วงหน้าด้วยนะ ว่ามันมีความเสี่ยงอย่างที่บอกไปคือ ห้าสิบ ห้าสิบ อีกอย่างมันก็เป็นบริการที่แพง ถ้าคิดรอบคอบแล้วว่าอยากทำ ยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ ก็อย่าไปเห็นกับของถูก ของถูกส่วนมากจะเถื่อน บริการแบบที่ดีๆ มีราคาค่าใช้จ่ายสูงครับ หากไม่มีเงินก็ค่อยๆ เก็บเงิน และถ้าจะทำจริงๆ ล่ะก็ทำที่โรงพยาบาลจะดีกว่ามันแพงก็จริง แต่ถ้าเสียหายขึ้นมาทีมหมอพยาบาลอะไรก็พร้อมกว่า แล้วในการเจรจาเราก็น่าจะได้รับการชดเชยเยียวยามากกว่าคลินิก”   ฉลาดซื้อฉบับนี้มีโอกาสไปจับเข่าคุยกับ คุณวรวิทย์ แก้วเพ็ชร์ หรือใครหลายๆ คนรู้จักเขาในนาม “นายลอย” จากละครดัง “แรมพิศวาส” ซึ่งปรากฏเป็นข่าวดังขึ้นมา เมื่อเขาประสบปัญหาจากการเข้ารับบริการทางการแพทย์ในคลินิกที่เกี่ยวกับความงามแห่งหนึ่ง วันนี้คดีจบลงแล้ว แต่ที่เราอยากนำเสนอคือ มุมมองของการทำศัลยกรรมจากคนในวงการบันเทิงว่า สำหรับพวกเขาแล้วมันมีจำเป็นแค่ไหน และอะไรคือ ความเสี่ยง ที่เขาได้เผชิญมา ลองสัมผัสมุมมองของเขาในฐานะคนในวงการบันเทิงด้วยกันนะคะ เจ้าพ่อศัลยกรรม“ตั้งแต่เกิดเรื่องมา เวลาใครจะไปทำอะไรก็มักจะโทรมาปรึกษาผมก่อน เลยกลายเป็น ‘เจ้าพ่อศัลยกรรม’ ไปเลย ความจริงผมเคยฉีด (โบท็อกซ์) มาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เพิ่งมาฉีด แต่พอย้ายสถานที่ปุ๊บก็….นะ” วรวิทย์กลายเป็นเจ้าพ่อศัลยกรรมโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเขาเองก็ได้ให้คำปรึกษาเพื่อนๆ อย่างดีนั่นเพราะเขาเองก็สนใจในเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว ว่างก็หาหนังสือมาอ่าน ที่สำคัญเขาเองก็เป็นคนรักสุขภาพและผ่านการทำศัลยกรรมมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 183 หมอลืมของไว้ในแก้มฉัน

การศัลยกรรมให้ใบหน้าสวยเข้ารูปด้วยการตัดกราม เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สาวๆ หลายคนยอมเจ็บตัว ซึ่งผลลัพธ์ของมันจะคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป เมื่อการศัลยกรรมดังกล่าวออกมาสวยดั่งใจและปลอดภัย แต่หากเราพบว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพื่อรักษาตัวจากการมีสิ่งแปลกปลอมอย่าง ผ้าก๊อซปิดแผล ที่ถูกลืมไว้ในแก้ม เราควรจะทำอย่างไรดีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นคุณพัชราภา ที่เข้ารับการผ่าตัดกรามจากคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยสาเหตุที่เธอเลือกใช้บริการคลินิกแห่งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียง ได้รับการรีวิวจากผู้ใช้ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินจากประเทศเยอรมันกลับบ้านเกิด เพื่อมาทำศัลยกรรมดังกล่าว ซึ่งตกลงกันอยู่ที่ 60,000 บาทอย่างไรก็ตามหลังผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย และมาพักฟื้นที่กรุงเทพฯ เธอก็พบว่าแผลที่ผ่าตัดเป็นหนองอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แม้จะมีอาการดีขึ้น แต่เธอยังปวดแผล และพบว่ามีหนองไหลออกมาจากแผลตลอดเวลา เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เธอจึงกลับไปที่คลินิกเดิม เพื่อให้แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้ตรวจรักษาแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้เมื่อเธอเดินทางกลับประเทศเยอรมันก็พบว่าอาการรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เธอจึงไปพบแพทย์และได้รับข้อมูลที่น่าตกใจหลังการเอ็กซ์เรย์ว่า มีเศษกระดูกชิ้นเล็กติดค้างอยู่ตรงบริเวณที่แผลอักเสบ และเมื่อแพทย์ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวออก ก็ยังพบผ้าก๊อซถูกทิ้งไว้ที่บริเวณแผลผ่าตัดอีกด้วย! แนวทางการแก้ไขปัญหาภายหลังได้รับเรื่องร้องเรียน ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ได้ทำหนังสือเชิญให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาเจรจาหาข้อยุติ ซึ่งทางด้านผู้ร้องได้ชี้แจงว่า ยังคงมีอาการที่ไม่ดีขึ้น โดยหากต้องพูดนานๆ เธอจะมีอาการชาที่บริเวณคางและริมฝีปากล่าง ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ จึงเสนอให้ทางคลินิกดังกล่าวรับผิดชอบเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นจำนวนเงินกว่า 3 ล้านบาทด้านบริษัทฯ ก็รับว่าจะนำข้อเสนอของผู้ร้องกลับไปพิจารณา แต่ยังไม่ตอบตกลง ซึ่งภายหลังก็เสนอกลับว่า ยินยอมที่จะเยียวยาค่ารักษาส่วนหนึ่งเป็นจำนวนเงินประมาณ 3 แสนบาท แต่ให้สิทธิ์ผู้ร้องสามารถรักษาฟรีที่คลินิกของของตนเอง หรือให้พาเพื่อนมาทำศัลยกรรมได้ฟรีอีก 1 คน อย่างไรก็ตามผู้ร้องได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เพราะเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรม และดำเนินการใช้สิทธิ์ทางศาล ฟ้องคดีเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 ถังแก๊สเป็นสนิมทำไงดี

แก๊สหุงต้มเป็นเรื่องใกล้ตัวและจำเป็นต้องใช้กันอยู่ทุกครัวเรือน นอกจากราคาที่แพงเอาๆ แล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอื่น แต่ก็มีจนได้ครับ มันคือเรื่องของถังแก๊สเป็นสนิมเช้าวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 8.00 น.สมชายได้สั่งซื้อแก๊สยี่ห้อ ปตท.น้ำหนัก 15 กิโลกรัม จากร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่แถวถนนสรรพวุธ บางนา  เป็นร้านที่สมชายสั่งซื้ออยู่เป็นประจำ เมื่อแก๊สหมดถัง ก็โทรไปสั่งตามปกติแต่วันนี้เป็นผู้ชายรับสายแทนที่จะเป็นผู้หญิงเหมือนแต่ก่อนสมชายสั่งไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กส่งแก๊สก็นำแก๊สมาส่งถึงที่บ้าน ขณะที่แกะสายรัดและเอาถังแก๊สลงมาข้างล่าง สมชายมองเห็นสภาพถังเห็นเป็นถังเก่ามาก  เป็นสนิม ตัวหนังสือแทบจะไม่มี ผิดกับถังของตนซึ่งอยู่ในสภาพที่ใหม่จึงถามเด็กส่งแก๊สว่า “ทำไมถังถึงเก่าอย่างนี้ ช่วยเปลี่ยนใบใหม่ให้ได้ไหม กลัวใช้แล้วอาจเกิดอันตรายได้” เด็กส่งแก๊สตอบว่า “ถังมีแต่แบบนี้คราวนี้ใช้ไปก่อนคราวหน้าค่อยเปลี่ยนถังใบใหม่ให้” สมชายก็บอกว่า “ช่วยเปลี่ยนให้หน่อยเถอะเพราะที่บ้านใช้แก๊สนานหลายเดือนกว่าจะหมดและประการสำคัญถ้าเกิดเป็นอันตรายใครจะรับผิดชอบ”“ถ้าไม่เอาก็ต้องคิดค่าแบกขึ้นอีก 25 บาท” นี่คือคำสุดท้ายจากเด็กส่งแก๊สสมชายขอบิลดูก็พบว่าราคาแก๊สแตกต่างไปจากครั้งก่อน ซื้อกับผู้หญิงจะเป็นราคา 295 บาทบวกค่ายกอีก 25 บาท รวมเป็น 320 บาท แต่นี่คิดราคา 310 บาทถ้ารวมกับค่ายกก็เป็น 310+25 รวมเป็น 335 บาทสมชายจึงตกลงใจที่จะไม่ซื้อแก๊สถังดังกล่าวไว้ เนื่องจาก ข้อแรก ถังอยู่ในสภาพเก่า เกรงว่าเมื่อใช้จะเกิดอันตรายขึ้นได้ ข้อสอง ราคาแตกต่างกับที่เคยซื้อครั้งก่อน(ซึ่งสมชายใช้สิทธิตามโครงการรัฐสำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยอยู่) เรื่องเป็นมาแบบนี้สมชายจึงขอปรึกษาว่าถ้าไม่ต้องการซื้อร้านนี้อีกต่อไป โดยต้องการเปลี่ยนร้านใหม่จะสามารถทำได้หรือไม่และสิทธิยังใช้ได้เหมือนเดิมหรือไม่ แนวทางแก้ไขปัญหาปกติถังแก๊สทั่วไปจะหมดสภาพการใช้งานประมาณ 5 ปี แต่ถ้าเกิดถังเก่าก่อนกำหนดหรือใช้แล้วเป็นสนิม หน้าที่ในการซ่อมหรือเปลี่ยนถังแก๊ส เป็นของบริษัทแก๊ส เช่นแก๊สของ ปตท.หากถังแก๊สของ ปตท. มีการขึ้นสนิมหรือทรุดโทรมอย่างไร ผู้ใช้ก็สามารถคืนหรือเปลี่ยนถังแก๊สเป็นถังใหม่จากร้านค้าแก๊สนั้นได้ ซึ่งหลังจากนั้นทางร้านก็จะส่งคืนให้ทาง ปตท. ทางปตท.ก็จะเป็นผู้บำรุงรักษาถังนั้นเองด้วยค่าใช้จ่ายของ ปตท.เองในส่วนของการร้องเรียนของแก๊ส ปตท. นั้นผู้ร้องสามารถร้องเรียนได้ที่ เบอร์ 02 5372000 ต่อ แผนกร้องเรียน ซึ่งขั้นแรกอาจจะทำการตักเตือนกับทางร้านค้าก่อน ถ้ายังทำอีกก็อาจจะมีการเพิกถอนใบอนุญาตต่อไปส่วนในกรณีที่ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้า สามารถร้องเรียนได้ที่ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนราคาสินค้า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์  โทรสายด่วน 1569 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือจะทำเป็นจดหมายแบบไปรษณีย์ตอบรับก็ได้สำเนาถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อจะได้ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงอีกกรณีที่ผู้ร้องได้ลงทะเบียนเพื่อยืนยันสิทธิแล้วจะเปลี่ยนร้านจำหน่ายซื้อก๊าซหุงต้มนั้น สามารถเปลี่ยนได้ โดยครัวเรือนที่มีรายได้น้อย สามารถกดลงทะเบียนใหม่ได้ด้วยตนเอง ตามขั้นตอนของการลงทะเบียนเพื่อยืนยันสิทธิ แต่มีเงื่อนไขว่า ร้านจำหน่ายใหม่ที่จะซื้อก๊าซจะต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกันกับที่อยู่ของผู้ร้องถ้าผู้ร้องร้องเรียนแล้วยังไม่มีการดำเนินการแก้ไข ผู้ร้องสามารถส่งเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ เพื่อจะได้มีการตรวจสอบให้กับผู้ร้องอีกครั้งหนึ่ง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 รัฐบาลโหมโฆษณากล่อมชาวบ้าน เมษานี้ขึ้นแน่...แก๊สหุงต้ม 100 บาท/ถังใน 1 ปี

 มีผู้บริโภคหลายรายถามมาว่า แก๊สหุงต้มจะขึ้นจริงหรือเปล่า เห็นบอกว่าจะขึ้นช่วงปีใหม่ แต่ผ่านมาแล้วยังไม่เห็นขึ้นซะที แล้วถ้าขึ้นจริงราคาจะขึ้นเป็นเท่าไรแน่“เสียงจากผู้บริโภค” ในฉลาดซื้อ ฉบับรับปีใหม่ ได้นำเสนอข่าวที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน จัดชงแนวทางการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) เสนอต่อนายพงษ์ศักดิ์  รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน โดยอาศัยการคาดการณ์ราคา LPG ในตลาดโลกปี 2556-2557 เฉลี่ยอยู่ที่ 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ทำให้ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 27.76 บาท/กก. และราคาขายปลีก 36.35 บาท/กก.)มาใช้อ้างอิง แต่พอมีเสียงทัดทานจากผู้บริโภคออกไป รมต.พลังงานคงเห็นว่าขึ้นราคาแบบนี้คงไม่เนียน ใส่เกียร์เจ้าตูบถอยหลังปรับทัพสักหน่อย สั่งเลื่อนเวลาปรับขึ้นราคาไปอีก 2 เดือน และให้ สนพ. ไปจ้างสวนดุสิตทำการศึกษาหามาตรการบรรเทาช่วยเหลือกับผู้มีรายได้น้อยและร้านค้าหาบเร่เพื่อลดแรงต้านรมว.พลังงานส่งสัญญาณมาแบบนี้ ก็กระจ่างชัดเจนแล้วว่า แก๊สหุงต้มปรับขึ้นราคาแน่...พี่น้อง มาตรการปรับราคาแก๊สหุงต้มของรัฐบาลก่อนการปรับขึ้นราคา LPG กระทรวงพลังงานได้จัดพิมพ์แผ่นพับ “ความจริงวันนี้ของ LPG” จำนวน 2 ล้านชุด เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนยอมรับ LPG ราคาใหม่ด้วยความสงบสาระสำคัญคือ จะมีการปรับราคา LPG กับภาคครัวเรือนและรถยนต์เริ่มเดือนเมษายน 2556 นี้เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งดังนี้1.ภาคครัวเรือนจะทยอยปรับขึ้นราคาจาก 18.13 บาท/กก. ขึ้นเป็น 24.82 บาท/กก. หรือเพิ่ม 100 บาท/ถัง(15 กก.) ภายในสิ้นปี 25562.ภาครถยนต์ จะปรับขึ้นราคาจาก 21.38 บาท/กก. เป็น 24.82 บาท/กก. เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ก๊าซ LPG สำหรับรถยนต์จากปัจจุบันอยู่ที่ 11.56 บ./ลิตร (LPG 1 กก. = 1.85 ลิตร) จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 13.42 บาท/ลิตร ภายในปี 2556(เอกสารไม่แจ้งว่าจะใช้วิธีทยอยปรับขึ้นราคาหรือไม่)3.กระทรวงพลังงานจะลดแรงต้านทานจากประชาชนด้วยการให้ผู้มีรายได้น้อยประมาณ 9 ล้านครัวเรือน และร้านหาบเร่แผงลอยประมาณ 500,000 ร้าน ได้ใช้ LPG ในราคาเดิมคือ 18.13 บาท/กก. (คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันที่เก็บจากประชาชนเข้าไปจ่ายชดเชยให้) ใครได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคา LPG บันไดปรับราคาก๊าซ LPG (แก๊สหุงต้ม) ขั้นที่ ราคา ต้นทุนที่โรงแยกได้ ราคาขายปลีก เหรียญสหรัฐ/ตัน บาท/กก. บาท/กก. 1 ราคาปัจจุบัน 333 10.26 18.13 2 ราคาโรงแยก 550 16.96 24.82 3 ราคาตลาดโลก 900 27.76 36.35   LPG ราคาที่ 24.82 บาท/กก. ซึ่งกระทรวงพลังงานส่งสัญญาณจะปรับขึ้นราคาในไตรมาสที่ 2/2556 หรือเมษายนนี้ เป็นการปรับราคาตามแผนขั้นที่ 2 โดยตัวเลขที่ 24.82 บาท/กก. นี้เป็นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่รวมภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล เงินจ่ายเข้ากองทุนน้ำมัน และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เมื่อแยกออกมาให้เหลือเฉพาะที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติของ บมจ.ปตท ได้รับจะอยู่ที่ 16.96 บาท/กก. (550 เหรียญสหรัฐ/ตัน)ปตท.อ้างว่า ตัวเลข 16.96 บาท/กก.นี้เป็นราคาต้นทุนของโรงแยกก๊าซธรรมชาติของตน (ปัจจุบันยังไม่เคยมีหน่วยงานวิชาการที่เป็นกลางตรวจสอบว่าเป็นต้นทุนที่แท้จริงหรือไม่) แต่จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพบว่า โรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ซื้อและใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยมาผลิตก๊าซ LPG ในราคาเฉลี่ย 8.42 บาท/กก. (เป็นราคาที่ต่ำกว่าที่ประชาชนซื้อก๊าซธรรมชาติผ่านราคาค่าไฟฟ้า) ดังนั้น การที่รัฐบาลกำหนดราคา LPG จากโรงแยกก๊าซไว้ที่ 10.26 บาท/กก. (333 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามบันไดขั้นที่ 1)ก็ถือว่าเป็นราคาที่โรงแยกก๊าซได้กำไรพอสมควรอยู่แล้ว (มีส่วนต่าง 1.84 บาท/กก.)แต่เมื่อรัฐยอมให้โรงแยกก๊าซขยับราคาต้นทุนขึ้นมาที่ 16.96 บาท/กก.ตามบันไดขั้นที่ 2 จะทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาขายก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบมากถึง 8.54 บาท/กก.หรือสูงราว 1 เท่าตัวของราคาวัตถุดิบ ถ้าเป็นธุรกิจทั่วไปอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับธุรกิจผูกขาดอย่างกิจการก๊าซธรรมชาติ ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ขณะที่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้รายงานปริมาณการใช้ LPG ของประเทศในปี 2555 ว่า ภาคครัวเรือนใช้ LPG ประมาณ 3 ล้านตัน ส่วนรถยนต์ใช้ประมาณ 1 ล้านตัน ดังนั้น ผลของการปรับราคาก๊าซ LPG จะทำให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติของ บมจ.ป ตท มีรายได้เป็นเงินสดๆจากการจำหน่าย LPG ให้ภาคครัวเรือนและรถยนต์เพิ่มขึ้นราว 23,540 ล้านบาทภายใน 1 ปี (ไม่ต้องเสียเวลารอเบิกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) และนั่นยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะกระทรวงพลังงานยังคงมีแผนบันไดขั้นที่ 3 ปรับราคา LPG ให้ขึ้นตามราคาตลาดโลก ไว้รอประชาชนอยู่เห็นแผนการทยอยปรับขึ้นราคาแบบนี้ ทำให้นึกถึงการทดลองวิทยาศาสตร์สมัยเรียนหนังสือ การทดสอบเรื่องปฏิกิริยาของกบในหม้อน้ำร้อน คือถ้าเราโยนกบลงไปในหม้อที่ต้มน้ำร้อนเดือดอยู่แล้ว กบจะรู้สึกร้อนและกระโดดหนีทันที แต่ถ้าปล่อยให้กบอยู่ในหม้อน้ำอย่างสบายใจไปก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิความร้อนของน้ำทีละนิดๆ กบจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรและนั่งอยู่ในหม้อต่อไป จนเมื่อน้ำร้อนจนถึงขั้นเดือดปุดๆ กว่ากบจะรู้ตัว น้ำร้อนก็ลวกกบตายเสียแล้ว ขอไว้อาลัยกับกบไทยทุกตัว ตารางแสดงรายได้ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับขึ้นราคา LPG ในภาคครัวเรือน รายได้จาก LPG ภาคครัวเรือน ราคาปัจจุบัน ราคาใหม่ โรงแยกมีรายได้เพิ่มขึ้น ราคาขายปลีก 18.13 บาท/กก. 24.82 บาท/กก.   ราคาที่โรงแยกได้ 10.26 บาท/กก. 16.96 บาท/กก. 6.70 บาท/กก. ครัวเรือนใช้ 3,000 ล้านกิโลกรัมต่อปี โรงแยกจะมีรายได้ 30,780 ล้านบาท 50,880 ล้านบาท 20,100 ล้านบาท   ตารางแสดงรายได้ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับขึ้นราคา LPG ในภาคครัวเรือน รายได้จาก LPG ภาครถยนต์ ราคาปัจจุบัน ราคาใหม่ โรงแยกมีรายได้เพิ่มขึ้น ราคาขายปลีก 21.38 บาท/กก. 24.82 บาท/กก.   ราคาที่โรงแยกได้ 14.34 บาท/กก. 17.78 บาท/กก. 3.44 บาท/กก. รถยนต์ใช้ 1,000 ล้านกิโลกรัมต่อปี โรงแยกจะมีรายได้ 14,340 ล้านบาท 17,780 ล้านบาท 3,440 ล้านบาท หมายเหตุ : ราคาขายปลีก และราคาที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติได้ รวบรวมจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ก.พลังงาน   จริงหรือไม่ แหล่งปิโตรเลียมของไทยเป็นแหล่งเล็ก ขุดหายาก ต้นทุนสูงช่วงนี้มีคำถามเรื่องพลังงานของประเทศไทยเข้ามาเยอะ คงเพราะประเด็นเรื่องพลังงานกำลังเป็นเรื่องร้อนและสร้างผลกระทบกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องราคาเชื้อเพลิงมีข้อสงสัยเรื่องพลังงานมาอีกหนึ่งเรื่อง ถามมาว่า เห็นกระทรวงพลังงานทำเอกสารประชาสัมพันธ์ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ บอกว่า แหล่งปิโตรเลียมของไทยมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นกระเปาะเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป ยากที่จะทำการค้นหา ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการสำรวจและมีความเสี่ยงสูง การคิดผลตอบแทนให้กับรัฐ จึงต้องกำหนดให้เหมาะสม มิเช่นนั้นจะไม่จูงใจให้เกิดการลงทุน จริงหรือไม่ ตอบข้อสงสัยจากเอกสารเผยแพร่ที่ชื่อว่า ย้อนรอยปิโตรเลียมไทย ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ใน http://www.chevronthailand.com/knowledge/history.asp ได้กล่าวถึงเทคนิคการขุดเจาะแบบหลุมแคบ หรือ Slim hole drilling ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย ขอคัดมาให้อ่านกันชัดๆ เพื่อคลายข้อสงสัยที่ถูกปกปิดกันมานานในการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีความลึกแต่ละหลุมประมาณ 9,000 – 9,500 ฟุต (2,700 – 2,900 เมตร) จากระดับความลึกของผิวน้ำทะเล การขุดเจาะหลุมแคบ หรือ Slim hole เป็นวิธีการขุดเจาะหลุมที่มีขนาดหลุมเล็กกว่าการเจาะแบบปกติ ที่ต้องขุดเจาะหลุมขนาดใหญ่ 26-30 นิ้ว และ 17 ½ นิ้ว ก่อนที่จะลดลงมาเหลือ 12 ¼  นิ้ว แล้วจึงทำการขุดเจาะหลุมเล็กขนาด 8 ½ นิ้ว และใส่ท่อผลิตขนาด 7 นิ้ว แต่ในการขุดเจาะแบบหลุมแคบ หรือ Slim hole นี้ จะแบ่งเป็นสามชั้น ขนาด 12 ¼ นิ้ว และ 8 ½ นิ้ว ขนาดหลุมผลิตที่ต้องขุดเจาะเล็กลงเหลือ 6 ½ นิ้ว  และใส่ท่อขนาด 2 ¾ นิ้วหรือ 3 ½  นิ้ว เท่านั้นจากประสบการณ์ในการพัฒนาแหล่งเอราวัณในอ่าวไทยของกลุ่มบริษัทเชฟรอนฯ พบว่า ทั้งแหล่งก๊าซหรือแหล่งน้ำมันที่มีกาขุดเจาะด้วยวิธีดังกล่าว จะมีขนาดเล็กกว่าแหล่งปิโตรเลียมอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับแหล่งปิโตรเลียมในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ โดยส่วนใหญ่ปิโตรเลียมมักถูกพบอยู่รวมกันเป็นกระเปาะเล็กๆ ตามแนวแตกของหิน ดังนั้น การจะพัฒนาแหล่งผลิตเพื่อนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด จึงจำเป็นต้องขุดเจาะหลุมจำนวนมาก และแต่ละหลุมควรต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ซึ่งขาดขุดเจาะด้วยวิธีนี้นั้นทำได้อย่างรวดเร็ว มีความปลอดภัยสูง และสามารถออกแบบแท่นผลิตให้เล็กลงจากปกติได้ ส่งผลให้มีต้นทุนการเจาะหลุมที่ต่ำกว่าการเจาะหลุมแบบปกติ หรือ Conventional hole drilling (เป็นแท่นเจาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อุปกรณ์และส่วนประกอบมีขนาดใหญ่ และสามารถเจาะได้ลึกมาก อาจถึง 35,000 ฟุต หรือ 10-11 กิโลเมตร ในขณะที่แหล่งปิโตรเลียมของไทยอยู่ลึกเพียง 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น) ด้วยเหตุนี้ การนำเทคนิคการเจาะหลุมแบบแคบมาใช้จึงเป็นคำตอบสำหรับแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่บริษัท เชฟรอนฯ นำมาใช้พัฒนาแหล่งปิโตรเลียมทั้งหมดที่มีอยู่นับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา เนื่องจากสามารถเจาะหลุมสำรวจและผลิตได้จำนวนมาก และสอดคล้องกับโครงสร้างทางธรณีวิทยาใต้ดินในอ่าวไทย แหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย เจาะง่ายและไวที่สุดในโลก ลึก 3 กิโลเมตรใช้เวลาแค่ 46 ชั่วโมงในด้านความเร็วของการขุดเจาะ สถิติที่น่าจดจำที่ถูกบันทึกไว้สำหรับในการนำเทคนิคการขุดเจาะหลุมแคบ (Slim hole) มาใช้คือ การเจาะหลุมฟูนาน เจ-13 ในอ่าวไทยเมื่อปี 2542 ของทางเชฟรอน (หรือยูโนแคลไทยแลนด์ในช่วงนั้น) โดยอาจเรียกได้ว่า เป็นการเจาะหลุมที่เร็วที่สุดในโลก โดยสามารถเจาะได้ด้วยอัตราความเร็ว  5,145 ฟุตต่อวัน( 1,568 เมตรหรือ 1.5 กม.ต่อวัน) ทำลายสถิติที่เคยเจาะหลุมสตูล เอ-17 ที่เคยทำได้ 4,720 ฟุตต่อวัน (1,439 เมตร หรือ 1.4 กม.ต่อวัน) เมื่อปี 2540 ซึ่งหลุมฟูนาน เจ-13 นี้ เจาะถึงความลึกที่ 9,882 ฟุต หรือ 3,012 เมตร (ความลึกตามแนวดิ่ง 7,900 ฟุต หรือ 2,408 เมตร) ภายในเวลาเพียง 46 ชั่วโมงเท่านั้น จากหลุมแบบใหญ่ เปลี่ยนเป็นหลุมเล็กหลายหลุม ต้นทุนถูกกว่า ผลิตก๊าซได้มากกว่าบริษัทเชฟรอนฯ ยังมีแท่นผลิตเก่าที่เคยออกแบบไว้เป็นหลุมใหญ่ 12 หลุม ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วยเทคนิคการเจาะแบบหลุมแคบ โดยแบ่งหลุมใหญ่ดังกล่าวออกได้เป็น 3-4 หลุมย่อย ทำให้ได้จำนวนหลุมเพิ่มขึ้นเป็น 24 หลุมหรือ 36 หลุม ซึ่งช่วยให้ผลิตก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้น และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ลดลง (เอกสาร เรื่อง “วิธีการเจาะสำรวจ“ เผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระบุว่าเทคนิคการเจาะแบบนี้ ช่วยให้การปฏิบัติงานเจาะเร็วขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงมากกว่า 30%)ผลของเทคนิคการขุดเจาะดังกล่าวที่นำมาใช้กับแหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทย ได้ผลที่น่าตื่นใจตรงกันข้ามกับที่กระทรวงพลังงานทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์กับประชาชนทั่วไป โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้รวบรวมจำนวนหลุมสำรวจปิโตรเลียม ในแหล่งในทะเลของไทย ตั้งแต่ปี 2515-2554 ซึ่งรายงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พบว่า ประเทศไทยมีการเจาะสำรวจปิโตรเลียมในทะเลทั้งหมด 852 หลุม พบปิโตรเลียมมากถึง 679 หลุม หรือคิดเป็นร้อยละ 80 และมีหลุมที่สำรวจไม่พบปิโตรเลียมเพียง 173 หลุม หรือร้อยละ 20 เท่านั้น โดยพบก๊าซธรรมชาติ 495 หลุม (73%) คอนเดนเสท 97 หลุม(14%)   และ น้ำมันดิบ 87 หลุม (13%)นับตั้งแต่ปี 2524 ถึง 2554  อันเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเริ่มมีการผลิตปิโตรเลียมรวมเวลา 30 ปี ปิโตรเลียมที่ผลิตได้มีมูลค่าทั้งสิ้น 3.4 ล้านล้านบาท รัฐยอมให้เอกชนผู้รับสัมปทานนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนกว่า 1.5 ล้านล้านบาทมาหักออก ก่อนจะนำรายได้ส่วนที่เหลือประมาณ 2 ล้านล้านบาทมาหักแบ่งกันอีกครั้ง  โดยรัฐได้รับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายของเอกชนแล้วตกราว 1 ล้านล้านบาท ขณะที่ภาคเอกชนนอกจากจะได้รับเงินลงทุนคืนไปทั้งหมดแล้วยังได้รับผลตอบแทนเพิ่มอีกกว่า 9 แสนล้านล้านบาทเป็นรางวัลอีกด้วย สรุปว่ามูลค่าปิโตรเลียมทั้งหมด 3.4 ล้านล้านบาท ตกเป็นของรัฐเพียง 30% ส่วนที่เหลือ 70% ตกเป็นของเอกชนทั้งในรูปของเงินลงทุนและผลกำไรล่าสุดกำลังจะมีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ และมีความพยายามที่จะขยายเวลาสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุไปแล้ว คำถามคือว่า รัฐจะมีการแก้ไขเงื่อนไขผลตอบแทนให้รัฐได้รับมากไปกว่านี้หรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่สังคมควรจับตาเป็นอย่างยิ่ง

อ่านเพิ่มเติม >