ฉบับที่ 239 สัญญารัก สัญญาณลวง : แชร์ผิด...ชีวิตเปลี่ยน

            นับแต่ต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ประเด็นเรื่องข่าวลวง หรือบ้างก็เรียกว่าข่าวปลอม หรือไม่ก็เรียกว่าเฟคนิวส์ ได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงใหญ่ที่ผู้คนทุกวันนี้สนเท่ห์และสนใจอยู่อย่างต่อเนื่อง         ข่าวลวงหรือข่าวปลอมก็คือ ข่าวที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริง ถูกกุขึ้นอย่างมีอคติ ขาดความเป็นกลาง อาจเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ หรือแม้แต่ตีความและใช้ข้อมูลลอยๆ เพื่อให้ผู้เสพข่าวเข้าใจคลาดเคลื่อน อันเป็นไปเพื่อธำรงรักษาอำนาจและผลประโยชน์บางชุดของคนปล่อยข่าวลวง โดยหวังให้คนอื่นมาติดกับดัก         แม้เรื่องข่าวลวงจะเป็นประเด็นที่ผู้คนยุคนี้มักขาดซึ่งอำนาจแยกแยะกันว่า ข่าวสารอันใดจริงอันใดปลอม แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ข่าวลวงก็หาใช่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ทว่าการปลอมแปลงข่าวกลับเป็นสิ่งที่มีต่อเนื่องมานมนานกาเลแล้ว ไม่ต่างจากข้อถกเถียงเรื่องข่าวลวงๆ ที่ซ่อนซุกอยู่ในละครโทรทัศน์เรื่อง “สัญญารัก สัญญาณลวง” ที่ผูกเรื่องเล่าแฟนตาซีข้ามภพชาติกันไปเป็นพันปีโน่นเลย         เรื่องราวของละครเริ่มขึ้น ณ กาลปัจจุบัน เมื่อ “อณิกษ์” ร้อยตำรวจเอกฝีมือดีแห่งกรมสอบสวนพิเศษ มักมีความฝันแปลกๆ มาตั้งแต่เด็กว่า ตนได้สวมชุดโบราณ และถูกกริชแทงที่หน้าอก โดยไม่เคยเห็นใบหน้าของคนแทง         จนมาวันหนึ่ง “อนุช” น้องสาวของเขา ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ได้ชวนอณิกษ์ให้ร่วมเดินทางไปชมดาวหางคริสเตียนเซ่นโอวัน ที่กว่าพันปีจะโคจรเข้ามาใกล้โลกมนุษย์มากที่สุด และระหว่างทางที่จะไปดูดาวหางนั้น อณิกษ์ได้แวะสักการะพระธาตุนาดูน อันเป็นที่ที่ทำให้เขาได้มาเจอกับ “วิวรรณ” หญิงสาวนางหนึ่งผู้ที่เสมือนรอคอยชายหนุ่มมานานแสนนาน แม้ว่าลึกๆ อณิกษ์จะรู้สึกผูกพันกับวิวรรณ แต่เขาก็เกลียดชังหญิงสาวผู้นี้โดยไม่ทราบสาเหตุ         เหตุการณ์ดาวหางที่อุบัติขึ้นนั้น ได้นำมาซึ่งการปรากฏตนครั้งแรกของสตรีอีกนางหนึ่งคือ โสดาญา ผู้หญิงลึกลับในชุดราตรีสีดำที่เดินเยื้องย่างอย่างงามสง่าเข้ามาในงานประมูลเพชรเทียร์ร่า ซึ่งทั้งอณิกษ์และวิวรรณก็ได้เข้ามาร่วมงานประมูลเพชรเม็ดงามนั้นด้วย         พ่วงมากับการปรากฏตัวอย่างลึกลับของโสดาญา ก็เกิดคดีฆาตกรรมประหลาดขึ้นมากมาย ที่ศพผู้ตายส่วนใหญ่จะมีเลือดและอวัยวะภายในหายไป รวมถึงกรณีของ “กรรชิต” และ “ธาดา” พ่อค้าเพชรอีกสองคนที่ถูกฆ่าตายและชิงเพชรมาร์คีส์หายไป         คู่ขนานไปกับการสืบสวนคดีความอันแปลกประหลาดนั้น อณิกษ์ก็เริ่มสนิทสนมกับโสดาญามากขึ้น ก่อนที่จะได้มาพบกับ “สินจันทร์” มารดาของโสดาญา ผู้มีมนตราสร้างมายาลวงให้อณิกษ์เห็นภาพในอดีตชาติว่า ตนกับโสดาญาเคยมี “สัญญารัก” กันมาก่อน โดยมีวิวรรณเป็นศัตรูหัวใจที่มาพรากความรักของทั้งคู่ไป และในมายาภาพนั้น ก็เป็นวิวรรณอีกเช่นกันที่เอากริชแทงพระเอกหนุ่มตายมาตั้งแต่ชาติปางก่อน         ด้วย “สัญญาณลวง” จากภาพอดีตชาติ แม้อณิกษ์จะมีจิตผูกปฏิพัทธ์กับโสดาญา และเกลียดวิวรรณตามเรื่องเล่าที่สินจันทร์ปั้นแต่งไว้ในความคิดคำนึงของเขาก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มอดฉงนสนเท่ห์ไม่ได้ก็คือ ไม่ว่าเขาจะรังเกียจวิวรรณเพียงใด แต่ลึกๆ ก็อดรู้สึกห่วงหาอาวรณ์หญิงสาวไปไม่ได้ และในทางกลับกัน แม้จะรู้สึกลุ่มหลงในตัวโสดาญาเพียงใด แต่เขาก็มิอาจให้สัญญาว่าจะรักเธอคนเดียวไปได้เช่นกัน         จนกระทั่งวันหนึ่งที่อณิกษ์ได้มาพบกับ “หลวงพ่อเทียน” ที่สอนให้เขาฝึกกำหนดจิต อณิกษ์ก็ได้ล่วงรู้อดีตชาติว่า ตนคือ “พระเจ้ายศราช” แห่งนครจำปาศรีที่ยิ่งใหญ่ ยศราชพบรักกับ “แพงทอง” เจ้าหญิงแห่งเวียงสรภู ซึ่งปัจจุบันกาลคือวิวรรณผู้สมาทานตนเป็นโอปปาติกะเพื่อรอคอย “สัญญารัก” ของยศราชในทุกภพชาติ         และข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ โสดาญาในอดีตเป็นเจ้าหญิงแห่งเวียงศิลาที่แอบหลงรักยศราช จึงไหว้วานให้สินจันทร์ผู้มารดาทำพิธีนิลกาลาคีรี เพื่อให้เธอกลายเป็นอมตะและมีอำนาจเหนือสรรพชีวิตทั้งมวล กับทั้งยังทำเล่ห์เสน่หาให้ยศราชลุ่มหลง และสร้าง “สัญญาณลวง” ให้เขาเกลียดชังแพงทองไปในเวลาเดียวกัน         จนภายหลัง “วินธัยปุโรหิต” ได้เข้ามาช่วยแก้มนต์เสน่ห์ และกักขังโสดาญากับสินจันทร์ไว้จนกว่าดาวหางจะโคจรมาบรรจบโลกอีกครั้ง ทั้งคู่จึงจะเป็นอิสระ และก่อนที่ร่างของโสดาญาจะถูกจองจำ วินธัยก็ได้ตัดนิ้วทั้งห้าของนาง และนิ้วเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นเพชรมาร์คีส์ที่หายสาบสูญไปในอากาศธาตุ         เมื่อความทรงจำอันประหนึ่งกฤษดาภินิหารเหนือจริงได้ฟื้นคืนอีกครั้ง อณิกษ์จึงได้รู้ความจริงด้วยว่า โสดาญาหาใช่มนุษย์จริงๆ ไม่ และ “ผีอู่แก้ว” ปีศาจแมงมุมทาสรับใช้ของนางแต่ปางภพก่อน ก็คือฆาตกรที่ฆ่าผู้คนอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้โสดาญาสามารถรวบรวมอำนาจแห่งเพชรมาร์คีส์ทั้งห้าเม็ดกลับคืนมา         แม้เราผู้ชมจะคาดเดาได้ไม่ยากว่า ถึงที่สุดแล้วอณิกษ์ก็สามารถทำลายมนต์ดำอวิชชาและกำจัดโสดาญาไปได้ พร้อมๆ กับได้ลงเอยครองคู่กับวิวรรณที่สละซึ่งสภาวะแห่งโอปปาติกะ เพื่อกลับมาเป็นมนุษย์อีกครา แต่อีกด้านหนึ่ง พล็อตเรื่องอันอัศจรรย์กับช่างซับซ้อนด้วยรักแค้นและความลุ่มหลงแบบนี้ ก็เผยให้เห็นความหมายและอานุภาพแห่งข่าวลวงข่าวปลอมไปด้วยในเวลาเดียวกัน         แม้จะย้อนกลับไปเป็นสหัสวรรษ แต่ทว่าข่าวลวงก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่คนมีอำนาจใช้ครอบครองจิตใจของผู้คน เฉกเช่นเดียวกับมนต์ลวงไสยดำที่โสดาญาพยายามฝังใส่เข้าไปในห้วงความคิดของยศราช         และที่สำคัญ เมื่อข่าวลวงนั้นผ่านการตอกย้ำสำทับกันข้ามชาติข้ามกาลเวลา ในที่สุดข่าวลวงๆ ก็จะหยั่งรากแก้วฝังลึกจนกลายเป็น “จิตสำนึกจอมปลอม” ที่ผู้มีอำนาจจะใช้เชิดชักให้เราเชื่อและยอมรับ แบบที่อณิกษ์เองก็ถูกติดตั้งโปรแกรมให้เกลียดชังนางเอกทุกภพทุกชาตินั่นเอง         จนกว่าจะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือข้อเท็จจริงใหม่มาหักล้างสามัญสำนึกปลอมๆ เหมือนที่อณิกษ์ได้ฝึกกำหนดจิตจนสัมผัสถึงความจริงที่ต่างออกไปเมื่อพันปีก่อนเท่านั้น “สัญญาณลวง” อันหล่อเลี้ยงจิตสำนึกจอมปลอม ก็จะค่อยๆ ถูกคัดง้างและลดทอนพลานุภาพของมันลงไป         โดยนัยหนึ่ง ละคร “สัญญารัก สัญญาณลวง” น่าจะยืนยันให้เห็นแก่นหลักของเรื่องที่ว่า ชะตาชีวิตของมนุษย์เราเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังเช่นที่วินธัยได้กล่าวกับอณิกษ์ว่า “เรื่องบางเรื่องเราไม่อาจฝืนชะตาลิขิตได้ และเรื่องบางเรื่องเราก็ต้องรอให้ถึงเวลาด้วยความอดทน และไม่อาจฝืนได้”         แต่ท้ายที่สุดแล้ว หากชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตเอาไว้นั้น เป็นเรื่องเล่าข่าวลวงที่ถูกสร้างจนเป็นสามัญสำนึกปลอมๆ แถมเป็นเรื่องลวงเรื่องปลอมที่เซาะกร่อนซึ่ง “สัญญารัก” ของเรา ก็คงถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นหันมาตอบโต้ท้าทาย “สัญญาณลวง” กันบ้าง หาไม่เช่นนั้นแล้ว แค่ถูกแชร์ข่าวผิดๆ ชีวิตก็จะเปลี่ยนจริงๆ  

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 235 เสียงสะท้อนจากคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภค 4 คน จาก 4 ภูมิภาค

        “ไหนว่าเลิกใช้พาราควอตแล้ว แต่องค์กรผู้บริโภคยังตรวจพบปนเปื้อนใน ‘น้ำปู’” ,“เผยผลสุ่มตรวจปลาหมึกแห้ง พบแคดเมียมปนเปื้อนเกินเกณฑ์ 7 ตัวอย่าง”, “ฉลาดซื้อเผยปริมาณโลหะหนักและสารกันบูดในผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าปรุงสำเร็จปลอดภัย แนะผู้บริโภคเลือกยี่ห้อที่ผ่าน อย.”,  และ “เช็กเลย “แกงไตปลาแห้ง” ยี่ห้อไหนมีสารกันบูดเกินเกณฑ์”        พาดหัวข่าวเหล่านี้สะท้อนถึงงานคุ้มครองผู้บริโภคในพื้นที่ทั่วประเทศ ฉลาดซื้อ จะพาไปพบกับคนทำงานเฝ้าระวังจากเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในสี่ภูมิภาค พวกเขาทั้งสี่จะมาฉายภาพพลังของผู้บริโภค ความตื่นตัว และผลกระทบในพื้นที่ ตลอดจนความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง           พวงทอง  ว่องไว ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคเหนือ  หลังจากเรียนจบใน ปี พ.ศ.2539  ก็เริ่มทำงานกับมูลนิธิพัฒนาศักยภาพชุมชน (North Net Foundation) ที่เชียงใหม่ ประเด็นเรื่อง AIDS ในชุมชน แรงงานข้ามชาติและสิทธิเด็ก ทำอยู่ 2-3 ปี ก็ไปเรียนต่อปริญญาโทและเป็นอาจารย์อยู่ที่ศูนย์ประสานงานวิจัยฯ  ม.ราชภัฏเชียงราย ปี 2547 ลาออกมาช่วยงานที่มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา ช่วงแรกทำเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของ AIDS ในชุมชน จนประมาณปี 58 จึงมาทำเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค เกิดผลตอบรับอย่างไรในพื้นที่ หลังการแถลงข่าวผลทดสอบ         มันก็จะมีผลกับการทำงานนิดหน่อย หน่วยงานเขาก็ว่า ทำไมไม่มาคุยกัน จะได้ทำความร่วมมือ ปฏิกิริยามีสองส่วน หน่วยงานในพื้นที่อาจไม่เข้าใจการทำงานของเรา และผู้ประกอบอาจกังวลว่าเก็บไปแล้วจะส่งผลกระทบกับเขาอย่างไร แม้ที่ผ่านมายังไม่เกิดอะไรรุนแรง แต่ในช่วงปีที่สองหลังจากเรามีบทเรียน พอเราประชุมกับ ฉลาดซื้อ เสร็จ ก็วางเป้าหมายว่าเราจะทำความร่วมมือกับ สสจ.ในพื้นที่เลย บอกว่าเราจะเก็บข้อมูลอะไร อย่างไร  จะร่วมมือกันอย่างไร เช่น สสจ.เขาจะให้ข้อมูลว่ามีแหล่งผลิตอะไร ที่ไหน อย่างไร เขาไปทำความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการปรับสูตร มีการทำข้อมูลด้วยกัน ปีนี้เราเก็บน้ำพริกหนุ่มรอบสอง ปรากฏว่า สสจ.เขาลงพื้นที่กับผู้ประกอบการ ตอนที่เราประกาศผล ไม่มีผลกระทบใดๆ เลย ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือปรับสูตรได้ก็ปรับเลย และปีนี้ คือครั้งที่ 3 ที่เราทำความร่วมมือกับ สสจ.อย่างชัดเจน โดยเขาทำกับผู้ประกอบการตั้งแต่แรกเลย ปรากฏว่าน้ำพริกหนุ่มของจังหวัดพะเยาที่เคยพบการปนเปื้อน มากๆ กลับลดลงจนแทบจะไม่มี หรือเกินมาตรฐานเล็กน้อย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำหรับขบวนการทำงาน         มันเกิดความเข้าใจระหว่างองค์กรที่ทำงานร่วมกัน และระหว่างหน่วยงานราชการกับองค์กร เรามีแผนการทำงานที่ส่งเสริมกันที่ชัดเจน และ มีการวางระบบข้อมูลเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกัน เช่น เราจะเป็นฝ่ายเฝ้าระวังอย่างไร เขาจะเอาข้อมูลที่เราเฝ้าระวังไปเชื่อมต่อในการทำงานอย่างไร แต่ครั้งที่เราเก็บน้ำปู ต้องบอกว่า สสจ.ไม่ได้อยู่ในแผนเรา เราเก็บแล้วไม่ได้ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในพื้นที่ เก็บตามเป้าหมายที่เราต้องการคือทำให้เกิดการตระหนักรู้ในภาคประชาชน เรื่องสารพาราควอตในปู พื้นที่ที่เราเก็บตัวอย่างนั้นผลิตน้ำปูค่อนข้างเยอะและเป็นที่นิยม บางเจ้าที่อยู่ในพื้นที่ก็เลยได้รับผลกระทบไปด้วย คนในพื้นที่เขารู้สึกว่าเขาให้ความร่วมมือแล้วได้ประโยชน์อย่างไร        กรณีน้ำพริกหนุ่ม ตอนแรกผู้ประกอบการเขาเจอการปนเปื้อนที่ 3,000 กว่า เขาก็ตกใจ เพราะเขาไปเอาผลิตภัณฑ์จากจังหวัดอื่นมาขายในชื่อเขา เขาไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดว่ามันมี สิ่งที่ตามมาคือเขาขอบคุณที่ทำให้เขารู้ เขาจะไม่รับมาขายแล้ว ทำเองดีกว่า หลายผลิตภัณฑ์ที่เราเก็บ เขายอมปรับสูตรกับ สสจ.เลยนะ ปรับสูตรปรับอะไรหลายอย่าง เบื้องต้นคิดว่าเขาพร้อมที่จะปรับ แต่ตอนที่ข่าวออกมาและเราไม่ได้ไปคุยกับเขาก่อน เขาช็อคอยู่เหมือนกัน ถ้าเราไปเก็บข้อมูลแล้วบอกเขาเลยว่าซื้อไปทำไม ผลออกมาแล้วเราจะใช้อย่างไร ทำความเข้าใจกับเขาแต่ต้น อันนี้จะเป็นประโยชน์มากในการขับเคลื่อน ผู้ประกอบการก็คือผู้บริโภคเหมือนกัน เพราะต้องกินของที่อยู่ตามท้องตลาด        มันมีสองทัศนะที่ต้องจูนหากันให้ได้ ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ปลอดภัย ผู้ประกอบการก็ต้องการจำหน่ายให้ได้ยอดเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ ถ้าวันนี้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานและปลอดภัย แม้ราคาจะสูงนิดหน่อย แต่มันสามารถติดตามแหล่งที่มา มีกระบวนการผลิต การควบคุม ในฐานะเครือข่ายผู้บริโภค ก็ต้องทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค มากไปกว่านั้นคือต้องทำให้ผู้บริโภครู้และตระหนักในสิทธิของตัวเอง         พงษภัทร หงส์สุขสวัสดิ์ เครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก เริ่มทำงานเมื่อปี 2548 ปัจจุบันทำงานตำแหน่งกลไกภาคงานหลักประกันสุขภาพ  หัวหน้าโหนด สสส. จังหวัดกาญจนบุรี และผู้จัดการสมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก เขาบอกว่าเสน่ห์ของงานผู้บริโภคอยู่ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้คนได้ และคนทำงานก็ได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ถ้าเคสได้รับการแก้ไขจะรู้สึกดีใจมาก บางครั้งรู้สึกเหมือนเป็นปัญหาของตัวเองที่สามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะเสียใจ เช่น กรณีเสาส่งสัญญาณที่บ้านห้วยพลู จ.นครปฐม ซึ่งเป็นเคสแรก ทันทีที่เคสแจ้งมาว่าบริษัทเค้าถอนเสา เราก็รู้สึกเหมือนว่าเราทำได้แล้ว หรือกรณีเสาที่โรงเรียนสอนเด็กพิเศษที่บางกะพ้อม สมุทรสงคราม ซึ่งชุมชนยอมให้ติดตั้ง เราก็แอบเสียใจที่เราช่วยเด็กเหล่านั้นไม่ได้ เรื่องการเฝ้าระวังในพื้นที่ภาคตะวันตก ผู้บริโภคมีความตื่นตัวอย่างไร         ผู้บริโภคในพื้นที่จะระวังมากขึ้น เช่น เขาจะเลือกไปร้านที่ไม่พบสารปนเปื้อน มีการปรับตัวหลังจากได้ข้อมูล ร้านค้าก็ปรับตัว สมมุติว่าเขาเป็นร้านรับซื้อมาขาย เขาก็จะคัดของมากขึ้น สมมุติว่าเราซื้อปลาหมึกแห้งที่เขารับมาจากอีกที่หนึ่ง แล้วปรากฏว่ามีสารปนเปื้อน เขาก็จะไม่รับมาขาย มันก็ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับตัวเองเพื่อให้ขายได้ โดยดูแลเรื่องสารปนเปื้อน เรื่องการผลิตมากขึ้น การทำงานร่วมกันมีความสำคัญกับอาหารปลอดภัยอย่างไร        สิ่งสำคัญของการทำงานแบบทุกฝ่ายร่วมมือกัน คือ หนึ่ง ผู้บริโภคได้ทานอาหารที่ปลอดภัย สอง มันไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง เราโตมากับความคิดว่าทุกอย่างเป็นหน้าที่ของรัฐ รัฐก็จัดการไป แต่จริงๆ แล้วทุกคนมีหน้าที่ร่วมกันเฝ้าระวัง ประชาชนก็มีหน้าที่สอดส่องดูแล แล้วแจ้งเตือน หน่วยงานมีหน้าที่ตรวจสอบ เขาก็ตรวจสอบหลังจากมีคนแจ้ง ถ้าเราไม่เฝ้าไม่ดู เขาไม่รู้ เขาก็ไม่ตรวจสอบ สุดท้ายอาหารพวกนี้มันก็ปนเปื้อนและส่งผลมาที่ตัวเรา ผมว่ามันเป็นภาระของคนใดคนหนึ่งไม่ได้   ภาคประชาชนไม่ได้มาแย่งงานของหน่วยงานรัฐ มันเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกัน ถ้าจับมือทำงานเชิงมิตรกันมากขึ้น ผลประโยชน์สูงสุดมันก็ตกที่ตัวประชาชน ผู้บริโภคมีบทบาทอย่างไรกับการเลือกอาหารปลอดภัยให้กับตัวเอง         สิ่งแรกก็คือต้องรู้ว่าอาหารที่เขากิน มาจากไหน และตรงไหนที่มันปลอดภัย ถ้าดูข้อมูลจาก ฉลาดซื้อ เขาเห็นยี่ห้อ เขาก็เลือกได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคมีอิสระในการเลือกซื้อและมีสิทธิได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค อันนี้ใครก็ไม่สามารถทำให้เขาได้ ผู้บริโภคต้องตัดสินว่ามีข้อมูลแบบนี้แล้วจะเลือกอย่างไรให้ตัวเองปลอดภัย        ศตคุณ คนไว เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคอีสาน เริ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการเป็นนักศึกษาฝึกงานที่สมาคมผู้บริโภคจังหวัดขอนแก่น เมื่อปี 2555 เขาได้เรียนรู้งานในช่วงที่การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหาร ยา เครื่องสำอาง กำลังเป็นที่นิยม  แต่กลับมีผู้บริโภคได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจนเสียชีวิต จึงได้ทำวิจัยเมื่อจบการศึกษาในประเด็นความเข้าใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทำให้เห็นว่าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องการสุขภาพดี  หลังจากเข้ารับการเกณฑ์ทหาร 1 ปี ประมาณปี 2558 จึงได้กลับมาทำงานที่สมาคมผู้บริโภคอีกครั้ง เขาสนใจเรื่องการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งผู้คนทั่วไปมักเจอกับการถูกผู้ประกอบการหรือคนอื่น เอารัดเอาเปรียบทางสังคม ทางการค้า หรือแม้แต่ด้านสวัสดิการ การเก็บตัวอย่าง/เฝ้าระวังในพื้นที่มีประโยชน์หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร         ที่ผ่านมามีการเก็บตัวอย่างปลาร้าใน 4 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น อุบลราชธานี  ร้อยเอ็ด เก็บตัวอย่างกุนเชียง เก็บตัวอย่างผักในตลาดขายส่งในเมืองขอนแก่น  เฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย โอ้อวดเกินจริง ทางวิทยุ และเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง         ผู้ประกอบการตื่นตัวและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ลงโฆษณาที่ถูกกฎหมาย เพิ่มรายละเอียดของสินค้า เช่น วันผลิต วันหมดอายุ เป็นต้น บางรายเปลี่ยนรูปแบบการโฆษณา การขาย หรือรูปแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ให้เหมือนกับสินค้าที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดต้นทุนการผลิต  ด้านผู้บริโภคก็ตื่นตัว เข้าถึงข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น เช่น มีความรู้เรื่องการเจือปนของโลหะหนักในน้ำปลาร้า            ในส่วนประโยชน์และการเปลี่ยนแปลง จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงพื้นที่เก็บตัวอย่างอยู่เสมอ เช่น ในการเก็บตัวอย่างเครื่องสำอาง ต้องให้ภาคประชาชนเป็นคนทำ เพราะร้านค้าต่างๆ จะรู้ทันที หากเจ้าหน้าที่ สสจ.ลงพื้นที่ คณะทำงานได้ลงมือปฏิบัติ เครือข่ายภาคประชาชนที่ร่วมกันเก็บข้อมูลก็ได้รับรู้สถานการณ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นการสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชนไปพร้อมกัน         หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ได้รับข้อมูลสินค้าและร้านค้าที่ขายของผิดกฎหมาย มีการปนเปื้อนเกินมาตรฐาน การโฆษณาเกินจริง หน่วยงานในพื้นที่ดำเนินการได้รวดเร็ว เช่น ตักเตือน จับ-ปรับ รวมถึงดำเนินคดี เมื่อหน่วยงานติดตาม ตรวจสอบและพบว่าผลิตภัณฑ์นั้นผิดกฎหมาย แล้วประกาศห้ามขาย ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค ภาคอีสานมีแผนเก็บตัวอย่างหรือเฝ้าระวังอะไรต่อ        วางแผนเก็บตัวอย่างเนื้อย่างครับ ทำร่วมกับเครือข่ายในจังหวัด ในส่วนการเฝ้าระวังสถานการณ์ในจังหวัด จะมีกลไกภาคประชาชนและหน่วยงาน ซึ่งจะวางแผนการทำงานร่วมกันในแต่ละปี         จุฑา สังขชาติ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ เริ่มทำงานด้านนี้เลยเพราะสนใจเรื่องสิทธิ รู้สึกว่าเรื่องสิทธิผู้บริโภคเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก แต่คนไม่ค่อยให้ความสำคัญ แม้จะทำมา 20 ปีแล้ว ยังรู้สึกสนุก เพราะงานผู้บริโภคมีเสน่ห์ตรงที่เป็นเรื่องใกล้ตัว และมีเรื่องใหม่ๆ อยู่ตลอด อาจเป็นปัญหาเดิมแต่มีการยกระดับขึ้นตามสถานการณ์ ทำให้ต้องรู้เท่าทันและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ได้อะไรจากการทำงานเฝ้าระวังสินค้าและบริการ        อันดับแรกเลย มันจะได้กับคนที่เก็บตัวอย่าง เวลาเราให้อาสาสมัครไปเก็บตัวอย่าง เราก็ได้รู้ว่าอาหารแต่ละอย่างมีปัญหาอะไรได้บ้าง กฎหมายว่าอย่างไร เช่น ตอนเก็บไตปลาเราก็จะรู้ว่าไตปลาเขาใส่สารกันบูดด้วย กฎหมายห้ามใส่เกินเท่านี้ๆ  ทำให้เรามีความรู้มากขึ้น แกนนำเครือข่ายหรืออาสาสมัครที่มาช่วยก็จะมีข้อมูลมากขึ้น ตอนให้เขาเก็บตัวอย่างกาแฟ 3-in-1 เขาก็จะรู้ว่าอันนี้อันตราย ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ และในพื้นที่เขามีผลิตภัณฑ์ที่น่าจะมีปัญหาเยอะเลย ทำให้ผู้บริโภคระดับแกนนำตื่นตัวมากขึ้น และมีความรู้ไปบอกต่อได้ เวลาผลออกไป เกิดผลกระทบอย่างไรกับคนในพื้นที่         ตอนที่เราตรวจไตปลา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เหมือนกับต้องทำงานเฝ้าระวังให้มากขึ้น หรือเวลาเราเก็บข้อมูลที่อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องอาหารโดยตรง เช่นเครื่องสำอาง พอเราเก็บข้อมูลมาจากพื้นที่ว่ามันมีปัญหาน่าสงสัยว่าจะมีการใส่สารที่เป็นอันตราย ก็เอามาพูดคุยให้หน่วยงานเขารู้ ทำให้ สสจ.เขาทำงานเชิงรุก เขาก็ไปดูว่ามันมีการขายพวกนี้ไหม ออนไลน์มีไหม บางอันเขาก็ล่อซื้อ และเขาก็เจอว่าไอ้ที่มันขายอยู่มันอันตราย เขาก็ไปจับ ตอนนี้เป็นข่าวใหญ่เรื่องโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ใส่สารอันตราย อันนี้ก็เริ่มจากการที่เราเก็บข้อมูลมา เราคุยกับเขา ทำให้เขาเห็นว่าผู้บริโภคตื่นตัวค่อนข้างเยอะ มีแผนเฝ้าระวังอย่างไรในพื้นที่         จากที่ได้คุยกัน คิดว่าจะดูพวกของฝากพื้นถิ่น เช่น กะปิ กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ในชุมชนอาศัยความไว้วางใจกัน แต่ตอนหลังเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น เราก็เลยไม่มั่นใจเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย  คุยกันว่าถ้าตรวจเรื่องนี้ก็น่าจะทำให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ผู้บริโภคก็จะมั่นใจมากขึ้น อีกอย่างที่น่าสำรวจคือ กาแฟทรีอินวัน แบบนำเข้า ที่ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่แน่ใจว่าใส่สารอันตรายหรือเปล่า กาแฟในประเทศราคาซองละ 5 - 7 บาท แต่กาแฟนำเข้าพวกนี้ขายซองละ 30 บาท บางทีก็ขาย 2 หรือ 3 ซอง 100 เป็นกาแฟที่กินแล้วคึกคักอะไรแบบนี้ คือมันขายผู้ชาย เวลาลงพื้นที่ก็มีคนเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของเขากินแล้วหัวใจวาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 231 กระแสต่างแดน

โอกาสทอง        หลุยส์ วิตตอง และชาแนล ในเกาหลีถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเมื่อลูกค้าที่ไปต่อแถวเข้าร้านหลังพ้นช่วงล็อกดาวน์ต้องเซอร์ไพรซ์กับสินค้า “ราคาใหม่”         ค่ายแบรนด์เนมมองว่าผู้บริโภคมีเงินเหลือใช้มากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ ชาแนลปรับราคาสินค้าในร้านขึ้นร้อยละ 7 -18 ในขณะที่หลุยส์ วิตตองก็ปรับราคาขึ้นเป็นครั้งที่สามในรอบ 7 เดือน ขึ้นอีกร้อยละ 5 - 10 เช่นกัน         นี่ยังไม่นับเรื่องความ (ไม่) รับผิดชอบต่อสังคมของค่ายหลุยส์ ที่ไม่จัดอบรมแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อลดการระบาดของไวรัสให้กับพนักงานเหมือนบริษัทอื่นๆ และเมื่อพบว่าพนักงานติดเชื้อจากการไปกินดื่มในย่านอินแทวอน ก็ยังเปิดดำเนินการต่อไปโดยไม่แจ้งให้ลูกค้าที่เข้าร้านสาขาตึกล็อตเต้เวิล์ดในช่วงที่พนักงานดังกล่าวอยู่ประจำร้าน ได้ทราบว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงด้วย           แต่เขาก็คาดการณ์ไม่ผิด ยอดขายสินค้าแบรนด์เนมหลังช่วงล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นจริงๆ     ขยะเราต้องมาก่อน        โปรตุเกสเป็นปลายทางของขยะจำนวนมากจากประเทศอื่นๆ ในยุโรป เพราะคิดค่าธรรมเนียมการจัดการขยะเพียงตันละ 11 ยูโร (ประมาณ 400 บาท) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 80 ยูโร (ประมาณ 2,800 บาท)          แต่รัฐบาลได้ประกาศหยุดรับขยะจากต่างประเทศชั่วคราว เพื่อให้แน่ใจว่ามีศักยภาพเพียงพอต่อการรับมือกับขยะในประเทศที่เพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ชุดและอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคไปจนถึงกล่องพลาสติกใส่อาหารจากบริการเดลิเวอรี         รวมถึงลดกำลังการรีไซเคิล เพื่อไม่ให้พนักงานต้องสัมผัสกับขยะพลาสติกที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส         ข้อมูลจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมโปรตุเกสระบุว่าในปี 2018 มีขยะจากต่างประเทศเข้ามาถึง 330,000 ตัน หนึ่งในสามถูกจัดการโดยการฝังกลบ และตั้งแต่ต้นปี 2020 โปรตุเกสปฏิเสธขยะต่างประเทศไปแล้วกว่า 246,000 ตัน  มุมทำงาน        ในเยอรมนี หากคุณมีห้องที่จัดไว้เป็น “ออฟฟิศในบ้าน” คุณจะสามารถขอลดหย่อนภาษีได้ สถิติก่อนการล็อกดาวน์ระบุว่าร้อยละ 12 ของคนเยอรมันทำงานจากบ้าน แต่ช่วงที่รัฐบาลขอให้ทุกคนอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อ มีคนเยอรมันถึงร้อยละ 25 ที่ทำงานที่บ้าน และแนวโน้มนี้อาจกลายเป็น “นิวนอร์มอล”         ที่ผ่านมาร้อยละ 40 ของนายจ้างในเยอรมนีเปิดโอกาสให้พนักงานทำงานจากบ้านได้ ในขณะที่ร้อยละ 60 ของคนเยอรมันก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่จะให้พนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานจากบ้านวันไหนบ้าง หรือทำทุกวันไปเลยหากลักษณะงานเอื้อให้ทำได้            สมาคมผู้เสียภาษีแห่งเยอรมนีเสนอว่าคนที่ใช้โน้ตบุ๊คนั่งทำงานที่โต๊ะกินข้าวหรือมุมใดมุมหนึ่งของบ้านควรมีสิทธิขอลดหย่อนภาษีเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน การใช้ทรัพยากรน้ำ ไฟฟ้า รวมถึงการสร้างขยะก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ร้อยละ 20 ของค่าเช่าบ้านควรนำไปขอลดหย่อนภาษีได้     เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง        คนแคนาดาเกือบร้อยละ 50 เชื่อ “ข่าวโคมลอย” เกี่ยวกับโรคโควิด-19           การสำรวจโดยคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน ระหว่างวันที่ 5-8 พฤษภาคม ที่สอบถามคนแคนาดา 2,000 คน พบว่าร้อยละ 46 เชื่อข่าวลืออย่างน้อยหนึ่งข่าวจากข่าวที่แชร์กันทางออนไลน์มากที่สุดสี่อันดับแรก         ข่าวลืออันดับหนึ่งได้แก่รายงานที่บอกว่าต้นกำเนิดโรคนี้มาจากไวรัสที่พัฒนาขึ้นโดย “แล็บแห่งหนึ่งในประเทศจีน” ร้อยละ 26 ของคนแคนาดาเชื่ออย่างนั้น         ร้อยละ 23 เชื่อว่ายาไฮดร็อกซีคลอโรควินสามารถรักษาโรคโควิด-19 ได้ ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกาบอก         ร้อยละ 11 เชื่อว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อาการต่างๆ เป็นผลจากเทคโนโลยี 5G ต่างหาก ตำรวจกำลังสืบสวนว่าความเชื่อนี้เป็นเหตุให้เสาสัญญาณโทรศัพท์หลายแห่งในควิเบกถูกเผาทำลายหรือไม่         แต่ที่เด็ดสุดคือร้อยละ 57 ของคนเหล่านี้เชื่อว่าตนเองสามารถแยกแยะข่าวจริงและข่าวลวงได้   มันอยู่ในตลับ        แอสเบสทอสหรือแร่ใยหินหายหน้าจากสื่อไปนาน เพราะผู้คนตระหนักถึงอันตรายและเลิกใช้มันไปแล้ว คราวนี้มันแฝงมากับเครื่องสำอางที่มีทัลคัมเป็นส่วนประกอบ ที่สามารถหาซื้อได้ในเว็บอเมซอน         การทดสอบพบว่า อายชาโดว์ Jmkcoz 120 Colors Eyeshadow Palette  มีแร่ใยหินถึง 3.9 ล้านใยต่ออายชาโดว์1 กรัม และพบในร้อยละ 40 จาก 45 เฉดสีที่ทดสอบ           ในขณะที่อีกรุ่น ได้แก่ Jmkcoz Beauty Glazed Gorgeous Me Eye Shadow Tray Palette มีถึง 3.5 ใยต่ออ่ายชาโดว์ 1 กรัม พบในร้อยละ 20 จาก 55 เฉดสีที่ทดสอบ         ก่อนหน้านี้มีการพบแร่ใยหินใน “ชุดเมคอัป” ของเล่นเด็กมาแล้ว และในเดือนตุลาคม 2019 จอห์นสันแอนด์จอห์นสันก็ประกาศเรียกคืนแป้งเด็ก หลังจาก อย.สหรัฐพบแร่ใยหินในแป้งดังกล่าวแร่ใยหินเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจเข้าไปสะสมในปอด และผู้ที่สูดดมเข้าไปอาจไม่แสดงอาการในทันที ทั้งนี้ผู้เชียวชาญย้ำว่าไม่มี “ระดับที่ปลอดภัย” ของการรับแร่ใยหินไม่ว่าประเภทใดเข้าสู่ร่างกาย       

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 230 ติดตาม COVID-19 กับ COVID Tracker

        ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นช่วงที่ทุกคนต้องการรับทราบข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการเฝ้าระวังตนเองและครอบครัวให้มากที่สุด โดยแต่ละคนอาจใช้วิธีการติดตามข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ติดตามจากโทรทัศน์ จากเฟสบุ๊ค จากทวิตเตอร์ จากจังหวัด จากชุมชน ฯลฯ ซึ่งข่าวสารที่ได้รับมาอาจมีข้อมูลที่มีความผิดพลาด บิดเบือน หรือไม่ถูกต้อง จนทำให้เกิดสภาวะตื่นตระหนกกับข้อมูลข่าวสารนั้นๆ แม้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม        ฉบับนี้จึงมาแนะนำเว็บไซต์ที่เป็นเหมือนศูนย์เช็คข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการอัพเดทข้อมูลข่าวสารการระบาดของเชื้อในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยแบบเรียลไทม์ เว็บไซต์นี้มีชื่อว่า COVID Tracker หรือลิ้ง https://covidtracker.5lab.co/ ผู้ที่คิดค้นเป็นกลุ่มทีม 5lab ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น ได้เห็นว่ามีข่าวปลอมและข้อมูลที่แพร่สะพัดเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อถือข้อมูลข่าวสารอันไหนดี ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มีความคิดที่จะสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมา เพื่อกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารโดยการดึงข้อมูลจากสื่อหลักและหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือมาประกอบ         ปัจจุบันเว็บไซต์ COVID Tracker มีผู้ติดตามอยู่จำนวนมาก โดยหน้าหลักในเว็บไซต์ COVID Tracker จะแสดงภาพแผนที่ประเทศไทย และสัญลักษณ์เพื่อแสดงพิกัดของผู้ติดเชื้อทั่วประเทศไทย ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นภาพไอคอนต่างๆ และสีที่แตกต่างกันเพื่อแสดงความหมายของสถานะผู้ป่วยและสถานะข่าวทีเกิดขึ้น ทั้งนี้ผู้ติดตามสามารถคลิกดูความหมายของไอคอนได้จากมุมด้านล่างซ้าย         สัญลักษณ์ไอคอนเหล่านี้จะแสดงบนแผนที่ประเทศไทย ตามพิกัดที่เกิดข่าวหรือมีผู้ป่วยเกิดขึ้น เมื่อคลิกบริเวณสัญลักษณ์ไอคอน ระบบจะแสดงข้อความที่มีรายละเอียดของผู้ป่วย รายละเอียดสถานที่ แจ้งวันที่เกิดข่าว รายงานสถานะของผู้ป่วย รวมทั้งแจ้งว่าเป็นข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้วหรือไม่         ด้านบนสุดของหน้าเว็บไซต์จะเป็นตัวอักษรวิ่ง เพื่อแจ้งตัวเลขล่าสุดของจำนวนยอดสะสม จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่ม จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้ที่รักษาหาย ในแต่ละวัน และทางด้านบนขวาจะมีเมนูที่เขียนว่า ดูข่าวล่าสุด ซึ่งเป็นเมนูที่แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเรียงเหตุการณ์ก่อนหลังจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในทุกข้อมูลที่ปรากฎอยู่บนหน้าเว็บไซต์จะลิ้งไปยังแหล่งข้อมูลที่แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น โดยสามารถเข้าไปคลิกเพื่ออ่านข้อมูลจากแหล่งข้อมูลได้โดยตรง         เว็บไซต์ COVID Tracker ยังมีการรวบรวมข้อมูลพิกัด รายละเอียดและเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาลต่างๆ ไว้บนหน้าเว็บไซต์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ติดตามและผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการตรวจในโรงพยาบาล นอกจากนี้เว็บไซต์นี้ยังมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และภาษาจีน เพื่อรองรับชาวต่างชาติอีกด้วย         สำหรับผู้ติดตามเว็บไซต์ COVID Tracker ยังสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทางทวิตเตอร์ (Twitter) ได้ที่ @covidtrackerth ได้อีกช่องทางหนึ่ง         เว็บไซต์ COVID Tracker จึงเป็นเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ดีจริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 229 น้ำเข้ารถ... ความผิดใคร รถหรือคน

“ปัญหาที่เกิดขึ้นคือน้ำเข้าในตัวรถ ไม่ว่าจะล้างรถหรือฝนตกน้ำจะเข้ามาในตัวรถตลอด มันเข้าทั้งสี่ประตูเลย ที่เห็นครั้งแรกคือ ขับรถจากเมืองทองธานีกลับบ้านประมาณ 30 กิโลเมตร  แล้วฝนตกตลอดทางเมื่อมาถึงบ้านแล้วเห็นว่าในรถเปียกดูว่ามันมีน้ำเข้ามา ก่อนหน้านี้เคยได้กลิ่นอับในรถแต่พี่ไม่ได้สังเกต ที่เห็นด้วยตา คือวันนั้นวันแรกที่ว่าขับมาแล้วฝนตกมาตลอด” คุณวัลทิชา ประสงค์เวช ผู้บริโภคเดินทางเข้ามาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ด้วยปัญหามาตรฐานของรถยนต์    ทราบปัญหาเรื่องน้ำเข้ารถเมื่อไร         ครั้งแรกที่เห็นคือประมาณสักสองประตู เยอะอยู่ พี่ก็เอาไปเข้าศูนย์ให้เขาทำ เขาก็บอกว่าเขาจะซีล (seal) ให้ พี่ไปรับรถพี่ก็พยายามจะถามว่ามันเกิดจากอะไร ตรงไหนอย่างไร ซึ่งพนักงานคนนั้นเขาพูดติดๆ ขัดๆฟังยาก ซึ่งเราก็เข้าใจยากก็พยายามฟังก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเขาตรงนั้น เข้าใจว่าเขาซีลใหม่ตรงประตูทั้งสองประตูที่น้ำเข้า หลังจากที่พี่ใช้ไปอีกสักระยะหนึ่ง พี่จอดรถไว้กลางแจ้งแล้วก็เดินไปโรงพยาบาล ตอนนั้นฝนตกก็ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมง พอกลับมาที่รถ ปรากฏว่าน้ำเข้ามากกว่าเดิมในตำแหน่งเดิม พี่จึงกลับไปที่ศูนย์นั้นอีก แล้วเขาก็แก้ไขให้อีก คือถ้านับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ (วันที่ให้สัมภาษณ์) พี่ทำมาแล้วห้าครั้ง เขาก็แก้ไขปัญหาด้วยการซีลที่ตัวประตูทุกครั้ง ตอนนี้พี่ก็เจอเพิ่มว่ามันไม่ใช่สองประตูแล้ว ทุกวันนี้กลายเป็นสี่ประตูเข้าทั้งสี่ประตูเลย  ไม่ไหวแล้วจึงมาร้องเรียนที่มูลนิธิฯ         จริงๆ แล้วพี่เอาเข้าศูนย์ฯ แล้วสี่ครั้ง แต่พี่ก็ติดต่อกับมูลนิธิฯ เพื่อขอให้ช่วยเรื่องเจรจากับทางบริษัทรถยนต์ แต่การเจรจามันไม่ได้ช่วยทำให้เรารู้สึกดีหรือมีความมั่นใจในสิ่งที่เขา (บริษัท) พูด เพราะเขาไม่ได้เคยทำในสิ่งที่พูดเลย พี่ก็เริ่มไม่มั่นใจ หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์แต่ว่าการพูดจาของเขามันทำให้พี่รู้สึกว่าแย่ลงไปกว่าเดิม เหมือนพี่ถูกกระทำมากกว่าเดิม พี่ก็ลองให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง ก็คือการเข้าไปซ่อมครั้งที่ห้า ที่เป็นศูนย์ของบริษัทใหญ่เขาเลยที่ถนนศรีอยุธยา พี่ก็ลองดูว่าเอาอีกครั้งเผื่อว่ามันจะดี เพราะว่าสี่ครั้งที่ผ่านมาพี่ไม่ได้ซ่อมกับศูนย์เขาเลย พี่ก็เปลี่ยนศูนย์แต่ล่าสุดที่เจอก็คือ พอพี่ล้างรถแค่ล้างรถนะยังไม่ได้เจอฝนจริงๆ ปรากฏว่าน้ำเข้าแล้ว         ตอนที่มาขอคำปรึกษากับมูลนิธิฯ  ทางนี้ช่วยเรื่องเจรจาให้ ซึ่งพี่ก็ทดลองให้เขาลองซ่อมอีกสักครั้งหนึ่ง ซ่อมครั้งนี้ไม่ดีครั้งที่ห้าแล้ว พี่จึงติดต่อกลับมาที่มูลนิธิฯ อีกว่าพี่เจอปัญหานี้ ทางมูลนิธิวันนั้นก็นัดกันกับบริษัทรวมทั้งเชิญนักวิชาการมาดูในการตรวจสอบ ให้เขาเห็นว่าน้ำเข้ารถจริง ทางบริษัทเขาเห็นว่าหลังจากที่ซ่อมห้าครั้งแล้วมันก็มีการเข้าจริง ตรวจสอบวันนั้นก็เห็นกันเลยว่าเข้าหมดเลยทั้งสี่ประตู ทดสอบอย่างไรบ้าง         เราทดสอบด้วยการเอารถไปที่ศูนย์แล้วก็ใช้สายยางฉีดน้ำ ไม่นานค่ะเหมือนพี่ล้างเอง ก็ไม่นานไม่กี่นาทีเอง น้ำก็เข้าเลย พอเห็นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย คือเรากับเขา เขาบอกจะให้เราเอาไปซ่อมอีก เขาสันนิษฐานว่าตัวซีลพลาสติกมันไม่แนบสนิทมันมีช่องว่างช่องโหว่ซึ่งทำให้น้ำเข้าได้ และช่องว่างนั้นมันก็เกิดจากฝีมือของช่างที่ทำ  มันก็เลยทำให้พลาสติกมันไม่แนบสนิทไปกับตัวซีลเลยเป็นเหตุให้น้ำเข้าในตัวรถ เขาอ้างอย่างนั้น        เขาบอกว่าเขามีตัวซีลมาใหม่ ซึ่งมันจะมีคุณภาพดีกว่าที่แล้วๆ มา อยากให้เราเอาไปซ่อมอีก คือใช้ซีลตัวใหม่อะไรประมาณนี้ พี่ก็ไม่ได้รับข้อเสนอตรงนั้นเพราะพี่เชื่อว่าห้าครั้งแล้วมันไม่ได้ทำความมั่นใจให้เราแล้ว พี่ก็ถามเขาว่าแล้วซีลตัวเดิมที่ใช้กับรถพี่มันใช้กับรถรุ่นอื่นของยี่ห้อนี้ไหม เขาก็บอกว่าใช้ พี่ก็บอกว่าแล้วทำไมมันถึงยึดที่เกรด ถ้าคุณบอกว่าปัญหามันเกิดจากตรงนั้น ทำไมมันเกิดที่รถพี่อย่างเดียวถ้าคุณใช้ซีลตัวเดียวกันหมดไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนของรถคุณก็ตาม เคยพบปัญหาแบบนี้ในรถแบบเดียวกันกับของพี่ไหม         ถ้าเป็นคนรู้จักกันพี่ก็ไม่ค่อยรู้จักใครที่ใช้ แต่เท่าที่พี่เคยอ่านในเน็ตก็จะมีอยู่รายหนึ่งที่เหมือนพี่ คือน้ำเข้าที่ประตูเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ไปตามต่อแต่รู้สึกว่าเคสนั้นเขาเป็นคดีกัน เพราะว่าเจ้าของรถเขาไปร้องในงาน Motor Show เขาก็เป็นคดีกันไป รถคันนี้พี่ซื้อปลายปี 2560 ได้รถเดือนธันวาคม 60 แต่พี่ไม่ได้ขับเลย พี่จอดเอาไว้ พี่ขับจริงๆ คือปีใหม่ของปี 2561 เป็นช่วงที่ไม่ใช่หน้าฝน พี่ก็ขับมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าฝนพี่ถึงเห็นตรงนั้น จุดประสงค์ของพี่ต่อการร้องเรียนครั้งนี้คืออะไร        เราเคยเจราจากันตั้งแต่ตอนที่พี่ซ่อมไปแล้วสี่ครั้ง พี่ขอให้เขาซื้อคืน ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่เขาปฏิเสธ คือตอนนั้นที่พูดคุยกันว่าเราจะทำข้อตกลงว่า ถ้าพี่ซ่อมครั้งที่ห้าไม่หายเขาต้องซื้อคืน โดยซื้อคืนเกินราคากับตลาดทั่วไป พี่เรียกเกินจากตลาดทั่วไป 15 เปอร์เซ็นต์ เขาก็รับปากรับคำวันนั้น วันนั้นที่คุยกันคือซื้อคืนเกินราคาตลาด ซึ่งพี่ยังไม่ได้แจ้งว่ากี่เปอร์เซ็นต์เพราะว่าพี่ขอไปดูก่อน หลังจากที่พี่ตกลงใจว่าขอเป็น 15 เปอร์เซ็นต์พี่ก็โทรไปบอกเขา แต่เขาก็ปฏิเสธกลับมาว่ายังไม่รู้เลยว่าเกิดจากอะไรจะให้ทำข้อตกลงได้อย่างไร มันเป็นการบิดพลิ้วในสิ่งที่พูดกันวันนั้นว่าเขาจะต้องทำข้อตกลงว่า หนึ่ง ในระหว่างซ่อมมีรถให้เราใช้ อันที่สองถ้าซ่อมแล้วไม่หายให้เราทำอย่างไร แต่หลังจากที่บอกเรื่องราคาว่าเกินราคาตลาด 15 เปอร์เซ็นต์ เขาก็โยกอีกทางว่าก็ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรให้ทำข้อตกลงได้อย่างไร   มันไม่เป็นไปตามที่เราพูดคุยกัน เสียความรู้สึกมากไหม เห็นว่าชอบรถยี่ห้อนี้        เรามั่นใจว่าบริษัทแบบนี้มันน่าจะมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี ลายเป็นว่าคุณไม่ซื้อเราคืน และยังพูดจาทำร้ายเรา ขณะที่เราเจอปัญหากับรถแล้วเรายังจะมาเจอกับปัญหาคำพูดของคุณอีก เหมือนเราถูกทำซ้ำๆ เราทุกข์อยู่แล้วเขาไม่ได้ช่วยให้เราคลายทุกข์ลงไปสักนิดเดียว แต่กลับเป็นการเพิ่มขึ้นมาด้วยซ้ำไป   วันนั้นพี่รู้สึกเหนื่อย แล้วรู้สึกว่าบางอย่างมันดำเนินการช้า ข้อตกลงก็ไม่มี แต่พี่ก็เอาไปซ่อมอีกครั้งเป็นครั้งที่ห้า โดยที่พี่ก็ไม่ได้แจ้งทางสำนักงานใหญ่เขาว่าพี่เอาไปซ่อมแล้วหรือว่าเอาไปแจ้งที่ดีลเลอร์ที่พี่ซื้อมาพี่ก็ไม่ได้แจ้ง        พี่ว่าพี่พอแล้วกับการซ่อมห้าครั้ง พี่ถือว่าพี่ให้โอกาสเขามากแล้ว ห้าครั้งแก้ไม่หายแล้ว มันจะมีอะไรมาให้พี่มั่นใจว่าครั้งที่หก เจ็ด มันจะหาย ถูกไหมคะ เราใช้รถมาเข้าปีที่สามแล้วประกันจะหมดแล้ว ถ้าหมดประกันไปแล้วพี่ต้องจ่ายเองทั้งหมด ทั้งๆ ที่ปัญหาที่มันเกิดไม่ได้เกิดจากพี่เลยมันเกิดจากการผลิตของคุณ แล้วคุณก็รับประกันเราแค่สามปี หลังจากนั้นเราก็ต้องรับผิดชอบเองตลอดไป ในเมื่อมันแก้ไม่หายแบบนี้ การแก้ของเขานี่คือไม่ใช่ว่าแก้ตรงนี้แล้วเราจะเจอเลยนะ เขาฉีดน้ำให้เราดูวันนั้นมันก็ไม่เข้า แต่เราใช้ไประยะหนึ่งมันถึงจะเข้ามันเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการควรเป็นอย่างไร         อันนี้มันเป็นเรื่องความปลอดภัย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องเครื่องยนต์ที่เขาอ้างว่ามันไม่ใช่เกี่ยวกับความปลอดภัย เขาพูดกับพี่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับความปลอดภัย เขามองว่าถ้าเครื่องยนต์มีปัญหาคือเรื่องความปลอดภัย แต่พี่มองว่านี่ก็คือความปลอดภัยของพี่ที่จะขับรถไปทั้งๆ ที่น้ำก็นองอยู่ในรถ รถเป็นราแล้วพี่จะเป็นโรคไหม พี่มองว่าการที่รถจะออกจากบริษัทมันควรจะตรวจสอบอย่างเข้มข้น เข้มงวด ถึงแม้เขาจะอ้างว่ามันก็ต้องมีบ้าง แต่พี่มองว่ามันไม่ควรจะมีบ้าง มันไม่ควรมี ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วคุณควรรับผิดชอบเราไม่ให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้ ให้เรารู้สึกว่าเราได้รับการดูแลที่ดีเพราะเราซื้อคุณในราคาเต็ม เราไม่ได้ซื้อคุณในราคาที่ลด พี่พูดกับเขาว่าถ้าคุณบอกกับเขาว่ารถคุณมีปัญหามาก่อนแล้วฉันซื้อ ฉันยอมรับว่ามันมีปัญหามาก่อน แต่คุณไม่เคยบอกแล้วคุณก็ขายฉันในราคาเต็ม พี่เขียนจดหมายถึงบริษัทแม่เขาเลยที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่ได้รับการตอบรับ ตอนนั้นคือครั้งที่สี่หลังจากที่มามูลนิธิแล้ว สิ่งที่ทำตอนนี้         คิดว่าพี่คงต้องอาศัยกระบวนการทางกฎหมาย อาจจะต้องฟ้องคดี อยากบอกให้รู้ว่าถ้าคุณไม่รับผิดชอบแล้ว มันต้องมีกระบวนการอื่นที่จะมาช่วยตรงนี้ เราก็ไม่ควรจะนิ่งเฉยหรือยอมคุณต่อไป เพราะพี่ถือว่าห้าครั้งพี่ยอมมามากแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังใช้รถอยู่ พอหน้าฝนพี่จะขนหัวลุกพี่หลอนมากเลย เวลาพี่ไปทำงานพอฝนตกพี่จะไม่ออกยังไม่กลับ ลำบากมาก ขณะขับไปแล้วฝนตกกลางทางพี่ก็จะภาวนาว่าอย่าตกเยอะนะพี่จะเป็นอย่างนี้ตลอด เราหลอนตลอดจิตตก         พี่อยากฝากถึงคนอื่นๆ ถ้าเราเจอปัญหาและเราไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนี้ เราควรลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์ของเรา เราอาจจะไปหาหน่วยงานที่เราคิดว่าสามารถสนับสนุนหรือช่วยเหลือเราได้ เราไม่ควรที่จะเอาของๆ เราที่มันไม่ดีไปขายต่อให้คนอื่น เขาเคยแนะนำพี่นะคนจากบริษัท คนที่มาเจรจาบอกให้พี่ซ่อมก่อนแล้วเอาไปขาย แต่พี่บอกว่าถ้าพี่จะขายก็ขายได้ในราคานี้ มีดีลเลอร์ของบริษัทนี้ที่อยู่ที่อื่นก็อยากได้รถพี่มากเลย พี่ไม่กล้าขายเพราะพี่ไม่อยากเอาความทุกข์ที่พี่มีไปให้คนอื่น พี่ไม่อยากเอาของที่เรารู้ว่ามันไม่ดีแล้วไปให้คนอื่นแล้วพี่ก็รอดตัวไป พี่ไม่ทำ ไม่หาวิธีการนั้น  หาวิธีการดำเนินการทางกฎหมายกับคนที่ผลิตของออกมาดีกว่าที่เราเอาของที่ไม่ดีแล้วเอาไปโยนให้คนอื่นต่อ กลัวไหมการฟ้องคดีกับบริษัทใหญ่แบบนี้        พี่ไม่กลัวค่ะ พี่มองว่าถึงแม้เขาจะมีฝ่ายกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญแล้วก็เจอคดีมาเยอะ พี่เชื่อว่าพี่ไม่ใช่รายแรกที่ลุกขึ้นมาฟ้องเขา และเขาก็อาจมีทางหนีทีไล่ และพี่ก็รู้ว่าพี่จะต้องเหนื่อยอีกหลายรอบหลายครั้ง แต่พี่ว่าอย่างไรพี่ก็ต้องลุกขึ้นมาทำตรงนี้ พี่ยอมเหนื่อยพี่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ เราต้องสู้ให้เห็นว่า ถึงคุณจะเป็นบริษัทอะไรอย่างไร แต่คุณต้องมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบ คุณไม่ใช่ใช้วิธีการที่ทำให้เรารู้สึกว่าให้เราล้าไปเอง เหนื่อยไปเองไม่อยากต่อสู้กับคุณอีกต่อไป พี่รู้สึกเหมือนเขาใช้กลยุทธ์แบบนี้กับเรา ให้เราเหนื่อย ท้อแท้ กลัวสารพัดแล้วจะเลิกราไปเอง มันไม่เชิงเป็นแรงผลักดันแต่ปกติพี่เป็นคนไม่กลัวและพี่คิดว่าพี่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิทธิ์อันชอบทำ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 227 รู้เท่าทันการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเข้าหัวเข่าเพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อม

                เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีแชร์กันสนั่นในโลกโซเชียลมีเดียจากรพ.วชิระพยาบาลและรพ.ตำรวจเรื่องการรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยฉีดเกล็ดเลือดปั่น 2 ครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้มีผู้ป่วยติดต่อขอรักษาด้วยวิธีนี้กันอย่างมากมาย จนรพ.วชิระพยาบาลต้องออกมาชี้แจงว่าการเผยแพร่ภาพและข่าวนั้นไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ผู้รักษาและทางโรงพยาบาล ส่วนรพ.ตำรวจก็ออกมาชี้แจงว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มวิจัยคนไข้ 200 ราย และปิดรับสมัครเพราะเต็มจำนวนแล้ว การฉีดเกล็ดเลือดเข้าหัวเข่านี้เป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลดีจริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันดีกว่า          การรักษาโดยการฉีดเกล็ดเลือด (Regenerative Injection Therapy by Platelet Rich Plasma/PRP) คืออะไร          การรักษาด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้นเป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นของตัวผู้ป่วยเองเพื่อไปเร่งการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อของเอ็นกล้ามเนื้อ เอ็นกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ ด้วยวิธีการนี้ การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นจึงเป็นการใช้ระบบการซ่อมแซมของตัวผู้ป่วยเองในการแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อและกระดูก        เลือดประกอบด้วยน้ำและโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ และมีเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด  เกล็ดเลือดเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่งทำหน้าที่ให้เลือดแข็งตัวและมีบทบาทสำคัญของร่างกายในกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติ การเตรียมเกล็ดเลือดเข้มข้นทำโดยการดูดเลือดของผู้ป่วย แล้วนำมาปั่นด้วยความเร็วสูงเพื่อแยกเกล็ดเลือดที่เข้มข้นออกมา แล้วน้ำเกล็ดเลือดที่เข้มข้นฉีดที่เนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ เกล็ดเลือดที่เข้มข้นจะปล่อยสารที่ไปกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ที่ไปซ่อมแซมร่างกาย         การรักษาโดยการฉีดเกล็ดเลือดมีประสิทธิผลจริงหรือไม่        เมื่อทบทวนการศึกษาวิจัยจากวารสารวิชาการที่น่าเชื่อถือจำนวนมาก พบว่า การใช้การรักษาด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นยังอยู่ในระยะเริ่มต้น จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยทางคลินิกที่มีคุณภาพและวิธีการวิจัยที่ดีเพิ่มเติม ต้องศึกษาตั้งแต่การเตรียมเกล็ดเลือดเข้มข้น ส่วนประกอบของเกล็ดเลือด วิธีการฉีด การติดตามผู้ป่วยที่เพียงพอ        จากการทบทวนข้อมูลทางการแพทย์ของ COCHRANE (ณ มีนาคม 2556) และงานวิจัยใหม่ ๆ (ณ มีนาคม 2555) มีการศึกษา 19 รายงานที่มีการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นกับการควบคุมที่ไม่ใช้ มีผู้เข้าร่วมการศึกษา 1,088 ราย พบว่า หลักฐานที่มียังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการรักษาด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเพื่อการรักษาการบาดเจ็บของกระดูกและกล้ามเนื้อ หรือแสดงให้เห็นผลที่แตกต่างตามประเภทของการบาดเจ็บ การวิจัยในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องนึกพิจารณาถึงความจำเป็นในการทำมาตรฐานการเตรียมเกล็ดเลือดเข้มข้นด้วย         การรักษาด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นจึงยังไม่เป็นการรักษามาตรฐานทางการแพทย์         ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยเท่านั้น ไม่ใช่การรักษามาตรฐานทางการแพทย์ ดังนั้นโรงพยาบาลจึงไม่ควรเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล เพราะเป็นแค่การศึกษาวิจัย         นอกจากนี้ ผู้ที่ไม่ควรรับการรักษาด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น ได้แก่ ผู้มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โลหิตจางขั้นรุนแรง มีระบบภูมคุ้มกันบกพร่อง กินยาต้านเกล็ดเลือด ยาละลายลิ่มเลือด ตั้งครรภ์และให้นมลูก        สรุป ในขณะนี้ การรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นยังไม่เป็นที่ยืนยันเรื่องประสิทธิผล และยังอยู่ในระยะการศึกษาวิจัย ไม่ใช่การรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 222 ความเคลื่อนไหวเดือนสิงหาคม 2562

รู้ยัง ตรวจสอบราคายา รพ.เอกชนได้แล้ว        ‘กรมค้าภายใน’ จัดให้ระบบตรวจสอบราคายา 356 โรงพยาบาลออนไลน์ขึ้นเว็บ-คิวอาร์โค้ด แบ่งระดับสี เขียว-เหลือง-แดง เทียบระหว่างโรงพยาบาลได้ โดยผ่านลิงค์เว็บไซต์กรมการค้าภายใน หรือสแกนคิวอาร์โค้ดที่โรงพยาบาล จากนั้นจะต้องพิมพ์คำค้นเป็นชื่อยาภาษาอังกฤษ และสามารถเลือกเปรียบราคายาระหว่างโรงพยาบาลได้ https://hospitals.dit.go.th/app/drug_price_search.php คลิกเลย กทม. ลุยตรวจ 48 สวนสนุกในกรุงเทพฯ พบ 16.67% สอบตกเกณฑ์มาตรฐาน         ผลสำรวจสวนสนุกในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 48 แห่ง พบว่ามีใบอนุญาตก่อสร้างและใบอนุญาตประกอบกิจการ 33 แห่ง ไม่มีใบอนุญาต 15 แห่ง และในจำนวนนี้มีที่ไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจประเมินสุขลักษณะ 8 แห่ง ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไข เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการที่ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน          กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มอบหมายให้สำนักงานเขตต่างๆ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกิจการและตรวจสุขลักษณะ ความปลอดภัย และอาชีวอนามัย ประเภทกิจการสวนสนุกในกรุงเทพ ฯ จำนวน 48 แห่ง ในพื้นที่ 26 เขต ตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีใบอนุญาตก่อสร้างอาคารและใบอนุญาตประกอบกิจการ 33 แห่ง ไม่มีใบอนุญาต 15 แห่ง จึงได้แจ้งให้ดำเนินการขอใบอนุญาตให้ถูกต้องภายใน 15 วัน หากไม่สามารถดำเนินการให้เรียบร้อยจะสั่งระงับการให้บริการ และมีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท นอกจากนี้ยังมีสวนสนุกที่ตั้งเป็นการชั่วคราวตามลานกิจกรรมหรืองานต่างๆ ประมาณ 7-30 วัน ที่ต้องขออนุญาตเช่นกัน ซึ่งต้องเข้าไปกวดขันดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากโครงสร้างชั่วคราวมีข้อจำกัดด้านอายุการใช้งาน กทม. จึงได้กำชับให้เขตดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวด สสส. เผยไทยมีนักดื่ม 22.5 ล้านคนสูงสุดในรอบ 5 ปี ชี้รณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาช่วยการดื่มลง 10%         กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาของทุกปี  โดยจากการสำรวจพบว่านักดื่มไทยมีกว่า 22.5 ล้านคน สูงสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาช่วยการดื่มลง 10% ประเทศประหยัดถึง 10,724 ล้านบาท          ปี 2562 สสส.หรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รณรงค์ผ่านแคมเปญ “ตับจะกลับมาดี พรรษานี้เริ่มงดเหล้า” จากการสำรวจสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ช่วงปี 2544 - 2560 พบว่าคนไทยมีแนวโน้มการดื่มลดลงจาก 32.7% ในปี 2544 เหลือ 28.4% ในปี 2560 ประกอบกับการสำรวจภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนไทยโดยวิธีการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 ปี 2557 มีผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายลดลงเหลือ 3.4% ลดจากปี 2547 ที่อยู่ที่ 9.1% ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ของคนไทยโดยรวมลดลง สอดคล้องกับข้อมูลค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ลดลงจาก 151,607 ล้านบาท ในปี 2548 เหลือ 142,230 ล้านบาท ในปี 2560 ขณะที่การรณรงค์ให้คนไทยลด ละ เลิก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะโครงการงดเหล้าเข้าพรรษา ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากในทุกปีสคบ.อำนาจล้น ดีเดย์ 25 สิงหาคม กม.คุ้มครองผู้บริโภคบังคับใช้แล้ว        พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่นี้ เพิ่มเรื่องความคล่องตัวด้วยการมอบอำนาจแก่ท้องถิ่นมากขึ้น มีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารใหม่และเพิ่มอำนาจของกรรมการให้มากขึ้นเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม   รวมถึงยังมี กรรมการด้านความปลอดภัยที่เข้ามาดูแลเรื่องสินค้าบริการและเฝ้าระวังให้ผู้บริโภค ด้วย  นอกจากนั้นยังมีการกำหนดเรื่องการโฆษณาในมาตรา 29 ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเพิ่มโทษปรับ 2 - 10 เท่าในกรณีการทำผิดเมื่อเปรียบเทียบกับพ.ร.บ. ฉบับปี พ.ศ. 2556         พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค(ฉบับที่4) พ.ศ. 2562 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 สิงหาคม นี้ โดยเพิ่มอำนาจให้ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ถูกปรับโครงสร้างใหม่ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดในทุกกระทรวงรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 8 คนและผู้แทนความรู้ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาการภาคประชาชนและภาคผู้ประกอบธุรกิจอย่างน้อยภาคละ 2 คน ด้วยโครงสร้างนี้ หน่วยงานจะจัดการปัญหาได้เร็วขึ้น เพราะจะมีตัวแทนจากทุกกระทรวงเข้ามาจัดการปัญหาได้โดยตรง อีกทั้งยังให้อำนาจกับเลขาธิการสคบ. สามารถพิจารณาและสั่งดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการหากพบว่าปัญหานั้นเข้าเกณฑ์ความผิด         สองมีการเพิ่มอัตราโทษปรับให้สูงขึ้นหนึ่งเท่าในทุกมาตรา อีกทั้งกรณีสินค้าและบริการที่เป็นอันตรายจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์มาตรการ   ดังนั้นเมื่อผู้ประกอบธุรกิจผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหรือร่างกายก็ต้องมั่นใจว่าสินค้าหรือบริการนั้นปลอดภัยเพราะ พ.ร.บ. ฉบับนี้กำหนดให้เมื่อผู้ประกอบธุรกิจทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้าหรือบริการ บทลงโทษจะเปรียบเทียบความผิดไม่ได้ กล่าวคือเมื่อพบความผิดของผู้ประกอบธุรกิจจะมีการเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาและฟ้องดำเนินคดีทันที         สามการให้อำนาจกับท้องถิ่นเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ไม่ต้องส่งเรื่องมายังหน่วยงานกลางซึ่งทำให้ล่าช้า และเงินค่าปรับที่ได้มาจากการกระทำผิดไม่ต้องส่งให้ส่วนกลางแต่ให้กับพื้นที่เพื่อจะได้นำไปสร้างความเข้มแข็งให้กับพื้นที่และยังทำให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไทยติดกลุ่มผู้นำเข้าขยะพลาสติกสูงสุดในโลก         แต่ละปีคนไทยทิ้งขยะรวมกันกว่า 27 ล้านตัน เทียบเท่ากับช้างกว่า 5.56 ล้านตัว เฉพาะ กทม. ทิ้งมากเกือบถึง 1 ใน 5 ของทั้งประเทศ ที่ชวนให้ต้องตื่นตัวคือไทยอยู่ในกลุ่มผู้นำเข้าขยะพลาสติกมากที่สุดของโลก          ขยะยังคงเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ยังหาทางกำจัดให้หมดสิ้นไม่ได้ ซึ่งเมื่อดูจากข้อมูลสถานการณ์ขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าปริมาณขยะในไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี 2561 มีกว่า 27.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.64% จากปี 2560 ปัจจัยจากการมีประชากรเพิ่มขึ้น ชุมชนเมืองขยายตัว รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น เฉพาะในกรุงเทพฯ มีปริมาณ 4.85 ล้านตัน คิดเป็น 17% ของขยะมูลฝอยทั้งประเทศ         อย่างไรก็ดีพบว่า การจัดการขยะมูลฝอยถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ถึงอย่างนั้นมีขยะพลาสติกเพียง 5 แสนตันจาก 2 ล้านตันที่ถูกรีไซเคิล ที่น่าตกใจคือมีขยะที่ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้องถึง 27% ประกอบกับการลักลอบทิ้งในพื้นที่สาธารณประโยชน์ ทำให้ขยะจากบกปะปนสู่ทะเล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติก จึงส่งผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตดังที่เกิดเหตุการณ์เป็นข่าวเศร้าต่างๆ         ในส่วนของเสียอันตรายจากชุมชนก็เพิ่มขึ้น 3.2% จากปี 2560 ส่วนใหญ่เป็นซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพียง 13% เท่านั้น นอกจากนี้ มีกากของเสียอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบการจัดการยังลดลง 33% โดยมากเป็นกากอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นอันตราย โดยได้นำกลับมาใช้ประโยชน์ด้วยการเผาเพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า         นายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า แม้การจัดการขยะอย่างถูกต้องจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะยังไม่มีกฎระเบียบการคัดแยกของเสียอันตรายออกจากขยะทั่วไป รวมถึงมีการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก ซึ่งมีผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงนำไปสู่การยกเลิกนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 422 รายการ รวมถึงยกเลิกการนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้ว ยกเว้นกระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบ และได้จัดทำโรดแมป การจัดการขยะพลาสติกปี 2562-2570 โดยลดและเลิกใช้พลาสติก 7 ชนิด ภายในปี 2565

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 กระแสในประเทศ

ความเคลื่อนไหวเดือนสิงหาคม 2561แนะใช้แอป  EMS 1669 ช่วยผู้ป่วยฉุกเฉิน         สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อตอบโจทย์การให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินกับประชาชน ภายใต้ชื่อแอปพลิเคชัน EMS 1669 ซึ่งประชาชนสามารถเรียกรถพยาบาลได้ทันที สามารถระบุพิกัดตำแหน่งที่อยู่ของผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างแม่นยำ ทำให้ทีมแพทย์ฉุกเฉินเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยได้เร็วขึ้น เพียงแค่กดปุ่มสีแดงในแอป เรียกรถพยาบาล นอกจากนี้ยังสามารถแนบไฟล์ภาพเหตุการณ์เพื่อแจ้งสถานการณ์เพิ่มเติม และมีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอีกด้วยปี 2574 ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กล่าวว่า ไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี 2548 โดยอาศัยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าปี 2564 ไทยจะก้าวสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ และจะเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด ในปี 2574 ซึ่งมีคนอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 14% ประชากรทั้งหมด                ปัจจุบันไทยมีประชากรสูงอายุประมาณ 11 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่ม ติดสังคม 79.5 % ติดบ้าน 19 % และติดเตียง 1.5 % โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังมากถึง 10 % กรมกิจการผู้สูงอายุ ระบุแนวทางผลักดันและส่งเสริมให้ สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ โดยเร่งขับเคลื่อน 10 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การสร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ 2. การทำงานและการสร้างรายได้ 3. ระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงวัย 4. ปรับสภาพแวดล้อมชุมชนและบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ  5. ธนาคารเวลา(สังคมไม่ทอดทิ้งกัน) โดยที่ผู้สูงอายุในชุมชนต้องได้รับการดูแล  6. การสร้างความรอบรู้ให้คนรุ่นใหม่ 7. กำหนดให้สังคมสูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ  8. การปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติข้อบังคับให้เอื้อต่อการทำงานด้าน ผู้สูงอายุ 9. ปฏิรูประบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนงาน โดยมีฐานข้อมูลรายบุคคลของผู้สูงอายุ และ 10. พลิกโฉมนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงอายุงดเหล้าเข้าพรรษา ลดเสี่ยงตับอักเสบกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า คนไทยเสี่ยงต่อภาวะตับอักเสบโดยไม่รู้ตัว เพราะระยะแรกมักไม่มีอาการ จนละเลยการรักษา แต่เซลล์ตับจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนเกิดตับแข็ง หรืออาจเป็นมะเร็งตับในที่สุด โดยตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ ยา สารเคมี สารพิษต่างๆ ซึ่งเเอลกอฮอล์ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ โดยการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจทำให้เกิดอาการพิษต่อตับได้ทั้งระยะเฉียบพลัน และเรื้อรัง ทั้งนี้ นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ ผู้อำนวยการ รพ.ราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นประจำ การหยุดดื่มทันทีอาจทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน และในบางคนอาจได้ยินเสียงแว่ว ประสาทหลอน สับสน และชักได้ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ติดเหล้าเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการ เสียชีวิตอันดับ 1 ของประชากรไทย แซงหน้าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตและหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคปอด กระทรวงสาธารณสุขได้เผยแพร่รายงานว่าในปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วย โรคมะเร็งประมาณ 77,566 คน เป็นเพศชาย 44,490 คน เป็นเพศหญิง 33,076 คน ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุ การตายอันดับหนึ่งของคนไทยแล้ว ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย โดยโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้ชายไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลําไส้ใหญ่ ส่วนผู้หญิงไทยโรคมะเร็ง 3 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านมโฆษณาว่า ไขมันทรานส์ 0 % ระวังเข้าข่ายโอ้อวดเกินจริงน.ส.สุภัทรา บุญเสริม ผอ.สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าว ความจริงไขมันทรานส์ ว่า หลังจาก อย.ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ทำให้เกิดไขมันทรานส์ขึ้น โดยมีผลวันที่ 9 ม.ค. 2562 นั้น ไม่อยากให้ประชาชนเกิดความตระหนก ยืนยันว่าน้ำมันที่ใช้ตามบ้าน ทั้งน้ำมันปาล์ม และน้ำมันพืช ยังสามารถใช้ได้ตามปกติ "ที่น่ากังวล คือ ขณะนี้มีผู้ประกอบการบางรายใช้โอกาสนี้โฆษณาว่า ผลิตภัณฑ์ปลอดไขมันทรานส์ หรือไขมันทรานส์ 0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน จึงขอให้ใช้ข้อความว่า ปราศจาก/ไม่ใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ซึ่งเป็นแหล่งหลักของไขมันทรานส์ และแสดงปริมาณไขมันทรานส์ได้เฉพาะในกรอบโภชนาการแบบเต็มร่วมกับการแสดงส่วนประกอบอื่นๆ เท่านั้น โดยให้แสดงไว้ที่ตำแหน่งใต้ไขมันอิ่มตัว และใช้หลักเกณฑ์เดียวกับไขมันอิ่มตัว และเพื่อให้เป็นธรรม อย.จะมีการตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวเป็นจริง โดยการส่งตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ ซึ่งต้องไม่เจอจริงๆ ถึงจะไม่เป็นการโอ้อวด ในกรณีฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 ปี และปรับตั้งแต่ 5 พันบาท ถึง 2 หมื่นบาท" น.ส.สุภัทรา กล่าวผู้บริโภคยังร้องเรียน วินมอเตอร์ไซค์ขับขี่หวาดเสียว – เก็บค่าโดยสารเกินราคามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายผู้บริโภค 7 ภาคเผยข้อมูลเรื่องร้องเรียน ตั้งแต่ต้นปี 60 - ก.ค.61 พบผู้บริโภคร้องเรียนเกี่ยวกับรถโดยสารสาธารณะทั้งสิ้น 729 ราย โดยพบตั้งแต่ ถูกเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตรา หรือแพงเกินกว่าที่ระบุบนป้ายแสดงค่าบริการ, ขับขี่เร็ว หวาดเสียว เกิดอุบัติเหตุ และใช้วาจาไม่สุภาพกับผู้โดยสาร โดยพบปัญหาการใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเกิดจากการที่ผู้บริโภคไม่รู้สิทธิตนเองโดยจากการประสานงานไปยังสำนักงานเขต และกรมการขนส่งเพื่อตรวจสอบข้อมูล ยังพบปัญหาว่าผู้ร้องเรียนไม่ได้จดจำเลขทะเบียน หรือเบอร์เสื้อวินรับจ้าง ทำให้ปัญหาเกิดความล่าช้า ดังนั้นหากผู้บริโภคพบวินรับจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ให้จดจำวัน-เวลา และสถานที่เกิดเหตุ, ชื่อ-สกุล หรือเลขเสื้อวิน, เลขทะเบียน และร้องเรียนไปยัง กรมการขนส่งทางบก ผ่านสายด่วน 1584 หรือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-248-3737

อ่านเพิ่มเติม >

ข่าวด่วน! ผลิตภัณฑ์ของฝาก-ของดี จาก 4 ภาค พบส่วนใหญ่ใส่สารกันบูดเกินมาตรฐาน!

ฉลาดซื้อสุ่มตรวจของฝาก 4 ภาค พบส่วนใหญ่ใส่สารกันบูดเกินมาตรฐานนิตยสารฉลาดซื้อฉบับ 205 เผยผลทดสอบของฝาก-ของดี 4 ประเภท จากภาคกลาง อีสาน เหนือและใต้ พบสินค้าส่วนใหญ่ใส่สารกันบูดเกินเกณฑ์ เว้นอีสานไม่พบการปนเปื้อนนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคสี่ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคใต้ ร่วมมือเก็บตัวอย่างสินค้าที่จัดเป็นของฝากยอดนิยม จำนวน 4 ประเภท ได้แก่ โรตีสายไหมจากภาคกลาง น้ำปลาร้าปรุงสำเร็จจากภาคอีสาน น้ำพริกหนุ่มจากภาคเหนือและแกงไตปลาแห้งจากภาคใต้ ทดสอบเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานสินค้า ด้านอาหารให้กับผู้บริโภคผลการทดสอบ พบว่า “แผ่นแป้งโรตีสายไหมจากภาคกลาง” ที่นำมาทดสอบจำนวน 10 ตัวอย่าง จาก จ. พระนครศรีอยุธยา มีการตกค้างของสารกันบูดหรือกรดเบนโซอิกทั้งหมด โดย 6 ตัวอย่างอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ตามที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 381 พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) สำหรับอาหารประเภทธัญชาติและผลิตภัณฑ์ธัญชาติ กำหนดไว้คือ พบปริมาณกรดเบนโซอิกได้ ไม่เกิน 1,000 มก./อาหาร 1 กก. ได้แก่ 1. ร้านอาบีดีน+ประนอม แสงอรุณ พบ 23.96 มก./กก.2. ร้านวริศรา โรตีสายไหม พบ 671.45 มก./กก.3. ร้านโรตีสายไหมบังแป๊ะ พบ 686.56 มก./กก.4. ร้านโรตีสายไหม ไคโร น้องชายบังอิมรอน พบ 708.64 มก./กก.5. ร้านจ๊ะโอ๋ พบ 887.62 มก./กก. และ6. ร้านประวีร์วัณณ์ พบ 985.84 มก./กก.อย่างไรก็ตามพบว่า มีแผ่นแป้งโรตีสายไหม 4 ตัวอย่าง ที่มีกรดเบนโซอิกตกค้างเกินมาตรฐาน ได้แก่ 1.โรตีสายไหม ร้านศิลัคข บังอารีย์ แสงอารุณ เจ้าเก่า พบ 1910.45  มก./กก. 2. ร้านแม่ชูศรี พบ 1894.05  มก./กก. 3. ร้านเรือนไทย พบ 1502.32  มก./กก. และ4. ร้านเอกชัย (B.AEK) พบ 1147.95  มก./กก. ทั้งนี้สำหรับผลการทดสอบสีสังเคราะห์ในสายไหม พบทุกตัวอย่างใช้สีสังเคราะห์ แต่ไม่เกินมาตรฐาน  ด้านผลการทดสอบโลหะหนัก ตะกั่ว แคดเมียมใน “น้ำปลาร้าปรุงสำเร็จจากภาคอีสาน” จำนวน 12 ตัวอย่าง จากพื้นที่ จ. ขอนแก่น กาฬสินธุ์และอุบลราชธานี พบว่า ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 พ.ศ. 2529 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน ที่กำหนดให้ตรวจพบได้ ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำปลาร้า (มผช. 1346/2557) ของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ที่กำหนดไว้ว่า สารปนเปื้อนแคดเมียม ต้องน้อยกว่า 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ได้แก่1. น้ำปลาร้าต้มสุกเข้มข้น ตรา น้องพร จากท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น ไม่พบการปนเปื้อนแคดเมียม/ ตะกั่ว2. น้ำปลาร้าปรุงสุก 100% ตรา แซ่บไมค์ โดย ไมค์ ภิรมย์พร (น้ำปลาร้าสูตรส้มตำ) จากท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น พบแคดเมียมน้อยกว่า 0.03 มก./กก.และไม่พบการปนเปื้อนตะกั่ว3. น้ำปลาร้าต้นตำรับกาฬสินธุ์ ตรา แม่ฝาย จากตลาดสระทอง เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด  จ.ร้อยเอ็ด พบแคดเมียม 0.10 มก./กก.และตะกั่ว 0.04 มก./กก.4. น้ำปลาร้าส้มตำ แม่บุญล้ำเจ้าเก่า (สูตรปรุงสำเร็จ) จากตลาดสดเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พบแคดเมียมน้อยกว่า 0.03 มก./กก.และไม่พบการปนเปื้อนตะกั่ว5. น้ำปลาร้าปรุงสุก ตรา แซ่บดี (น้ำปลาร้าสูตรส้มตำ) จากตลาดสดเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พบแคดเมียม 0.12 มก./กก. และไม่พบการปนเปื้อนตะกั่ว6. น้ำปลาร้าต้มสุกปรุงรส ตราแม่หม่อม สูตรดั้งเดิม จากตลาดสดเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พบแคดเมียม 0.10 มก./กก. และตะกั่ว 0.04 มก./กก.7. น้ำปลาร้าส้มตำปรุงสำเร็จ ตะวันทอง ๑ จากตลาดบ้านคำไฮ จ.ขอนแก่น พบแคดเมียม 0.04 มก./กก. และตะกั่ว 0.03 มก./กก.8. ปลาร้าส้มตำปรุงรส ตรา เจ้จุ๋ม จากตลาดบ้านคำไฮ จ.ขอนแก่น พบแคดเมียม 0.05 มก./กก. และตะกั่ว 0.06 มก./กก.9. แม่สมัย ปลาร้าส้มตำ จากตลาดบ้านคำไฮ จ.ขอนแก่น พบแคดเมียม 0.04 มก./กก. และตะกั่ว 0.03 มก./กก.10. เศรษฐีแซ่บ น้ำปลาร้าต้มปรุงสำเร็จ สูตรเข้มข้น จากตลาดสดเทศบาลเมืองวารินชำราบ พบแคดเมียม 0.03 มก./กก. และตะกั่ว 0.04 มก./กก.11. น้ำปลาร้าปรุงรสต้มสุก ตรา ภา-ทอง จากตลาดสดเทศบาล 1  เทศบาลนครขอนแก่น พบแคดเมียม 0.06 มก./กก. และตะกั่ว 0.05 มก./กก. และ12. น้ำปลาร้าปรุงสุก 100% ตรา แซ่บไมค์ โดย ไมค์ ภิรมย์พร (น้ำปลาร้าสูตรส้มตำ) จากตลาดสดเทศบาลเมืองวารินชำราบ พบแคดเมียมและตะกั่วน้อยกว่า 0.03 มก./กก.สำหรับผลการทดสอบ “น้ำพริกหนุ่มจากภาคเหนือ” จำนวน 10 ตัวอย่าง จาก จ.เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่และแพร่ พบว่า ทุกตัวอย่างมีสารกันบูดหรือกรดเบนโซอิกตกค้าง โดย 6 ตัวอย่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่โคเด็กซ์กำหนดไว้ในหมวดอาหารประเภทน้ำพริกแบบแห้งและน้ำพริกแบบเปียก คือ ไม่เกิน 1,000 มก./อาหาร 1 กก. ได้แก่1. เรือนไทยขนมไทย จาก จ.ลำปาง พบ 217.73 มก./กก.2. อำพัน จาก จ.ลำปาง พบ 375.22 มก./กก. 3. น้ำพริกหนุ่มอุ้ยแก้ว จาก จ.พะเยา พบ 492.46 มก./กก.4. ดำรงค์ จากตลาดวโรรสเชียงใหม่ พบ 509.82 มก./กก.5. นันทวัน (เจียงฮาย สูตรดั้งเดิม) จาก จ.เชียงราย พบ 585.44 มก./กก. และ6. เจ๊หงษ์ (เชียงใหม่) จากตลาดวโรรสเชียงใหม่ พบ 705.60 มก./กก.ในขณะที่น้ำพริกหนุ่มอีก 4 ยี่ห้อ พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงเกินกว่าที่มาตรฐานดังกล่าวกำหนดไว้ ได้แก่ 1. แม่ถนอม จาก จ.แพร่ พบ 3476.46 มก./กก.2. ป้านวย จาก จ.ลำปาง พบ 1195.06 มก./กก. 3. ศุภลักษณ์ (รสเผ็ดมาก) จาก จ.พะเยา พบ 1122.06 มก./กก. และ 4. น้ำพริก มารศรี(สูตรดั้งเดิม) จาก จ.พะเยา พบ 1043.80 มก./กก.  นอกจากนี้ผลการทดสอบ “แกงไตปลาแห้งจากภาคใต้” พบว่า จากตัวอย่างแกงไตปลาแห้งที่นำมาทดสอบทั้งหมดจำนวน 10 ยี่ห้อ จาก จ. ชุมพร สุราษฎร์ธานี กระบี่ สงขลาและปัตตานี มี 3 ยี่ห้อ ที่ไม่พบสารกันบูดหรือกรดเบนโซอิกตกค้างเลย ได้แก่1. คุณแม่จู้ จาก จ.กระบี่ 2. วังรายา จาก จ.ปัตตานี และ3. วิน (Win) จากสนามบินหาดใหญ่โดยมี 2 ยี่ห้อ พบกรดเบนโซอิกตกค้างแต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานโคเด็กซ์ที่กำหนดไว้ในหมวดอาหารประเภทน้ำพริกแบบแห้งและน้ำพริกแบบเปียก คือ ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ได้แก่1. แม่รุ่ง จาก จ.ชุมพร พบ 269.57 มก./กก. และ2. เจ๊น้อง จากศรีกระบี่ ศูนย์รวมของฝากฯ พบ 411.59 มก./กก.อย่างไรก็ตามมี 5 ยี่ห้อที่พบสารกันบูด (กรดเบนโซอิก/ ซอร์บิก) ตกค้างเกินเกณฑ์ดังกล่าว ได้แก่ 1. ป้าสุ จากตลาดกิมหยง จ.หาดใหญ่ พบเบนโซอิกและซอร์บิก 1318.32 มก./กก. และ 978.88 มก./กก. ตามลำดับ ซึ่งมีผลรวมของสารกันบูดทั้งสองชนิดเท่ากับ 2.297.2 มก./กก. สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) ที่กำหนดให้หากมีการใช้วัตถุเจือปนอาหารรวมกันตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป จะต้องมีผลรวมของสัดส่วนของปริมาณการใช้วัตถุเจือปนอาหารต่อปริมาณสูงสุดที่อนุญาตของวัตถุเจือปนอาหารแต่ละชนิดไม่เกินหนึ่ง 2. ชนิดา(CHANIDA) จากสนามบินหาดใหญ่ พบเบนโซอิก 2540.22 มก./กก. 3. RICHMe by lalita จากตลาดกิมหยง พบเบนโซอิก 2429.64 มก./กก. 4. จันทร์เสวย จาก จ.ปัตตานี พบเบนโซอิก 1572.86 มก./กก. และ 5. แม่จิตร จากตลาดสดเทศบาล นครสุราษฎร์ธานี พบเบนโซอิก 1508.32 มก./กก. ทั้งนี้สำหรับผลเสียของการใช้สารกันบูดหรือวัตถุกันเสียที่มากเกินไป สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่รับประทานเป็นประจำได้ เช่น ทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือเกิดการสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดเป็นพิษเรื้อรังในอนาคต  ด้าน นส. สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า การทดสอบของนิตยสารฉลาดซื้อครั้งนี้ เป็นการให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงคุณภาพสินค้าของตนเอง เพราะผลิตภัณฑ์ที่นำมาทดสอบจัดเป็นของฝากหรือของดีของแต่ละภูมิภาค ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และสามารถเป็นสินค้าที่นำไปส่งออกได้ ทั้งนี้ทางมูลนิธิฯ จะช่วยส่งจดหมายถึงคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อขอให้มีการแนะนำกับผู้ผลิตเพื่อยกระดับสินค้าต่อไป 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 203 กลูโคซามีนลดอาการข้อเข่าเสื่อม...จริงหรือ

กลูโคซามีน เป็นสารชีวเคมีธรรมชาติที่สกัดออกมาได้จากเปลือกสัตว์ เช่น หอย กระดูกสัตว์ต่างๆ ไขกระดูก และราบางชนิด(สามารถสังเคราะห์กลูโคซามีนจากข้าวโพดเพื่อขายแก่ผู้ที่เป็นมังสวิรัติ) สารชีวเคมีนี้เมื่อเกิดในร่างกายมนุษย์ จะอยู่ในรูปกลูโคซามีน-6-ฟอสเฟต ส่วนที่มีการขายทั่วไปนั้นมักเป็นกลูโคซามีนซัลเฟต ทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารอื่นในกลุ่มน้ำตาลชนิดที่มีอะตอมไนโตรเจนในโมเลกุล(nitrogen-containing sugars)งานวิจัยบางชิ้นให้ผลว่า โมเลกุลกลูโคซามีนนั้น น่าจะถูกนำไปใช้สร้างน้ำหล่อลื่นข้อต่อต่างๆ ในขณะที่กลุ่มซัลเฟตที่ได้จากกลูโคซามีนซัลเฟตนั้น อาจมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์กระดูกอ่อนด้วย ซึ่งสมมุติฐานนี้ไปสนับสนุนผลของบางการศึกษาที่พบว่า กลูโคซามีนที่ได้ผลนั้นต้องอยู่ในรูปกลูโคซามีนซัลเฟตเท่านั้น ไม่ใช่กลูโคซามีนไฮโดรคลอไรด์หรือเอ็นอะเซ็ตติลกลูโคซามีน ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีกลูโคซามีนซัลเฟตเป็นหลักมักมีการเติมสารอื่น เช่น คอนดรอยตินซัลเฟต(chondroitin sulfate) กระดูกอ่อนจากปลาฉลาม และสารอื่นเข้าไปด้วย โดยผู้ค้าหวังว่าจะช่วยให้การออกฤทธิ์ของกลูโคซามีนดีขึ้น แต่ยังไม่มีใครพิสูจน์ทางวิชาการได้ว่า หวังนั้นเป็นจริงเว็บของ MedlinePlus (https://medlineplus.gov) สังกัด National Library of Medicine ซึ่งเป็นห้องสมุดการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่สุดในโลกให้ข้อมูลว่า กลูโคซามีนซัลเฟตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้ความหวังแก่ผู้มีอาการกระดูกเข่าเสื่อม ปวดข้อเนื่องจากยาบางชนิด กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ ปวดขากรรไกร ปวดเข่า ปวดหลัง ปลอกประสาทเสื่อมแข็ง(Multiple Sclerosis) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการผลิตเป็นสินค้าผสมการบูรและ/หรือสารอื่นๆ ในรูปครีมใช้ทาลดอาการปวดตามข้ออีกด้วยNatural Medicines Comprehensive Database องค์กรด้านวิชาการหนึ่งสังกัด California State University ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการบำบัดโรคด้วยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติกล่าวว่า กลูโคซามีนซัลเฟตน่าจะใช้ได้ผลในการลดความเจ็บปวดของข้อเข่าเสื่อม ในระดับเดียวกันกับการใช้ยาพาราเซ็ตตามอลหรืออยากลุ่ม NSAIDs เพียงแต่ระยะเวลาต่างกันเท่านั้น อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่ากลูโคซามีนไม่มีประสิทธิผลในคนไข้บางกลุ่ม โดยเฉพาะพวกที่มีอาการเจ็บปวดมานาน อ้วน หรือเป็นผู้สูงวัยข้อมูลที่ดูดีอีกหน่อยหนึ่งในอินเทอร์เน็ตกล่าวว่า กลูโคซามีนอาจจะช่วยบรรเทาอาการข้อต่อสะโพกเสื่อมและข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อม ยืดอายุข้อเข่าในผู้ที่กินติดต่อกัน อีกทั้งผู้ที่กินยานี้มีแนวโน้มว่าอาจจะไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า อย่างไรก็ดีข้อมูลประการนี้ยังควรฟังหูไว้หูNatural Medicines Comprehensive Database ได้กล่าวอีกว่า มีงานวิจัยบางชุดที่ระบุว่า มีหลักฐานไม่พอที่กล่าวว่ากลูโคซามีน (ซึ่งใช้ร่วมกับสารธรรมชาติอื่น) มีประสิทธิผล ในคนไข้ที่มีปัญหาเจ็บข้อต่อ (เนื่องจากการใช้ยาเพื่อลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในการบำบัดมะเร็งเต้านมระยะต้น) คนไข้เจ็บกระเพาะปัสสาวะ(Interstitial cystitis) เจ็บเข่า ปวดขากรรไกร เป็นต้นความปลอดภัยของกลูโคซามีนเกี่ยวกับความปลอดภัยของกลูโคซามีนนั้น MedlinePlus กล่าวเป็นเชิงว่า ควรปลอดภัยถ้ากินอย่างถูกต้องตามที่เภสัชกรแนะนำ และน่าจะปลอดภัยกว่า กรณีที่ถูกฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้งต่อสัปดาห์นาน 6 สัปดาห์ หรือใช้ทาผิวหนังร่วมกับคอนดรอยตินซัลเฟต กระดูกอ่อนปลาฉลามและการบูรนาน 8 สัปดาห์ผลข้างเคียงของการกินกลูโคซามีนซัลเฟตนั้นมีรายงานว่า ในผู้บริโภคบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ กรดไหลย้อน ถ่ายท้องและท้องผูก นอกจากนี้ผลข้างเคียงที่อาจเกิดเพิ่มเติมเฉพาะคนคือ ง่วงซึม ความผิดปรกติของผิวหนังและปวดหัว ที่สำคัญคือ หญิงตั้งท้องหรือให้นมลูกนั้นพึงระวัง เพราะยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยของกลูโคซามีนซัลเฟตในประเด็นนี้ สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่ออาการหอบหืดอาจต้องระวังเป็นพิเศษเพราะเคยมีการระบุปัญหาในรายงานทางวิชาการชิ้นหนึ่ง กลูโคซามีนนั้นทำให้ยาวอร์ฟาริน(ซึ่งใช้ลดอาการเลือดข้น) ออกฤทธิ์มากขึ้นจนทำให้ความดันโลหิตผู้ป่วยต่ำลง อีกทั้งยังมีรายงานที่ตั้งข้อสงสัยว่า กลูโคซามีนอาจไปวุ่นวายต่อประสิทธิภาพในการใช้ยาต้านมะเร็ง(chemotherapy)ในสหรัฐอเมริกากลูโคซามีนซัลเฟต ถูกให้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ เพราะจัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(US.FDA) ไม่มีบทบาทในการควบคุมดูแลแต่อย่างใด แม้แต่อำนาจในการขอหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของสินค้าก็ไม่มี ยกเว้นเมื่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดก่อปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภค งานจึงจะเข้าให้ US.FDA พิสูจน์และมีบทบาทในการฟ้องร้องสำหรับประเทศส่วนใหญ่ในสหภาพยุโรปนั้น กลูโคซามีนซัลเฟตถูกจัดให้เป็นยาจึงต้องขึ้นทะเบียนพร้อมหลักฐานทางวิชาการถึงประสิทธิผล พร้อมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการนำไปใช้บำบัดอาการปวดข้อต่างๆ อย่างไรก็ดีในปี 2014 OARSI (Osteo Arthritis Research Society International) ได้แถลงข่าวเป็นเชิงว่า ไม่แนะนำให้ใช้กลูโคซามีนบำบัดอาการปวดเข่า (เข้าใจว่าเป็นเพราะข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลยังสับสนอยู่)จากความไม่แน่นอนทางวิชาการเกี่ยวกับผลของกลูโคซามีนในการรักษาอาการเจ็บข้อต่างๆ นั้น ทางคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย ได้ถอนรายชื่อของกลูโคซามีนออกจากบัญชียาหลัก ทำให้กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค 0422.2/ว127 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2553 แจ้งเวียน หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อำนวยการสถานพยาบาลของทางราชการ /สถานพยาบาลที่กระทรวงการคลังกำหนด เพื่อทราบและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติ เรื่องการกำหนดรายการยาที่ห้ามเบิกจ่ายจากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยได้กำหนดให้ กลุ่มยา SYSADOA (กลูโคซามีน คอนดรอยติน ซัลเฟตและไดอะเซอเรน) ทุกรูปแบบและกลุ่มยาฉีดเข้าข้อบรรเทา อาการข้อเสื่อม (ไฮยาลูโรแนนและอนุพันธ์) เป็นรายการยาที่ห้ามเบิกจ่ายจากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และไม่ให้คณะกรรมการแพทย์ของสถานพยาบาลออกหนังสือรับรองการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มยาดังกล่าวไม่มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิผลไม่ชัดเจนอย่างไรก็ดีเมื่อเข้าไปในเว็บ www.hfocus.org/content/2015/05/10007 ก็ได้พบข้อมูลว่า ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา (เล่ม 132 ตอนที่ 41) ได้ลงประกาศสำนักงานศาลปกครอง เรื่อง ศาลปกครองได้พิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนกฏ นัยว่าเพื่อให้เป็นไปตามคําพิพากษาถึงที่สุดของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดงที่ 502/2558 ระหว่าง ผู้ฟ้องคดี (ขอสงวนนาม) กับกระทรวงการคลัง และคําพิพากษาถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ 503/2558 ระหว่าง ผู้ฟ้องคดี (ขอสงวนนาม) กับกระทรวงการคลัง โดยพิพากษา “เพิกถอนหลักเกณฑ์กระทรวงการคลัง แจ้งตามหนังสือกระทรวงการคลังด่วนที่สุด ที่ กค0422.2/ว127 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ที่กําหนดให้กลุ่มยา SYSADOA (กลูโคซามีน คอนดรอยตินซัลเฟต และไดอะเซอเรน) ...” ดังกล่าวข้างต้น โดยให้การเพิกถอนคำสั่งกรมบัญชีกลางนั้นมีผลตั้งแต่วันที่มีการประกาศผลแห่งคําพิพากษาในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558ผู้เขียนได้รับการบอกเล่ามาว่า การที่แพทย์จะจ่ายยาที่อยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติให้ผู้ป่วยซึ่งเป็นข้าราชการทั้งที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่หรือเกษียณไปแล้วนั้น จำต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจ่ายยาดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการที่แพทย์หลายส่วนกังวล เพราะสุ่มเสี่ยงต่ออะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ดังนั้นผู้ที่ประสงค์จะกิน “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” ชนิดนี้คงต้องจ่ายเงินเองไปก่อน จนกว่าจะมีผลการพิสูจน์ว่าสารชีวเคมีชนิดนี้มีประสิทธิผลในการบำบัดอาการปวดข้อต่างๆ แล้วกลับเข้าไปอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 เหม็นกลิ่นขี้ยางจากข้างบ้าน

ขี้ยางหรือเศษยาง เป็นสิ่งที่เหลือจากการกระบวนการทำยางก้อนและยางแผ่น ซึ่งสามารถนำไปเป็นส่วนผสมสำหรับยางที่มีสีดำอย่างยางรถยนต์ต่อได้ อย่างไรก็ตามขี้ยางมักมีกลิ่นแรง โดยหากไม่มีการจัดเก็บที่ดี อาจส่งปัญหาต่อบ้านใกล้เรือนเคียงได้ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณกุญชร ได้กลิ่นเหม็นรบกวนจากเพื่อนบ้านเป็นประจำ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าสาเหตุของกลิ่นมาจากการที่เพื่อนบ้าน รับซื้อขี้ยางมาเก็บไว้จำนวนมาก เพื่อรอการจำหน่ายต่อไป ทำให้เขาต้องการทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถจัดการปัญหาได้อย่างไรบ้าง เพราะไม่อยากทนกลิ่นเหม็นของขี้ยางอีกต่อไป จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำผู้ร้องว่า กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 ที่กำหนดไว้ในมาตรา 25 (4) ว่า การกระทำใดๆ ที่เป็นเหตุให้เกิด กลิ่น แสง เสียง การสั่นสะเทือน ฝุ่น จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นการกระทำผิด ซึ่งผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงตาม พ.ร.บ. นี้คือเจ้าพนักงานท้องถิ่น สามารถแจ้งให้ปรับปรุง/แก้ไข  ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ และหากล่วงเลยเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานก็มีอำนาจสั่งรื้อ/ปรับได้ ศูนย์ฯ จึงแนะนำให้ผู้ร้องไปแจ้งเรื่องต่อผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้ปกครองท้องถิ่นก่อนเบื้องต้น โดยภายหลังผู้ร้องได้แจ้งกลับมาว่าได้ดำเนินการบอกผู้ใหญ่บ้านแล้ว ซึ่งไปแจ้งเตือนคู่กรณีให้มีการแก้ไขปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อย จึงยินดีขอยุติเรื่องร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 197 ข้าวรักษาเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานมักจะได้รับคำเตือนให้ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล รวมทั้งจำกัดปริมาณข้าวไม่ให้รับประทานมากเกินไปเพราะแป้งในข้าวมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แต่วันนี้มีผลิตภัณฑ์ข้าวบรรเทาเบาหวาน ... มันคืออะไร? มีผู้บริโภคนำผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งแผ่นพับโฆษณามาให้ผมดู พร้อมทั้งถามว่า “มันรักษาเบาหวานได้จริงหรือ?” โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตนเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุ วันหนึ่งมีบริษัทมาขายข้าว โดยให้ข้อมูลว่าข้าวชนิดนี้เป็นข้าวที่รักษาเบาหวานได้ ในระหว่างขายสินค้า ก็จะมีผู้คนที่อ้างว่าเป็นเบาหวานและปัจจุบันหายจากโรคนี้แล้ว เพราะกินข้าวชนิดนี้ ราคาขายกิโลกรัมละ 220 บาท ถ้าสมัครเป็นสมาชิกจะเหลือกิโลกรัมละ 175 บาท ตนเองสงสัยว่าข้าวหอมมะลิทั่วไปราคาประมาณกิโลกรัมละ 50 บาทเอง ทำไมข้าวชนิดนี้ถึงราคาแพงมาก แล้วมันดีจริงหรือผมดูผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ก็เหมือนข้าวสารทั่วๆไป แต่ที่น่าสนใจคือรายละเอียดในแผ่นพับ อธิบายว่า ข้าวชนิดนี้เป็นนวัตกรรมโภชนาการบำบัด สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหาน และบุคคลทั่วไป ผลิตโดยกระบวนการพิเศษ ทำให้ลดแป้งในเม็ดข้าว ทำให้การเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลช้าลง ทำให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ได้หมด ไม่เหลือในระบบเลือด (เบาหวานลด) นอกจากนี้ก็มีเนื้อหาที่อธิบายโรคแทรกซ้อนในเบาหวาน รวมทั้งอธิบายคุณสมบัติของข้าวชนิดนี้ว่า จะมีสารสกัดน้ำมันรำข้าวซึมเข้าไปในเมล็ดข้าว และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย สามารถช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ลดความเสี่ยงโรคสายตา บำรุงผิวพรรณ ทำให้นอนหลับสบาย ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ฯลฯ รวมทั้งมีการอ้างอิงวิชาการต่างๆ ด้วย ซึ่งหากดูข้อมูลตรงนี้จะเห็นว่า เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ระบุชัดเจนว่ารักษาโรคได้ โดยพยายามเลี่ยงมาใช้คำว่า “ลด” ความเสี่ยงต่างๆแต่ที่น่าประหลาดใจคือ ข้อความจากรูปถ่าย ป้ายโฆษณาที่ผู้ขายนำมาตั้งไว้ระหว่างขาย กลับแสดงรูปผู้ป่วยหลายคน(บางรายมีแผลลุกลามที่ขา) และมีข้อความโฆษณาสรรพคุณของข้าวชนิดนี้ อย่างเข้มข้นกว่าในแผ่นพับ เช่นระบุว่า ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบตัน  ป้องกันโรคเบาหวาน  ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันโรคสมองเสื่อมผู้บริโภคถามว่า ตนควรจะกินข้าวนี้แทนข้าวกล้องที่กินประจำดีไหม ผมจึงแนะนำไปว่า การรับประทานข้าวกล้องก็ได้วิตามินและแร่ธาตุอยู่แล้ว  ข้าวชนิดนี้มีการอ้างกรรมวิธีการผลิต  ซึ่งผมไม่ทราบว่ากรรมวิธีการผลิตที่แท้จริง  มันจะเป็นอย่างที่โฆษณาหรือไม่ มีข้อสังเกตสองสามอย่างคือ  ข้าวชนิดนี้ราคาจะแพงกว่าข้าวทั่วๆ หลายเท่า และข้อความที่โฆษณาหลายอย่าง โดยเฉพาะในป้ายที่ตั้งโฆษณา เป็นข้อความที่เข้าข่ายเสมือนเป็นยารักษาโรค ซึ่งในแง่ผลิตภัณฑ์อาหารจะไม่สามารถโฆษณาแบบนี้ได้ หากจะโฆษณาแบบนี้จะต้องพิสูจน์ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยายอมรับว่ามีสรรพคุณดังกล่าวจริงและต้องมาขอขึ้นทะเบียนเป็นยาด้วย  นอกจากนี้ฉลากโภชนาการที่แสดงด้านหลังภาชนะบรรจุ ก็ไม่ใช่แบบที่ถูกต้อง แสดงว่ายังไม่ได้ขออนุญาตใช้ฉลากที่แสดงคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าคุณค่าสารอาหารที่อ้างว่ามี ตรงกับที่แสดงในฉลากหรือไม่ เพราะเมื่อไม่ได้มาขออนุญาต จึงไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานใดๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 131 ฉลาดใช้ สมาร์ทโฟน

  สมาร์ทโฟน ก็คือ โทรศัพท์มือถือที่สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ แถมยังได้เปรียบในเรื่องของขนาดที่ทั้งเล็กและเบากว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทั่วไป พกพาไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย ปัจจุบันมือถือเป็นมากกว่าอุปกรณ์สื่อสารแล้ว เพราะเป็นได้ทั้ง กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นวิทยุ โทรทัศน์ เกม อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ท ฯลฯ ต้องยอมรับว่า “สมาร์ทโฟน” นั้น “ฉลาด” สมชื่อ แต่ก็อย่าลืมว่าเราในฐานะผู้ใช้ก็ต้อง “รู้จักใช้และใช้อย่างฉลาด” ใช้อย่างมีความรู้มีข้อมูล ใช้แล้วตัวเราได้รับประโยชน์ อย่าใช้แล้วทำให้เกิดโทษ โดยเฉพาะค่าบริการในใบแจ้งหนี้ อาจทำให้ช็อกได้ อย่าลืมว่า ไม่ว่าเราจะคุยโทรศัพท์ ส่งข้อความ อ่านอีเมล โหลดเพลง โหลดเกม เล่นเน็ต เข้าเว็บไซต์ หรือไปกด Like ใน Facebook อะไรก็แล้วแต่ที่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านทางมือถือ ทุกอย่างมีค่าบริการหมด ไม่มีอะไรฟรี   การใช้งานสมาร์ทโฟน โปรดอย่าซื้อตามกระแส ควรซื้อมาและใช้ให้คุ้มประโยชน์มากที่สุด บางทีเครื่องเป็นหมื่นแต่คุณก็ใช้ประสิทธิภาพของมันแค่สองสามพัน อันนี้ไม่คุ้ม เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย บางคนชอบไอโฟน แต่ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนี้ราคาสูง นอกจากนี้โปรแกรมการใช้งานเสริม หรือที่เรียกกันว่า แอพพลิเคชั่น (Application) ต่างๆ ก็มีทั้งที่ให้โหลดฟรีและที่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม โปรดศึกษาให้ดีก่อน สิ่งที่ควรรู้เมื่อใช้สมาร์ทโฟน 1.ศึกษารูปแบบแพ็คเก็จ เดี๋ยวนี้บรรดาค่ายผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ต่างก็ออกแพ็คเก็จต่างๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก ความแตกต่างของแต่ละแพ็คเก็จขึ้นอยู่กับปริมาณของบริการที่ได้รับ ยิ่งจ่ายแพงก็ยิ่งได้ใช้มาก แต่ต้องเข้าใจว่าแพ็คเก็จสำหรับสมาร์ทโฟนไม่เหมือนกับแพ็คเก็จสำหรับมือถือทั่วไปแบบแต่ก่อน ที่จะเป็นประเภทจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ค่าโทรเท่านั้น (หรือมากกว่า) อย่างแพ็คเก็จ voice ของดีแทค ที่จ่ายเดือนละ 499 บาท สามารถโทรได้ 550 นาที แต่ถ้าเป็นแพ็คเก็จสำหรับสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone ของดีแทคเหมือนกันที่จ่ายเดือนละ 499 บาทเท่ากัน จะโทรได้แค่ 225 นาที แต่ก็ต้องเข้าใจว่ายังมีบริการอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ทั้งค่าบริการอินเตอร์เน็ต SMS MMS โดยเฉพาะค่าบริการอินเตอร์เน็ตจาก EDGE/GPRS, WiFi และ 3G เพื่อลองรับความเป็นสมาร์ทโฟน แต่ก่อนบริการอินเตอร์เน็ตจะอยู่ในรูปแบบแพ็คเก็จเสริม นั่นเป็นเพราะว่าบรรดาผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือมองว่าเมื่อเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน การใช้งานอินเตอร์เน็ตก็จะมีมากขึ้น การโทรออกก็จะมีน้อยลง คนใช้สมาร์ทโฟนเลยต้องยอมรับ (แบบไม่ค่อยเต็มใจ) ว่าต้องปรับพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ให้สอดรับกับรูปแบบของแพ็คเก็จ จากที่เคยติดต่อสื่อสารผ่านการคุยโทรศัพท์ ก็อาจต้องเปลี่ยนมาใช้การติดต่อที่ใช้อินเตอร์เน็ตแทนบ้างในบางโอกาส ซึ่งก็มีหลายช่องทางหลายวิธี เช่น ผ่านทางอีเมล MSN หรือ โปรแกรมที่คนใช้สมาร์ทโฟนควรมีไว้อย่าง  Whatsapp, Viber และ Line เพราะเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารเหมือนการคุยโทรศัพท์ แต่เป็นการคุยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องเสียค่าบริการในส่วนของค่าโทร ส่วนแพ็คเก็จสำหรับเล่นอินเตอร์เน็ต ก็มีทั้งแบบรวมมากับค่าโทร และแบบที่เป็นแพ็คเก็จอินเตอร์เน็ตอย่างเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แพ็คเก็จอินเตอร์เน็ตซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับ โทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต และแอร์การ์ด สำหรับใช้ในคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ค ก็ยังมีรูปแบบการคิดค่าบริการทั้งแบบเหมาจ่าย คือจ่ายราคาเดียวเป็นประจำทุกเดือนใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน EDGE หรือ 3G ได้ไม่จำกัด ซึ่งแพ็คเก็จแบบเหมาจ่ายรายเดือนแม้จะใช้งานได้ไม่จำกัดแต่ก็อาจจะมีราคาแตกต่างกันบ้าง ขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ใช้ นอกจากนี้ยังมีแพ็คเก็จที่ให้เราจ่ายตามปริมาณที่ใช้ โดยจะมีการคิดค่าบริการเริ่มต้น และกำหนดปริมาณอินเตอร์เน็ตที่สามารถใช้ได้ในแต่ละเดือน ซึ่งจะมีทั้งแบบที่คิดเป็นจำนวนเมกะไบต์ และแบบที่คิดตามระยะเวลา ซึ่งถ้าหากมีการใช้เกินกว่าที่กำหนดก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นค่าบริการส่วนเกิน   2.รู้พฤติกรรมการใช้ของตัวเอง ก่อนจะเลือกแพ็กเก็จหรือโปรโมชั่นจากผู้ให้บริการมือถือค่ายไหนก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้ก่อนว่าพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของตัวเองเป็นแบบไหน ใช้โทรเข้าโทรออกเป็นหลัก หรือหนักไปทางใช้งานอินเตอร์เน็ต ต้องสำรวจตัวเองให้ดี เพราะค่าบริการโทรศัพท์มือถือรายเดือนเดี๋ยวนี้มีราคาสูง แถมถ้าหากไม่มีการวางแผนที่ดีแต่ละเดือนอาจจะต้องสูญเงินไปกับค่าโทรศัพท์ เพราะไม่ใช่แค่จ่ายตามราคาแพ็จเก็จที่สมัครแล้วจบ  ถ้าโทรเกิน เล่นเน็ตเกิน ก็ต้องเจอกับค่าบริการส่วนเกิน บางคนทีเลือกแพ็กเก็จ 399 บาท แต่อาจจะต้องจ่ายจริงๆ เกือบพันบาท เพราะใช้งานเกินข้อตกลงของแพ็กเก็จที่เลือกไว้ เรื่องที่ต้องย้ำกับคนใช้โทรศัพท์มือถือทุกคนไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นไหน จะสมาร์ทหรือไม่สมาร์ท ต้องอย่าลืมศึกษาข้อตกลงและเงื่อนไขต่างๆ ให้ดี ต้องรู้ว่า จากราคาแพ็กเก็จรายเดือนที่จ่ายไป เราสามารถโทรออกได้กี่ครั้งหรือกี่นาที แล้วเมื่อโทรเกินจำนวน คิดค่าโทรส่วนเกินอย่างไร นาทีละเท่าไหร่ การใช้บริการอินเตอร์เน็ตต่างๆ ก็เช่นกัน ต้องมั่นตรวจสอบการใช้งานอยู่เรื่อยๆ อย่าลืมว่าโทรศัพท์มือถือของเราเป็นแบบสมาร์ทโฟน ฉลาดแบบที่เราอาจคาดไม่ถึง พอไปเจอสัญญาณ WiFi หรือ 3G ที่ไหนเข้า มือถือของเราก็อาจต่ออินเตอร์เน็ตได้เองโดยเจ้าของอย่างเราไม่ทันรู้ตัว เราสามารถประมาณการดูได้ว่าในแต่ละเดือนเราใช้งานอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือมากน้อยแค่ไหน โดยใช้ “โปรแกรมช่วยคำนวณการใช้งานอินเตอร์เน็ตเพื่อเลือกแพ็คเก็จให้เหมาะสมกับการใช้งาน” ที่ค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ออกแบบมาเพื่อให้เราคำนวนการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเว็บไซต์ รับ – ส่งอีเมล ดู Youtube เล่น Facebook ลองเลือกตามพฤติกรรมการใช้ของตัวเอง โปรแกรมจะคำนวณออกมาเป็นจำนวนเมกะไบต์ที่เราใช้ต่อเดือน แล้วค่อยนำไปเปรียบเทียบหาแพ็คเก็จที่เหมาะสมกับการใช้งานของเราที่สุด โดยเราสามารถเข้าไปใช้งานโปรแกรมนี้ได้ที่เว็บไซต์ของแต่ละค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หรือตามลิงค์เหล่านี้ AIS http://www.ais.co.th/mobileinternet/3g/package/mobile-internet-calculator/Dtac http://www.dtac.co.th/3g/calculator-time.phpTruemove H http://www.truemove-h.com/calculator.aspx   3.อัตราค่าบริการส่วนเกิน หลายคนมักมีปัญหาเวลาที่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนโทรศัพท์มือถือ เพราะยอดที่ต้องจ่ายมักแพงกว่าราคาแพ็คเก็จที่สมัครไว้เสมอ นั่นก็เป็นเพราะปริมาณการใช้งานบริการต่างๆ บนมือถือ ทั้ง โทรออก ส่งข้อความ เล่นเน็ต เกินกว่าที่กำหนดไว้ในแพ็คเก็จ ทำให้ต้องเสียค่าบริการส่วนเกิน ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่เราต้องรู้ว่าแพ็คเก็จที่เราใช้อยู่นั้น สามารถใช้บริการต่างๆ ได้ที่ปริมาณเท่าไหร่ แล้วการคิดอัตราค่าบริการส่วนเกินอย่างไร เท่าไหร่ เพื่อเราจะได้สามารถควบคุมตัวเองได้ว่าในแต่ละเดือนสามารใช้ได้เท่าไหร่ ถ้าหากใช้เกินจะต้องเสียเงินเพิ่มแค่ไหน เพื่อไม่ให้เราต้องเสียค่าบริการแต่ละเดือนสูงเกินไป จนตัวเราเองไม่สามารถรับภาระนั้นได้ ซึ่งเราสามารถศึกษาอัตราค่าบริการส่วนเกินต่างๆ ได้ในข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้แพ็คเก็จหรือโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 ค่ายผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือจะคิดค่าโทรส่วนเกินสำหรับแพ็คเก็จรายเดือนคือ 1 บาท 25 สตางค์ - 1 บาท 50 สตางค์ต่อนาที ส่วนบริการข้อความ SMS คิดข้อความละ 2 – 3 บาท EDGE/GPRS และ 3G มีค่าบริการส่วนเกินอยู่ที่ 1 บาท 50 สตางค์ - 2 บาท ต่อเมกะไบต์ และ WiFi คิด 1 บาทต่อนาที นอกจากนี้ค่าบริการต่างๆ ที่มีการแจ้งไว้ในแพ็คเก็จยังไม่ได้บวกค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7%   4.ข้อจำกัดในการใช้งานอินเตอร์เน็ต ถึงแม้ว่าแต่ละค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ต่างก็ออกมาบอกกันว่าความเร็วอินเตอร์เน็ตของตัวเองทั้งแรงทั้งเร็ว เทคโนโลยีล้ำหน้ากันสุดๆ แต่ยังมีความจริงเกี่ยวกับข้อจำกัดเรื่องสัญญาณอินเตอร์เน็ตอีกมากที่เขาไม่ได้บอกกับเราในโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่อง สถานที่ ช่วงเวลา อุปกรณ์เชื่อมต่อ หรือแม้แต่ตัวเครื่องสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ ล้วนมีผลต่อความเร็วของสัญญาณอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น อย่างเรื่องของ 3G ที่ถือเป็นเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่ว่ากันว่าแรงและเร็วที่สุด ณ เวลานี้ ก็ยังมีข้อจำกัดอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่การให้บริการ อย่างที่เห็นในโฆษณาที่บอกว่า “เครือข่าย 3G ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ” คนต่างจังหวัดฟังแล้วอาจสงสัยว่าจังหวัดที่เราอยู่มี 3G ใช่หรือเปล่า ต่างกับคนกรุงเทพฯ ที่อาจจะหลงดีใจว่าเรามี 3G ให้ใช้แล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอย่างที่บอกว่าสัญญาณ 3G ยังมีข้อจำกัดอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างของจุดรับ – ส่งสัญญาณ จำนวนผู้ใช้บริการ ณ เวลานั้นๆ และอุปกรณ์ที่ใช้งาน ซึ่งทำให้บางพื้นที่ก็อาจไม่มีสัญญาณ 3G หรือมีสัญญาณต่ำมาก ไม่เร็วอย่างที่โฆษณา จนเรียกว่าแทบจะใช้งานไม่ได้ ยิ่งในต่างจังหวัดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมีแค่บางจังหวัด แถมในจังหวัดที่มีก็มีแค่บางอำเภอเท่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้การสมัครแพ็กเก็จที่มีบริการ 3G เสริมเข้ามาด้วยนั้นก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าใครที่อยากก้าวตามเทคโนโลยีอยากใช้ 3G ก็ศึกษาข้อมูลพื้นที่สัญญาณที่จะใช้ให้ดี ดูปริมาณที่กำหนดให้ใช้ได้ในแต่ละเดือน รวมถึงอัตราค่าบริการส่วนเกินหากมีการใช้มากเกินกว่าที่กำหนดไว้ในแพ็คเก็จ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วิธีปิดการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือป้องกันไม่ให้เสียค่าบริการส่วนเกิน จากเชื่อมต่ออัตโนมัติในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน AISปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ต *129*1# โทรออกเปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ต *129*2# โทรออกตรวจสอบสถานะการใช้งาน ปิด - เปิด EDGE/GPRS : กด *129# โทรออกAIS มีบริการควบคุมการใช้งาน EDGE/GPRS ให้มียอดค่าบริการสูงสุดไม่เกิน 1,500 บาทต่อเดือน (ไม่รวม VAT)   Dtac ปิดการใช้งานอินเตอร์เน็ต *140*71# โทรออกเปิดการใช้งานอินเตอร์เน็ต *140*72# โทรออกนอกจากนี้ Dtac ยังมีบริการ SMS แจ้งเตือนยอดการใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะแจ้งเตือนเมื่อใช้ครบ 10 บาท / 200 บาท / 500 บาท และ 1,500 บาท   True Move Hปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ต โทร  *9399 กด 5 กด 3 (ค่าบริการครั้งละ 1 บาท)ซึ่งเบอร์ *9399 ยังเป็นเบอร์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีกหลายเรื่องเช่น ตรวจสอบยอดการใช้บริการ ยอดคงเหลือ ยอดส่วนเกิน สมัครบริการเสริม SMS แจ้งเตือนยอดคงเหลือ บริการควบคุมค่าใช้จ่าย------------------------- วิธีปิดการใช้งาน EDGE/GPRS ด้วยตัวเราเองในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน 1.ระบบปฏิบัติการ IOS (ในโทรศัพท์ iPhone)เลือก Setting > General > Network > Cellular Data Off 2.ระบบปฏิบัติการ RIM (ใช้กับ Blackberry)วิธีที่ 1 เลือก Options > Mobile Network > Data Services > Offวิธีที่ 2 เลือก Manage Connection > Mobile Network Options > Data Services > Off 3.ระบบปฏิบัตรการ Androidเลือก Setting > Wireless & Networks > Mobile Network > Select the Data Roaming Check Box 4.ระบบปฏิบัติการ Windows Mobileเลือก Start > Comn Manager > Data connection > Off ที่มา : พลังคน พลังคลื่น ปีที่ 2 ฉบับที่ 10 กันยายน – ตุลาคม 2553, สำนักคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สมท.)http://www.it24hrs.com/2011/close-edge-gprs-setting/   เปรียบเทียบแพ็คเก็จรายเดือนสำหรับโทรศัพท์ iPhone ของแต่ละค่ายมือถือ AIS DTAC true ชื่อแพ็คเก็จ mini medium max Max plus S M L S M L ค่าบริการรายเดือน  (บาท) 279 519 839 899 449 580 699 399 579 799 โทรทุกเครือข่าย (นาที) 150 250 500 500 225 250 350 100 250 450 3G / EDGE (เมกะไบต์) 150 500 ไม่จำกัด ไม่จำกัด 100 ไม่จำกัด ไม่จำกัด 400 ไม่จำกัด ไม่จำกัด SMS (ครั้ง) 100 250 300 300 200 300 400 50 300 400 MMS (ครั้ง) 20 30 50 50 30 50 75 20 50 100 Wifi (ชั่วโมง) - - - ไม่จำกัด - - - 10 20 ไม่จำกัด ฟรีค่าบริการรายเดือน 6 เดือน เดือนที่ 19 - 24 4 เดือน เดือนที่ 21 - 24 3 เดือน เดือนที่ 10 - 12 6 เดือน เดือนที่ 19 - 24 6 เดือน หลังใช้มาแล้ว 18 เดือน     เปรียบเทียบแพ็คเก็จรายเดือนสำหรับโทรศัพท์ Blackberry ของแต่ละค่ายมือถือ   AIS DTAC true ชื่อแพ็คเก็จ BBM + Voice Call Chat + E-mail หรือ Facebook Internet 50 MB Internet 300 MB Unlimited BB Mini BB Mix BB Me BB Max BB Talk BB Social BB Net BB Unlimited ค่าบริการรายเดือน  (บาท) 300 300 450 500 799 179 249 299 790 300 300 450 799 โทรทุกเครือข่าย (นาที) 200 - - - - - - -   200 100 นาที ใช้ได้ 3 เดือนแรกที่สมัครแพ็คเก็จ SMS (ครั้ง) 10 - - - - 300 - - - - - - - Blackberry Massage P P P P P P P P P P P P P Chat - P P P P -   P P - - - - E-mail - เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง P P P - - P P - - P P Social Network (facebook, tweeter) - P P P - P P P - P P P 3G / EDGE (เมกะไบต์) - - 50 300 ไม่จำกัด - - - ไม่จำกัด - - 500 ไม่จำกัด Wifi (ชั่วโมง) - - - - ไม่จำกัด - - - - - 3 5 ไม่จำกัด สำรวจในช่วงเดือนมกราคม 2555 โปรโมชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลง อย่าลืมตรวจสอบอีกครั้ง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 125 Call center ปฏิบัติการ โทรหาเธอวันละ 3 เวลา

  ฉลาดซื้อลงเรื่องทดสอบประสิทธิภาพของโทรศัพท์มือถือมาแล้วหลายครั้ง คราวนี้ขอลองทดสอบดูการให้บริการลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์หรือคอลเซ็นเตอร์ ของแต่ละเครือข่ายดูบ้าง หลายคนคงอยากรู้ว่าคนอื่นๆ ที่เป็นลูกค้าของเครือข่ายอื่นๆ เขาต้องรอนานเหมือนเราหรือเปล่า  อาสาสมัครช่างโทรของเรา รับหน้าที่โทรเข้า Call center ของผู้ประกอบการโทรคมนาคม 3 บริษัท ได้แก่ AIS DTAC และTRUE MOVE วันละ 3 เวลา (09:00 น. 12:30 น. และ 20:00 น.) ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มิใช่เพื่อการเม้าท์มอยด้วยความคิดถึง แต่เพื่อจับเวลาในการรอสาย   โดยเริ่มนับจากเวลาที่โทรติด จากนั้นฟังขั้นตอนต่างๆ จากระบบให้ข้อมูลอัตโนมัติของเครือข่าย จนกระทั่งได้ข้อมูลว่าต้องกดหมายเลขอะไรเพื่อติดต่อโอเปอเรเตอร์ และหยุดนับเวลาเมื่อโอเปอเรเตอร์รับสาย แต่ทั้งนี้อาสาสมัครจะวางสายเองถ้าต้องรอมากกว่า 5 นาที   จากการโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ของแต่ละบริษัท บริษัทละ 45 ครั้ง ทำให้เราได้ข้อมูลเรื่องระยะเวลาในการรอสายมาเล่าสู่กันฟังดังนี้   เวลาเฉลี่ยในการรอสายของแต่ละเครือข่าย1 นาที 15 วินาที  DTAC  1 นาที 59 วินาที  TRUE MOVE 2 นาที 39 วินาที  AIS   เวลาเฉลี่ยในการรอสายเมื่อโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ ในช่วงเวลาต่างๆ ของแต่ละเครือข่าย เวลา / เครือข่าย AIS DTAC TRUE MOVE 9:00 น. 3 นาที 03 วินาที 1 นาที 12 วินาที 1 นาที 46 วินาที 12:30 น. 1นาที 52 วินาที 1 นาที 49 วินาที 1 นาที 58 วินาที 20:00 น. 3 นาที 04 วินาที 1 นาที 56 วินาที 3 นาที 02 วินาที   • ถ้าคุณเป็นลูกค้า AIS เวลาที่เหมาะจะโทรปรึกษาคอลเซ็นเตอร์ คือช่วงเที่ยงๆ เพราะตอนเช้าและหัวค่ำนั้นคุณอาจจะต้องรอไม่ต่ำกว่า 3 นาที• ลูกค้า DTAC นั้นจะโทรเช้า เที่ยง หรือเย็นก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่ข่าวดีคือรอไม่เกิน 2 นาที• ลูกค้า TRUE MOVE กรุณาอย่าโทรช่วงหัวค่ำเพราะต้องรอมากกว่า 3 นาที เปลี่ยนมาโทรช่วงเช้าหรือเที่ยงจะดีกว่า___  อาสาสมัครของเราทดลองโทรเข้าไปขอข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนไปใช้บริการของเครือข่ายอื่น พบว่าแต่ละเครือข่ายยินดีให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจ พูดจาสุภาพ และไม่พยายามจะตื้อให้เราใช้เครือข่ายเดิมต่อแต่อย่างใด ___ โพลล์ “ครอบครัวฉลาดซื้อ” รอสายกันนานไหมคราวนี้เราได้รับความร่วมมือจาก “ครอบครัวฉลาดซื้อ” สมาชิกฉลาดซื้อ และผู้เข้าร่วมการสัมมนาเรื่ององค์การอิสระผู้บริโภคที่โรงแรมเอเชีย ในวันคุ้มครองผู้บริโภค 30 เมษายน 2554 ทั้งหมด 275 คน ในการช่วยให้ข้อมูลเรื่องการรอสายรับบริการจากศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์   ___  ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 275 คน• ร้อยละ 37 เป็นลูกค้าของดีแทค DTAC • ร้อยละ 35.8 เป็นลูกค้าของเอไอเอส AIS• ร้อยละ 24.2 เป็นลูกค้าของทรูมูฟ TRUE MOVE• ร้อยละ 3 เป็นลูกค้าของฮัทช์ HUTCHผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 87.5) ใช้บริการมาแล้วกว่าสองปี ___ • ร้อยละ 76.8 ของผู้ให้ข้อมูล เคยประสบปัญหาจากการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัญหาเรื่องระบบสัญญาณ   ร้อยละ 59.5  ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบริการเสริมต่างๆ  ร้อยละ 20 ปัญหาค่าบริการ    ร้อยละ 13.6 และปัญหาอื่นๆ     ร้อยละ 6.8   • การสำรวจครั้งนี้พบว่า  ทรูมูฟ มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา  ร้อยละ 82.8เอไอเอส มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา ร้อยละ 75.3ฮัทช์ มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา  ร้อยละ 75ดีแทค มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา  ร้อยละ 74.7  • สามอันดับปัญหายอดฮิตปัญหาเรื่องสัญญาณ  ร้อยละ 59.7ปัญหาเรื่องบริการเสริม  ร้อยละ 19.9ปัญหาเรื่องค่าใช้บริการ  ร้อยละ 13.4   • ร้อยละ 75.8 ของผู้ให้ข้อมูล เคยใช้บริการคอลเซ็นเตอร์ ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 34.2  รอสายประมาณ 3 ถึง 5 นาที ร้อยละ 32.9  รอสายน้อยกว่า 3 นาที ร้อยละ 21  รอสาย 5 ถึง 10 นาที ร้อยละ 11.9  รอสายเป็นเวลามากกว่า 10 นาที  ----ร้อยละ 12 ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยรอสายมากกว่า 10 นาทีร้อยละ 38.5 ของคนที่เคยรอสายนานกว่า 10 นาทีเป็นลูกค้าของ TRUE MOVE ----

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 91 มือถือยี่ห้อไหน ใส่ใจสังคมมากที่สุด

ฉลาดซื้อเคยนำเสนอผลทดสอบโทรศัพท์มือถือกันไปแล้วในฉบับก่อนๆ คราวนี้ขอนำสมาชิกไปรู้จักเบื้องหลังการถ่ายทำของอุปกรณ์เหล่านั้นกันบ้างว่าบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ดังกล่าวที่มีสาขาไปทั่วโลกนั้นได้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในเรื่องของการให้ลูกจ้างได้มีสภาพการทำงานที่ดี การพยายามลดผลกระทบของการผลิตและตัวผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะกันอย่างไรบ้างสิ่งที่เรานำมาฝากผู้อ่านในฉบับนี้คือผลการสำรวจความรับผิดชอบต่อสังคม (หรือที่เรียกกันทั่วไปตอนนี้ว่า CSR ซึ่งย่อมาจาก Corporate Social Responsibility) ของผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของโลก 5 บริษัท ได้แก่ แอลจี โมโตโรลา โนเกีย ซัมซุง และโซนี อิริคสัน ที่ครอบครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึงร้อยละ 75 และ 4 ใน 5 ของแบรนด์เหล่านี้ (โมโตโรลา โนเกีย ซัมซุง และโซนี อิริคสัน) มีส่วนแบ่งถึงร้อยละ 75 ของตลาดโทรศัพท์มือถือในยุโรป เจ้าภาพที่ทำการสำรวจครั้งนี้ได้แก่องค์กรยูโรคอนซูเมอร์ (Euroconsumers) ใช้วิธีการส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทเหล่านั้น สัมภาษณ์ผู้รับผิดชอบด้าน CSR พร้อมกับศึกษารวบรวมข้อมูลจากสื่อและงานวิจัยต่างๆ ในระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 – มกราคม พ.ศ. 2550 คะแนนความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 138 ข่าวสารผู้บริโภคบนทวิตเตอร์ (Twitter)

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารบ้านเมืองผ่านโซเชียลมีเดียหลากหลายรูปแบบ ตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่คุณเปิดรับคือการคลิกลงบนจอโทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต หรืออุปกรณ์ไอทีชนิดอื่นๆ เพื่ออ่านข้อความของใครต่อใครว่ามุมโลกแต่ละมุมเป็นอย่างไรบ้าง ก็คงไม่แปลกอะไรที่คุณจะรู้จัก Twitter แต่เนื่องจากบางท่านอาจไม่รู้จัก twitter จึงขออธิบายความหมายกันสักหน่อย Twitter (ทวิตเตอร์) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ ข้อความอัปเดตที่ส่งเข้าไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยู่บนเว็บเพจของผู้ใช้คนนั้นบนเว็บไซต์ ทวิตเตอร์ถูกสร้างขึ้นโดย Jack Dorsey หรือผู้อ่านสามารถตามทวิตได้ที่ @jack   สำหรับผู้อ่านที่ใส่ใจเรื่องเกี่ยวกับผู้บริโภค ที่ชอบติดตามข่าวสารสิทธิผู้บริโภค ความเป็นไปในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งชื่นชอบการใช้อินเตอร์เน็ตในการท่องโลกออนไลน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงขอแนะนำทวิตเตอร์ในแวดวงผู้บริโภคที่ต้องการทราบด้านโทรคมนาคมให้ทุกคน following ตามข่าวสารอย่างทันถ่วงที ในส่วนบุคคล คนแรกขอแนะนำ “สุภิญญา กลางณรงค์” หรือทวิตเตอร์ “@supinya” ผู้หญิงคนเดียวจากจำนวน 11 คน ในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยจะอัพเดททุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับ กสทช. ซึ่งจะดูแลทางด้านการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งในส่วนของวิทยุและโทรทัศน์ คนที่สอง พันเอก ดร. นที ศุกลรัตน์ “@DrNateeDigital” คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)  และคุณฐากร ตัณฑสิทธิ์ “@TakornNBTC” เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ส่วนหน่วยงานที่น่าสนใจแนะนำเป็น “@NBTCrights” และ “@Teleconsumer” สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เป็นอีกช่องทางสื่อสารกับผู้บริโภค ทั้งปัญหา เรื่องราวอัพเดต ของนโยบายด้านกิจการวิทยุ โทรทัศน์ และโทรคมนาคม  อีกหนึ่งช่องทาง ลองตามข่าวสารทาง twiiter กันดูนะคะ รวดเร็วทันใจจริงๆ **มือถือทุกรุ่นสามารถโหลดแอพพลิเคชั่น twitter ได้ฟรีค๊า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 117 กระแสในประเทศ

5 ตุลาคม 2553อย่าใช้เครื่องสำอาง “สเต็มเซลล์ พืช” ไม่สวยแถมเสี่ยง!!! อย.เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อเครื่องสำอางอวดอ้างสรรพคุณใช้เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) จากพืชเป็นส่วนผสม เพราะไม่ให้ผลตามสรรพคุณที่กล่าวอ้าง แถมยังอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อีกต่างหาก  ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า มีเครื่องสำอางอวดอ้างให้เข้าใจผิดว่า มีการผสมเซลล์ต้นกำเนิดจากพืชในเครื่องสำอาง และนำเสนอสรรพคุณเกินจริง เช่น สามารถทำให้เซลล์มนุษย์มีการแบ่งตัว และเจริญเติบโตได้ 80%, ทำให้เซลล์ทนทานต่อรังสี UV อายุของเซลล์ยาวขึ้น, มีประสิทธิภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งข้อมูลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากพืชยังมีอยู่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการสกัดสารสำคัญจากพืชมากกว่าการนำเซลล์พืชมาใช้เป็นส่วนผสม เพราะเซลล์จากพืชยังมีข้อจำกัดที่จะนำมาใช้ จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อการโฆษณาอวดอ้างดังกล่าว เพราะนอกจากไม่เกิดผลตามสรรพคุณที่กล่าวอ้างและเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายอีกด้วย..................................................................... 15 ตุลาคม 2553“เต้าหู้ยี้” ดูให้ดีก่อนทาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหารได้สำรวจคุณภาพของ “เต้าหู้ยี้” ในภาชนะปิดสนิทตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 - 2552 โดยตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเต้าหู้ยี้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 47 ตัวอย่าง พบเชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium perfringens) จำนวน 6 ตัวอย่าง บาซิลัสซีเรียส (Bacillus cereus) เกินเกณฑ์ จำนวน 31 ตัวอย่าง โคลิฟอร์ม (Coliforms) เกินเกณฑ์ จำนวน 7 ตัวอย่าง เชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ และบาซิลัสซีเรียส หากมีการปนเปื้อนในอาหารและเข้าสู่ร่างกาย ในปริมาณมากที่จะทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย  ใครที่จะซื้อเต้าหู้ยี้มารับประทาน ควรเลือกที่ภาชนะบรรจุปิดสนิท ไม่มีรอยแตกร้าว ไม่มีคราบเปียกชื้น ฉลากมีเลขทะเบียน อย. แจ้งชื่อผู้ผลิต วันที่ผลิต วันหมดอายุ หากเปิดภาชนะแล้วแต่ทานไม่หมด ควรปิดฝาให้สนิทแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น และหากพบว่าเต้าหู้ยี้มีลักษณะเนื้อ สีกลิ่นผิดปกติ แปลว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเสื่อมสภาพไม่ควรนำมารับประทานเด็ดขาด........................................................................   18 ตุลาคม 2553“น้ำมันรำข้าว” ไม่ช่วยรักษาโรค ปัญหาอาหารเสริมโฆษณาเกินจริงมีมาให้ผู้บริโภคได้ปวดหัวกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ “น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว” ที่อวดอ้างว่ารักษาโรคได้สารพัด ทั้ง โรคมะเร็ง หัวใจ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน อย.จึงต้องออกโรงเตือนผู้บริโภคอย่างหลงเชื่อโฆษณา พร้อมย้ำชัดเป็นแค่ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่ยารักษาโรค  อย.ฝากเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อนำมาทานรักษาโรค เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเสริมนอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติเท่านั้น ที่สำคัญอาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษาโรคที่ถูกต้อง ยิ่งผู้ป่วยที่ต้องเข้มงวดเรื่องการรับประทาน อย่าง เบาหวาน และมะเร็ง อาจส่งผลข้างเคียงหากทานอาหารเสริมโดยไม่ได้รับคำแนะนำหรือการดูแลจากแพทย์....................................................................   ไม่พอใจบริการโทรศัพท์ ผู้บริโภคบอกยกเลิกสัญญาได้สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. ได้ฝากเตือนมายังผู้ใช้และผู้ที่กำลังให้ความสนใจจะใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ ควรศึกษาดูรายละเอียดข้อมูลสัญญาการให้บริการก่อนตัดสินใจซื้อ และหากใช้แล้วไม่พอใจในบริการสามารถบอกยกเลิกสัญญาได้ โดยการยกเลิกสัญญากับเครือข่ายผู้ให้บริการต่างๆ สามารถทำได้ โดยสามารถแยกวิธีการและเงื่อนไขหลักๆ ได้ 3 กรณี กรณีแรก หากผู้ใช้บริการได้รับบริการที่ไม่มีคุณภาพ ผู้ใช้บริการมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแล้วโทร. ไม่ติดหรือถูกโอเปอเรเตอร์เปลี่ยนโปรโมชั่นโดยผู้ใช้บริการไม่ยินยอม กรณีที่สอง หากผู้ใช้บริการต้องการยกเลิกสัญญาเพราะไม่อยากใช้งานต่อ จะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้บริษัททราบล่วงหน้า อย่างน้อย 5 วัน โดยยกเลิกได้ทั้งแบบคืนเครื่องโทรศัพท์และไม่คืนเครื่อง หากต้องการคืนเครื่องโทรศัพท์ ผู้ใช้บริการจ่ายเฉพาะค่าบุบสลายของเครื่อง แต่ไม่เกินราคาเครื่อง แต่ถ้าผู้ใช้บริการต้องการ เก็บเครื่องโทรศัพท์ไว้ก็ต้องซื้อเครื่องจากผู้ใช้บริการตามราคาตลาด  แต่ในกรณีที่ 3 หากบริษัทใช้วิธีให้ผู้ใช้บริการทำสัญญาโดยการหักบัญชีผ่านบัตรเครดิตนั้น ถือเป็นการทำสัญญาด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับบัตรเครดิตโดยเฉพาะ ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ.2542 ผู้บริโภคมีเวลา 30 วันในการยกเลิกสัญญา ซึ่งหากพ้นจากระยะเวลาที่กำหนดแล้วจะถือว่าสัญญานั้นผูกมัดผู้บริโภค และเป็นไปตามสัญญาบัตรเครดิต ไม่ใช่สัญญาโทรคมนาคม .......................................................................   เมื่อคนไทยถูกคุกคาม ด้วยโรค “ข้อเข่าเสื่อม”จากการสัมนาวิชาการเรื่อง “ทศวรรษใหม่ในการรักษาโรคกระดูกและข้อ” เนื่องในวันโรคข้อสากลประจำปี 2553 มีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้คาดว่ามีคนไทยมีปัญหาโรคข้อเสื่อม กระดูกพรุนประมาณ 7 ล้านคน กลุ่มที่พบมากที่สุดคือ ผู้สูงอายุมีประมาณ 6 ล้านคน และยังมีผู้มีอาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ รวมทั้งโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเก๊าท์อีกประมาณ 1 ล้านคน แม้ว่าการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ทำให้ผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากการเจ็บปวด ยิ่งอาการข้อเข่าเสื่อมหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาการอาจรุนแรงถึงขั้นลุกขึ้นยืนหรือเดินเองไม่ได้ ซึ่งนิสัยของคนไทยเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งการนั่งพับเพียง นั่งขัดสามาธิ นั่งยองๆ โดยข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าการนั่งในลักษณะดังกล่าวทำให้กระดูกอ่อนข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น รวมทั้งการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ก็เสี่ยงต่อการทำให้ข้อเข่าเสื่อมเช่นกัน นอกจากนี้โรคข้อเสื่อมยังเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม น้ำหนักตัว การใช้งานข้อที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งอาชีพที่มีการใช้งานของข้อมากเช่น ช่างเสริมสวย ครู และเกษตรกรเพราะต้องยืนทำงาน เข่าจะต้องรับน้ำหนักประมาณ 3-4 เท่าของน้ำหนักตัว วิธีการป้องกันโรคเข้าเสื่อมด้วยตัวเอง คือต้องพยามยามหลีกเลี่ยงการใช้เข่ามากๆ เช่นการยืนหรือการนั่งงอเข่านานๆ รวมทั้งควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งวิธีการสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่าสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการนั่งเหยียดขาตึงแนบพื้น พร้อมกับกระดกปลายเท้าเข้าหาตัว สลับกับการจิกเท้าไปข้างหน้า ทำเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบเข่าแข็งแรงขึ้น หรือหากเริ่มรู้สึกตัวว่ามีปัญหาเรื่องเข่าให้รีบไปพบแพทย์แต่เนินๆ เพื่อจะได้รักษาได้ง่ายและลดอาการป่วยที่อาจเรื้อรัง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 ข้าวนอกบ้าน(เพื่อสุขภาพ)

สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขอเล่าเรื่องต่อจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลจาก www.nhs.uk โดยหัวข้อที่เลือกในฉบับนี้ชื่อว่า Healthy eating out หรือ กินข้าวนอกบ้านเพื่อสุขภาพ ซึ่งดูเหมาะกับสภาวะความเป็นอยู่ของคนเมืองใหญ่ที่หลายคนต้องอยู่คอนโดมิเนียม NHS ให้ความรู้แก่คนอังกฤษว่า ถ้าต้องไปกินอาหารนอกบ้านตามร้านจานด่วนหรือภัตตาคาร โอกาสเจออาหารที่ดีนั้นยังมีอยู่ ทั้งนี้เพราะอาหารที่จะมาวางบนโต๊ะนั้นเป็นการเลือกของคุณเอง ที่สำคัญคุณต้องสามารถมองออกว่า อาหารแต่ละจานที่วางบนโต๊ะนั้นเป็นประเภท กินแล้วอ้วนแน่ เบาหวานถามหา หรือความดันขึ้นสูงหรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้อาหารที่ก่ออันตรายในลักษณะดังกล่าวมีอยู่ สำหรับคนไทยแล้วคุณมีสิทธิเลือกจะไม่กิน หรือกินแต่พอรู้รส ทั้งนี้เพราะความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การได้กินของที่ชอบ แต่ต้องกินแบบมีสติสัมปชัญญะ คือ รู้ว่าควรกินเท่าไรแล้วควรไปตัดบางส่วนของอาหารชิ้นอื่นออกท่าไร เช่น ถ้าใจมันอยากกินข้าวขาหมูและได้พยายามไม่กินส่วนที่เป็นหนังมัน ๆ แล้ว ท่านยังต้องมองที่จะตัดอาหารอื่นที่ให้พลังงานสูง เช่น แกงกะทิ ออกไปด้วย เพราะยังไง ๆ ข้าวขาหมูก็ต้องมีมันบ้างไม่มากก็น้อย   ความรู้หนึ่งที่ท่านผู้อ่านควรมีไว้ประดุจเป็นอาวุธต่อสู้โรคภัยจากการกินคือ รู้ว่าอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ ขาหมูพะโล้ หมูกรอบ กุนเชียง ไอศกรีมทำเอง (ซึ่งอุดมทั้งนมเนยไข่) รู้ว่าอาหารอะไรมีน้ำตาลสูงเช่น น้ำชานั้นโดยธรรมชาติมีรสขม ถ้าจะทำให้หวานสดชื่นจะต้องใส่น้ำตาลหลายช้อนโต๊ะ ส่วนน้ำมะตูมนั้นแม้ไม่หวานนัก แต่ก็มีความหอมธรรมชาติที่ไม่ต้องเติมน้ำตาลมากก็ทำให้เกิดความชื่นใจได้ ผู้เขียนนั้นได้รับการสอนมาไม่ให้กินทิ้งกินขว้าง จึงมักกินอาหารในลักษณะที่ล้างจานได้ง่าย ในขณะที่หนุ่มสาวปัจจุบัน สั่งอาหารกินตามที่ตาเห็นว่าน่ากิน แต่พอเข้าปากแล้วไม่ถูกใจ ก็เลิกกินอาหารจานนั้น ซึ่งดูแล้วขัดตาผู้เขียนยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารจนหมดจานก็ได้ (แม้ว่ามันจะสุดอร่อย) เมื่อรู้สึกอิ่มแล้วก็หยุดกิน ฝรั่งใช้สำนวนว่า “You don't need to clear your plate. Instead, eat slowly and stop when you are full.” วิธีนี้ทำให้ความเสี่ยงในการกินอาหารเกินจำเป็นลดลง หลายท่านอาจเคยเตลิดเปิดเปิงไปกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง ถ้าต้องไปงานเลี้ยงที่สอดแทรกการทะนุบำรุงวัฒนธรรมการกินอาหารไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน ฯลฯ นั้นเมื่อกินแล้วมักหยุดยาก จึงต้องมีใจหนักแน่น หายใจเข้านึกรู้ว่าอ้วนแน่ หายใจออกนึกรู้ว่าโรคถามหา ที่สำคัญถ้าไปงานเลี้ยงแบบฝรั่ง ซึ่งขนมนมเนยเต็มที่นั้น ขอให้มองให้ออกว่า ประตูสู่นรกของสุขภาพเลวเปิดกว้างแล้ว บทความ Healthy eating out นั้นมีเรื่องที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ คำแนะนำให้เปลี่ยนใจไม่กินอาหารอย่างหนึ่งไปกินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าว่า food swap ซึ่งน่าจะมีความหมายใกล้กับคำว่า food exchange แต่ไม่เหมือนกันทีเดียวเพราะ food swap นั้นเป็นการมองที่ชนิดอาหารโดยรวม ในขณะที่ food exchange นั้นมองลงลึกถึงองค์ประกอบทางโภชนาการของอาหารที่เทียบเท่ากัน ตัวอย่างของ food swap คือ คำแนะนำเมื่อไปกินอาหารตามภัตตาคารเช่น ถ้าเบื่อเนื้อไก่ไม่มีหนังนั้นสามารถเปลี่ยนไปกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอื่นเช่น แฮม หรือปลา (ซึ่งไม่ได้ทำให้สุกโดยการทอด) ถ้าไม่ต้องการกินขนมพาย เบคอนและไส้กรอก ก็หันไปกิน pulses ซึ่งหมายถึง เมล็ดถั่วต่าง ๆ ส่วนเครื่องปรุงเช่น ซอสที่มีครีมและเนยแข็งนั้นควรเปลี่ยนไปใช้ซอสที่ทำจากผักหรือผลไม้เช่น ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น ผู้เขียนนั้นค่อนข้างเห็นด้วยกับการใช้ food swap มากกว่า food exchange เพราะถ้าจำเป็นต้องกินสลัดเพื่อให้ได้ผัก ตามภัตตาคารมักทำสลัดแบบฝรั่งซึ่งมีน้ำสลัดที่มีค่าพลังงานสูง ทั้งที่คนไทยควรกินสลัดผักไทยคือ ส้มตำ ซึ่งสามารถเปลี่ยนชนิดของผักเป็นอะไรก็ได้ อีกทั้งน้ำสลัดของส้มตำนั้นพลังงานต่ำมาก ส่วนในกรณีท่านที่พ้นวัยรุ่นมาหลายฝนแล้วแต่ยังต้องการดื่มนมก็น่าจะเป็นการดื่มนมถั่วเหลือง เพราะมีไขมันต่ำและมีสารไฟโตเคมิคอลซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม บทความกินอาหารนอกบ้านเพื่อสุขภาพได้มีการแนะนำเคล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเลือกสั่งอาหารในเมนูที่เขียนว่า เพื่อสุขภาพ (ซึ่งในร้านอาหารบ้านเรายังไม่มี) บริกรในประเทศพัฒนาแล้วมักอธิบายได้ว่า มันเป็นอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลใด ความจริงอาหารไทยเช่น แกงป่าต่าง ๆ ส้มตำ ขนมถั่วแปบนั้นจัดเป็นอาหารสุขภาพได้เลย ในหลายประเทศที่เจริญแล้ว เมนูของร้านอาหารนั้นได้มีการกำกับจำนวนพลังงานที่ท่านจะได้รับโดยประมาณไว้ด้วย ซึ่งประเทศไทยน่ามีกฎหมายบังคับกับอาหารจานด่วนที่วัยรุ่นชอบกิน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถกำหนดได้ว่า จะกินอะไรบ้างเพื่อไม่ให้พลังงานที่ได้รับต่อวันไม่เกินไปจากที่ควรเป็นคือ หญิง 2000 กิโลแคลอรี และชาย 2500 กิโลแคลอรี ประเด็นหนึ่งที่บทความดังกล่าวย้ำเน้นคือ เมื่อไปรับประทานอาหารตามร้านนั้น ผู้บริโภคมักไม่เคยได้เห็นว่า พ่อครัวหรือแม่ครัวได้ทำการปรุงอาหารในลักษณะใด  ผู้บริโภคจึงควรบริหารสิทธิโดยถามว่า อาหารแต่ละจานนั้นปรุงแบบใดเช่น กรณีของคนไทยกินก๋วยเตี๋ยว ควรถามผู้ปรุงหรือสำทับหลังสั่งอาหารว่า ไม่ต้องใส่ผงชูรส (เพิ่มจากที่มีอยู่ในน้ำซุปแล้ว) เป็นต้น เรื่องการถามวิธีการปรุงอาหารนี้ไม่สำคัญเลยถ้าท่านไปโจ้ส้มตำไก่ย่างข้างปัมพ์น้ำมัน เพราะเราเห็นได้แน่ ๆ ว่า แม่ค้าปรุงอาหารสะอาดหรือสกปรกเพียงใด เติมอะไรให้เรากินบ้าง น้ำมะนาวนั้นเป็นมะนาวเทียมหรือเปล่า (ถ้าสนใจสังเกต) สิ่งที่สำคัญในกรณีของส้มตำนั้น ควรมีคำถามติดปากว่า ปูเค็มหรือปลาร้า นั้นสุกหรือไม่ มิเช่นนั้นถ้าติดเชื้อที่ทำให้ท้องเสียแล้วก็ไม่ควรบ่นให้เสียเวลา เพราะเข้าตำราว่า กินอยู่กับปาก (อ)ยากอยู่กับท้อง ในยุคสมัยที่คนไทยยอมรับกันแล้วว่า วัฒนธรรมการกินของคนไทยในเมืองใหญ่นั้นไม่ต่างจากชาวตะวันตก เพราะชีวิตมันรันทดนัก ต้องเร่งรีบซื้อ รีบกิน รีบกลับไปทำงาน ดังนั้นอาหารที่กินง่ายเช่น แซนด์วิชจึงตอบสนองกับรูปแบบชีวิตได้ดี บทความดังกล่าวได้แนะว่า ถ้ายังมีโอกาสทำแซนด์วิชไปกินเองที่ทำงานก็ควรทำ เพราะประหยัดเงินและสามารถจัดให้อาหารจานด่วนนี้มีคุณค่าทางโภชนาการดูดีและสะอาดเท่าที่เราต้องการ เช่น การเลือกใช้ขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีไม่ขัดสี การใส่ผักในแซนด์วิชให้มากพอที่ควรลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ผู้เขียนไม่กล้าใช้คำว่า โภชนาการครบ กับการกินอาหารประจำวัน เพราะจริง ๆ แล้วมีใครบ้างสามารถทำให้อาหารแต่ละจานมีคุณค่าโภชนาการครบได้จริง ที่เป็นไปได้ก็แค่ดูเหมือนครบ ซึ่งแค่ดูเหมือนก็คงพอแล้ว เช่น ขอให้มีผักผลไม้ประมาณกึ่งหนึ่งในมื้ออาหาร เป็นต้น ประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากต่อผู้ที่ต้องซื้ออาหารกินคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดมักเน้นย้ำว่า ท่านต้อง “อ่านฉลาก” ที่ติดที่ภาชนะบรรจุอาหารให้เข้าใจทุกครั้งว่า ท่านได้สารเจือปนในอาหารสักเท่าไร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารที่ได้จากผู้ผลิตซึ่งทำตามมาตรฐานที่ดีแล้ว จะบอกสิ่งสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ผู้บริโภคควรรู้ต่าง ๆ เช่น ปริมาณเกลือ สำหรับผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่ปรกติ เป็นต้น ดังนั้นท่านอาจต้องทำป้ายติดที่โต๊ะอาหารว่า วันนี้คุณอ่านฉลากอาหารแล้วหรือยัง   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 157 หมึกอวบอิ่มข้าว

ฉัน  อยู่ในภาวะตีบตันคำพูดกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว   ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรไปหมด  และดูเหมือนว่า การขีดวงเวลาแห่งการท่องไปในโลกแห่งข่าวสารควรรัดกุมมากขึ้น เช็คข่าวกันหลายเที่ยวให้แน่ใจก่อนแชร์  และในขณะเดียวกัน  การแสวงหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ ก็ต้องเปิดกว้างและรับรู้มุมมองของคนที่อยู่นอกเมืองไทยได้อย่างรอบด้านเพื่อที่จะรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ “ความเป็นไทย” ได้อย่างกระจ่างชัด และจนตอนนี้ที่ฉันเริ่มป่วยไข้ ฉันสงสัยว่าการที่ฉันหมดเรี่ยวหมดแรง และหนาวสั่นสะเทิ้มไปทั้งตัวตลอดเวลามันเกิดจากอากาศหนาวเย็นจัดผิดปกติติดต่อกันหลายวัน  หรือบรรยากาศรอบกายตัวที่เย็นเยียบวิ่งเข้าจับขั้วหัวใจฉันกันแน่ที่ทำเอาฉันป่วยไข้ ดูเหมือนร่างกายฉันอย่างป่วยไข้ไปเสียนานเพื่อที่จะได้ผ่านการรับรู้ถึงสถานการณ์โลกปัจจุบันที่ดูเหมือนมันไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย แต่นั่นแหละ  สุดท้ายร่างกายก็ไม่ยอมให้ป่วยไข้ได้ดั่งใจนานอย่างที่คิด ฉันยังต้องลุกขึ้นมาเปิดร้าน พูดคุยกับผู้คน ตามเช็คข่าว ดูข่าว  และใช้ข่าว ในประเทศไทยที่ไทยมาก แบบที่ฉันเคยอยู่มานานชั่วนาตาปี แต่ดูเหมือนตัวเองจะแปลกแยกออกจากภาพเหตุการณ์ที่บรรดาสื่อจากฟรีทีวี อินเตอร์เน็ต รวมทั้งหนังสือพิมพ์ที่ร้านรายงานข่าว เอาเถอะในเมื่อยังต้องมีชีวิต ต้องกิน ต้องหายใจและดำเนินชีวิตไปตามปกติ การทำอาหารกินด้วยวิธีที่แปลกๆ ไปจากเดิมบ้าง ดูจะเป็นการคลายเครียดที่ดีไม่มากไม่น้อย   เอาละ มาทำหมึกอวบอิ่มข้าวกันดีกว่า เครื่องปรุง ปลาหมึกกล้วย 2 – 3 ตัว , ข้าวสวยหอมมะลิ 1 จาน ,  พริกแกงเผ็ด 1 ช้อน , ถั่วพูซอยหนา 3 ซม.  ½  จาน  , กระชายซอยละเอียด  1 หยิบมือ ,  ใบมะกรูด 3 – 4 ใบ ซอยละเอียด , น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ ,  น้ำปลา – น้ำตาลทราย   ตามชอบ , วิธีทำ 1.ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง เติมน้ำมันแล้วตักพริกแกงลงไปผัดให้หอม  แล้วเทข้าวสวยลงผัด ปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลา  ผัดข้าวพริกแกงเข้ากันกับจนข้าวแห้งดีแล้ว จึงเติมกระชายและถั่วพูลงแล้วปิดเตา   เคล้าข้าวผัดเบาๆ ให้ถั่วพูและกระชายกระจายให้ทั่ว 2.ล้างปลาหมึกโดยลอกผิวสีเข็มออก ควักไส้ และแกนกลางตัวออก  อย่าลืมผ่าและปากปลาหมึกที่หนวดออกด้วย  จากนั้นนำปลาหมึกมาขยำกับเกลือแล้วล้างออก 3 – 4 ครั้ง  แล้วใช้มีดบั้ง 2 ข้างลำตัวปลาหมึกถี่ๆ 3.กรอกข้าวผัดที่เตรียมไว้ใส่ปลาหมึกให้แน่น จากนั้นนำไปวางเรียงบนกระทะเทฟล่อน  นำไปตั้งไฟปานกลางค่อนข้างแรง 5 นาที ก็ยกลงได้   เคล็ดไม่ลับ 1.หากชอบข้าวผัดพริกแกงใส่ไข่ ก็เติมไข่ลงไปหลังจากใส่ข้าว   ถ้าชอบพริกไทยสดเม็ดๆ เพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อน ก็ใส่ลงไปได้ตามชอบ 2.ปลาหมึกสุกง่าย ไม่ชอบไฟและความร้อนมากๆ   หากโดนต้มหรือย่างนานเกินไปเนื้อจะเหนียวเกินไป   ถ้าปลาหมึกกล้วยที่ซื้อมามีไข่ ก็เอาไข่มันมาผัดกับพริกแกงก่อนใส่ข้าวสวยก็อร่อยเลยแหละค่ะ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point