ฉบับที่ 138 บทเรียนจาก ทีวีอนาลอก สู่ยุคดิจิตอล: บทสรุปของความสำเร็จในประเทศเยอรมนี (ตอนจบ)

สำหรับบทความในวันนี้ จะขอแปลบทสรุปของประเทศเยอรมนี การเปลี่ยนผ่านการส่งสัญญาณทีวีจากระบบอนาลอก มาเป็นระบบดิจิตอล (Digital Video Broadcasting- Terrestrial: DVB-T)  ซึ่งคาดว่าประเทศไทยน่าจะใช้ระบบการส่งสัญญาณแบบนี้ในอนาคต ตามแผนแม่บทกิจการโทรทัศน์ที่ได้กำหนดให้ประเทศไทยต้องมีการเปลี่ยนการส่งสัญญาณโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอล นอกจาก กสทช.ที่เป็นองค์กรกำกับดูแลแล้ว หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามาทำงานร่วมกัน และต้องทำอย่างจริงจัง ไม่เกี่ยงงอนปัดความรับผิดชอบ ทำงานแบบร่วมไม้ร่วมมือกัน ทั้งฝ่ายรัฐบาลรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง และสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ผลประโยชน์โดยรวมก็จะตกถึงประชาชนคนไทยตามเจตนารมณ์ของแผนแม่บทที่ได้ประกาศไว้   ปี 2003 ทดสอบการส่งสัญญาณระบบดิจิตอล ในเชิงพาณิชย์ เป็นครั้งแรกในเขตพื้นที่ เบอร์ลินและพอรท์สดัม หลังจากทดสอบนานกว่า 6 เดือน ซึ่งการทดสอบครั้งนี้ได้นำไปสู่  โครงการนำร่องในการส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ของการส่งสัญญาณทั่วประเทศเยอรมนี   ปี 2005 สถานีโทรทัศน์สาธารณะ(ฟรีทีวี) ทั้งสองช่อง คือ ช่อง ARD และ ZDF ได้ทำการตกลงร่วมกันในการติดตั้งและสร้างโครงข่ายสถานีกระจายสัญญาณให้คลอบคลุมการเข้าถึงสัญญาณ ของประชากร 90 %ทั้งประเทศ และตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ก็ได้มีการขยายการส่งสัญญาณออกไปยังรัฐอื่นตามมา เริ่มจาก รัฐเมคเคลนบวร์ก ทางตะวันออก และสามารถเปลี่ยนผ่านการส่งสัญญาณเสร็จสมบูรณ์ ในปี 2008 สำหรับความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีครั้งนี้ คือการที่ประชาชนได้ตัดสินใจ ยอมรับการรับสัญญาณในระบบดิจิตอล สืบเนื่องมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สถานีโทรทัศน์สาธารณะ หน่วยงานกกำกับดูแลด้านกิจการโทรทัศน์ ได้ทำการประชาสัมพันธ์ ให้กับภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาคสื่อสารมวลชน อย่างต่อเนื่อง มีการจัดตั้งหน่วยงานประชาสัมพันธ์ ในระดับภูมิภาค เพื่อให้ข้อมูลกับประชาชน และเตรียมความพร้อมในการรับสัญญาณ เนื่องจากในประเทศเยอรมนีการส่งสัญญาณภาคพื้นดินคลอบคลุมถึง 90% ของจำนวนประชากรทั้งหมด การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจึงส่งสัญญาณเป็นแบบ DVB-T (Digital Video Broadcasting- Terrestik*) นอกจากนี้ประชากรกว่า 30% ก็สามารถรับสัญญาณด้วยหนวดกุ้งได้ และจากรายงานของสมาคมผู้ประกอบการเครื่องรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ (Gesellschaft für Unterhaltungs- und Kommunikationselektronik) สามารถจำหน่ายเครื่องรับโทรทัศน์ได้มากกว่า 16 ล้านเครื่อง (ข้อมูลวันที่ 21 พฤศจิกายน  2008) ซึ่งเครื่องรับโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันนี้ ก็เป็นโทรทัศน์จอแบน ที่ได้ออกแบบมาให้สามารถรับสัญญาณแบบดิจิตอลได้ โดยไม่ต้องไปเพิ่มอุปกรณ์เสริมใดๆ อีก นอกจากนี้การรับสัญญาณโดโทรทัศน์โดยตรงผ่านคอมพิวเตอร์ แล็บทอป ก็สามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์เสริม ในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์แบบดิจิตอลในรถยนต์มาตั้งแต่ ปี 2002 จากข้อมูลของกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ มีการติดตั้งทีวีดิจิตอลในรถยนต์ไปแล้วกว่า 550,000 คัน ในส่วนของการรับประกันคุณภาพของอุปกรณ์รับสัญญาณแบบดิจิตอลนั้น ก็ได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการทำงานของอุปกรณ์ประเภทนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถมั่นใจในการเลือกซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว ว่าจะได้รับอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งอุปกรณ์ใดๆ ผ่านการทดสอบมาตรฐานดังกล่าว ก็จะได้รับเครื่องหมายนี้ แผนการในอนาคต เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการส่งสัญญาณจากอนาลอกมาเป็นดิจิตอล จะต้องคำนึงถึงประเด็น Digital Divide เพราะคลื่นที่เคยใช้ส่งสัญญาณในช่วงความถี่ (UHF: Ultra High Frequency) จะว่างลง ซึ่งจะต้องมีการวางแผนและเตรียมการใช้คลื่นความถี่นี้ ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างสูงสุด และประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจะต้องคำนึงถึง ความเป็นมิตรต่อผู้บริโภค สร้างภาระและข้อจำกัดกับผู้บริโภคให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ -------------- หมายเหตุ : ระบบการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลของเยอรมนีจะมี 3 ประเภทได้แก่ DVB-T: Digital Video Broadcast-Terrestrial การส่งสัญญาณดิจิตอลภาคพื้นดิน DVB-S: Digital Video Broadcast-Satellite การส่งสัญญาณดิจิตอลระบบดาวเทียม DVB-C: Digital Video Broadcast- Cable การส่งสัญญาณดิจิตอลระบบเคเบิล

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 137 บทเรียนจาก ทีวีอนาลอก สู่ยุคดิจิตอล : บทสรุปของความสำเร็จในประเทศเยอรมนี

คดีระหว่างองค์กรผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น ช่อง 3, 5 ช่อง 9 อสมท. และกองทัพบกยังไม่จบครับ แม้นจะเป็นที่น่าเสียดายที่ศาลไม่ยอมออกคำสั่งคุ้มครอง โดยศาลให้เหตุผลว่าหากศาลมีคำสั่งให้ทางทีวีสาธารณะเผยแพร่สัญญาณออกอากาศทุกช่องทาง อาจทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์ คือ UEFA สั่งระงับสัญญาณการถ่ายทอดสัญญาณได้ทันที ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจศาล และมีผลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถรับชมบอลยูโรได้ และการที่ศาลไม่มีคำสั่งคุ้มครอง ก็ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสัญญาณผ่านช่องทางอื่นได้ (ถ้ายังจำกรณีวิกฤติระหว่างประเทศทั้งสองที่เครื่องบินส่วนพระองค์ถูกทางเยอรมันอาญัติไว้เป็นการชั่วคราว จนทำให้มีหลายคนในรัฐบาลเดือดร้อนกันไปตามๆ นั้น จะเห็นได้ว่า การตัดสินของศาลเยอรมนี จะคำนึงถึงหลักนิติธรรม เป็นที่ตั้ง ในกรณีนี้ หากเป็นศาลไทยผมยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ศาลคงหาเหตุผลมาอธิบายในการที่จะไม่ปฏิบัติตามหลักนิติธรรม ซึ่งประชาชนอย่างเราก็ต้องจับตามองการทำงานขององค์กรศาลด้วยเช่นกัน)   สำหรับประเด็นการทำผิดกฎหมายแล้วอยู่นอกเหนืออำนาจศาลนั้น เคยมีกรณีของศาลอาญาเยอรมนี ได้สั่งให้ทางเฟสบุค ซึ่งเป็นผู้เก็บข้อมูล ไว้ที่ประเทศไอร์แลนด์เหนือ ส่งหลักฐานมาให้ศาลเพื่อประกอบการพิจารณา จริงๆ แล้ว หากศาลของเรามีความตั้งใจจริงในการไต่สวน เพราะในคดีผู้บริโภคก็ได้เปิดช่องไว้เช่นกันนั้น น่าจะลองทำดู โดยการส่งหนังสือเรียก  UEFA มาเป็นพยานให้การ เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดี ที่ในอนาคตจะมีปัญหาเรื่องพรมแดนและขอบเขตอำนาจศาล ในประเด็นการทำผิดหรือละเมิด ในโลกไซเบอร์อย่างแน่นอน สำหรับบทความในวันนี้ จะแปลบทสรุปของประเทศเยอรมนี การเปลี่ยนผ่านการส่งสัญญาณทีวีจากระบบอนาลอก มาเป็นระบบดิจิตอล (Digital Video Broadcasting- Terrestic: DVB-T) ซึ่งคาดว่าประเทศไทยน่าจะใช้ระบบการส่งสัญญาณแบบนี้ในอนาคต ใครอยากเตรียมความพร้อม ในเรื่องนี้ ผมจะหาข้อมูลมาเล่าให้ฟังเป็นระยะๆ เพราะขณะนี้ไม่มีองค์กรไหนที่ผู้บริโภคสามารถพึ่งพาได้เลย  เป็นเรื่องที่ต้องยึดถือพุทธสุภาษิตว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน รายงานฉบับนี้มีทั้งหมด 21 หน้าครับ สำหรับวันนี้ผมจะสรุปให้ฟังดังนี้ บทสรุปการเปลี่ยนการส่งสัญญาณแพร่ภาพและกระจายเสียงจากอนาลอกมาสู่แบบดิจิตัล (DVB-T) ตั้งแต่ปี ค ศ. 2008 เป็นต้นมาการเปลี่ยนผ่านการส่งสัญญาณการแพร่ภาพจากแบบอนาลอก มาเป็นแบบดิจิตอลนั้น ของโทรทัศน์ภาคพื้นดินนั้นได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายทุกประการ  การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวนอกจากไม่ใช่จะเป็นไปตามที่ข้อกำหนดของกฎหมายที่ระบุไว้เพียงเท่านั้นแต่ยังดีกว่าที่กำหนดอีกด้วย เพราะ การเปลี่ยนการส่งสัญญาณแต่เดิมนั้น จะต้องทำให้เสร็จสิ้นในปี 2010 แต่การเปลี่ยนการส่งสัญญาณสำเร็จล่วงหน้าก่อน 2 ปี คือ ปี 2008 เนื่องจากการส่งสัญญาณภาคพื้นดินในเยอรมนีนั้น ครอบคลุมประชากรถึง 90 กว่า % ประชากรจำนวน 74 ล้านคนสามารถเข้าถึงการส่งสัญญาณแบบดิจิตอล (DVB-T) ผ่านเสาก้างปลา และประชากรจำนวน 24 ล้านคนสามารถรับสัญญาณด้วยเสาหนวดกุ้งได้เช่นกัน ขณะนี้ (เดือน ธันวาคม 2008) สามารถขายเครื่องแปลงสัญญาณได้มากกว่า 16 ล้านเครื่อง หมายความว่าเรากำลังเข้าสู่ยุค เรเนสซองส์ ของการรับส่งสัญญาณภาคพื้นดิน  Renaissance of the Terrestic) การตัดสินใจในการเปลี่ยนเทคโนโลยีการส่งสัญญาณนั้นนับได้ว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และนำพาประเทศไปสู่ความทันสมัย การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลนี้ มีส่วนช่วยกระตุ้นการแข่งขันของตลาดการส่งสัญญาณแพร่ภาพ และมีผลต่อตลาดเครื่องรับโทรทัศน์แบบมือถือ (Mobile- TV) และโทรทัศน์แบบเคลื่อนที่ (Portable- TV) อีกด้วย คอนเซปต์ในการเปลี่ยนการส่งสัญญาณ ปี ค.ศ. 1998 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐการ (Bundeswirtschaftministerium) ได้นำเสนอโครงการ ความคิดริเริ่มในการส่งสัญญาณแบบดิจิตอล (Inititative Digitaler  Rundfunk) โครงการดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงเศรษฐการ และรัฐบาลท้องถิ่นของเยอรมนี ตลอดจนตัวแทนจากสถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะ สถานีวิทยุโทรทัศน์เอกชน และองค์กรกำกับดูแลการใช้คลื่นความถี่ (Federal Network Agency) และผู้ประกอบการให้บริการโครงข่ายสัญญาณ ก่อนที่จะได้ข้อสรุป การส่งสัญญาณแพร่ภาพกระจายเสียงมาเป็นระบบดิจิตอลนั้น ได้มีการนำเสนอโมเดลรูปแบบต่างๆ เพื่อทำการทดลอง ปี ค.ศ. 1998- 2004 ได้ติดตั้งและทดสอบโครงข่ายส่งสัญญาณทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี ได้แก่ ระหว่างเมือง โวล์ฟสบวร์ก (Wolfsburg) ถึงเมือง เบรเมนฮาเวน (Bremenhaven) และระหว่างเมืองฮันโนเวอร์ (Hannover) ถึงเมืองฮัมบวร์ก (Hammburg) นอกจากนี้ยังได้ทดลองส่งสัญญาณในกรุงเบอร์ลิน ตามสนธิสัญญาเชสเตอร์ (Chester Agreement) ปี 1997 การทดสอบดังกล่าวมีขึ้นเพื่อหาเงื่อนไข (Parameter) ที่ดีที่สุดในการส่งสัญญาณ ปี 1997-1999 ทดสอบระบบส่งสัญญาณดิจิตอล แบบ DVB-T ในย่านเมืองมิวนิค รัฐบาวาเรียทางตอนใต้ของเยอรมนี ที่เมืองโคโลญจ์ ทดสอบการรับสัญญาณด้วยเครื่องทีวีแบบพกพา ภายใต้การเคลื่อนที่ความเร็วสูง(เรียกว่า การทดสอบ Maserati-Test : เนื่องจากทดสอบภายใต้การรับสัญญาณที่ความเร็วสูง เหมือนกับรถสปอร์ต Maserati) ปี 2000 มีการจัดงานงาน EXPO 2000 ที่เมืองฮันโนเวอร์(มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเราหลายคนไปเยี่ยมชมงานนี้กัน) ซึ่งทางเยอรมนีได้จัดเตรียมรถโฟล์กสวาเกน (VW) สำหรับรับแขกบ้านแขกเมืองที่ไปเยี่ยมชมงานนี้ ในรถรับรองแขกบ้านแขกเมืองนั้น ได้ติดตั้งระบบรับสัญญาณ DVB-T จนนำมาสู่การยอมรับของระบบส่งสัญญาณและแพร่ภาพด้วยระบบนี้ วันนี้หมดเนื้อที่สัมปทานครับ ไว้มารายงานต่อคราวหน้า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 136 บทเรียน ทีวี จอดำ กับมาตรการป้องกันผู้บริโภคจากการถูกเอาเปรียบ

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชาติยุโรป หรือ ศึกยูโร 2012 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะแต่สำหรับคนที่สนใจในเกมส์การแข่งขันแล้ว แต่สำหรับคนทำงานเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชน น่าจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียน โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ชมโทรทัศน์ในบ้านเรา ที่จะมีการเปลี่ยนระบบส่งสัญญาณโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอลในอนาคตอันใกล้นี้ ใครที่เป็นสมาชิกทรูวิชันส์ ดูทีวีผ่านระบบเคเบิล หรือผ่านระบบดาวเทียมนั้นต่างก็ก่นด่า และเบื่อหน่ายรำคาญ กับการเห็นแก่ได้ของฝ่ายทุน ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทรู แกรมมี หรือแม้แต่ สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีเองก็ตาม การเอาเปรียบผู้บริโภคโดยอาศัยลิขสิทธิ์ในทางการค้านั้น แม้แต่ในประเทศเยอรมนีเอง ที่ภาคประชาชนเข้มแข็ง ภาคการเมืองเป็นอิสระจากระบบทุนมากกว่าของไทยเรา เพราะพรรคการเมืองไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของระบบทุนนิยมสามานย์ นั้น มีการจัดการอย่างไรในเรื่องนี้ บทความฉบับนี้ผมขออนุญาตนำบทเรียนจากทางเยอรมันมาเล่าสู่กันฟังครับ   ผู้บริโภคโดนจำกัดสิทธิ เพราะเทคโนโลยีก้าวล้ำ แต่คุณธรรมที่ล้าหลัง ในประเทศเยอรมนีเองนั้น หลังจากเปลี่ยนการแพร่สัญญาณโทรทัศน์จากระบบอนาลอกมาเป็นระบบดิจิตอลโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2012 แล้ว ผู้บริโภคก็ประสบปัญหาไม่สามารถรับชม รายการโทรทัศน์ทั้งจาก ฟรีทีวีได้ ถึงแม้ว่า จะมีช่องฟรีทีวีที่หลากหลาย และรายได้ของช่องสถานีฟรีทีวีจะมาจากโฆษณาก็ตาม ช่องรายการของโทรทัศน์สาธารณะที่มีอยู่  2 ช่องในระดับสหพันธรัฐ และอีก 1 ช่องในระดับรัฐบาลท้องถิ่น ที่ทำหน้าที่และมีบทบาทเหมือนกับช่องไทย พีบีเอสบ้านเรา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทผู้ให้บริการเคเบิลทีวี และผู้ให้บริการทีวีดาวเทียม ต้องการจะขายเครื่องรับสัญญาณของตนให้กับผู้บริโภคโดยถือโอกาสใช้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไปใช้ในการหาประโยชน์ในทางธุรกิจ ซึ่งผู้บริโภคส่วนมากก็จะต้องเสียค่าบริการรายเดือนเหมือนกับบ้านเรา และที่ร้ายไปกว่านั้น ในกรณีที่ผู้บริโภคย้ายที่อยู่จากมลรัฐหนึ่งไปอยู่อีกมลรัฐหนึ่ง กล่องรับสัญญาณที่ผู้บริโภคมีอยู่เดิมนั้นไม่สามารถรับสัญญาณได้อีกต่อไป ต้องไปซื้อกล่องรับสัญญาณอีก เพราะในการเปลี่ยนผู้ให้บริการนั้น ก็ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์รับสัญญาณไปด้วย ในกรณีนี้ ผู้บริโภคจะจ่ายสองเด้ง คือ จ่ายในรูปของภาษี เพราะช่องรายการโทรทัศน์สาธารณะนั้น จะได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีของประชาชน แต่ถ้าผู้บริโภคอยากจะดูรายการก็ต้องจ่ายสตางค์เพื่อจะซื้อกล่องรับสัญญาณอีก ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายแล้ว รัฐจะต้องดำเนินนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงรายการสาธารณะโดยทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ในกรณีของฟรีทีวี ซึ่งมีรายได้จากการขายเวลาโฆษณา ถึงแม้นว่าประชาชนได้ชมรายการจากฟรีทีวี ก็ต้องดูโฆษณาจากฟรีทีวีด้วย ผู้ประกอบการฟรีทีวีได้รับรายได้สองต่อคือค่าโฆษณาและเงินรายได้จากสถานีโทรทัศน์ที่ต้องการเพิ่ม rating ให้กับสถานีของตน แต่ประชาชนขาดทุนสองเด้งเช่นกัน คือ จ่ายค่าสมาชิกให้กับบริษัทประกอบกิจการเคเบิลทีวี และจ่ายภาษีให้กับรัฐด้วย   ผู้บริโภคและองค์กรผู้บริโภคในเยอรมันทำอย่างไร ผู้บริโภคและองค์กรผู้บริโภคที่เกี่ยวข้อง เช่น สหพันธ์องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค (VZBV) และ สหพันธ์องค์กรคุ้มครองสิทธิคนอยู่บ้านเช่า (Der Deutsche Mieterbund) และสหพันธ์องค์กรผู้ประกอบกิจการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ (Bundesverband deutscher Wohnungs- und Immobilienunternehmen) ได้ทำหนังสือแถลงการณ์ประท้วงไปยังรัฐบาลท้องถิ่น และรัฐบาลกลางเพื่อให้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้บริโภคในเรื่องการเข้าถึงสื่อทีวีสาธารณะเช่นนี้ พร้อมกับสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภค ได้จัดเวทีสานเสวนา (Dialog) ถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภค (น่าสังเกตว่านักการเมือง ของเขานั้น ไม่ได้เติบโตมาจากกลุ่มทุน แต่เติบโตมาจากพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองจริงๆ แยกออกมาจากกลุ่มธุรกิจอย่างสิ้นเชิง กรรมการบริหารพรรค ไม่ได้มีรากเหง้ามาจากแวดวงธุรกิจเหมือนกับนักการเมืองส่วนใหญ่ในบ้านเรา)   บทเรียนของเยอรมนีกับการกำกับดูแลภายใต้ กสทช. สำหรับองค์กรคุ้มครองสิทธิคนอยู่บ้านเช่านั้น เข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ เพราะ คนเยอรมันส่วนใหญ่ ไม่มีบ้านหรือที่ดินเป็นของตนเอง จะอยู่ห้องเช่า (Wohnung) เป็นส่วนมากของจำนวนประชากรทั้งหมด เพราะฉะนั้นมีความจำเป็นในเรื่องการคุ้มครองสิทธิของคนที่อยู่บ้านเช่าเพื่อมิให้ถูกบริษัทธุรกิจทำบ้านให้เช่านั้นเอาเปรียบ เนื่องจากบ้านเช่าหรือห้องเช่าในเยอรมนีนั้นส่วนมากจะมีระบบรับสัญญาณเคเบิลทีวี  อยู่ในห้องแล้วเรียบร้อย ผู้เช่าห้องสามารถบอกรับการเป็นสมาชิกได้เลย ไม่ต้องทำเรื่องติดตั้ง หรือต่อสายเข้ามาในบ้านเหมือนบ้านเรา สำหรับเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณเคเบิลนั้น กสทช. สมควรจะเข้ามาควบคุมดูแล ร่วมกับบริษัทเอกชน เพราะเป็นเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน หาก กสทช. กำกับดูแลดี ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์และเข้าถึงสัญญาณโทรทัศน์ได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับจะเกิดการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างคุ้มค่า ซึ่งได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2555- 2559 ภายใต้ยุทธศาสตร์ ที่3 การกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคมิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ มีการแก้ไขเยียวยาปัญหาอย่างรวดเร็วและไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งถึงแม้นว่า กสทช. จะออกคำสั่งทางปกครองสั่งปรับทรู วิชันส์ วันละสองหมื่นบาทนั้น ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด มูลค่าในการสั่งปรับน้อยมาก ไม่กระทบกระเทือนกับธุรกิจ  และไม่สามารถเยียวยาผู้บริโภคได้เลย หลังจบฟุตบอลยูโรแล้ว กสทช. ฟรีทีวี และทีวีสาธารณะอาจต้องร่วมกันหามาตรการป้องกันการผูกขาด ที่มาในรูปของลิขสิทธิ์ที่กลุ่มทุนนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ในการจำกัดสิทธิผู้บริโภคในการเข้าถึง Event ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร และกีฬาโอลิมปิคในอนาคต เหมือนกับที่สื่อสาธารณะของเยอรมนี ไม่ยอมก้มหัวให้กับการหากำไรของทุนนิยมในประเทศของเขาครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 Broadband

  โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการนโยบายในด้าน Broadband ของรัฐบาลเยอรมนี สภาสูงแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี (Bundesrat) มีมติเห็นชอบ พรบ. โทรคมนาคม (Telekommunikation Gesetz: TKG) เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อหาใน พรบ.ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้บริโภคที่ใช้บริการ call center  ขณะรอสาย ไม่ต้องจ่ายค่าใช้บริการ เนื่องจากในปัจจุบัน มีผู้ให้บริการบางราย คิดค่าใช้บริการ call center ในช่วงที่รอสายเป็นราคาที่สูงมาก เอาเปรียบผู้บริโภค กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา( Bundesgesetzblatt (Federal Law Gazette) ในเร็วๆ นี้   กฎหมายดังกล่าวได้ผ่าน การลงมติเห็นชอบในสภาล่าง (Bundestag) มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา แต่มาติดขัดในชั้นการพิจารณาของสภาสูง เนื่องจากมีประเด็นถกเถียงกันในเรื่อง การลงทุนสร้างเครือข่าย Braodband เนื่องจาก สภาสูงซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายมลรัฐต่างๆ นั้น ไม่เห็นด้วยที่จะใช้เงินภาษีของประชาชน ในการลงทุนครั้งนี้ จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมาธิการร่วมได้เห็นชอบกับร่าง พรบ.ดังกล่าว ซึ่งในร่างที่กรรมาธิการเห็นชอบนั้น  ทำให้แต่ละมลรัฐสามารถประหยัดงบประมาณในการลงทุนถึง  90,000 ล้านยูโร และสามารถทำให้เกิดอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 10,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับบริษัทขนาดกลางและบริษัทขนาดเล็ก ตามคำให้สัมภาษณ์ของ นางเคลาเดีย เบอร์เกล โฆษกพรรคร่วมรัฐบาลของพรรค FDP (Free Democratic Party) โดยได้มีการตกลงภายในกรรมาธิการร่วมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลกลางจะจัดสรรงบประมาณที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ 4G เมื่อ 2 ปีที่แล้วให้กับแต่ละมลรัฐ สำหรับการลงทุนในโครงสร้าง Broadband จะให้ภาคเอกชนลงทุน ผ่านความช่วยเหลือจาก ธนาคารเพื่อส่งเสริมการลงทุนของรัฐ (Kreditanstalt für Wiederaufbau) โดยจะเก็บค่าใช้โครงข่าย Broadband จากภาคเอกชนภายใต้หลักการ “ใครใช้คนนั้นต้องจ่าย” สำหรับในพื้นที่ ที่ห่างไกล ไม่สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่าย Broadband และไม่สามารถดำเนินการในเชิงธุรกิจได้นั้น ทางรัฐบาลจะสนับสนุนให้ใช้การใช้การเชื่อมต่อโดยใช้คลื่นความถี่แทน   กรณีเปรียบเทียบประเทศไทย สำหรับประเทศไทยนั้น ในด้านการประมูล 3 G เรากำลังตั้งตารอคอยให้เกิดการประมูลคลื่นความถี่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสสามของปีนี้ ซึ่งหลายฝ่าย อยากให้การประมูลครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ภายใต้หลักการ โปร่งใส เป็นธรรม และส่งเสริมการแข่งขัน และมีมิติด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเงื่อนไขที่สำคัญสำหรับการประมูลครั้งนี้ เหมือนกับที่หลายๆ ประเทศใช้เป็นเงื่อนไขในการเปิดประมูลคลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรแผ่นดินที่มีมูลค่ามหาศาล ความจริงแล้วในประเด็นเรื่องมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ในด้านการใช้บริการ call center นั้น สำหรับบริการโทรคมนาคมได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ ในประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. 2549 เรื่องกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการ หมวดสอง หน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตให้บริการ ข้อ 15 ให้ผู้รับใบอนุญาตให้บริการมีหน้าที่จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นแยกออกจากหน่วยงานตอบคำถามหรือข้อสงสัยทั่วไป  เพื่อทำหน้าที่ดูแลการรับเรื่องร้องเรียนและการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมและค่าบริการ และจัดให้มีบริการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนทางโทรศัพท์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย...   จะเห็นว่าผู้บริโภคได้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมจากประกาศฉบับนี้ สำหรับกิจการโทรคมนาคม ในอนาคตหาก พรบ. องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำลังรอการพิจารณาของทั้งสองสภาอยู่ตอนนี้ อยู่รอดปลอดภัยไม่ถูกดองจนแท้งไปเสียก่อนแล้ว ประชาชนผู้บริโภคคนไทย อาจจะได้เห็นกฎหมายและมาตรการดีๆ  ที่จะตามมาอีกหลายฉบับ เพราะองค์การอิสระนี้มีหน้าที่ในการเสนอความเห็นในการออกกฎหมาย ที่จะมีผลกระทบกับผู้บริโภค และจะมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับเขตการค้าเสรี AEC ในปี 2558 ภายใต้หลักการที่ว่า การค้าเสรีที่ไม่เอาเปรียบ (ผู้บริโภค)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 134 เฟสบุค กับมาตรการการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ   ปัจจุบันนี้โปรแกรมโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุค ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก หลายๆ คนนิยมติดต่อ สื่อสาร แสดงสถานะของตนเอง ตลอดจนเปิดเผยข้อมูลที่ อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัว และการเปิดเผยข้อมูลบางประการ ซึ่งอาจทำให้เป็นช่องทางที่พวกมิจฉาชีพทั้งหลายเข้ามาทำร้ายเราได้ และโดยในเฉพาะปัจจุบันนี้ ภัยจากสงครามปรองดอง บางส่วนก็ยังคงใช้โซเชียลมีเดียเป็นสนามรบแทนที่จะใช้เป็นสนามรัก เรื่องนี้ เป็นโจทย์ที่ทุกภาคส่วนของสังคมต้องตั้งสติและเตรียมตัว ให้ดีว่า เราจะช่วยกันป้องกันภัยคุกคามที่มาพร้อมกับการติดต่อสื่อสารที่ไร้พรมแดนนี้ได้อย่างไร บทความตอนนี้ขออนุญาตเล่าสถานการณ์ เรื่องเฟสบุค ในประเทศเยอรมนี ต่อกรณีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่น่าจะมีประโยชน์กับผู้บริโภค และหน่วยงานราชการ องค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้บ้าง ตลอดจนได้แนะนำวิธีปฏิบัติเบื้องต้นไปพลางๆ สำหรับผู้บริโภคก่อน ที่ภาครัฐและฝ่ายนิติบัญญัติจะสามารถกลับมาทำหน้าที่ เป็นที่พึ่งของประชาชนในฐานะผู้บริโภคได้ครับ   เพื่อนที่ไม่ได้เชิญหรือไม่ได้รู้จักมีอีเมล์จากเฟสบุคมาชวนเรา ใครก็ตามที่ได้เล่นเฟสบุค แล้วก็มักจะติดอกติดใจ และใช้เฟสบุคเพิ่มมากขึ้น โดยปรกติแล้วการเข้ามาในระบบ ฐานข้อมูลของเฟสบุคนั้น ไม่จำเป็นว่าคนนั้นต้องมีบัญชี (account) ในเฟสบุค เพราะเฟสบุคเองมีเครื่องมือที่เรียกว่า friend finder ที่เป็นโปรแกรมอัตโนมัติ คอยเสาะหาบุคคลที่จะเข้ามาเป็นเพื่อน หรือ เป็นเพื่อนของเราอยู่แล้วก็ได้ เพราะโปรแกรมเฟสบุคเองนั้นจะทำหน้าที่เสาะหาสมาชิกให้เข้ามาในเฟสบุค โดยเฟสบุคสามารถตรวจสอบข้อมูลจากเบอร์อีเมล์ของเพื่อนเราหรือคนรู้จักได้ เรียกเป็นภาษาเทคนิคว่า addressbook import ในกรณีที่พบเพื่อนหรือคนอื่นๆ ที่เราเคยรู้จัก เฟสบุคจะบอกเรา (user) ว่าใครบ้างที่ทำการลงทะเบียนใช้งานในเฟสบุคแล้วบ้าง หลังจากนั้นเฟสบุคก็จะทำการส่งคำเชิญชวนคนที่ยังไม่อยู่ในบัญชีเฟสบุคให้เข้ามาลงทะเบียนใช้เฟสบุค สำหรับคนที่ได้รับคำเชิญนั้นก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่สนใจใช้งานเฟสบุค กับกลุ่มที่ไม่สนใจใช้งานเฟสบุค แต่คนทั้งสองกลุ่มที่ได้รับคำเชิญนั้น ข้อมูลของคนทั้งสองกลุ่มได้ถูกเก็บบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของเฟสบุคแล้ว   กรณีที่เราอยากจะลบข้อมูลของเราในฐานข้อมูลของเฟสบุคต้องทำอย่างไร สำหรับประเทศไทยที่มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยังย่อหย่อน และรัฐไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไรมากนัก ก็อาจจะเป็นเรื่องยากอยู่แต่ในประเทศเยอรมนีที่มีกฎหมายดูแลเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้น จะมีคณะกรรมการอิสระคอยสอดส่องดูแลอยู่ นอกจากนี้ประชาชนและองค์กรภาคเอกชนก็เป็นกำลังสำคัญในการให้ข้อมูล ให้ความช่วยเหลือในด้านนี้กันเป็นอย่างดี และล่าสุดสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคแห่งเยอรมนีฟ้องศาล* กรณีการทำงานหาสมาชิกแบบอัตโนมัติของ friend finder ถึงแม้ว่าศาลจะมีคำสั่งห้ามระบบการทำงานของ friend finder ก็ตามแต่ในความเป็นจริง friend finder ก็ยังคงทำงานอยู่นั่นเอง เพราะคดียังอยู่ในระหว่างชั้นอุทธรณ์ นั่นเป็นสถานการณ์ของเฟสบุคในเยอรมนี สำหรับคำแนะนำที่ผมได้อ่านมาจากองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคของเยอรมันสำหรับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคล ในทางเทคนิคเท่าที่ผู้บริโภคสามารถดำเนินการเองได้มีดังนี้ครับ กรณีที่เราได้รับอีเมล์เชิญให้สมัครเฟสบุคนั้น ในตอนท้ายของอีเมล์จะมีลิงค์ ให้เราเลือกว่าเราปฏิเสธการรับอีเมล์จากเฟสบุคอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเฟสบุคก็ยังคงเก็บข้อมูลของเราไว้อยู่ดี ปิดบัญชีเฟสบุค สามารถทำได้ตลอดเวลา โดยคลิกไปที่ http://www.facebook.com/help/contact_us.php?id=220219108064043 หลังจากนั้นเราสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะยกเลิกการใช้เฟสบุค หรือจะสั่งให้ลบข้อมูลของเราทั้งหมดออกจากเฟสบุคก็ได้ * องค์กรผู้บริโภคของเยอรมัน (VZBV) ได้ฟ้องเฟสบุคต่อศาล เมือง เบอร์ลิน (Landgericht Berlin) ให้สั่งห้ามระบบการทำงานของ friend finder เนื่องจากในหนังสือข้อตกลงของเฟสบุค (Term and Condition) นั้นละเมิดสิทธิ และผิดกฎหมายหลายอย่างตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (Civil Law Code) และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Bundesdatenschutzgesetz)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 133 เข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล ผู้บริโภคต้องเตรียมตัวอย่างไร

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ สัญญาณแบบอนาลอก เป็นสัญญาณโทรทัศน์ที่จะหมดยุคภายใน 4-5 ปีนี้ เนื่องจากประเทศไทยเราจะก้าวเข้ามาสู่ยุคโทรทัศน์แบบดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคที่มีความรู้ในเรื่องเทคนิคอย่างค่อนข้างจำกัดนั้น สมควรที่จะต้องหาความรู้พื้นฐาน ตลอดจนการเตรียมการในการที่จะรับสัญญาณแบบใหม่นี้ ความรู้พื้นฐานที่ผู้บริโภคควรมีไว้กับตัวนั้น ผมนำมาจากความรู้ของคณะทำงานในการเตรียมตัวการเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลของเยอรมัน เนื่องจากประเทศเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลก่อนเราไปล่วงหน้าหลายปี องค์ความรู้ในด้านการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนผู้ให้บริการ หน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริโภค ประเทศเขาสามารถทำได้และทำร่วมกันได้เป็นอย่างดี เราสามารถขอหยิบยืมองค์ความรู้ของเขามาประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้ ก็จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีเป็นไปได้อย่างราบรื่น และเป็นภาระกับผู้บริโภคได้อย่างน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ตอนนี้เรามี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว และเป็นความคาดหวังใหม่ของสังคม โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภค ที่ไม่ต้องการการถูกเอารัดเอาเปรียบจากภาคธุรกิจเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา นอกจากการควบคุมกิจการในด้านนี้แล้ว ภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลที่จะเดินเข้ามาหาเราในเร็วๆ นี้ การเตรียมความพร้อมในยุคของทีวีดิจิตอลนั้น สำหรับผู้บริโภคที่มีโทรทัศน์ที่รับสัญญาณผ่านเสาอากาศ ก็ต้องจัดหา อุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณที่เราเรียกว่า Set-Top-Box ที่จะแปลงสัญญาณจากอนาลอกมาเป็นดิจิตอล สำหรับทีวีที่มีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบ สการ์ต (Scart) เวลาที่เราเลือกซื้อ Set Top Box นั้น ก็จะต้องพิจารณาดูว่า มีจุดเชื่อมต่อสำหรับ การต่อผ่านแผ่น สการ์ตหรือไม่ดังรูปที่ 1 ถ้าทีวีที่ไม่มีแผ่นสการ์ต แต่มีจุดเชื่อมต่อเป็น coaxial cable ก็ต้องเลือก Set-Top-Box ที่มีตัวรับตัวเสียบดังรูปที่ 2ในกรณีที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นดีวีดี หรือแอมปลิฟายเออร์ การเลือกซื้อ Set – Top- Box ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า มีจุดที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง แผ่นสการ์ต และจุดเชื่อมต่อแบบโคแอกเซียลดังรูปที่ 3   บทสรุป ผู้บริโภคต้องเตรียมการสำรวจอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้วในบ้าน เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีโอ เครื่องเล่นดีวีดี และแอมปลิฟายเออร์ ว่า มีจุดเชื่อมต่อกี่จุด และมีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบใดแล้ว ผู้บริโภคก็ควรจะเลือกอุปกรณ์ Set Top Box ที่เหมาะสมสามารถที่จะต่อเชื่อมเข้ากับเครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้ว โดยดูจากจุดเชื่อมต่อของ Set top box ว่าจะมีจุดเชื่อมต่อให้หลายจุดและเพียงพอหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาต่อในเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และราคา ในส่วนของ กสทช. ควรต้องกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ Set Top Box ที่จะนำมาเสนอขายในท้องตลาด โดยกำหนดให้อุปกรณ์นั้นรองรับกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่มีอยู่ในครัวเรือนและที่ขายในตลาดบ้านเรา โดยเฉพาะการกำหนดจำนวนและประเภทของจุดเชื่อมต่อขั้นต่ำ ที่จะต้องมีจำนวนเพียงพอ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ต้องรับภาระมากเกินไปในการจัดหาอุปกรณ์เสริมและสายสัญญาณต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการรับสัญญาณระบบดิจิตอลที่ได้เริ่มมีการทดลองออกอากาศกันบ้างแล้ว     รูปที่ 1 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบแผ่นสการ์ต   รูปที่ 2 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบสายโคแอกเซียล   รูปที่ 3 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นทั้งแบบสายสการ์ตและสายแบบโคแอกเซียล   แหล่งข้อมูลอ้างอิงwww.ueberallfernsehen.de

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 ข้อแนะนำในการเลือกซื้อ Tablet PC

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ นโยบาย One Tablet per One Child ของรัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าต่อไป บทความฉบับนี้ผมไม่ได้มีวัตถุประสงค์ ในการวิพากษ์ วิจารณ์ และวิเคราะห์ ในเรื่องความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนชนิดนี้แต่อย่างใด เพราะมีท่านผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการหลายๆ ท่าน ที่ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมกันมากแล้ว สำหรับวัตถุประสงค์ของผมในวันนี้ก็จะอธิบายถึงวิธีการในการเลือกซื้อ แบเบลต คอมพิวเตอร์ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า แทบเบลต (Tablet PC) สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุสูงวัย และห่างไกลจากเทคโนโลยีพอสมควร หากจะลองมาเลือกซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวแล้ว เราจะพิจารณาอะไรกันบ้าง ระบบปฏิบัติการ (Operating System)อันดับแรกที่เราควรพิจารณาในฐานะผู้บริโภคเลยก็คือ ระบบปฏิบัติการของแทบเบลต คอมพิวเตอร์ว่า มีระบบปฏิบัติการอะไร คำถามนี้ผู้บริโภคจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ ระบบปฏิบัติการของ ไอแพด คือ ระบบ Apple System iOS ในกรณีที่เราเลือกซื้อเครื่อง ไอแพดมา เราก็จะได้ระบบปฏิบัติการของไอแพดผูกติดมากับเครื่องด้วยเลย สำหรับกรณีที่เราเลือกซื้อแทบเบลตยี่ห้ออื่น ก็จะเป็นระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า ระบบ แอนดรอยด์ (Android) ซึ่งในระบบปฏิบัติการแบบนี้ เป็นระบบเปิด มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า ระบบของ Apple System iOS ใน ไอแพด แต่ระบบของ ไอแพดก็มีข้อดีในด้านที่ มีโปรแกรมที่เราเรียกว่า Apps (มาจากคำว่า Application) มากมายที่เราสามารถเลือกใช้ และมีเกมให้เลือกเล่นมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ App ที่ใช้เล่นเกมที่มีกราฟฟิคสวยๆ เล่นดนตรี หรือฟังเพลง ขนาดของจอภาพ (ตัวเครื่อง)สำหรับผู้บริโภคที่ชื่นชอบไอแพด ก็คงไม่มีทางเลือกมาก ในประเด็นของขนาดหน้าจอ เพราะไอแพดของ Apple มีขนาด 25 เซนติเมตร (10.1 นิ้ว) ในขณะที่ แอนดรอยด์ แทบเบลตยี่ห้ออื่น จะมีหลายขนาดให้เลือกมากกว่า ขอยกตัวอย่าง ผู้บริโภคท่านใดที่ชอบแทบเบลตขนาดเล็ก ก็สามารถเลือกขนาดหน้าจอที่ 18 เซนติเมตร (7 นิ้ว) ซึ่งนำหนักจะเบากว่า แต่จอก็เล็กลงตามไปด้วย   ระบบการส่งต่อข้อมูล (Data Transmission) แทบเบลตคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตได้ ผ่านช่องทาง WLan และในอนาคตหากเรามีเทคโนโลยี 3G แล้ว การเลือกซื้ออาจต้องพิจารณาว่า แทบเบลตคอมพิวเตอร์นั้น รองรับระบบ 3G หรือไม่ เพราะในระบบ 3G การเชื่อมต่อและส่งผ่านข้อมูลจะสะดวก และรวดเร็วขึ้น แต่ผู้บริโภคควรพิจารณาในประเด็นเรื่องราคาด้วยว่า ระบบ 3G ที่ผู้ให้บริการเสนอขายแก่เรานั้น ราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะผู้บริโภคต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงขึ้น ปัจจุบันนี้ แทบเบลตคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มักจะมีระบบที่รองรับ เทคโนโลยี 3G และ 4Gอยู่แล้ว   ระบบการเชื่อมต่อสัญญาณ (Conectivity)แทบเบลตคอมพิวเตอร์ของผู้ผลิตบางรุ่น สามารถเพิ่มเติมหน่วยความจำได้  โดยเฉพาะแอนดรอยด์แทบเบลต ซึ่งจะมีประโยชน์มากกับผู้บริโภคในการจัดเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นไฟล์รูปภาพ วีดีโอ หรือ กราฟฟิคในเกมส์คอมพิวเตอร์ ที่เราสามารถนำมาใช้งานกับโทรทัศน์จอแบนในระบบดิจิตัลได้อีกด้วย ในกรณีของไฟล์ประเภทวิดีโอ เราควรพิจารณาว่า แทบเบลตคอมพิวเตอร์ของเรามีช่องต่อสัญญาณ HDMI ()หรือไม่ ซึ่งในการเชื่อมต่อนั้นผู้ผลิตบางค่าย ก็จะมีระบบเชื่อมต่อที่เรียกว่า Mini HDMI หรือ Micro HDMI เวลาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือ โน้ตบุ้ค ก็จะต้องใช้ Adapter ต่อผ่านระบบ USB อาจทำให้ผู้บริโภคต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อสัญญาณเพิ่มเติม แป้นพิมพ์ (Keyboard)ปกติแล้วแป้นพิมพ์จะเป็นแป้นพิมพ์ประเภท เสมือนจริง คือ แป้นคีย์บอร์ดจะปรากฏบนจอสัมผัสในกรณีที่เราอยากจะพิมพ์ข้อความ ซึ่งมีข้อเสียก็คือ ไม่สะดวกในการจะพิมพ์ขอความที่ยาวมากๆ ได้ ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายก็ผลิตแป้นพิมพ์จริง ซึ่งใช้การเชื่อมต่อด้วยระบบไร้สาย Blue Tooth หรือผู้ผลิตบางเจ้าก็ผลิตแป้นพิมพ์ที่มีสาย USB เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานเพิ่มขึ้น   อภิธานศัพท์Android: ระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ของบริษัท Google สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารแบบพกพา (Mobile Device) Apple iOS: ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ของบริษัท Apple ผู้ผลิตอุปกรณ์ ไอแพด App: มาจากคำเต็มๆ ว่า Application เป็นโปรแกรมการใช้งาน ซึ่งมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เกม หรือ โปรแกรมการใช้งานอื่นๆ เช่น App Angry Bird จัดเป็น App ประเภทหนึ่งสำหรับการเล่นเกม WLan (Wireless Local Area Network): ระบบการส่งสัญญาณผ่านเครือข่ายคลื่นวิทยุไร้สาย 3G หรือ 4G บางครั้งเราเรียกว่า UMTS (Universal Mobile Telecommunication Systems)  เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการกำหนดการส่งสัญญาณด้วยความเร็วสูง ผ่านโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 131 บทเรียนพลุระเบิดที่สุพรรณ: ถึงเวลาภาครัฐ ต้องจัดระเบียบใหม่

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ข่าวพลุระเบิด ในงานเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเทศกาลสำหรับความสุข สำหรับคนไทยเชื้อสายจีน กลายเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมสำหรับประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ต่อร่างกาย ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ ความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุดังกล่าวนี้ นอกจากจะต้องสืบหาต้นตอสาเหตุ จากอุบัติภัยอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ภาครัฐคงต้องมาทบทวน บทบาทในเรื่องการป้องกันความปลอดภัย ทั้งในเชิงมาตรฐานของสินค้าประเภท พลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่จัดเป็นสินค้าอันตรายอย่างหนึ่งที่มีระดับความเป็นอันตรายหลายระดับ ตลอดจนการควบคุมธุรกิจ หรืองานแสดงที่ต้องมีการจุดพลุ อย่างจริงจังเสียที เหตุการณ์การเกิดวินาศภัย ที่มีผลมาจากการจุดพลุ ดอกไม้ไฟ เพื่อการค้าหรือการแสดงนั้น ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นแค่ครั้งนี้เท่านั้น แต่ถ้าเราดูข่าวจะเห็นว่ามีเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลรื่นเริง ตรุษจีน ปีใหม่ ที่จะมีสินค้าประเภทนี้วางขายอยู่ทั่วไป เข้าใจว่ายังไม่มีกฎระเบียบ หรือกฎเกณฑ์ ตลอดจนหน่วยงานทางด้านเทคนิคและวิศวกรรมความปลอดภัยที่จะเป็นหน่วยงานควบคุมธุรกิจและสินค้าประเภทนี้เลย ทำให้เกิดปัญหาลักลอบการผลิต และสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และความรู้ความเข้าใจของบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสายอาชีพนี้  เป็นความเสี่ยงระดับรุนแรงอย่างหนึ่งสำหรับประชาชนและผู้บริโภคเลยทีเดียว สำหรับบทความในคราวนี้ ผมขอยกตัวอย่างการควบคุมเรื่องการจุดพลุ ตลอดจน การควบคุมสินค้าประเภท ประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุ ของประเทศเยอรมนี เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ รีบเข้ามาจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอย่างเร่งด่วน   การจำหน่ายพลุ ดอกไม้ไฟต้องขอใบอนุญาตในเยอรมนีจะมีหน่วยงานที่ทดสอบพลุ ดอกไม้ไฟ และวัตถุเทียมระเบิด ทางด้านเทคนิค เพื่อที่จะทดสอบความปลอดภัย ความรุนแรงของการระเบิด การจุดติดไฟ  (Bundesanstalt für Material Prüfung: BAM) ก่อนที่จะออกใบอนุญาต ให้นำออกมาจำหน่ายได้ สำหรับการแบ่งประเภทของสินค้าเหล่านี้นั้น ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามระดับความรุนแรงในการติดไฟ และการระเบิด ระดับความรุนแรงประเภทที่ 1 (BAM-P1)ระดับความรุนแรงประเภทที่ 2 (BAM-P2)ระดับความรุนแรงประเภทที่ 3 (BAM-P3) และระดับความรุนแรงประเภทที่ 4 (BAM- P4) สำหรับพลุ ดอกไม้ไฟ นั้นปกติ จะอยู่ในระดับความรุนแรงประเภทที่ 1 และ 2 ซึ่งในการตรวจสอบสินค้าประเภทนี้นั้น หน่วยงานดังกล่าวจะตรวจดูถึงปริมาณของสารที่ต้องควบคุม เนื่องจากหากมีมากไป หรือ ไปเข้าชุดกับสารจุดระเบิดตัวอื่น ก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ผู้จำหน่าย ผู้ขนส่ง หรือผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด จะต้องทำตามระเบียบในการจัดเก็บ การขนส่งอย่างเคร่งครัด   การทดสอบด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดผมขอยกตัวอย่างการทดสอบความปลอดภัยที่สำคัญ ก็คือ การทดสอบภายใต้แรงสั่น จากรูปจะเห็นว่า นำดอกไม้ไฟ หรือ พลุมาวางไว้บนโต๊ะสั่นด้วยความเร่ง 50 เท่าของความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก (-50 g) รูปที่ 1 และภายหลังจากการทดสอบด้วยแรงสั่นแล้วหากมี เศษวัสดุรั่วไหลออกมาจากภาชนะบรรจุ ก็ถือว่า เป็นอันตรายไม่สามารถนำไปวางจำหน่ายหรือ ขนส่งได้ (รูปที่ 2) นอกจากนี้ ยังต้องมีการทดสอบการตกของดอกไม้ไฟ พลุ ที่ระยะความสูง 12 เมตร เพื่อตรวจสอบว่า มีการจุดติดระเบิดหรือไม่ และนอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบ ว่า ในการจัดเก็บสินค้าที่เสี่ยงต่อการระเบิดนั้น ตัวสินค้าสามารถจุดติดระเบิดได้เองหรือเปล่า (Self ignition test) ตามรูปที่ 3 และตรวจสอบกรณีเกิดไฟไหม้ด้านนอก ว่าพลุ ดอกไม้ไฟ มีปฏิกริยาอย่างไร (Out burning test) ตามรูปที่ 4   ภาครัฐต้องเอาจริง ไม่ใช่เอาอยู่ บทสรุปในเรื่องการจัดการสินค้า ที่มีความเสี่ยงสูงในการที่จะก่อให้เกิดวินาศภัยและมหันตภัยอย่างร้ายแรงนั้น อยู่นอกเหนือการจัดการและสั่งการขององค์กรภาคเอกชน ภาครัฐซึ่งมีหลายๆ หน่วยงานดูแลรับผิดชอบในด้านสวัสดิภาพและความปลอดภัยต้องใส่ใจ ในการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานการจัดการสินค้าที่เป็นอันตราย ตลอดจนคำนึงถึงสวัสดิภาพโดยรวมของประชาชนเป็นหลักสำคัญ นอกจากจะต้องมีกฎหมายด้านความปลอดภัยที่ดีแล้ว การบังคับใช้กฎหมาย ก็เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐต้องปฏิบัติตามอย่างจริงจัง นอกจากนี้หน่วยงานทางเทคนิคและทางวิชาการก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้ ถ้าภาครัฐจะเอาจริงกับเรื่องนี้ครับ ข้อมูลอ้างอิง1 คำแนะนำในการจัดการกับวัตถุเทียมระเบิด (Aufbewahrung von Feuerwerk der Klassen I und II), Bundesanstalt für Materialprüfung, Berlin  2005 รูปที่ 1 การทดสอบพลุและ ดอกไม้ไฟภายใต้แรงสั่นสะเทือนขนาด -50 g รูปที่ 2 หลังการทดสอบ พบมีผงจุดระเบิดรั่วออกมา สินค้าไม่ผ่านการทดสอบรูปที่ 3 ทดสอบการจุดติดไฟ โดยจะนำพลุ ดอกไม้ไฟ นำไปใส่ในหลุมที่ขุดลึกพอสมควร เพื่อดูความรุนแรงในการระเบิด รูปที่ 4 ทดสอบความรุนแรงในการระเบิด ซ้ายมือ) ก่อนเริ่มทดสอบ กลาง) เริ่มทดสอบ ขวามือ) ระดับความรุนแรงจากการทดสอบ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 คู่มือกำจัดเชื้อราและเชื้อโรคหลังน้ำท่วม

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ข้อมูลนี้ผมได้นำมาจากแผ่นพับของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ได้พิมพ์แจกประชาชนทั่วไป ที่ประสบปัญหา เชื้อราขึ้นในบ้านและสิ่งของ ตอนน้ำท่วม หวังว่าสมาชิกฉลาดซื้อที่ประสบกับอุทกภัยน้ำท่วม จะยังครองสติ ตั้งมั่นและไม่ยอมแพ้ต่อปรากฎการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ สามารถแก้ปัญหาและฝ่าฟันวิกฤติได้อย่างดี นำข้อมูลนี้ไปเป็นแนวทางในการทำความสะอาดบ้านหลังน้ำท่วมได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย การทำความสะอาดบ้านเรือน โรงเรียนและอาคารหลังน้ำท่วม เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการหลังน้ำลดหลังจากที่สามารถเข้าไปในบ้านเรือนได้แล้วโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย สิ่งแรกที่ต้องดำเนินการเพื่อความปลอดภัยคือ • ตรวจเช็คไฟฟ้าก่อนเข้าไปสำรวจในบริเวณบ้าน ซึ่งอาจขอความช่วยเหลือจากการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาค • เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท • สำรวจพื้นที่ในบ้านอย่างระวังเพราะอาจมีสัตว์อันตรายที่หนีน้ำท่วมเข้าอยู่ในตัวบ้าน หลังจากนั้นจึงกวาดล้าง ทำความสะอาดพื้นและผนังบริเวณที่ถูกน้ำท่วม โดยใช้น้ำสะอาดฉีดล้างในเบื้องต้นเพื่อกำจัดเศษโคลนและขยะที่มากับน้ำท่วมที่ยังคงค้างอยู่ในบ้านและขัดล้างเช็ดถูด้วยแปรง กับน้ำผสมผงซักฟอกและล้างด้วยน้ำตามอีกครั้งจนสะอาด จากนั้นจึงทำการสำรวจพื้นผนังหรือฝ้าที่มีเชื้อราเกาะอยู่ หรือเห็นเป็นคราบดำชัดเจน วิธีการจัดการกับเชื้อราในบ้าน หรือบนวัสดุอุปกรณ์ที่เกิดราขึ้นควรปฏิบัติดังนี้ • แยกวัสดุออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มของวัสดุติดเชื้อราที่ต้องทิ้ง และกลุ่มที่สองเป็นวัสดุติดเชื้อราที่สามารถทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยไม่เกิดอันตราย • กลุ่มของวัสดุที่เกิดราที่ต้องทิ้งประกอบด้วยวัสดุที่มีรูพรุนเปียกน้ำ มีราปกคลุมทั้งชิ้น วัสดุที่เสียสภาพไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมถึงกระดาษ ไม้อัด ไม้ธรรมชาติที่เกิดรา เนื่องจากสปอร์ของเชื้อราจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในรูพรุนของวัสดุเหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้หมด และเชื้อราสามารถที่จะแพร่กระจายบนวัสดุนั้นได้ใหม่ โดยกลุ่มวัสดุเหล่านี้รวมทั้งเสื้อผ้า หรือพรมที่เปียกน้ำหลายวันจนมีเชื้อราขึ้นเต็ม ต้องแยกเก็บไว้นอกบ้านในที่อากาศถ่ายเทสะดวกหรือบรรจุลงในถุงดำถ้ามีขนาดไม่ใหญ่มาก รอการจัดเก็บเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกต้องจาก กทม. อบต. หรือเทศบาลต่อไป • กลุ่มของวัสดุติดเชื้อรา ที่ปนเปื้อนผิววัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยไม่เกิดอันตราย ได้แก่วัสดุที่ไม่มีรูพรุน เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ที่มีเชื้อราเล็กน้อยบนพื้นผิววัสดุ   สารที่ใช้กำจัดเชื้อรา• ใช้น้ำยากำจัดเชื้อรา ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพัฒนาขึ้น คือ “ราอะเวย์” ผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับได้ที่ 02-470-9999 และรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://antifightflood.kmutt.ac.th หรือ http://aff.kmutt.ac.th • เตรียมทำน้ำยาเองโดยใช้สารฟอกผ้าขาว 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 แกลลอนหรือใช้สารฟอกผ้าขาว 50 มิลลิลิตรต่อน้ำหนึ่งลิตร • ห้ามผสมน้ำยากำจัดเชื้อราและเชื้อโรคที่มีสารฟอกผ้าขาวกับแอมโมเนียหรือน้ำยาเช็ดกระจก   ขั้นตอนการทำความสะอาดพื้นผนังหรือฝ้าที่มีเชื้อรา 1. สวมถุงมือยางชนิดหนา และสวมหน้ากากปิดจมูกก่อนทำงาน2. ทำความสะอาดพื้น/ผนัง โดยการขัดและล้างด้วยผงซักฟอกเพื่อขจัดคราบสิ่งสกปรกออก3. เทน้ำยากำจัดเชื้อราและเชื้อโรคใส่ขันหรือภาชนะพลาสติก ใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำยากำจัดเชื้อราให้ชุ่ม เช็ดเชื้อราและคราบสกปรกที่ติดบนผนัง ออกให้หมด โดยระวังไม่ให้ราฟุ้งกระจาย ให้เช็ดไปในทิศทางเดียว เพื่อป้องกันราลุกลามไปยังบริเวณอื่น4. เช็ดให้ทั่วบริเวณที่ต้องการทำความสะอาด ไม่ควรนำผ้าที่เช็ดแล้วกลับมาใช้ใหม่5. เปลี่ยนน้ำยาเมื่อน้ำยาชุดแรกสกปรก6. ฉีดพ่นน้ำยาด้วยหัวฉีดแบบฝอยหรือใช้ฟองน้ำชุบน้ำยากำจัดเชื้อราเช็ดให้ชุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีเพื่อฆ่าเชื้อราที่อาจหลงเหลืออยู่ จนน้ำยาแห้ง7. ฉีดน้ำยาหรือเช็ดด้วยฟองน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อราอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง นานสามอาทิตย์ จนมั่นใจว่า ผนังและพื้นปราศจากเชื้อรา ทิ้งผนังไว้ให้แห้งอย่างน้อย 3-4 อาทิตย์ก่อนทาสีใหม่   การจัดการความชื้นภายในบ้านและทำบ้านให้แห้งหลังจากทำความสะอาดและจัดแยกวัสดุแล้วสิ่งที่สำคัญคือ ต้องเร่งดำเนินการกำจัดความชื้นภายในบ้านและทำให้บ้านแห้งในระยะเวลาอันสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราลุกลาม เนื่องจากเชื้อราสามารถเติบโตและก่อให้เกิดปัญหาได้ใหม่ภายในเวลาสองถึงสามวันหากภายในบ้านยังมีความชื้นอยู่ การกำจัดความชื้นภายในบ้านและทำให้บ้านแห้งสามารถดำเนินการได้ดังนี้ • ใช้พัดลมเป่า เพื่อไล่ความชื้นภายในตัวบ้านให้ทั่ว• เปิดเครื่องปรับอากาศหลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้วเพื่อดูดไล่ความชื้นออกจากห้อง• เปิดเครื่องดูดความชื้น  (Dehumidifier) เพื่อช่วยดูดความชื้นจากวัสดุภายในบ้าน   ที่มาของข้อมูลคู่มือกำจัดเชื้อราและเชื้อโรคหลังน้ำท่วม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 129 ภัยจากการซื้อสินค้าในห้างค้าปลีกสมัยใหม่

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ปฏิเสธได้ยากว่า ร้านสะดวกซื้อ  และห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้ง เซเว่น-อีเลฟเว่น บิ๊กซี เทสโก้-โลตัส ท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต และอื่น ๆ ที่จัดวางสินค้าและมีการบริหารจัดการแบบเดียวกัน เข้ามามีบทบาทสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิตของคนเมือง(วัดได้จากช่วงน้ำท่วมที่ของในห้างเหล่านี้ว่างเปล่าอย่างน่าตกใจ เพราะทุกคนต่างพากันกักตุนอาหาร) เหตุผลที่คนจำนวนมากเลือกที่จะเข้าไปจับจ่ายในสถานที่เหล่านี้แทนที่จะใช้บริการร้านค้าในชุมชนหรือโชห่วยใกล้บ้านแตกต่างกันไป เช่น มีอิสระที่จะเดินเลือกสินค้าด้วยตนเอง สะดวก เข้าถึงได้ง่าย เชื่อว่าสินค้าที่วางจำหน่ายจะมีคุณภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า และ ทำให้ได้สินค้าราคาถูกกว่า เป็นต้น อย่างไรก็ตามจากการทำงานคุ้มครองผู้บริโภค เรื่องความปลอดภัยด้านอาหารของเครือข่ายผู้บริโภคใน 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด เชียงใหม่ พะเยา สุราษฎร์ธานี สงขลา และสตูล ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึง ตุลาคม 2554 พบว่าการซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่และจากห้างนั้น อาจทำให้ผู้บริโภคพบปัญหาได้ไม่ต่างกัน (หรือแย่กว่า?) กับการซื้อสินค้าจากร้านใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็น การจำหน่ายสินค้าหมดอายุบนชั้นวาง สินค้าเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุ สินค้ามีคุณภาพผิดมาตรฐาน และราคาสินค้าไม่ตรงกับราคาป้ายหรือไม่มีสินค้าแถมตามการส่งเสริมการขายที่ระบุไว้ ปัญหาสินค้าหมดอายุเริ่มกันที่การจำหน่ายสินค้าหมดอายุบนชั้นวางสินค้า เครือข่ายผู้บริโภคภาคใต้ ได้สำรวจการจำหน่ายสินค้าในห้างค้าปลีกสมัยใหม่และร้านสะดวกซื้อในจังหวัดรวมกันกว่า 15 สาขา ในปลายเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2554 พบสินค้าหมดอายุรวมกันบนชั้นวางทั้งสิ้นกว่า 40 รายการ ทั้งของสดและของแห้ง โดยที่กว่าครึ่งเป็นของแห้งโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งขนม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารเช้าสำหรับเด็ก(ซีเรียล) และจากการร้องเรียนของผู้บริโภคเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 ว่าพบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่ารสต้มยำกุ้งทั้งน้ำข้นและน้ำใสและยำยำรสหมูสับหมดอายุบนชั้นวางของห้างบิ๊กซีสาขาสะพานควาย การจำหน่ายองุ่นนำเข้าหลังวันหมดอายุโดยนำมาจำหน่ายแบบลดราคาพิเศษในห้างท็อปส์ สาขาเซ็นจูรี่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อมาในเดือนสิงหาคม จากการสำรวจอาหารของโครงการฯ พบว่า นมข้นหวานกระป๋องตรามะลิจากห้างแมคโครสาขาแจ้งวัฒนะเสื่อมสภาพทั้งกลุ่มการผลิตก่อนวันหมดอายุบนฉลาก   โดยพบก้อนสีเหลืองอยู่ในกระป๋องนม และกรณีขนมปังยี่ห้อ เอ-พลัส ไส้สังขยา จากเซเว่น-อีเลฟเว่น สาขาอาคารหะรินธร ถนนสาทรเหนือ เขตบางรัก กทม. มีราขึ้นก่อนวันหมดอายุของสินค้าประมาณ 3 วัน   สินค้าไม่ตรงราคาป้าย กรณีราคาสินค้าไม่ตรงกับราคาป้าย สมาคมผู้บริโภคสงขลา หนึ่งในเครือข่ายผู้บริโภคภาคใต้ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า   พบเห็นการส่งเสริมการขายโดยประกาศลดราคานมผงสำหรับเด็กจากหนังสือพิมพ์ จึงได้ไปซื้อสินค้าจากห้างเทสโก้ โลตัสสาขาหาดใหญ่ ตามประกาศ โดยได้ดูการแสดงราคาและเงื่อนไขต่างๆ ที่แสดงอยู่บนชั้นวางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อมาชำระเงินปรากฏว่ายอดชำระไม่ตรงตามราคาที่ปรากฏในการส่งเสริมการขาย ห้างฯ อ้างว่าเลยเวลาการส่งเสริมการขายทั้งที่โฆษณาและบนชั้นวางสินค้ายังคงแสดงข้อมูลอยู่   ห้างฯ ไม่ได้มาตรฐาน ผู้บริโภคทำอะไรได้บ้าง เมื่อการซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ไม่ได้มีความปลอดภัยและสะดวกอย่างที่เข้าใจกัน วิธีการหนึ่งที่จะช่วยผู้บริโภคได้ คือการอ่านฉลากอาหารและข้อมูลต่าง ๆ บนชั้นวางก่อนตัดสินใจซื้อ สิ่งที่ควรพิจารณาบนฉลาก ได้แก่ ชื่ออาหาร วันผลิต-วันหมดอายุ ส่วนประกอบของอาหาร เพื่อช่วยในการพิจารณาถึงคุณค่าของอาหารรวมทั้งเรื่องของวัตถุเจือปน น้ำหนักหรือปริมาตรสุทธิ อันนี้ช่วยให้ผู้บริโภครู้น้ำหนักช่วยในการเปรียบเทียบเลือกสินค้า และส่วนสุดท้ายที่ควรอ่านเป็นส่วนเสริม คือฉลากโภชนาการที่จะบอกให้ผู้บริโภครู้ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการของอาหารนั้น ๆ ว่ามีมากน้อยเพียงใด คุ้มค่าไหมที่จะนำมาบริโภค เคล็ดลับที่ทาง โครงการอาหารฯ ขอแนะนำคือ  เวลาเลือกซื้อสินค้า ควรเลือกสินค้าที่แสดงวันหมดอายุหรือควรบริโภคก่อนอย่างชัดเจน หากแสดงแค่วันผลิตโดยไม่แสดงวันหมดอายุ ขอแนะนำว่าให้เลี่ยงไปก่อน ไม่ควรบริโภค ให้เลือกซื้อสินค้าของผู้ผลิตรายอื่นที่มีการแสดงข้อมูลบนส่วนนี้อย่างชัดเจนจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคได้มากกว่า สำหรับกรณีอาหารเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุนั้น หลายกรณีสามารถดูได้จากรูปลักษณ์ภายนอกของอาหาร เช่น บรรจุภัณฑ์บุบบวม ลักษณะของอาหารเปลี่ยนไปทั้งรูปและกลิ่น ซึ่งจะต้องใช้การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจึงจะสังเกตเห็น ฉลาดซื้อขอแนะนำว่าให้ใช้เวลาในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าในแต่ละชิ้นให้มากขึ้น ไม่ควรตรงเข้าไปหยิบสินค้าโดยที่ไม่สังเกต กรณีของสดที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิในการเก็บรักษา ขอให้พิจารณาอุณหภูมิของตู้แช่ว่า อุณหภูมิที่แสดงอยู่เหมาะสมหรือไม่กับการเก็บรักษาอาหาร หากอุณหภูมิต่ำหรือสูงไป ก็ไม่ควรที่จะซื้อสินค้าจากห้างสาขานั้น ๆ ควรใช้บริการสาขาอื่นหรือสถานที่จำหน่ายแหล่งอื่นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการได้สินค้าเสื่อมสภาพได้ ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเลือกซื้อสินค้าจากที่ไหนปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นก็สามารถเกิดขึ้นได้ ผู้บริโภคจึงต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาที่เลือกซื้ออาหารใดๆ ก็ตาม อย่าให้ความเคยชินและความเร่งรีบ มาอ้างเป็นเหตุหนึ่งในการเลือกซื้อที่ไม่รอบคอบ และถ้าทำตามเราแนะนำแล้วแต่ยังพบสินค้าไม่ปลอดภัยอีก อย่าวางเฉยทิ้งอาหารนั้น ๆ ไป เพราะเรามีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ประกอบการหรือผู้จัดจำหน่ายได้นะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 128 องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค: กรณีรถยนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ในปัจจุบัน มีสินค้าหลายชนิดที่อยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก   สินค้าชนิดเดียวกันมีความหลากหลายทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ   บริษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่ต่างมุ่งที่จะขายสินค้าหรือบริการของตนโดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาด  มีการใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในหลายรูปแบบเพื่อให้สินค้าสามารถขายและแข่งขันได้ การประชาสัมพันธ์สินค้ามักมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคเห็นความดีและประโยชน์ของสินค้าแต่เพียงด้านเดียวจึงทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบเนื่องจากขาดข้อมูลที่สำคัญบางอย่างในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ เช่น ไม่แจ้งผลข้างเคียงของการใช้สินค้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริง หรือได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ไม่เหมาะสมกับราคาหรือสินค้า มีผลข้างเคียงอื่นๆ  อันเป็นเหตุให้ผู้บริโภคสูญเสียเงินจำนวนมาก  ในประเทศที่พัฒนาแล้ว  ภาครัฐได้เห็นความสำคัญของผู้บริโภค  และเห็นว่าประชาชนควรจะมีข้อมูลรอบด้าน เพื่อเลือกซื้อสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป บางประเทศรัฐบาลสนับสนุนองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไรให้ทดสอบสินค้าที่มีอยู่ตามท้องตลาด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงในด้านต่างๆของสินค้านั้น  รวมทั้งเผยแพร่ผลการทดสอบสินค้าและให้คำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้าแก่ผู้บริโภค  ตัวอย่างองค์กรในประเทศเยอรมนีที่ทำหน้าที่ด้านการให้ข้อมูล คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รถยนต์ ในประเทศเยอรมนีชื่อว่า สมาคมยานยนต์แห่งประเทศเยอรมนี (Der Allgemein Deutsche Automobil Club: www.adac.de)  หน้าที่ ที่สำคัญขององค์กรนี้คือ การให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ โดยจะทำการทดสอบรถยนต์ที่วางขายอยู่ในท้องตลาด โดยจะทำการทดสอบและให้ข้อมูลแก่ผุ้บริโภคโดยละเอียดมาก เช่น เทคนิคและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไรบ้าง ลักษณะของตัวรถทั้งภายในและภายนอก ลักษณะของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ความปลอดภัย  การขับเคลื่อนของรถ และราคา ยกตัวอย่างผลการทดสอบรถยนต์ รุ่น Chevrolet  Aveo 1.4 (ดูเอกสารแนบประกอบ)   นอกจากนี้  ยังได้ทำข้อมูลในด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับการบำรุง ดูแลรักษารถยนต์ การป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดจากรถยนต์ วิธีการขับรถที่ปลอดภัยและประหยัดพลังงาน  มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับสภาพถนนที่เป็นปัจจุบัน ให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมาย ตลอดจนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหาแหล่งเงินกู้เพื่อซื้อรถยนต์ ทดสอบคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการของอู่ซ่อมรถยนต์ และศูนย์ให้บริการของรถยนต์ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเช่น  น้ำมัน ที่นั่งเสริมนิรภัยสำหรับเด็ก  ยาง เบรก ฯลฯ ตลอดจนให้คำแนะนำในเรื่องการขับรถยนต์แก่คนพิการ   สำหรับประเทศไทย การจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาราจักรไทย พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 61 บัญญัติว่า สิทธิของบุคคล ซึ่งเป็นผู้บริโภค ย่อมได้รับการคุ้มครองในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง และมีสิทธิร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย รวมทั้งมีสิทธิรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค อีกทั้งยังกำหนดให้มีองค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาหน่วยงานของรัฐในการตรวจตรา และการบังคับใช้กฎหมายและกฎ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การอิสระดังกล่าวด้วย ซึ่งได้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีการเสนอร่างโดยคณะรัฐมนตรี ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและส.ส.ฝ่ายค้าน จำนวนทั้งหมด 7 ร่าง   ผ่านการพิจารณาในชั้นของสภาผู้แทนราษฎรทั้งสามวาระ และกำลังพิจารณาแปรญัตติอยู่ในชั้นของกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา ก็ได้มีการประกาศยุบสภาไปก่อน ทำให้ตอนนี้ ร่าง พรบ.ดังกล่าว ต้องได้รับคำรับรองยืนยันจากนายกรัฐมนตรี จึงจะพิจารณาร่าง พรบ.ดังกล่าวต่อไปได้ และจากรายงานสถิติการร้องเรียนในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมาของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีการร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รถยนต์ มากที่สุด โดยมีผู้ร้องเรียนถึง 7752 ราย (โพสต์ ทูเดย์ 18 กันยายน 2554) จะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ และถูกละเมิดสิทธิเป็นวงกว้าง  หากสังคมไทยมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมการองค์การอิสระทั้ง 7 ด้าน คือ   1ด้านการเงินและการธนาคาร2 ด้านการบริการสาธารณะ3 ด้านที่อยู่อาศัย4 ด้านบริการสุขภาพ5 ด้านสินค้าและบริการทั่วไป6 ด้านสื่อสารและโทรคมนาคม7ด้านอาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ  จะช่วยคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและป้องกันการการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในวงกว้างได้ โดยเฉพาะกรรมการที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านสินค้าและผลิตภัณฑ์ทั่วไป ที่จะต้องนำข้อมูลเกี่ยวกับผลการทดสอบรถยนต์ เหมือนกับที่องค์กรผู้บริโภคของหลายๆประเทศ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ เพื่อช่วยผู้บริโภคการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ ได้อย่างคุ้มค่า เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในเชิงรุก ในระยะยาวหากมาตรฐานสินค้ารถยนต์ในประเทศสูงขึ้น ก็จะช่วยทำให้ยกระดับมาตรฐานของรถยนต์ในประเทศไทยสูงขึ้น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางอ้อม เหมือนกับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในเยอรมัน ที่เป็นผลมาจากนโยบายการคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุกที่ทุกภาคส่วนในสังคมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 127 มาตรฐานขวดนมเด็ก: ถึงเวลาที่ผู้ปกครอง ต้องใส่ใจ

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ เด็กและทารก เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิมากที่สุด ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานเฉพาะเพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็ก โดยเฉพาะการควบคุมปริมาณสารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อและคุณแม่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการเลือกซื้อ โดยจะขอยกตัวอย่างเรื่อง ขวดนม  เนื่องจากเด็กและทารกมีระดับความต้านทานต่อสารพิษได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดกว่า การเพิ่มระดับการป้องกันในเชิงกฎหมายที่เข้มข้นกว่าสินค้าทั่วๆ ไปจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่การออกกฎหมายหรือมาตรฐานสินค้านั้นใช้เวลานานและไม่ทันต่อสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน บทความนี้จะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมสำหรับเด็กและทารก ความเสี่ยงและอันตรายของสารเคมี Bisphenol A ที่ยุโรปมีออกมาตรการที่เข้มที่สุด คือ คำสั่งห้ามผลิต ห้ามและห้ามจำหน่าย การป้องกันอันตรายจากสารเคมี และผลข้างเคียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ตลอดจนมาตรการในการจัดการของหลายๆ ประเทศ เรื่องความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมเด็ก ซึ่งหลายๆประเทศ ได้ห้ามการจำหน่ายสินค้าประเภทขวดนมเด็ก หากตรวจพบสารเคมี Bisphenol A  จริงๆ แล้ว องค์กรผู้บริโภคในประเทศยุโรปได้เรียกร้องให้มีการสั่งห้ามผลิต และห้ามขายขวดนมที่มีสาร Bisphenol A มานานแล้ว จนกระทั่งในระดับประเทศ คือ ประเทศฝรั่งเศส และ เดนมาร์ค เป็นประเทศแรกๆ ที่ได้เริ่มสั่งห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายก่อน และในที่สุดกรรมาธิการยุโรปด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เกรงว่าจะเกิดการลักลั่นกัน ในประเทศสมาชิก จึงได้มีคำสั่งห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายในประเทศสมาชิกอียูตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554  สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมกับผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมสำหรับเด็กนี้ ซึ่งในเบื้องต้นจะต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนและชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจมีสารเคมีอันตรายแอบแฝงอยู่ และสำหรับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องควรเข้ามามีบทบาทในการจัดการอย่างรีบด่วนที่สุด เพื่อยกระดับความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ และเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศไทย   Bisphenol A ภัยร้ายในขวดนมบิสฟีนอลเอ (Bisphenol A) เป็นสารเคมีที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตโพลีคาร์บอเนต หรือพลาสติกแบบใส เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ 50 อันดับแรกที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี บิสฟีนอลเอ พบได้ในสินค้าบริโภคหลากหลายชนิดรวมถึงขวดนมพลาสติกแบบใส ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านและเพื่อการบริโภคอีกหลายสิบชนิดที่มีสารบิสฟีนอลเอ เช่น ขวดน้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้บางประเภท กล่องบรรจุอาหารที่ใช้ในไมโครเวฟได้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ หมวกกันน็อคใส่เล่นกีฬา เลนส์แว่นตา ฯลฯ ยังพบ บิสฟีนอลเอ ได้ใน อีพ็อกซี่เรซิน ที่พบในวัสดุอุดฟันสีขาว วงจรพิมพ์สีทาบ้าน กาว สารเคลือบในกระป๋องโลหะที่บรรจุอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังพบว่า บิสฟีนอลเอ เป็นสารเจือปนในพลาสติกประเภทอื่นที่ใช้ในการผลิตของเล่นเด็กด้วย   บิสฟีนอลเอก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างไร จากการศึกษาและรายงานผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจากการได้รับ บิสฟีนอลเอ แสดงให้เห็นว่า บิสฟีนอลเอ สามารถเปลี่ยนแปลงหน่วยพันธุกรรมหลายร้อยหน่วย ซึ่งมีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบางชนิดและขึ้นอยู่กับจำนวนเวลาที่ได้รับ อีกทั้งการศึกษาในสัตว์ทดลองมากกว่า 150 ชนิด บ่งชี้ว่าการได้รับ บิสฟีนอลเอ มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพมากมาย รวมถึงมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม ภาวะอ้วนผิดปกติ ภาวะไม่อยู่นิ่ง เบาหวาน ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง จำนวนอสุจิลดลง และการเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าปกติ   กลุ่มเสี่ยงคือ เด็ก เด็กที่กำลังเจริญเติบโตมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารเคมีเป็นพิษในสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะตามธรรมชาติของเด็กมักจะมีความรู้สึกไวต่อสิ่งเหล่านั้น เด็กได้รับสารตั้งแต่อยู่ในครรภ์ผ่านรกในร่างกายของมารดาที่ตั้งครรภ์ได้ มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ปัญหาที่เกิดการได้รับสาร บิสฟีนอลเอ ระหว่างช่วงที่มีพัฒนาการจะไม่แสดงออกมาในขณะนั้น แต่จะปรากฏอาการภายหลังการได้รับสารดังกล่าวหลายปี ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการป้องกันเด็กไม่ให้เด็กได้รับสาร บิสฟีนอลเอ จากผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้อยู่ทุกวัน   บิสฟีนอลเอสามารถก่อให้เกิดความผิดพลาดในการเรียงโครโมโซม บิสฟีนอลเอเป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นในฐานะที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การเรียง โครโมโซมผิดพลาด ในปี 2003 ดร.แพท ฮันท์ และทีมงานได้ค้นพบว่า บิสฟีนอลเอ สามารถทำให้โครโมโซมเรียงตัวกันผิดพลาดได้ ถึงแม้จะได้รับในปริมาณที่ต่ำมากก็ตาม โดยปกติเซลล์สืบพันธุ์จะแบ่งเป็นสองเซลล์เมื่อสร้างไข่ แล้วแบ่งโครโมโซมเท่าๆ กันระหว่างเซลล์ลูกแต่ละเซลล์ เซลล์พวกนี้สามารถเข้าสู่กระบวนการสืบพันธุ์ และเมื่อผสมกับอสุจิ จะเกิดการปฏิสนธิขึ้น ดร.ฮันท์ แสดงให้เห็นว่าการได้รับ บิสฟีนอลเอ จะส่งผลให้โครโมโซมไม่สามารถจัดเรียงอย่างถูกต้อง ส่งผลให้การเรียงลำดับโครโมโซมผิดพลาดคล้ายกับที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome)    ขัดขวางพัฒนาการทางสมอง ในการศึกษาส่วนมาก พบว่า บิสฟีนอลเอเลียนแบบการทำงานของเอสโตรเจนในการพัฒนาประสาท อย่างไรก็ตาม ในบางส่วนของสมอง บิสฟีนอลเอ มีผลในการขัดขวางกิจกรรมของเอสโตรเจน ซึ่งปกติจะเพิ่มการเจริญเติบโตและควบคุมการเชื่อมโยงระหว่างเส้นประสาทด้วยเหตุนี้ บิสฟีนอลเอจึงมีสมบัติคล้ายคลึงกับ ทาม็อกซิเฟน ซึ่งเป็นยารักษามะเร็งเต้านม คือกระตุ้นการตอบสนองแบบเอสโตรเจนในเนื้อเยื่อบางประเภท และขัดขวางการตอบสนองแบบเอสโตรเจนในเนื้อเยื่ออื่นๆ จะเห็นได้ว่าผลกระทบจากบิสฟีนอลเอ คือ สารบิสฟีนอลเอ เป็นตัวขัดขวางการเรียนรู้และความทรงจำ นอกจากนี้ บิสฟีนอลเอยังมีผลกระทบต่อการพัฒนาสมองหรือทำให้เกิดการเชื่อมโยงในสมองในเวลาที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น จากการที่บิสฟีนอล เอเปลี่ยนแปลงพัฒนาการของสมอง จึงนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงมากมาย เช่น   ภาวะไม่อยู่นิ่ง : ดร.มาซาโตชิ โมริตะและทีมงานที่สถาบันศึกษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติญี่ปุ่น รายงานว่า การให้สารบิสฟีนอลเอ 30 g/kg/วัน กับหนูอายุ 5 วันเพียงครั้งเดียว ทำให้หนูมีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่งนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าการได้รับสารบิสฟีนอลเอ เปลี่ยนแปลงระบบส่งสัญญาณโดปามีนที่พัฒนาในเซลล์สมอง ส่งผลให้ตัวรับและตัวส่งโดปามีนน้อยลง โดปามีนเป็นตัวส่งสัญญาณประสาทที่สำคัญในสมอง และการสูญเสียประสาทที่ผลิตโดปามีนเกิดขึ้นในโรคพาร์กินสัน เพิ่มความก้าวร้าว : การได้รับสารบิสฟีนอลเอที่ปริมาณ 2 – 40 g/kg/วัน ทำให้ทารกหนูเพศผู้ในครรภ์มีพฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่ความเข้มข้นของเทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้น   บทสรุปและข้อเสนอแนะ ปัจจุบันผู้บริโภคมีข้อมูลไม่มากนักที่จะช่วยประกอบการตัดสินใจเวลาซื้อสินค้าสำหรับครอบครัว  การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและผลิตภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยคุ้มครองสุขภาพและสามารถเลือกใช้สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย  ในส่วนของผู้ผลิตเองควรมีการติดฉลากในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ถ้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือมีศักยภาพที่จะเป็นอันตรายเป็นส่วนประกอบ นอกเหนือจากการระบุชื่อส่วนผสมที่เป็นอันตรายหรืออาจเป็นอันตรายแล้ว ความเสี่ยงทางสุขภาพที่เกี่ยวกับสารเคมีดังกล่าวควรจะมีการอธิบายไว้บนผลิตภัณฑ์ด้วย   ในหลายประเทศได้มีการตระหนักถึงอันตรายที่แอบแฝงอยู่ของ บิสฟีนอลเอ จนมีมาตรการออกมาหลายอย่าง เช่น คณะกรรมาธิการด้านนโยบายสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคแห่งสหภาพยุโรป (อียู) ออกประกาศห้ามบริษัทผู้ผลิตขวดนมสำหรับเด็กใช้สารเคมีบิสเฟอนอล-เอ (บีพีเอ) เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าพลาสติกทั้งหมด โดยประกาศห้ามจะมีผลบังคับใช้ในกลุ่มประเทศสมาชิกอียูตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป องค์การการกุศลด้านเด็กและครอบครัว (NCT) ประเทศอังกฤษ ออกมาเรียกร้องให้ติดป้ายแสดงส่วนประกอบที่ใช้ผลิตขวดนมว่ามีสารพิษที่เป็นอันตรายหรือไม่ เป็นต้น   สำหรับในประเทศไทยเองเริ่มมีการตื่นตัวเกี่ยวกับอันตรายที่แอบแฝงอยู่ในขวดนมพลาสติกขึ้นมาบ้าง  องค์กรภาครัฐเริ่มขยับ แต่ถ้ามองจากผู้บริโภค และผู้ปกครองแล้ว กว่าจะมีประกาศห้ามผลิตและห้ามจำหน่ายนั้น คงจะใช้เวลาอีกนาน  ดังนั้นการเลือกซื้อขวดนม ขอให้เลือกจากผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากว่า ปลอด Bisphenol A อย่าเห็นแกของถูก ควรศึกษาหาความรู้ในด้านวิธีการใช้งานขวดนมพลาสติกที่ถูกต้องและปลอดภัย จากแหล่งข้อมูล ที่เชื่อถือได้ และคำนึงถึงการคุ้มครองสุขภาพสวัสดิภาพของเด็กมากกว่าประโยชน์ทางการค้า ก็จะช่วยเด็กไทยให้มีความปลอดภัยจากสารเคมี   ---------------------------------------------------------------------------------------------- การเลือกขวดใช้ขวดนมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กควรเลือกขวดนมพลาสติกที่ปราศจาก Bisphenol A ซึ่งจะมีสัญลักษณ์ ตามรูป หรือขวดนมแก้ว ขวดนมพลาสติกเกือบทั้งหมดผลิตจากโพลีคาร์บอเนตพลาสติกที่มี บิสฟีนอลเอ เพียงแค่การล้าง 50-100 ครั้ง ปริมาณของบิสฟีนอลเอ จำนวนมากสามารถรั่วออกมาปนเปื้อนสู่นมของเด็กเล็กๆ ได้ วิธีการหลีกเลี่ยง คือ เปลี่ยนไปใช้ขวดนมแก้วสำหรับการใช้งานของทารก หากยังจำเป็นต้องใช้ขวดนมพลาสติก เวลาที่จะล้างทำความสะอาดให้หลีกเลี่ยงน้ำยาล้างจานที่ความเข้มข้นสูง หรือน้ำร้อนเวลาที่ล้าง เพื่อลดการรั่วไหลของสาร BPA อย่าใส่ขวดนม บรรจุภัณฑ์หรือ ในเครื่องล้างจาน และให้ทิ้งขวดนม บรรจุภัณฑ์หรือจานชามพลาสติกที่เริ่มมีรอยขีดข่วนหรือขุ่นมัว และห้ามทิ้งนมไว้ในขวดพลาสติกเป็นเวลานาน บทความนี้ ได้จัดทำขึ้น ภายใต้โครงการพัฒนาเวบไซต์ เพื่อการทดสอบสินค้า ศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และอนุกรรมการทดสอบและพิสูจน์สินค้า  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 การแลก เปลี่ยน และคืนสินค้าที่ชำรุดบกพร่องในยุโรป

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ผู้บริโภคทุกคนคงจะเคยเกิดปัญหานี้ขึ้นกับตนเสมอ คือการซื้อสินค้าแล้วต่อมาพบว่าสินค้าที่เราซื้อมานั้นชำรุดและบกพร่อง หลายท่านอาจจะนำสินค้าไปคืน หรือขอเปลี่ยนสินค้าใหม่ บางครั้งก็อาจเปลี่ยนสินค้าได้ในกรณีที่โชคดี ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่ตระหนักในสิทธิของผู้บริโภค บางครั้งก็โชคร้ายผู้ประกอบการไม่ยอมรับคืนสินค้าให้ แต่จะขอนำสินค้านั้นไปซ่อมแซมแก้ไขให้ ซึ่งบางครั้งก็ใช้ระยะเวลาในการซ่อมสินค้านานมาก แถมยังผ่อนชำระสินค้านั้นไม่หมดเลย ทำให้ผู้บริโภคอย่างเรารู้สึกหงุดหงิด คิดว่าว่าซื้อสินค้าใหม่แกะกล่องแล้ว ยังต้องมานั่งทนกับของที่ไม่น่าที่จะต้องมีข้อบกพร่องเลย จะไปฟ้องร้องก็ยังติดในเรื่องของมูลค่าสินค้า ที่อาจจะไม่คุ้มกับค่าเดินทางและค่าเสียเวลา หลายๆ กรณีก็เป็นที่ถกเถียงกันว่า ผู้ประกอบการสามารถที่จะแก้ไขสินค้าที่มีข้อชำรุดบกพร่องนี้ได้นานเท่าไหร่ ผู้บริโภคถึงมีสิทธิคืนสินค้าได้ มาดูมาตรการการคืนสินค้าในประเทศเยอรมนีบ้างว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร  องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งเมืองเบอร์ลินได้ให้ข้อมูลในกรณีของการซื้อสินค้าแบบปรกติ และกรณีซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต และTelesales โดยอ้างถึงพระราชบัญญัติที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายสินค้า เพื่อการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคดังนี้  1. ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนคืนสืนค้า ในกรณีที่ชำรุดบกพร่องได้ ในกรณีที่สินค้า ชำรุด บกพร่อง สามารถ reclaim ได้ ซึ่งในกรณีที่สินค้าชำรุดบกพร่อง และผู้ประกอบธุรกิจสามารถที่จะซ่อมแซมสินค้าให้กลับมาใช้งานได้ตามปรกติ แต่ถ้าผู้ประกอบธุรกิจลองพยายามซ่อม ถึง 2 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ไขความชำรุดบกพร่องนั้นได้ ผู้บริโภคสามารถขอคืนสินค้า และขอเงินที่ได้จ่ายไปแล้วนั้น คืนได้(Wandlung) นอกจากนี้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้อีกเช่นกันว่าจะไม่คืนสินค้า แต่สามารถต่อรอง เพื่อขอเงินคืนบางส่วนที่เกิดจากสินค้าชำรุดบกพร่องได้(Minderung) กฎเกณฑ์นี้ใช้กับการซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต การสั่งซื้อผ่านทางโทรศัพท์(Telesale) และการสั่งซื้อสินค้าตามแคตตาลอก ซึ่งผู้บริโภคมีสิทธิคืนสินค้าภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ นับแต่วันที่ได้รับสินค้า ถึงแม้ว่าสินค้าที่สั่งซื้อนั้นจะไม่มีข้อชำรุดบกพร่องก็ตาม แต่เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้เห็นสินค้าของจริงก่อนซื้อ เหมือนกับการซื้อของตามห้างร้าน สินค้าที่โฆษณาในอินเตอร์เน็ต บนแคตตาลอก อาจจะไม่เหมือนกับสินค้าจริงๆ กฎหมายจึงให้สิทธิผู้บริโภคในการเปลี่ยนหรือคืนสินค้าภายใน 2 สัปดาห์ แม้ว่าสินค้าไม่ได้ชำรุดบกพร่องก็ตาม สำหรับในประเทศเยอรมนีนั้น อัตราการคืนสินค้าจากการซื้อขายด้วยวิธีดังกล่าวประมาณ 30- 50 %  2.ไม่มีใบเสร็จ ก็สามารถคืนสินค้าได้  ในกรณีที่ซื้อสินค้า แล้วทำใบเสร็จรับเงินหาย ผู้บริโภคสามารถคืนสินค้าได้หากมีพยานให้การรับรองว่าได้ซื้อสินค้ามาจริง หรือมีหลักฐานการจ่ายเงินอย่างอื่น เช่น หลักฐานการโอนเงิน หรือสลิปบัตรเครดิต  3. การคืนสินค้านั้น ไม่จำเป็นต้องบรรจุสินค้าลงในกล่องบรรจุภัณฑ์ หรือหีบ ห่อ ให้เหมือนกับตอนที่ซื้อสินค้ามา  4. การเปลี่ยนคืนสินค้า ที่อยู่ในกลุ่ม built in เช่น เครื่องล้างจาน เตาอบ เตาไมโครเวฟ หรือแม้แต่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งในบ้าน เช่น wall paper หากสินค้าชำรุดบกพร่อง ผู้จำหน่ายก็ต้องรับผิดชอบค่าแรง ค่ารื้อถอน ค่าติดตั้งใหม่ที่เกิดขึ้นจากสินค้าชำรุดบกพร่องนั้นด้วย(คำตัดสินของศาลแห่งสหภาพยุโรป EuGH) ซึ่งจะมีระยะเวลาของการรับประกัน 2 ปี หากพ้นกำหนด 2 ปีแล้วสินค้าชำรุดบกพร่อง ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายค่าซ่อมแซมบางส่วนที่เกิดขึ้น 5. ถึงแม้นจะเป็นสินค้าลดราคา ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์การรับประกันสินค้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ และในการซื้อสินค้าที่ได้ระบุแล้วว่าเป็นสินค้ามีตำหนิ เช่น การซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าลดราคา ถ้าผู้บริโภคทราบแล้วว่าสินค้าที่ลดราคานั้นเนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้ามีรอยขีดข่วน แต่ถ้าสินค้านั้น เกิดความชำรุดบกพร่องอย่างอื่นในภายหลัง การแลกเปลี่ยนคืนสินค้า ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นี้เช่นกัน แต่ไม่สามารถนำสินค้าที่ซื้อแล้วมาแลกคืนเพราะรอยขีดข่วนนั้นได้ 6. ในกรณีซื้อสินค้าแล้วเกิดการชำรุดบกพร่อง ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งตามกฎหมายผู้บริโภคเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจโต้แย้งว่า สินค้าตอนที่ส่งมอบนั้นอยู่ในสภาพปรกติ ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้มีหน้าที่พิสูจน์ แต่หลังจากเกินกว่า 6 เดือนแล้วภาระการพิสูจน์จะตกอยู่กับผู้บริโภค 7. กรณีที่มีความผิดพลาดของคู่มือการใช้งาน จนทำให้ผู้บริโภคเป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหายกับสินค้า เช่น ในกรณีของคู่มือการประกอบเฟอร์นิเจอร์ที่อธิบายวิธีการประกอบที่ผิด และผู้บริโภคก็ได้ปฏิบัติตามคู่มือนั้น ในกรณีเช่นนี้สามารถให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจ รื้อเฟอร์นิเจอร์และต้องประกอบให้ผู้บริโภคด้วย และถ้าไม่สามารถแก้ไข หรือ ซ่อมแซมได้ ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่อธิบายไว้แล้ว ต่อรองขอเงินคืนบางส่วน(Minderung) หรือคืนสินค้า(Wandlung)   ก็หวังว่าองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ที่จะเกิดขึ้นมาในประเทศไทย จะช่วยปรับปรุงมาตรการคืนสินค้าที่ชำรุดบกพร่องในประเทศไทยให้พัฒนาไปในทิศทางที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ----  บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่องมาตรการจัดการสินค้าชำรุดบกพร่อง สนับสนุนโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในโครงการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภายใต้โครงการปฏิบัติการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (จำลอง)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 ตัวร้าย.... E. coli ??

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ   E. coli หรือชื่อจริงว่า Escherichia coli เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Theodor Escheric เมื่อปี ค.ศ. 1885 ส่วนคำว่า coli นั้น มาจากภาษาละตินแปลว่าลำไส้ใหญ่ (colon) E. coli เป็นแบคทีเรียในกลุ่ม coliform รูปแท่งมีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1-2 ไมครอน (1 ไมครอนคือ 1 /1000 มม.) E. coli มีมากกว่า 700 สายพันธุ์ ปกติอาศัยอยู่ในลำไส้ของสัตว์เลือดอุ่นเช่นในคน วัว ควาย เป็นต้น ไม่ก่อให้เกิดโรค จัดเป็นเชื้อประจำถิ่น (normal flora) อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์แบบให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่ให้อาหารแก่ E. coli และ E. coli จะสร้างวิตะมินบางชนิดเช่นวิตะมิน K ให้แก่คน รวมทั้งป้องกันแบคทีเรียที่ก่อโรคอื่นๆ ที่จะมาเกาะลำไส้ ว่าไปแล้ว E. coli จึงน่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์เสียมากกว่า แล้วเหตุใดจึงจงเกลียดจงชัง E. coli กันมากนัก   เนื่องจากบริเวณที่พบ E. coli อยู่ในลำไส้ใหญ่ ในอุจจาระจึงมี E. coli ปนเปื้อนออกมาด้วยเสมอ ดังนั้น การพบ E. coli ในอาหาร จึงอาจหมายถึงอาหารนั้นปนเปื้อนอุจจาระ แม้ว่าโดยปกติแล้ว E. coli ที่พบปนเปื้อนในอาหารนี้จะไม่ก่อให้เกิดโรค แต่เป็นไปได้ว่า ยังมีแบคทีเรียอื่นที่ก่อให้เกิดโรครุนแรงอื่นที่ปะปนมากับอุจจาระ ปนเปื้อนในอยู่อาหารนั้นได้ด้วย ปัจจุบันใช้ E. coli เพื่อเป็นดัชนีบ่งชี้สุขลักษณะของอาหารหรือน้ำดื่ม กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ประกาศในกฎกระทรวงหลายฉบับเพื่อกำหนดมาตรฐานอาหารและน้ำดื่มชนิดต่างๆ จะต้องไม่พบ E. coli อยู่เลย (แต่ผู้เขียนเชื่อว่าน้ำแข็งบด นั้นน่าจะต้องมีเชื้อ E. coli ปนเปื้อนอยู่ด้วยแน่นอน)   นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า E. coli นอกคอกที่ร้ายกาจเหล่านี้เกิดมาจาก E. coli สายพันธุ์ปกติที่อยู่ในคนป่วยเป็นโรคบิดไม่มีตัว(โรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรีย) ยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารพิษของเชื้อบิดได้ถ่ายมายัง E. coli สายพันธุ์ปกติ ทำให้เกิดกลายพันธุ์ไปเป็น E. coli สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงมากขึ้น    ทีนี้ยังมี E. coli นอกคอกอยู่จำนวนหนึ่งที่สามารถก่อให้เกิดโรครุนแรงได้ เช่น E. coli สายพันธุ์ O157:H7 ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นเลือด ทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน เป็นอันตรายถึงชีวิตในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เชื้อ E. coli พวกนี้จะสร้างสารพิษที่เรียกว่า ชิก้าทอกซิน (Shiga toxin)   ซึ่งคล้ายกับสารพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคบิดซึ่งมีผลต่อลำไส้ ทำให้เลือดออกในลำไส้ใหญ่ จึงเรียกว่าเป็นพวก Enterohemorrhagic E. coli (EHEC) นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า E. coli นอกคอกที่ร้ายกาจเหล่านี้เกิดมาจาก E. coli สายพันธุ์ปกติที่อยู่ในคนป่วยเป็นโรคบิดไม่มีตัว(โรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรีย) ยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารพิษของเชื้อบิดได้ถ่ายมายัง E. coli สายพันธุ์ปกติ ทำให้เกิดกลายพันธุ์ไปเป็น E. coli สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงมากขึ้น E. coli ที่ก่อโรครุนแรงเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะที่ทำให้พวกมันก่อโรคได้รุนแรงและระบาดได้ง่าย   เช่น สามารถอยู่ได้นานหลายสัปดาห์บนพื้นผิวต่างๆ หรือถ้าบริเวณนั้นมีอาหารอุดมสมบูรณ์ เช่น กองขยะ อาจอยู่ได้นานนับปี การก่อให้เกิดโรคใช้เพียงเชื้อไม่กี่ตัว(น้อยกว่า 50 ตัว) และเชื้อยังสามารถเกาะติดผนังลำไส้ได้ดี จึงทำให้เชื้ออยู่ในร่างกายเราได้นานและสร้างสารพิษได้   การระบาดของของ E. coli สายพันธุ์ O157:H7 เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว การระบาดมักเกิดจากอาหารที่ปนเปื้อนมูลของสัตว์ เช่น จากเนื้อดิบ นมดิบ ผัก ผลไม้ต่างๆ เป็นต้น อย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 1992 การระบาดเกิดจากการแฮมเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวัวที่ปรุงไม่สุก หรือในปี ค.ศ. 1996 ในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ติดเชื้อจากการกินหัวไชเท้าดิบ เป็นต้น นอกจากสายพันธุ์ O157:H7 แล้วยังมีสายพันธุ์อื่นที่ระบาดอีกด้วยเช่นสายพันธุ์ O121:H19 เป็นต้น ปัจจุบันนี้ E. coli สายพันธุ์ O104:H4 เป็นสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในเยอรมนีตอนเหนือ และมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 30 คน และเกือบ 700 คนรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งนับเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่สุด ยังไม่มีข้อสันนิษฐานที่แน่ชัดถึงที่มาของเชื้อ แต่เบื้องต้นเชื่อกันว่าเชื้อปนเปื้อนมากับถั่วงอก    สำหรับคนไทย แม้ว่าจะอยู่ไกลจากแหล่งระบาด แต่ยังคงต้องระวังเช่นกัน โรคท้องเสียที่เกิดจาก E. coli จะไม่ติดต่อได้ง่ายเท่าโรค SARS หรือไข้หวัดนก เนื่องจากเชื้อ E. coli จะติดต่อได้โดยการกินเชื้อเข้าไปเท่านั้น ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรเลือกรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด ปรุงสุกทั่วถึง หลีกเลี่ยงผักสด ผักดิบหรือต้องล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน    เอกสารประกอบการเรียบเรียงhttp://www.about-ecoli.com/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 ข้อแนะนำสำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารก (2)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ บทความฉบับนี้จะต่อเนื่องจากฉบับที่แล้วนะครับ เป็นบทความที่ผมเคยเรียบเรียงและได้ พิมพ์แจกในงาน สัมมนาวิชาการ ระดับชาติเรื่องชุมชนปลอดภัย  ครั้งที่ 2 “ก้าวอย่างยั่งยืนของชุมชนปลอดภัย” ระหว่างวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2554 จัดโดยศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ข้อมูลเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อพ่อ แม่และครูพี่เลี้ยงเด็ก ในการหลีกเลี่ยงของเล่นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก โดยเฉพาะของเล่นที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่ ลองนำข้อมูลไปใช้ประกอบในการตัดสินใจเพื่อเลือกซื้อของเล่นให้กับเด็กๆ กัน ครับ   การเลือกซื้อของเล่นประเภทต่างๆ ตุ๊กตาตุ๊กตามีสารเคมีอันตรายได้หลากหลาย  เนื่องจากผลิตจากพลาสติก กำมะหยี่และอุปกรณ์ยัดไส้  ใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับหรือมีส่วนประกอบที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์  การทดสอบโดยองค์กรผู้บริโภคของเยอรมัน (Stiftung Warentest) ในปีที่ผ่านมา พบว่ามีตุ๊กตา 42 จาก 50 ตัว พบสารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณมากเกินระดับกว่าที่มาตรฐานกำหนด   คำแนะนำ• หลีกเลี่ยงการซื้อตุ๊กตาตัวเล็ก  เพราะมันถูกจัดอยู่ในประเภทของตกแต่งและไม่ต้องทำตามข้อจำกัดทางกฎหมายสำหรับสารเคมี• ซื้อตุ๊กตาผ้าหรือตุ๊กตาที่เป็นธรรมชาติที่มีฉลากสิ่งแวดล้อม เช่น ฉลากเขียว• ซักล้างตุ๊กตายัดไส้ก่อนใช้   ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมีเป็นของเล่นกำมะหยี่และจัดเป็นของเล่นที่ยัดไส้ด้วยเส้นใย  ของเล่นที่มีขนยาวหรือขนสังเคราะห์มักจะประกอบไปด้วยสารหน่วงการติดไฟที่เป็นพิษและแพ้ได้ง่าย รวมถึงเส้นใยที่เด็กๆ สามารถกลืนได้  สำหรับ “สินค้าที่ไม่ปลอดภัย” หาดูได้ที่นิตยสารผู้บริโภค และระบบแจ้งเตือนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยผ่านทางเวบไซต์ของศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (http://upvac.ocpb.go.th) คำแนะนำ• มองหาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือผู้ผลิตที่ไร้สารเคมีที่เป็นพิษ  เช่น ฉลาก GS  ฉลากเขียว และฉลากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ• ซักของเล่นและตากให้แห้งก่อนใช้• หลีกเลี่ยงของเล่นที่ได้ฟรีหรือเป็นของแถมจากการจัดรายการต่างๆ   ของเล่นไม้ ของเล่นไม้มีหลากหลายประเภท รวมถึงตัวต่อ  บล็อกก่อสร้าง  บ้านตุ๊กตา  และร้านของเล่นและฟาร์ม เป็นต้น  ของเล่นไม้เรียบๆ ที่ไม่ได้ทาสีมักจะปลอดภัย  แต่ของเล่นไม้บางอย่างอาจเป็นอันตรายได้  ไม่มีตัวต่อไม้ชนิดไหนเลยที่ผ่านการทดสอบสิ่งแวดล้อมของเยอรมัน ในเดือนพฤศจิกายน 2008  ของเล่นไม้ที่มีกาวเป็นส่วนประกอบ  มีแนวโน้มที่จะมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์  ผู้ปกครองควรระวังสารชักเงาและสีที่มีตะกั่วและสารโลหะหนักอื่นๆ  คำแนะนำ• ซื้อของเล่นไม้ที่มีส่วนที่ติดกาวให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้• ซื้อของเล่นที่ไม่เคลือบเงาและไม่ทาสีทุกครั้งที่เป็นไปได้ และมองหาชิ้นส่วนธรรมชาติ  พลาสติก ของเล่นพลาสติกแบบอ่อน เช่น ของเล่นยางสังเคราะห์ บอลลูน  ของเล่นอาบน้ำแบบอ่อน เป็นต้น  มีสารพทาเลต (Phathalate) ที่ส่งผลต่อฮอร์โมน  มีข่าวเตือนอันตรายหลายครั้งทั้งในระดับโลกและในยุโรป  ในปี 2004 มีการค้นพบว่าตัวตุ๊กตาที่ทำจากยางยี่ห้อสคูบี้ดู (ดูรูปประกอบ) มีสารพทาเลตมากถึง 50%  ทำให้ของเล่นพลาสติกแบบแข็งปลอดภัยกว่าเพราะไม่ได้ใช้สารพทาเลต  อย่างไรก็ตาม ของเล่นพลาสติกอาจจะมีสารโลหะหนักและสารพิษอื่นๆปนเปื้อนแฝงอยู่  รูปแสดงตุ๊กตาที่ทำจากยางยี่ห้อ Scoubidou ที่มีสารพทาเลตสูงจนต้องสั่งเก็บจากตลาด   คำแนะนำ • เลือกของเล่นที่เป็นยางธรรมชาติ• มองหาฉลาก  “ปลอดพีวีซี PVC-Free” หรือ “ปลอดสารพทาเลต Phathalate-Free”• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นสารเคมีรุนแรง  ตารางสรุปแสดงรายการสารเคมีอันตรายที่พบอยู่ในของเล่นเด็ก สารเคมีอันตราย ผลกระทบที่อาจเกิดกับสุขภาพ Aniline   อนิลีน Very toxic, carcinogenic and mutagenic เป็นพิษมาก, ก่อให้เกิดมะเร็งและก่อให้เกิดการกลายพันธุ์  Bisphenol-A   บิสฟีนอล-เอ Disrupts the reproductive and hormone system, and increases cancer risk ทำให้ระบบสืบพันธุ์และระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง Brominated Flame Retardants   สารหน่วงกันไฟ   Disrupts development and the hormone system, toxic to the reproductive system ทำให้พัฒนาการและระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ Cadmium  แคดเมียม Carcinogenic, toxic by inhalation, impaires fertility, disrupts development of child’s brain ก่อให้เกิดมะเร็ง  ได้รับพิษจากการสูดดม  ความสามารถในการสืบพันธุ์ลดลง  หยุดพัฒนาการทางสมองของเด็ก Chlorinated paraffins   คลอริเนเตท พาราฟิน Carcinogenic, disrupts the hormone system ก่อให้เกิดมะเร็ง  ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน Chromium    โครเมียม Carcinogenic, mutagenic, toxic: causes severe burns, impaires fertility ก่อให้เกิดมะเร็ง  ก่อให้เกิดการกลายพันธ์  ทำให้เกิดอาการไหม้รุนแรง  ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง Formaldehyde  ฟอร์มัลดีไฮด์ Carcinogenic, mutagenic and toxic to reproduction ก่อให้เกิดมะเร็ง  ก่อให้เกิดการกลายพันธ์  และเป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์  Lead   ตะกั่ว Carcinogenic and impaires fertility. Effects on the developing brain ก่อให้เกิดมะเร็ง  ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  มีผลกระทบต่อพัฒนาการสมอง Nonylphenol   โนนิลฟีนอล Disrupts the hormone system ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน Organotin  ออกาโนติน Carcinogenic, disrupts the hormone system and fertility ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบบฮอร์โมนและระบบสืบพันธ์หยุดทำงาน Perfluorinated chemicals  เพอฟลูออริเนตเคมิคัล Carcinogenic, disrupts fertility ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบบสืบพันธ์หยุดทำงาน  Phthalates (softeners)  พทาเลต (สารทำให้อ่อนตัว) Disrupts development and the hormone system. Impaires fertility พัฒนาการและระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง Triclosan  ไตรโคลซาน Very toxic to aquatic life, disrupts the hormone system เป็นพิษมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 123 ข้อแนะนำสำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารก (1)

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ บทความฉบับนี้ผมได้เรียบเรียงและได้พิมพ์แจกในงาน สัมมนาวิชาการ ระดับชาติเรื่องชุมชนปลอดภัย ครั้งที่ 2 “ก้าวอย่างยั่งยืนของชุมชนปลอดภัย” ระหว่างวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2554 จัดโดยศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  ซึ่งมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อพ่อ แม่และครูพี่เลี้ยงเด็ก ในการหลีกเลี่ยงของเล่นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก โดยเฉพาะของเล่นที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่ จึงขออนุญาตนำเสนอในคอลัมน์ช่วง ฉลาด ช้อป เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้รับทราบและใช้เป็นประโยชน์ในการเลือกหาของเล่น ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กต่อไปครับ  ของเล่นสำหรับเด็กและทารก ของเล่นเป็นจำนวนมากผลิตจากสารสังเคราะห์ที่รู้กันดีว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กๆ  สารเหล่านี้รวมถึงสารทำให้อ่อนตัวที่ใช้ในของเล่นพลาสติกซึ่งทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  ฟอร์มัลดีไฮด์ที่ใช้ในการเชื่อมตัวต่อไม้ ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง  หรือสารหน่วงกันไฟในตุ๊กตาหมีที่สามารถเป็นพิษต่อพัฒนาการของร่างกาย   การทดสอบที่เป็นอิสระต่อกันยืนยันว่าสารเคมีอันตรายเกือบทั้งหมดสามารถใช้ตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าทดแทนได้  ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายเรื่องสารเคมีในยุโรปและระเบียบเรื่องของเล่นที่ใช้ในสหภาพยุโรป และระเบียบสารเคมีของสหภาพยุโรปตลอดจนมาตรฐานต่างๆ อยู่ก็ตาม แต่โดยข้อเท็จจริงยังไม่สามารถคุ้มครองเด็กๆ ได้มากพอ  เพราะสารเคมีอันตรายยังได้รับอนุญาตให้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์  ยิ่งกว่านั้น  ผู้ผลิตของเล่นไม่จำเป็นต้องระบุรายชื่อสารเคมีที่ถูกใช้ในการผลิตของเล่น  ถึงแม้จะมีสารเคมีอันตรายอยู่ก็ตาม   เอกสารฉบับนี้ช่วยคุณพ่อและคุณแม่ ตลอดจนครูพี่เลี้ยงได้อย่างไรมีฉลากที่ได้รับการทดสอบสองสามชนิดและไม่มีข้อบังคับเรื่องการติดฉลากสารเคมีที่เป็น “ส่วนประกอบ” ในของเล่น  เรื่องนี้ทำให้การซื้อของเล่นที่ปลอดภัยเป็นเรื่องยาก  คู่มือของเล่นของ กลุ่มสตรีในยุโรปเพื่ออนาคตร่วมกัน  (Woman in Europe for a Common Future (WECF)) องค์กรนี้เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการยุโรปที่เป็นปากเป็นเสียงในด้านการพัฒนากฎหมายและข้อบังคับสำหรับการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารก  ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตรายและเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงสารเคมีเหล่านั้น  ซึ่งกำลังรณรงค์เพื่อให้ของเล่นปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย  ทั้งในภาคการเมืองและภาคผู้ผลิต  กรณีของผู้บริโภคในยุโรปนั้น การซื้อของเล่นในสหภาพยุโรป ผู้บริโภคสามารถถามผู้ขายและผู้ผลิตเกี่ยวกับข้อมูลผลิตภัณฑ์  ซึ่งผู้ผลิตจะต้องตอบภายใน 45 วัน  เพื่อแจ้งให้คุณรู้ว่าของเล่นชิ้นนั้นมีสารประกอบเฉพาะอยู่หรือไม่  โชคร้ายที่ข้อมูลนี้ถูกใช้บังคับกับสารประกอบบางชนิดเท่านั้น  แต่อย่างไรก็ตาม  ยิ่งมีลูกค้าสอบถามมากเท่าไร  ผู้ผลิตจะยิ่งเปลี่ยนนโยบายในการผลิตเร็วขึ้นเท่านั้น  ในการทำแบบนี้  เราสามารถปกป้องสุขภาพของลูกเราและส่งผลต่อผู้ผลิตได้   ทำไมเด็กถึงอ่อนไหวเป็นพิเศษ เด็กๆ มักจะอ่อนไหวต่อการได้รับสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่าผู้ใหญ่  เพราะผิวหนังที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบสัดส่วนกับน้ำหนักของพวกเขา  ปริมาตรการหายใจที่สูงกว่า  และอัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น  ส่งผลให้พวกเขาดูดซึมสารเคมีที่เป็นอันตรายได้มากกว่าผู้ใหญ่  ระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทของพวกเขายังอยู่ในระหว่างการพัฒนา  สารเคมีที่เป็นอันตรายยังถูกพบในเครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ  ดังนั้น เด็กๆ จะรับสารเคมีที่เป็นอันตรายหลากหลายชนิดจากแหล่งต่างๆ มากมาย  ถึงแม้จะเป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำอันตรายต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่งแล้ว – ซึ่งบางครั้งส่งผลไปตลอดชั่วชีวิต   เห็นได้จากอัตราโรคภูมิแพ้และโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้น   เคล็ดลับทั่วไปในการเลือกของเล่นที่ปลอดภัย• ยิ่งน้อยชิ้นยิ่งดี  ซื้อของเล่นน้อยชิ้น  โดยตั้งเป้าที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ• หลีกเลี่ยงของเล่นที่ถูกมากๆ เพราะมักจะมีสารเคมีที่เป็นอันตรายมากกว่า• อย่าซื้อของเล่นที่มีสารเคมีรุนแรงหรือกลิ่นน้ำหอมหรือของที่ให้ความรู้สึกไม่สบายเวลาที่สัมผัส• สำหรับเด็กเล็ก  ขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ที่สามารถดึงออกมาได้ หรือกลืนลงไปได้• แกะบรรจุภัณฑ์ของเล่นใหม่และทิ้งไว้ภายนอกอาคาร เพื่อให้สารเคมีอันตรายบางส่วนระเหยไป• หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.healthytoys.org ที่กำหนดขึ้นใหม่โดยศูนย์นิเวศวิทยาอเมริกา  • สำหรับผู้บริโภคในประเทศไทยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค  http://upvac.ocpb.go.th   ในฉบับหน้าจะแนะนำการเลือกซื้อของเล่นเป็นรายผลิตภัณฑ์ไปครับ ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตา ตุ๊กตาหมี ของเล่นไม้ ฯลฯ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 122 เคล็ดลับการดูแลบ้านและลูกน้อยของคุณแม่ชาวยุโรป (2)

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ การทำความสะอาดบ้านของคุณสามารถเพิ่มปริมาณสารเคมีในบรรยากาศภายในบ้านได้  บางครั้งอาจมีปริมาณสูงกว่าบรรยากาศภายนอกอาคารในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารเคมีมากมายที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลบ้านนั้นเป็นชนิดเดียวกับที่ถูกใช้ในสารทำความสะอาดในอุตสาหกรรมที่ใช้งานหนัก  นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเริ่มที่จะกังวลว่าการได้รับสารเคมีหลายชนิดในปริมาณน้อยๆ เป็นระยะเวลายาวนาน  เหมือนที่ถูกพบในอากาศภายในบ้านและฝุ่นอาจจะทำให้มีปัญหาสุขภาพได้  การทดสอบผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ทดลองเฉพาะในสารเคมีประเภทเดียว  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง  เราทุกคนต่างก็ได้รับสารเคมีหลายชนิดในทุกๆ วัน  เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย  งานทำความสะอาดบ้านส่วนมากนั้นสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมธรรมดาที่มีในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นพิษน้อยกว่าและมีราคาถูกกว่า เช่น เบคกิ้งโซดา  น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำมะนาว น้ำมันพืช สบู่ บอแรกซ์และโซดาซักผ้า  ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์มีอยู่เป็นจำนวนมากในตลาด  อาจประกอบไปด้วยสารก่อความระคายเคืองรุนแรง เช่น แอมโมเนียซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อไตและตับ  คลอรีนหรือที่รู้จักกันในชื่อสารฟอกขาว และสารก่อมะเร็ง เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์   นอกจากนี้จะมีสารกันบูด น้ำหอมและสี  รวมถึงสารเคมีที่ทำให้ฮอร์โมนหยุดทำงาน  และสารเคมีที่ทำให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนัง  และการหายใจติดขัด   เคล็ดลับในการใช้งาน• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับทำความสะอาดหน้าต่าง ตะแกรง เครื่องเงิน หรือเตาอบ เพราะมันอาจมีสารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณสูง• พึงตระหนักไว้เสมอว่าคลอรีนสามารถสร้างก๊าซคลอรีนที่เป็นพิษได้ ถ้าถูกผสมกับแอมโมเนียหรือน้ำส้มสายชู• ต้องมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอในขณะที่กำลังทำความสะอาด ไม่ควรปิดหน้าต่างขณะทำความสะอาด• ผ้าไมโครไฟเบอร์สามารถกำจัดคราบสกปรก คราบเหนียวและฝุ่นได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีทำความสะอาด ผงซักฟอกประกอบด้วยสารฟอกขาว  สารสังเคราะห์ที่ให้ผ้าขาวขึ้น น้ำหอมและสารลดความตึงผิวที่ทำให้เกิดอาการแพ้  ผงซักฟอกที่ตกค้างบนเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนเป็นแหล่งที่ทำให้ผิวหนังเกิดความระคายเคือง  และกลิ่นหอมที่ติดอยู่จากผลิตภัณฑ์ที่ใส่น้ำหอมสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางการหายใจได้   เคล็ดลับในการใช้งาน• หลีกเลี่ยงน้ำยาปรับผ้านุ่ม  น้ำยากำจัดคราบ  น้ำยาซักผ้าที่ฆ่าเชื้อโรค  และผลิตภัณฑ์สำหรับก่อนซัก• ซักผ้าที่อุณหภูมิต่ำเพื่อประหยัดพลังงาน• ใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผิวหนัง   น้ำยาล้างจาน ล้างจานด้วยมือให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า และประหยัดกว่าการใช้เครื่องล้างจาน เพราะใช้น้ำและเวลาในการล้างที่น้อยกว่ามาก  น้ำยาล้างจานสำหรับเครื่องล้างจานมักจะมีฟอสเฟตที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และมีสารที่ทำให้เกิดอาการผื่นคัน  น้ำยาล้างจานสำหรับการล้างด้วยมือนั้นเป็นอันตรายต่อผิวหนังน้อยกว่า   น้ำยาล้างห้องน้ำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโถส้วมจำนวนมากมักจะมีฤทธิ์กัดกร่อนและทำให้เกิดแก๊สพิษเมื่อผสมกับน้ำ  พวกมันอาจมีสาร 1,4-ไดคลอรอเบนซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายต่อตับและไตได้  ไอระเหยกรดไฮโดรคลอริคทำให้เกิดอาการไอและหายใจลำบาก  และสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อดวงตา  ผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ  และสามารถก่อให้เกิดก๊าซคลอรีนที่ก่อให้เกิดมะเร็ง   เคล็ดลับการใช้งาน• ป้องกันคราบฝั่งแน่นโดยการทำความสะอาดด้วยแปรง• ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ “น้ำยาฆ่าเชื้อโรค” หรือ สาร “ต่อต้านแบคทีเรีย”• น้ำยาดับกลิ่นและเจลให้กลิ่นหอมเป็นสิ่งไม่จำเป็น  และมีส่วนผสมที่สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้เมื่อมีการสัมผัส• หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์  ละอองที่เกิดขึ้นถูกสูดดมเข้าไปได้โดยง่ายและก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อปอด   น้ำยาทำความสะอาดพื้น พรม และเฟอร์นิเจอร์สารทำความสะอาดพื้น พรม และเฟอร์นิเจอร์อาจมีตัวทำละลายและสารกันบูดที่เป็นพิษต่อระบบประสาทและพทาเลตที่ทำให้รบกวนการทำงานของฮอร์โมน  และน้ำหอมที่ทำให้เกิดอาการผื่นคัน  เคล็ดลับการใช้งาน• สำหรับพื้น เช่น เสื่อน้ำมัน กระเบื้องพลาสติก  หินธรรมชาติและสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่มีพื้นผิวเป็นไม้และพลาสติกให้ใช้น้ำ  ถ้าสกปรกมากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ชนิดอ่อนโยน• สำหรับตู้ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ไม้อื่นๆใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ก็เพียงพอแล้ว• สำหรับพื้นผิวที่ลงน้ำมันและเคลือบเงาให้ใช้น้ำมันลินสีดหรือขี้ผึ้ง• กำจัดคราบบนพื้นพรมและเครื่องหนังด้วยน้ำ  หรือใช้น้ำส้มสายชูพร้อมกับน้ำสบู่อ่อนๆ ในกรณีที่สกปรกมาก   น้ำหอมปรับอากาศโถเครื่องหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ในห้องน้ำ  เทียนหอมในห้องรับแขก  สเปรย์ “กลิ่นทะเล” หรือสเปรย์กำจัดกลิ่นบุหรี่และกลิ่นกับข้าว  น้ำหอมปรับอากาศเหล่านี้อาจมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  และก่อให้เกิดอาการแพ้และมีปฏิกิริยาต่อระบบทางเดินหายใจ   เคล็ดลับการใช้งาน• เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศเสียออกไป อากาศบริสุทธิ์ดีกว่าผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ใดๆ   ข้อมูลอ้างอิงWoman in Europe for a Common Future (WECF) www.wecf.eu ตารางแสดงสารเคมีที่เป็นอันตราย ซึ่งพบในน้ำยาซักล้างและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สารเคมีอันตราย ผลกระทบที่อาจเกิดกับสุขภาพ Formaldehydeฟอร์มัลดีไฮด์ Carcinogenic, mutagenic, toxic to reproduction ก่อให้เกิดมะเร็ง ก่อให้เกิดการกลายพันธ์ เป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์ Triclosanไตรโคลซาน Very toxic to aquatic life, disrupts the hormone system เป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน 1,2-dichlorobenzene1,2-ไดคลอโรเบนซิน Very toxic to aquatic life เป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ 2-methoxyethanol 2-เมททอกซีเอทานอล Impaires fertility, harmful by inhalation, swallowing and skin contact, and for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  ได้รับอันตรายจากการสูดดม กลืนกิน และการสัมผัสทางผิวหนัง  และเป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ 2-ethoxyethanol 2-เอททอกซีเอทานอล Impaires fertility, harmful by inhalation, swallowing and skin contact, and for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  ได้รับอันตรายจากการสูดดม กลืนกิน และการสัมผัสทางผิวหนัง  และเป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ 2-ethoxyethyl acetate2-เอททอกซีเอธิลอะซีเตท Impaires fertility, harmful by inhalation, swallowing and skin contact, and for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  ได้รับอันตรายจากการสูดดม กลืนกิน และการสัมผัสทางผิวหนัง  และเป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ Phthalates(DEHP, Bis (2-ethylhexylphthalat)พทาเลต (DEHP, Bis(2-เอธิลเฮซิลพทาเลต) Impaires fertility, harmful for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  เป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ Nitromusks, polycyclic musks(Galaxolide, Tonalide)ไนโตรมัสค์, โพลีไซคลิก มัสก์ (กาแล็กโซไลด์, โทนาไลด์) Disrupts the hormone system, allergen ทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  และก่อให้เกิดอาการแพ้ Octamethylcyclotetrasiloxane ออคตะเมธิลไซโคลเตตระไซโลเซน Disrupts the hormone system and the fertility ทำให้ระบบฮอร์โมนและความสามารถในการสืบพันธ์หยุดทำงาน Octylphenol (ethoxylates) ออคทิลฟีนอล (เอทอกซิเลท) Disrupts the hormone system ทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 เคล็ดลับการดูแลบ้านและลูกน้อยของคุณแม่ชาวยุโรป (1)

  ผมได้ติดตามนโยบายปกป้องอันตรายที่อาจเกิดกับเด็กจากการใช้สารเคมีทำความสะอาดในบ้านขององค์กรสตรีในยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกกำไร และได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค เลยขอนำเสนอสาระที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกๆ ซึ่งวันนี้จะเล่าถึงเรื่องวิธีการทำความสะอาด การใช้สารเคมีทำความสะอาดในบ้านที่เป็นมิตรและปลอดภัยสำหรับเด็กและทารกครับ การทำความสะอาดบ้านของคุณสามารถเพิ่มปริมาณสารเคมีในบรรยากาศภายในบ้านได้ บางครั้งอาจมีปริมาณสูงกว่าบรรยากาศภายนอกอาคารในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารเคมีมากมายที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลบ้านนั้นเป็นชนิดเดียวกับที่ถูกใช้ในสารทำความสะอาดในอุตสาหกรรมที่ใช้งานหนัก เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย งานทำความสะอาดบ้านส่วนมากนั้นสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมธรรมดาที่มีในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นพิษน้อยกว่าและมีราคาถูกกว่า เช่น เบคกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำมะนาว น้ำมันพืช สบู่ บอแรกซ์และโซดาซักผ้า ขณะเดียวกันผู้ผลิตที่เสนอผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นพิษน้อยลงก็มีจำนวนมากขึ้น   เคล็ดลับทั่วไปในการใช้สารเคมี• อ่านฉลากผลิตภัณฑ์และค้นคว้าเกี่ยวกับสารเคมีที่ปรากฏอยู่บนฉลากนั้นๆ  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม ห้องทารกที่สะอาดไม่ควรจะมีกลิ่นอะไรเลย • หลีกเลี่ยงน้ำยาฆ่าเชื้อโรคและผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าต่อต้านแบคทีเรียได้ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคควรใช้เฉพาะในโรงพยาบาลและบ้านที่มีผู้ป่วยระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอาศัยอยู่ การทำความสะอาดทั่วไปก็เพียงพอที่จะกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตราย น้ำยาฆ่าเชื้อโรคอาจจะมีฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งและเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ และคลอรีนที่ส่งผลระคายเคืองต่อปอด ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต่อต้านแบคทีเรียและสารต่อต้านจุลินทรีย์จะฆ่าแบคทีเรียที่มีประโยชน์เช่นกัน และมีส่วนทำให้แบคทีเรียเกิดอาการดื้อยาต่อยาปฏิชีวนะ  • อย่าไว้ใจกับการกล่าวอ้างถึงสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิต  • ผงซักฟอกไม่มีทางเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100% ดังนั้นใช้มันอย่างประหยัดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และควบคุมปริมาณการใช้ โดยเฉพาะการใช้ผงซักฟอกชนิดเข้มข้น  • ยึดหลักการปลอดภัยไว้ก่อน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่เป็นพิษ เก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้พ้นมือเด็ก อย่าเทผลิตภัณฑ์ใส่ขวดชนิดอื่น  • หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและอาการแพ้ โดยการหลีกเลี่ยงสารกันบูด น้ำหอม และสารดังต่อไปนี้ เช่น ไอโซเทียโซลีนโนน (CMIT, MIT, BIT, OIT), เอมิลซินนามาล, เฮกซิลซินนามัลดีไฮด์ ลินาลู, เบนซิลแอลกอฮอล์ คูมาริน เบนซิลเบนโซเอท เจรานอล ยูจีนอล ลิเลียล เมทิลเฮปตินคาร์บอร์เนต ซิโตรเนลโล ไลมอนีน ซิตราล และเจรานอล --------------------------------------------------------------------------------------------------- ทำไมจึงต้องใส่ใจเมื่อมีเด็กๆ อยู่ในบ้านเด็กคือคนที่อ่อนไหวที่สุดต่อสารพิษของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไปและสารเคมีที่ใช้ในบ้านอื่นๆ เหตุผลคือร่างกายพวกเขามีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ เมื่อเทียบสัดส่วนสารที่ปริมาณเท่ากัน ในเด็กจะรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ ยิ่งกว่านั้น อวัยวะของพวกเขายังอยู่ระหว่างการพัฒนาและไม่สามารถกำจัดสิ่งที่พวกเขาได้รับเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำได้ ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาเต็มที่ เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือผิวหนังของพวกเขาอ่อนโยนกว่าของผู้ใหญ่ และข้อสุดท้าย เด็กๆ มักสำรวจโลกด้วยมือและปากของพวกเขา พวกเขาคลานและเล่นบนพื้น พวกเขามักจะอยู่ใกล้กับพื้นมากกว่าผู้ใหญ่ พื้นเป็นส่วนที่สะสมสารเคมีที่เหลืออยู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจะถูกควบคุมภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับสารชะล้างแห่งสหภาพยุโรป กฎหมายความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทั่วไป กฎหมายที่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและ ระเบียบสารเคมี (REACH: Registration, Evaluation, Authorization and Restriction of Chemicals) ของสหภาพยุโรป แต่ทว่าสารที่เป็นอันตรายก็ยังถูกพบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่ดี ---------------------------------------------------------------------------------------------------  ประเภทของน้ำยาทำความสะอาดที่ควรปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่เราควรจำกัดปริมาณการใช้สารเคมี เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมให้ปลอดจากสารพิษได้แก่   • น้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์• น้ำยาทำความสะอาดหน้าต่าง• น้ำยาทำความสะอาดพื้น• น้ำยาทำความสะอาดและซักล้างพรม• ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์• และสารขัดเงา• ผงซักฟอก• และน้ำยาล้างจาน  ส่วนจะปรับเปลี่ยนอย่างไร คงต้องขอนำเสนอคราวหน้าครับ เพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก  ข้อมูลอ้างอิงWoman in Europe for a Common Future (WECF) www.wecf.eu  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 ฟอร์มัลดีไฮด์ ตัวร้ายในน้ำยายืดผม

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ข่าวแจ้งเตือน: เยอรมันนี ตรวจพบ ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ในปริมาณที่อาจก่อให้เกิดอันตราย  วันนี้ผมขออนุญาต ถ่ายทอดข่าวแจ้งเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครับ เนื่องจาก ตอนนี้ที่ประเทศเยอรมันนี เกิดเหตุการณ์ สินค้าที่ไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องใหญ่ๆ สองเรื่อง เรื่องแรกคือ การตรวจพบสารไดออกซิน ปนเปื้อนในอาหารสัตว์ จนทำให้รัฐบาลต้อง กักบริเวณฟาร์มไก่ ที่ใช้อาหารสัตว์นี้ มูลค่าความเสียหายของเกษตรกร ประมาณ หนึ่งร้อยล้านยูโร และบริษัทที่ทำการผลิตอาหารสัตว์ ก็ได้ยื่นเรื่องขอล้มละลายกับศาลล้มละลายระดับมลรัฐแล้ว เนื่องจากความเสียหายนั้นมหาศาลครับ แต่สำหรับเรื่องที่จะเล่าในวันนี้อาจจะทำความกังวลบ้างในหมู่ผู้ที่ชอบยืดผมหยิกให้ตรง เพราะข่าวแจ้งเตือน เรื่องน้ำยายืดผม ที่พบปริมาณของฟอล์มัลดีไฮด์ในปริมาณความเข้มข้นที่สูงมากครับ  สถาบันกลางการประเมินความเสี่ยง -The Federal Institute for Risk Assessment (BfR)) แนะนำไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ที่ระดับเข้มข้นสูง ผลิตภัณฑ์ที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ที่ระดับความเข้มข้น 1.7 – 1.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่จับตาของหน่วยงานเฝ้าระวังของรัฐบาเดน-วูทเท ฟอร์มัลดีไฮด์ก่อให้เกิดความระคายเคืองรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนังและเยื่อเมือก ยิ่งไปกว่านั้น สารประกอบดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้และถูกจัดให้อยู่ในประเภทสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ทางสหภาพยุโรปไม่อนุญาตให้ใช้ฟอร์มัลดีไฮด์ในผลิตภัณฑ์ยืดผม อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคและช่างทำผมมักนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากต่างประเทศโดยตรง หรือสั่งซื้อผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่รู้ว่าพวกมันสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้  ฟอร์มัลดีไฮด์สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในโพรงจมูก ซึ่งในช่วงหลังวงการวิทยาศาสตร์ยังมีการถกกันถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างฟอร์มัลดีไฮด์และการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอย เป็นที่รู้กันดีว่า ฟอร์มัลดีไฮด์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง อาจรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะช็อคถึงขั้นเสียชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เกิดความระคายเคืองรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนังและเยื่อเมือก สำหรับปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ที่มีอยู่ในอากาศภายในอาคารนั้น ทาง BfR ได้กำหนดค่าความปลอดภัยไว้ที่ระดับ 0.1 ppm   ภายในสหภาพยุโรป ฟอร์มัลดีไฮด์ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นสารออกฤทธิ์ของยาบำรุงเล็บเท่านั้น ที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ และได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นสารกันบูดในเครื่องสำอางที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 0.2 เปอร์เซ็นต์ จากที่ถูกระบุไว้บนฉลากที่ระดับ 0.05 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่ถูกตรวจสอบจากหน่วยงานเฝ้าระวังในรัฐบาเดน-วูทเทมเบิร์ก พบปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ถึง 1.7-1.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีความเข้มข้นดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ใช้  BfR แนะนำให้หน่วยงานแต่ละมลรัฐในเยอรมนนี ให้หามาตรการรองรับและทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เช่น ร้านทำผมที่ใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ โดย BfR แนะนำเร่งด่วนไม่ให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่บ้าน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถสั่งซื้อได้จากอินเตอร์เน็ต   ผลิตภัณฑ์ยืดผมถูกใช้เพื่อยืดเส้นผมที่หยิกตามธรรมชาติให้กลับเป็นผมตรงอย่างถาวร ผลิตภัณฑ์จะถูกทาลงบนเส้นผม และหลังจากรอเวลาทำปฏิกิริยา 30 นาที เส้นผมจะถูกทำให้ตรงโดยใช้ที่รีดผมที่มีความร้อน 230 องศาเซลเซียส ถ้าผลิตภัณฑ์ยืดเส้นผมนั้นมีฟอร์มัลดีไฮด์ ช่างทำผมและลูกค้า หรือผู้ใช้งานตามบ้านจะสูดดมมันเข้าไปพร้อมกับไอน้ำที่เกิดขึ้น ฟอร์มัลดีไฮด์ที่ถูกปล่อยจากผลิตภัณฑ์ที่ถูกตรวจสอบนั้นมีปริมาณสูงมากจนก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง เยื่อเมือก ดวงตา ระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อผิวหนังและอาจก่ออันตรายอื่นๆ ต่อสุขภาพ   ผลิตภัณฑ์ฑ์ยืดผมใช้ฟอร์มัลดีไฮด์เพื่อเชื่อมต่อเคราตินในเส้นผมที่เสียไปจากความร้อน โครงสร้างผมหยิกก็ถูกทำให้ตรงด้วยวิธีนี้เช่นกัน  ก่อนจะจากกันในวันนี้ มีข่าวดีมาฝากครับ ตอนนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้จัดตั้ง ศูนย์เฝ้าระวังและเตือนภัยสินค้าอันตราย เป็นหน่วยงานภายใน สคบ. หากเพื่อนๆ สมาชิกฉลาดซื้อ สนใจ สามารถแวะเวียนเข้าไปชมที่เวบไซต์ http://upvac.ocpb.go.th ได้ครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 118 หลอดไฟประหยัดพลังงาน และการจัดการขยะหลังหมดอายุการใช้งาน

หลอดไฟประหยัดพลังงาน  และการจัดการขยะหลังหมดอายุการใช้งาน โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ถ้าเพื่อนสมาชิกยังจำได้ ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับหลอดตะเกียบหรือหลอดไฟประหยัดพลังงาน ในฉบับที่ 98 เมื่อเดือนเมษายน 2552 กลับมาคราวนี้เพราะทางกองบรรณาธิการบอกว่ามีผลการทดสอบหลอดประหยัดไฟอีกครั้ง ผมจึงขอนำเสนอวิธีการเลือกหลอดประหยัดไฟเพื่อประกอบการผลทดสอบนะครับ แถมด้วยการจัดการกับหลอดที่หมดอายุแล้วด้วยครับ  เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 ยุโรปได้สั่งห้ามขายหลอดไฟแบบกลมในตลาด  เพราะหลอดไฟแบบเก่านั้น สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานแสงสว่างได้เพียง 5 % พลังงานที่เหลืออีก 95 % สูญเสียเป็นความร้อน นับว่าได้ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อนทางอ้อมอีกด้วย นอกจากนี้ผู้บริโภคต้องเสียเงินค่าไฟแบบสูญเปล่าเป็นจำนวนมหาศาล  สถานที่ที่จะติดหลอดไฟวิธีการเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟสำหรับผู้บริโภค ให้พิจารณาถึงประเด็นสำคัญดังนี้ครับ หลอดไฟแบบประหยัดไฟหรือหลอดตะเกียบนั้น มีอายุในการใช้งานนานเท่าไหร่ และต้องปิดเปิดบ่อยมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราจะเลือกหลอดไฟที่ต้องให้แสงสว่างในห้องน้ำ ตามทางเดินที่ต้องมีการปิดเปิดบ่อยครั้ง ควรจะเลือกหลอดไฟที่มีความทนทานในการปิดเปิด ความรู้สึกสบาย   ในกรณีที่จะติดไฟที่ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น ควรเลือกหลอดไฟแบบ warm white (WW) ซึ่งจะมีหมายเลข 827 หรือ 927 อยู่ที่ข้างกล่องบรรจุ หมายเลขด้านหน้า 8 หรือ 9 หมายถึงระดับของสีที่หลอดไฟแผ่รังสีออกมา ระดับ 9 จะให้ระดับของสี สูงกว่าหมายเลข 8 หมายเลข 27 หมายถึงให้อุณหภูมิสี 2700 เคลวิน ซึ่งจัดว่าเป็นระดับอุณหภูมิสีที่ให้ความอบอุ่น และถ้าเลขสองหลักสุดท้ายมีค่าสูง จะทำให้ค่าสีแดงลดลง แต่ส่วนของค่าสีน้ำเงินเพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเย็นขึ้น   ลักษณะของแสงในบ้าน (day light)หากจะเลือกหลอดไฟในสถานที่ทำงานที่ต้องการความสว่างมากๆ ควรเลือกหลอดไฟที่มีหมายเลข 860, 865, 960 หรือ 965 เนื่องจากมีอัตราส่วนของแสงสีน้ำเงินสูง ทำให้เราตาสว่าง และตื่นตัวดี   การจัดการกับหลอดไฟที่หมดอายุการใช้งานแล้วเนื่องจากหลอดไฟประหยัดพลังงานจะมีโลหะปรอทผสมอยู่ โลหะปรอทจัดเป็นวัตถุที่มีพิษ ต้องจัดการด้วยวิธีพิเศษ เช่นเดียวกับถ่านไฟฉาย ซึ่งการจัดเก็บขยะของบ้านเราปล่อยปละละเลยกันในเรื่องการจัดการวัตถุมีพิษในครัวเรือน หากวัตถุมีพิษเหล่านี้ ออกมาสู่สิ่งแวดล้อม และมีโอกาสที่จะปนเปื้อนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั่วไป และก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในระยะยาวอย่างมาก   สำหรับเรื่องการจัดการขยะตามครัวเรือนนั้น ทางภาครัฐควรจะวางนโยบายและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งครับ นอกจากจะรณรงค์ให้คนทั่วไปรู้จักแยกขยะแล้ว รัฐบาลควรมีแนวทางในการนำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งพวกขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือขยะที่เป็นของเสียที่สามารถย่อยสลายได้ พูดถึงเรื่องการแยกขยะ ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์ที่เคยพบมา ในประเทศเยอรมนีทุกบ้านจะต้องแยกขยะ ขยะไหนเป็นขยะรีไซเคิล ให้ใส่ขยะ (ซึ่งก็จะเป็นพวกภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจาก พลาสติก กระป๋องอลูมิเนียม     โดยก่อนจะทิ้งก็ต้องล้างน้ำเพื่อไม่ให้มีกลิ่นและใส่ในถุงสีเหลืองที่ ทางเทศบาลแจกไว้ให้ หากเป็นขยะธรรมชาติ เช่นกิ่งไม้ ใบไม้ หญ้า ฯลฯ ก็จะนำไปทำปุ๋ยหมัก สำหรับกระดาษนั้นก็ต้องแยกไว้และนำไปทิ้งในถังขยะรวม   เนื่องจากประเทศเยอรมันไม่ได้มีอาชีพรับซื้อของเก่าแบบบ้านเรา นอกจากนี้พวกแก้วก็จะต้องรวมแล้วขนไปทิ้งในตู้ container สำหรับแก้วโดยเฉพาะ และต้องแยกแก้วออกเป็นสามกลุ่มคือ สีขาว สีเขียวและสีแดง และถ้าบ้านไหนไม่ยอมแยกขยะ ทางเทศบาลสามารถปฏิเสธไม่รับขยะได้ครับ และตามซูเปอร์มาร์เก็ตหรือ ไมโครมาร์เก็ต   จึงต้องจัดหาถังขยะโดยแยกขยะเป็น พลาสติก แก้ว และกระดาษ ผู้บริโภคที่ซื้อของแล้วสามารถทิ้งขยะไว้ให้ที่ร้านค้าจัดการได้ นอกจากนี้ทางร้านต้องรับขยะที่จัดเป็นขยะอันตรายด้วยไม่ว่าจะเป็นขยะ Electronics แบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉาย เรียกว่าสินค้ามาจากไหนขยะก็กลับไปทางนั้นครับ   และถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ เตียง ที่นอน ตู้ทั้งหลายเวลาจะทิ้งต้องโทรตามเทศบาลมาเก็บครับ ซึ่งเทศบาลบางที่ ก็จะมีวันเก็บของเก่าเหล่านี้ โดยจะมาเก็บขยะเหล่านี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หากใครมีโอกาสไปเมืองเล็ก ก็อาจจะเห็นว่าชาวบ้านจะขนขยะพิเศษเหล่านี้ มาตั้งไว้ที่หน้าบ้าน เพื่อให้เทศบาลมาเก็บครับ   สำหรับมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นแบบนี้ ต้องฝึกเด็กๆของเราครับ นอกจากฝึกเด็กแล้ว ผู้ใหญ่ก็ต้องสร้างจิตสำนึกในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบง่ายๆ ที่ต้องทำทุกวันก่อนครับ ทำร่วมกับการปลูกต้นไม้ ในโครงการ CSR ที่บริษัทต่างๆ เริ่มทำกัน ก็ยังไม่สายนะครับคนไทย รู้จักใช้ก็ต้องรู้จักทิ้งด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point