ฉบับที่ 94 อะฟลาท็อกซิน สารพิษที่อันตรายที่สุดในโลก

อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา และเป็นสารพิษที่พบปนเปื้อนในอาหารมากที่สุดชนิดหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า อาหารอะไรก็ตามที่เกิดเชื้อราได้ ย่อมมีโอกาสปนเปื้อนอะฟลาท็อกซินได้ แต่ส่วนใหญ่อาหารที่มักพบอะฟลาท็อกซิน ได้แก่ อาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วลิสง เช่น ถั่วลิสงดิบ ถั่วลิสงคั่วที่ใช้ปรุงอาหาร หรือถั่วลิสงเคลือบ ทั้งยังพบในถั่วชนิดอื่นๆ รวมถึงข้าวและข้าวโพดได้อีกด้วย  นอกจากนี้ยังพบในแป้งต่างๆ อย่างแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว แป้งท้าวสาลี แป้งมันสำปะหลัง  และบรรดาอาหารอบแห้งทั้งหลาย ได้แก่ พริกแห้ง พริกป่น พริกไทย งา ปลาแห้ง กุ้งแห้ง กระเทียม หัวหอม ผัก ผลไม้อบแห้ง  เครื่องเทศต่างๆ หรือแม้แต่สมุนไพร ชา ชาสมุนไพร และกาแฟคั่วบด อะฟลาท็อกซิน ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากวิธีการปรุงอาหารด้วยความร้อนแบบธรรมดาๆ เช่น การทอด หุง นึ่ง ต้ม ไม่สามารถทำลายพิษอะฟลาท็อกซินให้หมดไปได้ เพราะอะฟลาท็อกซินทนความร้อนได้สูงถึง 260 องศาเซลเซียส ระดับความเป็นพิษของอะฟลาท็อกซิน องค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่ง ปริมาณของอะฟลาท็อกซินเพียง 1 ไมโครกรัม สามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรีย และทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้เมื่อได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อะฟลาท็อกซินใกล้ชิดกับมนุษย์มากเพราะมีอยู่ในอาหารที่เราบริโภคประจำวัน แม้จะไม่ค่อยพบการเกิดพิษอย่างเฉียบพลัน เพราะปริมาณที่บริโภคเข้าไปในแต่ละครั้งมีไม่มาก แต่ก็นับว่ามีความเสี่ยงของการเกิดพิษสะสม ซึ่งหากร่างกายได้รับสารพิษนี้เป็นประจำ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งที่ทุกวันนี้ติดอันดับคร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดโรคหนึ่ง (ปัจจุบันคนไทยทุกๆ 100,000 คน จะเสียชีวิตเพราะมะเร็งในตับ 51.7 คน) ดังนั้นผู้บริโภคควรให้ความสนใจและตระหนักถึงพิษภัยของอะฟลาท็อกซิน เพื่อจะได้หาทางป้องกันและหลีกเลี่ยง มิให้เกิดเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ ชนิดของอะฟลาท็อกซินอะฟลาท็อกซิน เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) และ แอสเปอร์จิลลัส พาราซิติกัส (Aspergillus parasiticus) ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบได้ในอาหาร ทั้งที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปและที่แปรรูปแล้ว ตามธรรมชาติ อะฟลาท็อกซินจะมีอยู่ทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ อะฟลาท็อกซินชนิด B1  B2 G1 และ G2  โดยอะฟลาท็อกซิน B1 เป็นชนิดที่ร้ายแรงที่สุด (อะฟลาท็อกซิน B1 เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในตับสัตว์ทดลองหลายชนิดอย่างชัดเจนจึงอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ได้เช่นกัน)ฉลาดซื้อแนะวิธีเลี่ยงพิษอะฟลาท็อกซิน1.อะฟลาท็อกซินเกิดจากเชื้อราในกลุ่ม แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) และ แอสเปอร์จิลลัส พาราซิติกัส (Aspergillus parasiticus) ซึ่งเชื้อราเหล่านี้จะเจริญได้ดีในอาหารที่มีความชื้นมากๆ ผู้บริโภคสามารถสังเกตเห็นเชื้อรานี้ได้ด้วยตาเปล่า เพราะจะมีสีเขียวอมเหลืองหรือสีเขียวเข้ม ดังนั้นเมื่อพบว่าถั่วหรืออาหารที่มีราสีเขียวอมเหลือง ก็ให้ทิ้งไปทั้งหมดอย่านำมาปรุงอาหารเด็ดขาด กรณีที่พบว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่งคือ ผู้บริโภคมักคิดว่า การปาดเอาส่วนที่เป็นเชื้อราออกไปจากอาหาร จะสามารถบริโภคส่วนที่ดูด้วยตาเปล่าว่ายังมีสภาพดีอยู่ได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะสารพิษที่เชื้อราได้สร้างขึ้นได้กระจายไปในส่วนอื่นของอาหารแล้ว การนำมาบริโภคจึงเป็นการนำสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยแท้2. อาหารที่มีแนวโน้มเกิดเชื้อราได้ อย่าง พริกแห้ง กระเทียม เครื่องเทศต่างๆ ไม่ควรซื้อมาเก็บไว้ในปริมาณมาก ควรซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และการเก็บรักษาต้องเก็บในที่แห้งสนิทไม่เกิดความชื้นจนทำให้เชื้อรามีโอกาสเจริญเติบโต จนก่อสารพิษที่จะมาทำร้ายสุขภาพ  ไม่เพียงแต่อาหารแห้ง แม้แต่ผักหรือผลไม้ ก็เช่นกัน ควรซื้อในปริมาณน้อย เลือกให้มีความสุกดิบคละกัน เพื่อจะได้รับประทานผลไม้ที่สดทุกวัน หากเลือกซื้อที่สุกทั้งหมด อาจรับประทานไม่ทัน ผลไม้ที่เหลือจะขึ้นราได้ 3.หลีกเลี่ยงถั่วลิสงคั่วที่ดูเก่าหรือมีความชื้นหรือมีกลิ่นหืน เพราะมีโอกาสที่จะพบการปนเปื้อนของอะฟลาท็อกซินได้สูงมาก เป็นไปได้ก็ไม่ควรรับประทานให้บ่อยหรือรับประทานในปริมาณมาก 4.อาหารที่เกิดเชื้อราได้ง่าย ควรเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้ หีบห่อมิดชิด และควรสดใหม่ ไม่เป็นสินค้าที่เก็บค้างไว้นานหลายเดือน อย่าซื้ออาหารที่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นหืน ซึ่งแสดงถึงความเก่าเก็บหรือการเก็บรักษาที่ไม่ดี 5. หากสงสัยว่าอาหารจะมีราขึ้น ให้ทิ้งอาหารนั้นเสียทั้งหมด อย่าทิ้งเฉพาะส่วน นอกจากนี้กระดาษหรือกล่องที่สัมผัสกับอาหารที่ขึ้นราให้ทิ้งไปด้วย เพื่อป้องกันการนำเชื้อราไปปนเปื้อนอาหารอื่น 6. อุปกรณ์เครื่องครัว รวมทั้งเขียงที่ใช้ควรล้างให้สะอาด ในระหว่างเตรียมอาหารควรซับให้แห้งอยู่เสมอ อย่าให้มีราขึ้นพึงระลึกไว้เสมอว่าสภาพแวดล้อมในบ้านเรา เป็นแบบร้อนชื้นที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และเชื้อรา จึงต้องใส่ใจและระวังเรื่องการเก็บรักษาอาหาร ตลอดจนเครื่องครัวต่างๆ ให้พ้นจากความชื้นเพื่อป้องกันสารพิษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเข้ามาปนเปื้อนในอาหารที่เรารับประทาน ส่วนอาหารที่ขายตามตลาดทั่วไป ก็หมั่นตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนซื้อ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขไทยกำหนดไว้ว่า ต้องมีอะฟลาท็อกซินอยู่ในอาหารไม่เกิน 20 พีพีบี (20 ไมโครกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม) -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- •    อะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) เป็นสารพิษอันเกิดจากเชื้อรา (mycotoxins) คำว่า aflatoxin มาจากคำ 3 คำรวมกัน โดยมาจากชื่อของเชื้อราตัวที่สร้างสารพิษคือ แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) และ คำว่า toxin ที่แปลว่าสารพิษหรือเป็นพิษ•    สารพิษอะฟลาท็อกซินค้นพบเป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2503 โดยได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นกับไก่งวงในประเทศอังกฤษ ทำให้ไก่งวงที่เลี้ยงไว้จำนวนประมาณ 100,000 ตัว ล้มตาย ไปภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ภายหลังจากการศึกษาสาเหตุโดย สถาบันผลิตผลเมืองร้อน (Tropical Products Institute) ของประเทศอังกฤษ (ปัจจุบันคือ Tropical Development and Research Institute) พบว่าสาเหตุการล้มตายของไก่งวงเป็นจำนวนมากนั้นเกิดจากความเป็นพิษของอาหารผสมที่มีถั่วลิสงปน เมื่อได้ตรวจพบแน่ชัดแล้วว่าถั่วลิสงเป็นที่อาศัยของเชื้อราที่ทำให้เกิดพิษนี้ขึ้น จึงได้ทำการตรวจสอบตัวอย่างถั่วลิสงจากประเทศต่างๆ ที่ส่งไปจำหน่ายยังประเทศอังกฤษ ผลปรากฏว่า พบสารพิษนี้จำนวนหนึ่งจากแหล่งใหญ่ๆ ทุกแห่งที่ปลูกถั่วลิสง  --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 ตามไปดูเขากำจัดสารตะกั่ว…ต้องช่วยผู้บริโภค

วันหนึ่งหลังจากตื่นนอนทำวัตรเช้าเสร็จ โทรศัพท์ก็ดังกริ๊งกร๊างปรากฏว่า มีคำสั่งให้ทีมกระต่ายฯ (รายการทีวีของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค) ออกไปทำสกู๊ปทดสอบสีในโรงเรียนที่มีศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก สังกัดภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นเจ้าของโครงการ เนื่องจากได้ข่าวว่า มีการตรวจพบสารตะกั่วในของเล่นและสีที่ใช้ทาในโรงเรียน!! งานเข้าครับ… ท่านผู้อ่านที่เคยผ่านการใช้รถในยุคน้ำมันเบนซินลิตรละ 10 บาท คงพอจำโฆษณาทางทีวีตัวหนึ่งที่มีมนุษย์ประหลาดหัวโล้นๆ ตัวสีเงิน ไม่ใส่เสื้อผ้าโผล่มา ที่เขาเรียกกันว่า “มนุษย์ตะกั่ว” ได้ใช่ไหมล่ะครับ ก็ช่วงนั้นเขารณรงค์ให้ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วกันทั่วบ้านทั่วเมือง เหตุเพราะพิษภัยของมันค่อนข้างอันตราย หากเก็บสะสมไว้ในร่างกายนานเข้า อาจทำให้เกิดภาวะผิดปกติทางสมอง สมองพิการ หรือปัญญาอ่อนได้ทีนี้พอไอ้เจ้า “มนุษย์ตะกั่ว” ที่มากับน้ำมันซูเปอร์ในสมัยนั้นถูกลอยแพบ๊ายบายไปตามสายน้ำ (โฆษณาชิ้นสุดท้ายของซีรี่ส์ตะกั่ว) คุณพ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ ท่านก็เลยเบาใจหายห่วงไปได้เปาะหนึ่ง ว่าต่อแต่นี้คงส่งลูกส่งหลานเดินทางขึ้นรถไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย จนกระทั่ง...เกิดข่าวสารตะกั่วตามเข้าไปอยู่ในโรงเรียน!! นี่ผมไม่ได้ละเมอมานั่งเทียนเขียนนะครับ แล้วสารตะกั่วมันจะตามเข้าไปอยู่ในโรงเรียนได้อย่างไร หรือคุณครูจะแอบกักตุนน้ำมันลิตรละ 10 บาทไว้เติมรถตัวเอง เอาล่ะสิครับ สังขารปรุงให้ความสงสัยเกิด ทุกข์ก็เกิดอีกแล้ว ไอ้คนเขียนอย่างผมก็ทุกข์ไปด้วยเพราะต้องไปหาข้อมูลมาอธิบายให้คนอ่านหายทุกข์ ทุกข์กันทั้งบ้านทั้งเมืองไม่รู้จะทุกข์กันไปทำไม...เนอะ (เริ่มเข้าสู่แนวธรรมของถนัดอีกแล้ว มีหวังกองบก.เล่นผมตายแน่) ตามตะกั่วไปถึงโรงเรียนอย่างที่บอกไปครับ งานเข้าทีมกระต่ายฯ แล้ว คือแรกเริ่มเดิมทีนั้น ทางศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็กฯ เขาสนใจเรื่องของการบาดเจ็บในเด็กจากของเล่นก่อน แล้วจึงพบว่าสารเคมีที่ปนเปื้อนมากับสีของของเล่นเหล่านั้น มันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งเจ้าสารเคมีตัวเอ้ที่ว่ามานั้น ก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย...พี่สารตะกั่วยังไงล่ะครับ!! รอบแรกที่ลงไปทำการสำรวจของเล่นที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด พบว่ามีสูงถึงร้อยละ 18 ที่สารตะกั่วเจือปนมากับสีของของเล่นในอัตราส่วนที่เกินมาตรฐาน สำหรับมาตรฐานสากลนั้น กำหนดให้อยู่ที่ 90 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักสี 1 กิโลกรัม หมายความว่า เมื่อนำเอาวัตถุที่มีสีแช่ลงในสารละลายที่สามารถละลายสารตะกั่วได้ แล้วพบว่ามีสารตะกั่วละลายออกมาสูงเกิน 90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมนั้น ให้เชื่อว่าเกินมาตรฐาน หรืออีกวิธีหนึ่งจะดูปริมาณสารตะกั่วที่ปนเปื้อนทั้งหมดไม่คิดเฉพาะส่วนที่ละลายออกมาก็ได้ ค่านี้มาตรฐานให้อยู่ที่ 600 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักสี 1 กิโลกรัม คือ ตัวเลข 600 เนี่ย หมายถึงค่าที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเฉียบพลัน แต่หากสะสมไปนานๆ มากๆ เข้าก็อาจส่งผลกระทบถึงระบบประสาทได้ครับ ทางที่ดีควรจะเป็น 0 เรียกว่า ไม่ควรจะมีเลยด้วยซ้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการทดสอบของเล่นในศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งก็ตรวจพบบ้างประปรายในบางศูนย์ แล้วก็ได้มีการแนะนำให้ความรู้กับครูอาจารย์ผู้ประกอบการถึงพิษภัยตลอดจนวิธีที่สารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย ส่วนใหญ่คือทางเดินอาหาร (เด็กจับของเล่นแล้วมาจับของกินหรือบางทีก็หยิบเอาสีที่ล่อนออกมาเข้าปาก) และต้องมีการกำจัดของเล่นที่มีความเสี่ยงทิ้งไป ต่อมา ก็ได้มีหน่วยงานหลายหน่วยงานให้ความสนใจในเรื่องนี้ และได้เข้ามาร่วมศึกษาตรวจสอบ อย่างการพบสารตะกั่วในแทงค์น้ำบ้าง ในหม้อก๋วยเตี๋ยวที่มีการบัดกรีบ้าง ฯลฯ แล้วก็ในสีที่ใช้ทาหรือเคลือบวัสดุต่างๆ ด้วย อย่างที่ฉลาดซื้อฉบับป้ายสีเคยลงข้อมูลไว้ “สี” ก็เลยกลายเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญไปโดยปริยาย!! (ต้องหามาทดสอบซ้ำนะครับพี่ๆ) จากการศึกษาในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกาพบว่า สีทาบ้านโดยเฉพาะที่พบในอาคารเก่าเป็นแหล่งที่มาสำคัญของภาวะพิษจากสารตะกั่วในเด็ก หรือศูนย์เด็กก่อนวัยเรียนและโรงเรียนประถมในจีนก็เช่นเดียวกัน พบว่าร้อยละ 57 ของสีทาบ้านมีระดับสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐาน ดังนั้นทางศูนย์วิจัยฯ แห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้สุ่มคัดเลือกโรงเรียนศูนย์เด็กเล็กจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับศึกษาและเผยแพร่งานวิจัยชิ้นนี้ ทีนี้บางท่านอาจมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมจึงโฟกัสเฉพาะเด็กเล็กเท่านั้นล่ะ เด็กโตไม่สำคัญหรือ... วิสัชนาว่า ก็เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 ปีลงไป ร่างกายสามารถซึมซับสารตะกั่วได้ดีกว่าวัยอื่นๆ ถึง 5 เท่าน่ะสิครับ สมองจะพิการหรือไม่ก็ช่วงนี้แหละ อีกอย่างหากเราจัดการสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้พวกเขาตั้งแต่เล็ก โตมาจะมีอะไรน่าห่วงอีกล่ะครับ หมดเรื่องของสารตะกั่วแล้วจะนิโคตินหรือแอลกอฮอล์ค่อยว่ากันอีกที โรงเรียนแรกที่ทีมกระต่ายฯ เราได้ลงพื้นที่ไปสำรวจดูนั้นก็คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน พัวชิวติ่ง-ลิ้มเซาะคิ้ม ย่านชุมชนเคหะนคร 2 เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็น 1 ใน 11 ศูนย์ที่ทางทีมวิจัยของรามาตรวจพบสารตะกั่วปนเปื้อน จากทั้งสิ้น 17 ศูนย์ที่ได้สุ่มเก็บตัวอย่างมาทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 64.71 โดยแบ่งเป็นพบในสีถึง 9 ศูนย์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ 1 ศูนย์ และดินอีก 1 ศูนย์ โดยปริมาณที่พบสูงสุดเลยคือ 32,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จากค่ามาตรฐาน 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม คิดเป็น 53.33 เท่า!! โอ้แม่เจ้า!! นี่เด็กชักตายได้เลยนะเนี่ย ไม่ต้องรอสะสมให้เหนื่อยเลย!! และนี่คือตารางแสดงจำนวนตัวอย่างทั้งหมดที่ส่งไปทดสอบปริมาณตะกั่วจากทั้ง 17 ศูนย์   ตัวอย่างทดสอบ จำนวน (ที่พบ) สารตะกั่วสูงกว่ามาตรฐาน สีทาบ้าน 9 โต๊ะเรียน 1 ดินในสนามเด็กเล่น 1 สารตะกั่วต่ำกว่ามาตรฐาน น้ำดื่ม 17 น้ำประปา 17 สีในของเล่น 16 ดินน้ำมัน 8 ภาชนะบรรจุอาหาร 30 (จานชาม) 21 (หม้อหุงต้ม) 9 แก้วน้ำ 18 ช้อน 17 ฝุ่นที่ติดพื้น 11 ดินสอสี / สีเทียน 18   โดยวันนั้นเกิดการติดต่อประสานงานผิดพลาดขึ้นเล็กน้อยครับ ทีมกระต่ายฯ ที่ได้รับคำสั่งเร่งด่วน ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยขณะนั้น ต้องไปแกร่วอยู่กับคุณครูประจำศูนย์ 2 ท่าน ปราศจากผู้เชี่ยวชาญจากรามาฯและทีมบำรุงซ่อมแซม(การตรวจสอบเพื่อให้ได้ผลสรุปที่แน่นอนจะต้องทำการเก็บตัวอย่างหลายรอบครับ นี่คือเหตุผลที่ทางรามาฯ ต้องไปแล้วไปอีก) ผมเลยต้องเริ่มต่อจิ๊กซอว์ตัวแรกด้วยการคุยกับคุณครูประจำศูนย์ทั้ง 2 ท่านก็พบว่าศูนย์พัวชิวติ่งนี้ ถูกตรวจพบสารตะกั่วจากตัวอย่างสีน้ำมันที่นำมาทาทับเพื่อลบร่องรอยขีดเขียนตามผนังโดยฝีมือนักศิลปะรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ซึ่งตัวคุณครูเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอในลักษณะนี้ แต่เมื่อเจอแล้วก็ต้องแก้ไขกันต่อไป นอกจากนี้ ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ศูนย์เด็กเล็กส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของชุมชน โดยเฉพาะชุมชนขนาดกลาง ชุมชนที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำ หรือชุมชนสลัม ฯลฯ พ่อแม่ทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ต้องนำลูกมาฝากไว้กับศูนย์ พอปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะหางบประมาณจากไหนมาเยียวยา บางทีพ่อแม่ผู้ปกครองไม่เข้าใจอีก หาว่าเป็นความผิดทางโรงเรียน ที่ทำได้คือถอดเอาชุดอุปกรณ์ที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงทิ้งไป เด็กก็มีของให้เล่นน้อยลง ความซวยจึงบังเกิดกับเด็กผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไหนจะต้องเสี่ยงกับพัฒนาการทางสมองจากสารตะกั่ว ไหนจะขาดแคลนเครื่องเล่นที่จะช่วยพัฒนาไอ-คิว ทุกข์อีกแล้ว !! สำหรับอีกโรงเรียนที่กระต่ายฯ ได้ลงพื้นที่ก็คือ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านเคหะนคร เขตสะพานสูง ซึ่งศูนย์แห่งนี้ก็ถูกตรวจพบสารตะกั่วจากตัวอย่างสีเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังพบรูรั่วตามหลังคา ทำให้เวลาฝนตกลงมาเกิดความชื้นเกิดเชื้อราได้ง่าย ศูนย์ฯ นี้มีบริเวณและจำนวนเด็กมาก สถานที่ค่อนข้างใหญ่จะบูรณะซ่อมแซมอะไรรายจ่ายก็สูงเป็นเงาตามตัว ข้อมูลนี้อาจารย์เขาเล่าให้ฟังเอง ยังดีที่ทางรามาฯ ยื่นมือเข้าช่วยโดยประสานกับทางบริษัทสีให้เข้ามาซ่อมแซมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะหากรอความช่วยเหลือจากทางเขตก็ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เด็กก็ต้องรับเคราะห์ทนสภาพเสี่ยงกันต่อไป การกำจัดสารตะกั่วเมื่อตรวจพบว่ามีสารตะกั่วปนเปื้อนในบริเวณรอบโรงเรียน ทางทีมงานของรามาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ดำเนินการ “แก้ไข” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ เป็นปฏิบัติการระดับ Mission Impossible ทีเดียวเชียว ขั้นตอนของการกำจัดเจ้าสารตะกั่วซึ่งถือเป็นขยะพิษขยะอันตรายนี้ ต้องเริ่มจากการขูดลอกสีที่ปนเปื้อนมาเก็บพักรวมกันไว้ที่โรงกำจัดสารพิษของ กทม. ก่อนจะส่งไปยังโรงกำจัดขยะพิษที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อมิให้ขยะสีเหล่านี้ไปก่อให้เกิดมลพิษกับบุคคลอื่น คนงานทุกคนที่ขูดลอกสี ต้องใส่ชุดประมาณ “ชุดอวกาศ” คือมีหน้ากากป้องกันฝุ่นจากสีเข้าสู่ร่างกาย การล้างน้ำจากพื้น ผนังต้องให้แน่ใจว่า ไม่มีสีปนเปื้อนตะกั่วไหลไปลงท่อน้ำทิ้ง คนงานต้องหาทางดักชิ้นส่วนของสีที่ขูดออกมารวบรวมไว้อย่างดีไม่ให้ออกไปปนกับสิ่งแวดล้อมรอบบริเวณโรงเรียน โรงเรียนที่ทางรามาฯ และทีมกำจัดได้เข้าไปดำเนินการนั้น นัยหนึ่งก็นับว่าโชคดี แต่ทีนี้ปัญหาที่ผมสงสัยต่อมาก็คือ แล้วอีกกว่า 276 ศูนย์เด็กเล็กที่ทางรพ.รามาฯไม่ได้ลงไปตรวจสอบ ผู้ปกครองจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศูนย์เหล่านั้นปลอดภัย เป็นศูนย์ไร้สารตะกั่วจริง บางที่อาจจะเกิน 32,000 มิลลิกรัมขึ้นไปอีกก็ได้ตามหลักความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์และสถิติหรือบางที่อาจจะพบเจอตามที่แปลกๆ อย่างศูนย์หนึ่งพบตรงผิวหน้าดิน เป็นต้น ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้สอบถามไปยังศูนย์วิจัยฯ ของรามาธิบดีว่า มีแผนจะลงไปตรวจสอบศูนย์เด็กเล็กที่เหลือเมื่อไร ก็ได้คำตอบกลับมาว่าศูนย์วิจัยฯ หยุดสำรวจเรื่องสารตะกั่วในศูนย์เด็กเล็กแล้ว เพราะต้องทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นกับเด็กในเรื่องอื่นๆ ด้วย งานวิจัยเป็นแค่แนวทางปฏิบัติเท่านั้น   ใครรู้ตัวว่าเกี่ยวข้องรีบเข้ามาจัดการด่วนหลังจากไปดำเนินการแก้ไขปัญหาจนแล้วเสร็จ ทางศูนย์วิจัยฯ ได้จัดแถลงข่าวเผยแพร่งานวิจัยชิ้นนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 ณ ห้องประชุม 4703 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรืออาคาร 6 ชั้น 7 กระทรวงสาธารณสุข โดยได้แสดงผลการศึกษาที่น่าสนใจประมาณการได้ว่า “มีเด็กกว่า 15,000 คน กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงจากสารตะกั่ว” ดังนั้นจึงสมควรเร่งให้สำนักพัฒนาสังคมดำเนินการให้ความรู้ครูผู้ดูแลเด็กในการจัดการสิ่งแวดล้อม หากมีสีหลุดลอกตามพื้นให้ทำความสะอาดโดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดพื้นหลายๆ ครั้งต่อวัน และมิให้เด็กเล่นใกล้บริเวณที่มีสีหลุดลอกได้ ทางสำนักงานเขตกทม.ต้องมีการจัดผู้เชี่ยวชาญไว้ให้บริการตรวจสอบทั้งในศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน และตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย รวมทั้งจัดตั้งทีมกำจัดสารตะกั่วในการดำเนินงานแก้ไขตามมาตรฐานสากล ป้องกันการเจือปนของสารตะกั่วจากการขูดลอกสีภายในชุมชนและมีการกำจัดขยะสีอย่างถูกวิธี กรุงเทพมหานครต้องขยายผลการดำเนินงานนี้ให้ครอบคลุมทุกศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล ส่วนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขเช่นเดียวกันในศูนย์เด็กเล็กภูมิภาค นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเพิ่มมาตรการในการควบคุมสารตะกั่วในสีให้มากขึ้น อย่าลืมนะครับว่าจริงๆ มันไม่ใช่หน้าที่เขามาตั้งแต่ต้น ชื่อหน่วยงานก็บอกอยู่ทนโท่ว่าศูนย์ “วิจัย”เพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ไม่ใช่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามสารตะกั่ว หลักๆ นี่มันเป็นหน้าที่ของบรรดาผู้ได้รับเงินภาษีจากราษฎรเพื่อเข้ามาบริหารจัดการดูแลสุขทุกข์ประชาชนต่างหากที่ต้องรีบเข้ามาจัดการโดยด่วนครับ พ่อแม่ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ สำนักงานเขต เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีสารปนเปื้อน รวมถึงคนในชุมชน ถึงตรงนี้ผมมองว่าทุกๆ ท่านคงต้องช่วยกันรับผิดชอบด้วยแล้วล่ะครับ จะมัวรอให้คนนู้นคนนี้คอยเป็นธุระจัดการ หรือพอเกิดปัญหาขึ้นมาทีก็เอาแต่โทษกันไปโทษกันมา บุตรหลานของท่านไม่ตายก็พิการกันหมดล่ะทีนี้ งานวิจัยเขาก็นำร่องไว้ให้แล้ว วิธีปฏิบัติเขาก็แสดงให้เห็นแล้ว อยากได้คำแนะนำก็ขอคำปรึกษาได้ มันจะยากอะไรแค่ช่วยกันช่วยกันขูดตัวอย่างสีหรือหาวัสดุที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงส่งไปให้ห้องแล็ปทดสอบ เหลือแค่พวกเราลงมือกระทำเท่านั้นแหละครับ อยู่ที่ว่าจะลุกขึ้นมาหรือเปล่า... ถ้าลุกขึ้นมาลูกหลานก็ปลอดภัย ถ้าปล่อยไปก็อาจตายหยังเขียด หรือดีหน่อยก็เป็นไอ้มนุษย์ตะกั่ว ร่วมไม้ร่วมมือกันอย่าเอาแต่นิ่งดูดาย ล้อมคอกเมื่อวัวหายมันไม่คุ้มหรอกนะครับ ป.ล.โฆษณาซีรี่ส์ตะกั่วงวดหน้าอาจโผล่มาในโรงเรียนก็ได้ ฮ่าฮ่า ;D

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 มาเป็นแม่บ้านไร้สารกันเถอะค่ะ

“ฉลาดซื้อ” ฉบับนี้นำเรื่องดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้เราขอเอาใจคุณแม่บ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่บ้านที่รักการทำความสะอาดบ้าน (และที่ทำเพราะหน้าที่) “ฉลาดซื้อ” อยากชวนคุณแม่บ้านทุกท่านมาลองคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการทำให้บ้านอันแสนอบอุ่นของทุกคนเป็นบ้านปลอดสาร(พิษ) สะอาดอย่างปลอดภัย แถมยังห่วงใยโลก สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่หัวใจสีเขียว ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษ สารเคมีใกล้ตัวไม่กลัวไม่ได้นะแค่พูดถึง “สารเคมี” ทุกคนก็คงรู้สึกไม่ดีกันแล้วใช่ไหมคะ คุณแม่บ้านหลายคนอาจจะคิดว่าสารเคมีแม้จะเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวแต่ก็เป็นเรื่องไกลตัวคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะอันตรายจากสารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ มากขนาดที่เราทุกคนใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสารเคมีในบ้านของเราเองตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน ซึ่งสารเคมีที่เราต้องสัมผัสพบเจอในชีวิตประจำวันของเราก็ไม่ได้มาจากที่ไหนไกลมาจากข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างรอบตัวเรา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราใช้ภายในบ้านนี่แหละ ทั้งผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ และอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่วางขายทั่วไปอยู่ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมหลักทั้งนั้น สำรวจบ้านหาจุดเสี่ยงสารเคมี!!!ตอนนี้คุณแม่บ้านลองเดินสำรวจในบ้านของตัวเองดูนะคะ ลองดูซิว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราซื้อเข้าบ้านมีอะไรที่เป็นตัวนำสารเคมีเข้ามาบ้าง เริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านของคุณแม่บ้านก่อนเลยค่ะ หลายๆ บ้านคงจะใช้บริเวณด้านนอกของบ้านเป็นโซนซักล้าง ซึ่งที่นี่เราจะได้พบสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราซื้อมาจากร้านค้า ทั้งผงซักฟอก น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาซักแห้ง น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือถ้าคุณแม่บ้านมีรถ ก็จะเจอสารเคมีได้อีกในน้ำยาทำความสะอาดรถยนต์ น้ำยาขัดเงา น้ำมันเครื่อง เข้ามาในบ้าน ที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ในนี้จะมีสารเคมีที่เราคิดไม่ถึงซ่อนอยู่เยอะเลย ทั้งในพรมสังเคราะห์ ที่มักผลิตมาจากโพลียูริเทนโฟมซึ่งมีสารบางตัวที่อาจถูกปล่อยออกมาก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจ นอกจากนี้อาจมีสารเคมีตกค้างจากน้ำยาทำความสะอาดพรมด้วย วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ที่ทำจากพลาสติกก็อาจปนเปื้อนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ นี่ยังไม่พูดถึงบรรดาน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ รวมทั้งแร่ใยหินจากกระเบื้องที่อยู่เหนือศีรษะเรา มาต่อกันที่ห้องครัว ที่ที่เราใช้ปรุงอาหารรับประทาน ถ้ามีสารเคมีอยู่ด้วยแบบนี้น่ากลัวนะคะ แต่ว่ายังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ เพราะในห้องนี้เราอาจเจอสารเคมีได้ทั้งใน เตาอบไมโครเวฟ เครื่องครัวเคลือบเทฟลอน รวมถึงในน้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดคราบสกปรก น้ำยาขจัดสิ่งอุดตันในท่อ และยาฆ่าหนูและแมลงต่างๆ ปิดท้ายที่ห้องน้ำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าทั้ง สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า ล้วนแล้วมีส่วนผสมของสารเคมีทั้งนั้น แม้จะไม่อันตรายมาก แต่อาจมีบ้างบางคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์บางตัวบางยี่ห้อ สารเคมีที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังในห้องน้ำน่าจะเป็น น้ำยาขัดพื้นห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดโถส้วม และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เพราะพวกนี้มักมีสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง คุณแม่บ้านที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้คงเคยสังเกตว่าเวลาหยดผลิตภัณฑ์พวกนี้ลงพื้นก็จะเกิดฟองขึ้นทันที ซึ่งเป็นฤทธิ์ของการกัดกร่อนของสารเคมี ขนาดพื้นปูนพื้นกระเบื้องยังขนาดนี้ ถ้าโดนตรงๆ กับผิวหนังของเราก็คงดูไม่จืดแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ภายในบ้านที่อาจเสี่ยงสารเคมี ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้พลาสติก ตู้ไม้อัด ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บ สเปรย์ใส่ผม ยาย้อมผม สีทาบ้าน ยาฉีดยุง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพีวีซี อย่าง ท่อน้ำ กระเบื้องยางปูพื้น ของเล่นเด็ก ฯลฯ แม้จะดูเยอะจนน่าตกใจ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงและลดการใช้สารเคมีในบ้านของเราได้ค่ะ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็อย่าซื้อหาเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน คือใช้เท่าที่จำเป็น ใช้แต่พอดี อันไหนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ และรู้สึกว่าอาจต้องเสี่ยงกับสารเคมีก็ต้องศึกษาข้อมูลวิธีการใช้ คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ ให้ดี หรืออะไรที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทดแทนได้ อย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านต่างๆ ก็หามาใช้หรือถ้าทำใช้ได้เองก็ยิ่งดีค่ะ ซึ่งนอกจากจะดีกับสุขภาพของคุณแม่บ้านและคนในครอบครัว ยังดีต่อโลกของเราด้วยเพราะไม่มีสารเคมีตกค้างไปทำร้ายสิ่งแวดล้อม แถมยังถูกกว่าประหยัดกว่า และการลองทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติด้วยตัวเอง อาจช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นงานที่สนุกมากขึ้นก็ได้ค่ะ คำแนะนำเพื่อทำให้บ้านปลอดสารพิษจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด1.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นระบบ คือให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันหรือทำหน้าที่เหมือนกันเก็บไว้ด้วย เช่นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าก็ไว้รวมกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำก็แยกกลุ่มออกมาให้ชัดเจน 2.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนอกเหนือจากหน้าที่ของมัน คือไม่เอาผงซักฟอกไปล้างจาน หรือเอาน้ำยาขัดพื้นห้องน้ำมาขัดพื้นห้องรับแขกหรือห้องครัว 3.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่จะซื้อเข้ามาในบ้าน ต้องเลือกที่มีฉลากแสดงข้อมูลต่างๆ ชัดเจน วิธีการใช้ คำเตือนของอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และวิธีการรักษาอาการแพ้เบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ 4.เมื่อคุณแม่บ้านอ่านข้อความวิธีการใช้และคำเตือนต่างๆ บนฉลากข้างผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งสวมเสื้อผ้ามิดชิด ไม่สัมผัสโดยตรง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 5.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ห่างจากมือเด็กมากที่สุด 6.ซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแค่เท่าที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ควรซื้อมาเก็บตุนไว้มากๆ เพราะแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงสารเคมีให้กับตัวเอง 7.ลองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติหรือมีอันตรายน้อยกว่ามาทดแทน อย่างเช่น ผงฟู หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ได้ไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่วางขายอยู่ตามร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต-------------------------------------------------- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใกล้ตัว ใช้แล้วไม่ต้องกลัวสารพิษ ผงฟู : ผู้พิชิตผงฟู หรือที่บางคนเรียก เบคกิ้งโซดา หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต นอกจากจะใช้ทำให้ขนมฟูดูน่ากินแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ความสะอาดบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก เพราะความที่มีอนุภาคเล็กและมีรูปทรงผลึกอ่อนนุ่ม จึงดีต่อการใช้ขัดถูทำความสะอาด มีสรรพคุณปรับค่าความเป็นกรดด่างและฆ่าเชื้อโรค แถมยังช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เรียกว่าเราสามารถนำผงฟูไปเป็นสูตรทำความสะอาดได้ตั้งแต่ เสื้อผ้า จานชาม พื้นบ้าน อุปกรณ์เครื่องครัว ขจัดกลิ่นตู้เสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงใช้แทนยาสีฟันก็ยังได้ น้ำส้มสายชู : คุณค่าคู่ครัวไม่เพียงแค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่น้ำส้มสายชูยังเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการทำความสะอาดคราบต่างๆ ได้ด้วย น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยกัดกร่อนคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามพื้นห้องน้ำ พื้นกระเบื้อง หรือคราบสนิทอยู่เกาะอยู่ตามก๊อกน้ำ ฝักบัว หรือเครื่องครัวต่างๆ ทั้งแบบที่ทำจากอลูมิเนียม อย่าง กาต้มน้ำ ที่เมื่อใช้ไปนานๆ มักเกิดคราบจากตะกอน คราบเขม่า และเครื่องครัวที่เป็นแก้วหรือคริสตัล น้ำส้มสายชูก็สามารถทำความสะอาดให้กับมาใสปิ๊งเหมือนใหม่ได้ด้วย น้ำมะนาว : เราทำได้นอกจากจะเพิ่มความเปรี้ยวให้กับชีวิตแล้ว น้ำมะนาวยังเป็นน้ำยาขัดขาวสูตรธรรมชาติปลอดภัยไร้สารอีกต่างหาก น้ำมะนาวใช้ขัดทำความสะอาดได้ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองและทองแดง ช่วยขจัดคราบสนิมและคราบสกปรกจากอาหารที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า และยังช่วยขจัดคราบกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดอยู่ตามอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวอย่าง เขียงและมีด สบู่ : สู้ความสกปรกสบู่ที่เราใช้อาบน้ำมักจะเหลือค้างเป็นก้อนเล็กๆ เพราะมันเล็กจนจับไม่ถนัดมือเราจึงไม่ได้ใช้มันต่อ และเหมือนจะหมดประโยชน์ไปโดยปริยาย แต่สบู่ก้อนเล็กๆ เหล่านี้จะมีกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง โดยการเก็บรวบรวมนำมาผสมกับน้ำร้อนใช้เป็นน้ำยาล้างจานได้ เพราะสบู่มีคุณสมบัติของสารลดแรงตึงผิวเหมือนกัน แต่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ปลอดภัยกับผิวเรามากกว่า น้ำ : ทำได้หมดวัตถุดิบพื้นฐานสุดๆ ที่เราใช้ทำความสะอาดทุกๆ อย่าง ทั้ง ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ทำความสะอาดนู้นนี้ เราใช้น้ำช่วยในการชำระล้างคราบสกปรกต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพของน้ำเปล่าๆ อาจไม่เข้มข้นพอที่จะขจัดคราบสกปรกบางอย่างชนิดที่เกาะติดแน่นมากๆ แต่บางครั้งแค่น้ำเปล่าธรรมดาบวกกับการออกแรงขัดถูนิดน้อย คราบสกปรกที่เราหวั่นใจก็อาจหลุดออกได้ง่ายๆ แบบที่เราอาจคาดไม่ถึง สูตรน้ำยาทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษน้ำยาล้างห้องน้ำแม่บ้านหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์รุนแรง ถึงขนาดกัดกร่อนคราบสกปรกต่างๆ ได้ง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องเปลืองแรงขัด นั้นก็เพราะในน้ำยาล้างห้องน้ำมีส่วนผสมของกรดหลายชนิด ที่นิยมมากที่สุดก็คือ กรดเกลือ (hydrochloric acid) ซึ่งขนาดคราบสกปรกบนพื้นปูนหรือพื้นกระเบื้องยังขจัดออกได้ แล้วถ้าโดนเข้ากับผิวหนังของเราก็ไม่ต้องเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ถ้าโดนผิวหนัง เข้าตา หรือหายใจสูดเอากลิ่นของมันเข้าไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้ -ใช้แอมโมเนียและน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่งถ้วย ผสมกับผงฟู ¼ ถ้วย นำไปเทลงบนพื้นแล้วใช้แปรงขัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ ใช้เป็นน้ำยาทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง -ใช้น้ำส้มสายชูเทลงในโถส้วม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้แปรงขัด ใช้ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ได้ -ใช้น้ำยาฟอกขาวกับน้ำมะนาว ¼ ถ้วย ผสมกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค สำหรับขัดตามอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ฝักบัว ผงซักฟอกไขข้อข้องใจสำหรับแม่บ้านที่ซักผ้าด้วยมือ ผงซักฟอกเป็นสารเคมีพวกกรดด่าง สารละลายอินทรีย์ และอาจมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสิ่งสกปรก เมื่อผิวหนังเราสัมผัสสารเหล่านี้เป็นเวลานานอาจเกิดผลเสียขึ้นได้ ทั้งผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ผิวแห้งและแตก อีกเรื่องที่อยากฝากเตือนคุณแม่บ้านคือ ไม่ควรนำผงซักฟอกไปล้างทำความสะอาดอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นล้างจานชาม หรือล้างมือ เพราะถ้ามีสารตกค้างเข้าสู่ร่างกาย อาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรือถึงขั้นช็อคเลยก็ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-นำผงสบู่ที่ได้จากการสบู่ก้อนบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของสีและกลิ่นมาขูดให้เป็นผงประมาณ 1 ถ้วย ผสมกับน้ำ 3 ถ้วยที่ใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่บอแรกซ์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เป็นสบู่เหลวซักผ้า -นำผงสบู่ผสมน้ำร้อนอย่างละ 2 ถ้วย ทำให้ผงสบู่ละลายแล้วเติมแอลกอฮอล์ 1 ถ้วย น้ำมันยูคาลิปตัส 2 ช้อนโต๊ะ ใช้เป็นหัวเชื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม เวลาใช้ให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร เมื่อปรับผ้านุ่มแล้วให้ซักด้วยน้ำอุ่นอีกหนึ่งครั้ง -ผงฟูช่วยทำให้ผ้านุ่มและขจัดกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้าได้ โดยการเทผงฟูประมาณ ½ ถ้วยลงในน้ำสุดท้ายของการซักผ้าน้ำยาล้างจานส่วนผสมหลักๆ ของน้ำยาล้างจานคือ สารสังเคราะห์ในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว (surfactant) รวมทั้งยังผสมสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเพื่อทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรก นอกจากนี้ยังมีการผสมสารต่างๆ อีกหลายชนิด สารที่ให้กลิ่นหอม สารฟอกสี ซึ่งสารสังเคราะห์เหล่านี้ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงสบู่ 1 ถ้วย ผสมน้ำตั้งไฟจนเดือดคนจนละลาย ผสมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาล้างจาน -น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว ใช้เช็ดถูทำความสะอาดคราบบนภาชนะต่างๆ เช่น หม้อ กาต้มน้ำ และใช้ขัดคราบและกลิ่นบนเครื่องครัวที่ทำจากไม้ อย่าง เขียง ได้ด้วย น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่จะผสมสารที่ชื่อว่า ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (isopropyl alcohol) ซึ่งเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ซึ่งถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60 – 70% หากเราหายใจเอาเจ้าสารนี้เขาไปในปริมาณมากๆ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอและจมูก เป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ ปวดหัว วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณเท่ากัน ชุบด้วยผ้านุ่มใช้เช็ดทำความสะอาดกระจก แต่หากใช้น้ำส้มสายชูเช็ดกระจกแล้วเกิดคราบ ให้ใช้แอลกฮอล์เช็ดที่กระจกก่อน -ใช้ผ้าเปียกถูกับสบู่ก้อน เช็ดบนกระจก ล้างออกแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ช่วยทำให้กระจกที่เป็นฝ้ามัวกลับมาใสเหมือนใหม่น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ทำมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แว็กซ์ และน้ำมัน ไม่ควรสูดดม สัมผัส หรือนำเข้าสู่ร่างกาย หากได้รับสารดังกล่าวเข้า อาจมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ แนะนำว่าเวลาใช้น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ควรทำในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำมันพืช 1 ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้ผ้าชุบเช็ดทำความสะอาด ซึ่งสูตรนี้ช่วยลบรอยขีดข่วนได้ด้วย -ใช้น้ำมันทานตะวัน ½ ถ้วย ผสมกับสบู่เหลวและน้ำอย่างละ ¼ ถ้วย ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ -น้ำ 1 ถ้วย สบู่เหลว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ผสมเข้าด้วยกัน ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง -น้ำมันจมูกข้าวสาลี ½ ถ้วย ผสมกับน้ำมันละหุ่ง ¼ ถ้วย ใช้เป็นสูตรผสมสำหรับเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์หนัง น้ำยาทำความสะอาดพรมส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาดพรมคือ น้ำยาซักแห้ง และ แนพทาลีน (Naphthalene) ซึ่งเป็นสารเคมีที่อยู่ในลูกเหม็น อันตรายคงสารนี้ก็คือ เมื่อสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นานเข้าก็จะไปทำร้ายปอด รวมทั้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟูหรือเกลือป่น โรยทิ้งไว้บนพรม 1 – 2 ชั่วโมง แล้วดูดฝุ่นออก ช่วยในการดับกลิ่น - บริเวณที่เปื้อนคราบสกปรกให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสบู่หยดลงไป แล้วเช็ดเบาๆ ด้วยแปรงขนอ่อน เสร็จแล้วซับด้วยผ้าให้แห้ง ผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันส่วนใหญ่คือ โซดาไฟ ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ถ้าถูกผิวหนังอาจเกิดการระคายเคือง เป็นแผลไหม้ ถ้าเข้าตาอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด ถ้าเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้ ปาก คอ และช่องท้องเกิดแผลอย่างรุนแรง ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟู 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยผสมในน้ำร้อนแล้วเทลงไปในท่อ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วเทน้ำตาม ช่วยทำให้ท่อระบายได้เร็วขึ้นและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ -ถ้าท่อระบายน้ำตันให้ใส่เกลือลงในท่อ ½ ถ้วย แล้วเทน้ำเดือดตามลงไป ที่มา : บทความเรื่อง “แม่บ้านไร้สารพิษ”. คมสัน หุตะแพทย์, วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 1/2552 “กรีนคอนซูเมอร์”. กรรณิกา พรมเสาร์. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค “10 วิธีทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมชาติ” มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ??

กระแสของคนใส่ใจสุขภาพมีแนวโน้มมากขึ้นตลอดเวลา จึงเป็นโอกาสของตลาดอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่พยายามพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีผลดีต่อสุขภาพ ปัจจุบันเราจึงเห็นว่ามีการโฆษณากล่าวอ้างถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเครื่องดื่มที่มีการโฆษณาว่ามีผลดีต่อสุขภาพ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Functional Drinks แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ?? กี่ครั้งกันนะที่คุณๆ อาจนึกสงสัยว่าเจ้าน้ำดื่มสารพัดยี่ห้อที่ใช้เรื่องความงามเป็นจุดขายนั้น ดื่มเข้าไปแล้วมันจะสวยได้จริงหรือ?? หนุ่มจะหันมามองตาค้างอย่างในโฆษณาจริงหรือเปล่า รวมทั้งชื่อสารเคมีแปลกๆ ที่พูดปาวๆ ในสื่อต่างๆ อะมิโนเปปไทด์ คอลลาเจน คิว 10 มันจะมีสรรพคุณวิเศษมหัศจรรย์จนสามารถบันดาลความสวยงามให้ได้จริงล่ะหรือ เรามาหาคำตอบกัน   อย.ให้ขายและโฆษณาได้ แสดงว่าของเขาดีจริงสิ??เชื่อว่ายังมีผู้บริโภคอีกหลายท่าน ที่เข้าใจผิดว่ามี อย. หมายถึงรับรองว่า ดื่มแล้วสวยจริง อันนี้ขอแก้ไขเรื่องจริงคือ อย.รับรองเพียงแค่ว่าดื่มแล้วปลอดภัย(ไม่ตาย) แต่ไม่ได้รับรองแต่อย่างใดเลยว่า ดื่มแล้วสวย ฉลาด สมาร์ท เลิศ อย่างที่เข้าใจกันไปตามที่โฆษณาบอก ลองอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ดูสิ อย.เขาไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ทางอาหารบนฉลากเด็ดขาด เพราะมันไม่มีหลักฐานอะไรที่มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไงล่ะ แต่จะไปห้ามคนไม่ให้เอาสารอาหารมาผสมน้ำขายก็ไม่ได้ เขาจึงรับรองแค่ว่า มันปลอดภัย แต่ไม่ได้ดื่มแล้วสวยขึ้นหรือฉลาดขึ้นนะ แถมยังบังคับให้น้ำดื่มพวกนี้ต้องติดคำเตือนเอาไว้ด้วย“ควรกินอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ” ฉลากบอกอะไรเราบ้าง• เกือบทุกผลิตภัณฑ์เป็นน้ำรสผลไม้(ไม่เกิน 20%) ส่วนใหญ่เป็นน้ำองุ่นขาวจากน้ำองุ่นขาวเข้มข้น เติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพื่อให้มีรสชาติดี จากนั้นก็แล้วแต่ว่าต้องการให้มีคุณสมบัติเพื่อขายอะไรก็เติมสารอาหารนั้นเข้าไป • ฉลากส่วนใหญ่ไม่มีการโฆษณาสรรพคุณว่าดื่มเพื่ออะไร แต่จะแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่า มีสารอะไรเป็นตัวเด่น(จุดขาย) แล้วให้ข้อมูลวิชาการเสริม หรือเพื่อโน้มน้าวใจผู้ซื้อ ซึ่งบางผลิตภัณฑ์เป็นข้อมูลที่คลุมเครือและน่าจะได้มีการตรวจสอบว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ “คลอโรฟิลล์สารสกัดสีเขียว จากอัลฟาฟ่า ช่วยขับสารพิษในร่างกาย บำรุงเลือด ช่วยให้ ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น” เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ คลอโรฟิลล์ • หลายผลิตภัณฑ์เนื้อที่แค่บนฉลากมันไม่พอต้องมีป้ายพิเศษเพิ่มคล้องไว้ที่ขวดด้วย ซึ่งป้ายให้ข้อมูลเพิ่มเติมนี้ บางข้อความหมิ่นเหม่เข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง “ หุ่นดีไม่มีหน้าท้อง หุ่นสวยเพรียวอย่างใจเพราะไฟเบอร์สูงช่วยระบบขับถ่าย อยากหุ่นดีไม่มีหน้าท้องใช่ไหม” บีอิ้ง คอมฟอร์ท สารอาหารหรือยาวิเศษจากการพลิกดูฉลากผลิตภัณฑ์ ที่อ้างว่าเพื่อความสวยงามหรือฉลาดสดใสนี้ น่าจะพอแบ่งกลุ่มหลักๆ ของสารอาหารที่ถูกนำมาผสมขึ้นเป็นเครื่องดื่มแต่ละขวดได้ดังนี้ เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วสวย การโฆษณาว่าดื่มแล้วสวย คงเป็นที่ถูกใจวัยรุ่นสาว ๆ และผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนก็อยากเป็นคนสวยทั้งนั้น เครื่องดื่มประเภทนี้มักมีคำว่า “บิวติ” อยู่ในชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งคำนี้เป็นเสียงพ้องของคำภาษาอังกฤษ “beauty” ที่แปลว่าสวยนั่นเอง หรืออาจมีคำว่า “สกินฟิต” ซึ่งสื่อให้เข้าใจว่ามีผิวหนังที่แข็งแรง เมื่อพิจาณาส่วนประกอบในเครื่องดื่มเหล่านี้มักพบว่ามีการเติม ”คอลลาเจน” เพิ่มลงไปในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 125 – 3000 มิลลิกรัม โดยที่หลายชนิดมีการใช้คำว่าคอลลาเจนในชื่อของผลิตภัฑ์ด้วย เช่น “เซนต์ แอนนา คอลลาเจน” “สก๊อต คอลลาเจน-อี” เป็นต้น ความจริงกินคอลลาเจนแล้วช่วยให้ผิวสวย หรือแก่ช้าจริงหรือไม่ ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากที่สุดในร่างกายคือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย มีลักษณะโครงสร้างที่เกาะเป็นเกลียว ทำหน้าที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ในส่วนของผิวหนังมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก (ประมาณร้อยละ 75) และทำหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังเรียบ ตึง และเนียนเรียบ โดยทำหน้าที่คู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าอีลาสติน (Elastin) คอลลาเจนที่ผิวหนังเกิดจากการสร้างภายในร่างกายเราเอง โดยสร้างจากกรดอะมิโนที่ได้จากการกินอาหารประเภทโปรตีนต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง และต้องอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยให้เกิดคอลลาเจนที่สมบูรณ์ จากหน้าที่ของคอลลาเจนที่ผิวหนังดังกล่าว ทำให้คอลลาเจนได้รับความสนใจนำมาใช้ในการชะลอริ้วรอย เสริมความงาม ช่วยให้ไม่แก่ ผิวหนังจะสวยได้ต้องมีคอลลาเจนที่แข็งแรงอยู่มากพอเป็นเรื่องจริง แต่อย่าลืมว่าการกินคอลลาเจนเข้าไปไม่ได้หมายความว่าคอลลาเจนที่กินนั้นจะไปอยู่ที่ผิวหนังได้ เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีน เมื่อกินเข้าไป จะถูกย่อยเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนเช่นเดียวกับโปรตีนชนิดอื่นๆ จากนั้นกรดอะมิโนจึงถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เอาไว้เป็นตัวตั้งต้นสำหรับการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายต่อไป ที่จริงแล้วในทางโภชนาการคอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้ไม่ครบถ้วนและไม่เพียงพอ ดังนั้นการกินแต่คอลลาเจนโดยที่ไม่ได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพดีอย่างอื่นมากพอในระยะยาว จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และการกินคอลลาเจนเพื่อให้ผิวสวยนั้นคงได้ผลน้อย ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนจากการกินอาหารที่ครบหมวดหมู่อย่างหลากหลายและสมดุล การที่ผิวหนังจะสวยได้จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดอย่างมากพอ และต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เร่งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนด้วย เช่น การอยู่ในที่แสงแดดจัดเป็นเวลานานหรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลบำรุงสมองตัวนี้กำลังมาแรง เครื่องดื่มที่โฆษณาว่าทำให้เก่ง มีผลต่อสมอง เครื่องดื่มในกลุ่มนี้บางชนิดใช้คำว่า “เบรนฟิต” หรือ “สมาร์ท” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อผลิตภัณฑ์ ลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้คือ มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโน หรือในบางผลิตภัณฑ์จะมีการเสริมกรดไขมันโมเลกุลยาวที่สกัดจากปลา ที่เรียกว่าโอเมก้าสามหรือดีเอชเอ ร่วมด้วย ความจริงเปปไทด์และกรดอะมิโนคือหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้เลย โดยปกติเมื่อเรากินอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากพืช (ถั่วต่างๆ) หรือโปรตีนจากสัตว์ ร่างกายจะมีน้ำย่อยหรือเอนไซม์ มาย่อยสลายโปรตีนนั้นให้มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป สำหรับเปปไทด์นั้นคือกรดอะมิโน 2 หรือ 3 ตัวเรียงต่อกัน ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมเปปไทด์สายสั้นนี้ได้ดีกว่ากรดอะมิโนเดี่ยว ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายสามารถนำเปปไทด์หรือกรดอะมิโนนั้นไปใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตามแต่ละท่านคงต้องพิจารณาว่าร่างกายท่านมีความจำเป็นที่ต้องการเปปไทด์หรือกรดอะมิโนต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้นทันทีหรือไม่ ถ้าเรามีการรับประทานอาหารที่เหมาะสมครบถ้วนทั้งสามมื้อแล้ว การได้รับโปรตีนที่มากเกินไปไม่ว่าในรูปแบบใดจะส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการกำจัดออกจากร่างกาย ซึ่งมีโอกาสทำให้ไตของเราเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเหล่านั้นไปใช้ได้ทันที อาจมีผลทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ฉลาดขึ้นไปด้วย ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ก่อนเข้าห้องสอบของนักเรียน/นักศึกษานั้นคงไม่ได้ทำให้นักศึกษาผู้นั้นทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น ถ้าไม่ได้มีการศึกษาทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอมาก่อน ดีเอชเอ (DHA) เป็นคำย่อมาจาก docosahexaenoic acid ซึ่งก็คือคือกรดไขมันโมเลกุลยาวชนิดหนึ่งทีมีอยู่มาก ในสมอง ประสาทตา และหัวใจ เนื่องจากในสมองจะมีเซลล์ไขมันอยู่มากที่สุด ดังนั้นการได้รับกรดไขมันชนิดนี้มากพอจึงเชื่อว่าช่วยพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของร่างกายทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แหล่งอาหาที่สำคัญของไขมันชนิดนี้คือการบริโภคปลาเป็นประจำ อย่างไรก็ตามหลายท่านอาจบอกว่าไม่ค่อยได้กินปลา จึงหันมากินผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริม DHA แทน เพื่อหวังผลทางสุขภาพเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานผลทางสุขถาพที่ชัดเจนของเครื่องดื่มเหล่านี้ว่ามีผลต่อพัฒนาการของสมอง นอกจากนี้อย่าลืมว่าการที่สมองของคนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย เช่น การได้รับออกซิเจนและกลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่สุดของสมองอย่างเพียงพอด้วย การพักผ่อน ที่เพียงพอและไม่เครียดเกินไปก็มีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นด้วย เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อการระบายเครื่องดื่มเชิงสุขภาพส่วนใหญ่ที่จำหน่ายทั่วไปมักมีการเสริมใยอาหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ระบุชนิด (เช่น อินนูบิน) และไม่ระบุชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน (0.25 – 2.1 %) และมักจะกล่าวอ้างคุณประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารและกระตุ้นการขับถ่าย ความจริงอย่างไรก็ตามปริมาณใยอาหารที่เพิ่มขึ้นในบางผลิตภัณฑ์อาจไม่มากพอที่จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ เช่น “บริ๊งค์ คอลลาเจน ดริ๊งค์” ที่มีส่วนประกอบของใยอาหารเพียง 0.25 % ในขวดผลิตภัณฑ์บรรจุ 50 มิลลิลิตรจะได้รับใยอาหารเพียง 0.125 กรัม เท่านั้น หรือบางผลิตภัณฑ์ที่ระบุคำว่าใยอาหารในชื่อผลิตภัณฑ์ เช่น “เซ็ปเป้บิวติ ดริงค์ ใยอาหาร” มีส่วนประกอบของใยอาหาร 2 % ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่ามีใยอาหารประมาณ 3.6 กรัม ต่อขวด (180 มิลลิลิตร) ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ยังไม่มากพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน (20-25 กรัมต่อวัน) ดังนั้นผู้บริโภคที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ต้องไม่ลืมที่จะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม ถูกสัดส่วนเช่นเดิมด้วย เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีตามต้องการ เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อสุขภาพโคเอนไซม์คิวเทน (Co Q 10) เป็นสารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่มีการเติมกันมากในเครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพ ปริมาณที่เติมประมาณ 15-29 มิลลิกรัมต่อขวด ความจริงโคเอนไซม์คิวเทนหรือบางคนเรียกว่าคิวเทน เป็นสารที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีอยู่มากในอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ไต มีหน้าที่ช่วยให้เกิดพลังงานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก โดยทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัวแต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง โดยปกติการสังเคราะห์โคเอนไซม์คิวเทนอาจลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งการได้รับยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดก็ทำให้การสังเคราะห็โคเอนไซม์คิวเทนลดลงได้ จึงควรมีการบริโภคโคเอนไซม์คิวเทนจากอาหารเพิ่มให้มากเพียงพอ โดยการกินอาหารเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับเครื่องดื่มที่มีการเสริมโคเอนไซม์คิวเทนต้องระวังว่าปริมาณที่เติมนั้นอาจลดลงจากเดิมได้ง่าย เนื่องจากสารโคเอนไซม์คิวเทนมีความไวต่อแสงมาก เครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างว่าช่วยในการเผาผลาญพลังงาน มักจะมีการเติมสาร แอล-คาร์นีทีน (L-Carnitine) ประมาณ 0.04-0.7 % ความจริงแอล-คาร์นีทีนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ดังนั้นข้อดีของแอล-คาร์นีทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน โดยปกติร่างกายเราจะมีสารแอล-คาร์นีทีนอยู่มากพอ ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติที่อาจพบว่ามีการขาดสารแอล-คาร์นีทีนได้ โดยที่จริงแล้วคนรักสุขภาพทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีการเติมสารคาร์นีทีนเพิ่ม ถ้ามีการกินอาหารที่เป็นแหล่งของแอลคาร์นีทีนเป็นประจำ ที่พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก เด็กและสตรีมีครรภ์ก็ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร เครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มเพื่อความขาวของผิวพรรณ แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีการเติมเพิ่มในเครื่องดื่มที่กล่าวอ้างทางสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องความขาว รวมทั้งอ้างว่าแก้อาการเมาค้างด้วย ความจริงมีการศึกษาพบว่ากลูตาไธโอนช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซี และอี ในการทำลายอนุมูลอิสระ และยังมีหน้าที่สำคัญ ในการช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ โดยทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น และยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ ในประเด็นหลังนี้ผู้ผลิตเครื่องดื่มนำมาเป็นจุดขายกับผู้ที่นิยมการดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ โดยปกติร่างกายคนเราผลิตสารกลูตาไธโอนได้เอง ยกเว้นคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน การโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตลาดเครื่องดื่มสุขภาพในประเทศไทยที่พบเห็นทั่วไปมักจะกล่าวอ้างว่า “ดื่มแล้วสวย เก่ง ฉลาด มีผลดีต่อสมอง” เป็นหลัก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนหนุ่มสาวหรือวัยทำงานในเมืองที่มีวิถีชีวิตค่อนข้างรีบเร่ง อาจไม่มีเวลาในการดูแลตนเองมากนัก แต่รักสวยรักงาม อยากมีร่างกายที่ฟิต เก่ง และมักมีความสนใจในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ จากการสำรวจตลาดพบว่ามีผลิตภัณฑ์เคื่องดื่มประเภทนี้มากกว่า 30 ชนิดที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป โดยมีราคาแตกต่างกันตั้งแต่ประมาณ 20-40 บาท เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใดคงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย จากการพิจารณาส่วนประกอบของเครื่องดื่มเหล่านี้ที่แสดงอยู่ที่ภาชนะบรรจุจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะประกอบด้วยส่วนผสมของน้ำผลไม้ และมักมีการเติมวิตามินแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่มีการเติมสารเฉพาะบางอย่างที่มีการกล่าวอ้างว่ามีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น คอลลาเจน โคเอนไซม์คิวเทน คาร์นีทีน กรดอะมิโนหรือเปปไทด์ เป็นต้น เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อดื่มแล้วจะได้รับ”น้ำ”เข้าสู่ร่างกายเป็นหลัก ช่วยลดความกระหายและเพิ่มความชุ่มชื้นกับร่างกาย สำหรับสารเสริมต่างๆ นั้นอาจมีประโยชน์กับร่างกายบ้างแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ซึ่งที่จริงแล้วคนเราทั่วไปไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องดื่มสารเสริมต่าง ๆ เหล่านั้น เพิ่มขึ้น เพราะสารต่างๆ เหล่านั้นมีอยู่มากพอในอาหารตามธรรมชาติ (ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้) ที่รับประทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่า การดื่มเครื่องดื่มเสริมสุขภาพเหล่านี้เป็นการดื่มน้ำที่มีราคาแพงที่ให้ผลต่อสุขภาพค่อนข้างน้อย แต่จากการโฆษณาอาจทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพ ซื้อมาบริโภคเป็นประจำ จนละเลยการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคที่ดี ก็อาจจะไม่มีสุขภาพแข็งแรง ผิวสวย เก่ง หรือฉลาดอย่างที่ต้องการได้ โดยทั่วไปราคาของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีค่อนข้างแพง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อหามาบริโภค โดยเฉพาะถ้ามีรายได้ไม่มากพอ แต่ถ้าคุณรวยล้นฟ้าจะซื้อหามาดื่มบ้างก็คงไม่ว่ากันถ้ายังยึดการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคให้ดีอยู่ ท้ายที่สุดคงไม่มีอะไรที่จะดีกับสุขภาพของตนเองเท่ากับการให้เวลาใส่ใจในสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริง รู้จักการกินอาหารตามธรรมชาติให้เหมาะกับความต้องการ มีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เหมาะสม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และทำใจให้เป็นสุข ไม่เครียดจนเกินไป ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วอาหารเสริมสุขภาพชนิดใดก็สู้ไม่ได้แน่นอนค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 106 ของขวัญที่คุณไม่อยากได้

ฉลาดซื้อฉบับนี้กลัวตกรถไฟเลยต้องเกาะกระแสไอเดียของขวัญปีใหม่กับเขาบ้าง แต่เราจะลองหันมาพูดถึงอีกแง่มุมของการให้ของขวัญบ้าง นั่นคือของขวัญที่คนไม่อยากได้ สมาชิกฉลากซื้อหลายท่านคงจะเคยได้รับของขวัญที่เมื่อได้มาแล้วไม่รู้จะทำอะไร จะทิ้งก็กระไร วางไว้ก็ฝุ่นเกาะ ทำให้กลายเป็นของรกบ้าน ว่าแล้วเราเลยลองทำการสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างที่เป็นของขวัญไม่พึงประสงค์ สำหรับปีใหม่ที่จะถึงนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 170 คน ในการสำรวจระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีพ.ศ. 2552 ที่ (หญิง 106 คน ชาย 59 คน) โดยร้อยละ 60 อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ลองมาดูว่าเราพบอะไรบ้าง   TOP TEN unwanted gifts 10 อันดับของที่ไม่อยากได้ {xtypo_rounded_left2} 1. เครื่องดื่มอัลกอฮอลล์ “ไม่อยากให้ใครดื่มของมึนเมา” “ถือศีลห้า” “รณรงค์ว่าไม่ดี” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}6. กระปุกออมสิน“ไม่ได้ใช้ ฝากเงินกับธนาคาร” “ไม่มีเงินใส่” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}2. น้ำยาดับกลิ่นตัว /กลิ่นปาก“เหมือนหลอกด่า”“ซื้อเองได้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}7. เทียนหอม“ไม่ค่อยได้ใช้ประประโยชน์”“กลัวไฟไหม้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2} 3. สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก“ยี่ห้อไม่ถูกใจ” “รู้สึกไม่ใช่ของขวัญ{/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}8. เครื่องแก้ว จาน ชาม“มีอยู่แล้ว”“ไม่ได้ใช้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}4. ชุดหม้อ/กระทะ“อยากซื้อเอง” “ดูผู้ใหญ่เกินไป” “ไม่ชอบทำอาหาร” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2} 9. ตุ๊กตา“ทิ้งไว้ฝุ่นเกาะ”“ไม่เหมาะกับวัย”{/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}5. เกมต่างๆ“ไม่มีเวลาเล่น”“ไม่มีประโยชน์” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}10. กรอบ/อัลบั้มรูป“เอารูปไปโพสต์ใน Facebook ก็ได้” “ขี้เกียจหารูปใส่” {/xtypo_rounded_left2} แผนปีใหม่ยอดนิยม1. ไปเที่ยวกับครอบครัว (ร้อยละ 62.5)2. ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต (ร้อยละ 59.5)3. ซื้อกุหลาบ เอ๊ย .. ของขวัญ ให้ตัวเอง (ร้อยละ 44.6)4. เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (ร้อยละ 34.5) งบซื้อของขวัญให้ตัวเอง : ร้อยละ 33 บอกว่าตั้งงบประมาณในการซื้อของให้ตัวเองในปีใหม่นี้เอาไว้ประมาณ 500 – 1,000 บาท อีกร้อยละ 26 ยินดีทุ่มสุดตัวด้วยงบต่ำกว่า 500 บาท งบซื้อของขวัญให้คนอื่น: ร้อยละ 40 เตรียมใจใช้งบไม่เกิน 500 บาทเพื่อซื้อของให้คนอื่น อีกร้อยละ 35 ตั้งใจจะซื้อของขวัญให้คนอื่นด้วยงบระหว่าง 500 -1,000 บาท ให้โดยไม่สูญเสีย นาทีนี้ เงินสดคือของขวัญที่ดีที่สุด?นักเศรษฐศาสตร์มีทัศนะว่าการให้ของขวัญที่จะส่งผลดีต่อทั้งผู้รับและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมนั้นคือการให้เป็นเงินสดไปเลย ... ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะมันเป็นการให้ที่ปราศจาก “การสูญเสียโดยไร้ประโยชน์” เจ้าการสูญเสียฯ ที่ว่านี้เขามีการวัดไว้ด้วย งานวิจัยของ Joel Waldfogel แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียได้ทำการวิจัยพบว่า คนเราจะประเมนราคาของที่ตนเองได้เป็นของขวัญ ต่ำกว่าราคาที่แท้จริงของมันร้อยละ 20 ทางเศรษฐศาสตร์เรียกมูลค่าที่หายไปร้อยละ 20 นี้ถือเป็นการสูญเสียโดยไร้ประโยชน์ หรือ Deadweight Loss นั่นเอง เขาบอกว่าในอเมริกานั้นมีการสูญเสียดังกล่าวถึงปีละ 25,000 ล้านเหรียญต่อปีในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเลยทีเดียว* ดังนั้นเขาจึงสรุปว่าการให้เงินสดหรือบัตรของขวัญ เพื่อให้ผู้รับนำไปซื้อของขวัญที่ตนเองต้องการเลยนั้นเหมาะที่สุด แต่อย่าเพิ่งท้อใจไป ถ้าคุณยังทำใจไม่ได้ และยังอยากให้ของขวัญที่เป็นมากกว่าบัตรหรือแบงค์ ก็อย่าลืมทำการบ้านมาให้ดี สืบเสาะ ใส่ใจ คลุกวงใน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมาให้ได้ว่าคนที่คุณต้องการซื้อของขวัญให้นั้นเขาอยากได้อะไร อัตราการสูญเสียฯ ที่ว่านั้นจะได้ลดน้อยลง หรือไม่ก็หันไปลงมือทำ “ของขวัญ” ที่สร้างคุณค่าทางจิตใจเสียเลย รับรองไม่พลาดเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมูลค่า ? *อ้างอิงจากบทความ Scroogenomics: Gift-giving is waste of money, economist says จาก www.financialpost.com วันที่ 4 ธันวาคม 2552 GREEN GIFTS / SLOW GIFTS / SAFE GIFTSหม้อความดันไอน้ำ ... เขาว่าเป็นเครื่องครัวที่สามารถใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นกานใช้ความดันไอน้ำเพื่อทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น ใครจะซื้อหามาเป็นของขวัญให้กับเพื่อหรือญาติที่รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจก็ไม่ว่ากัน ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อไว้ดังนี้ การเลือกซื้อหม้อความดันไอน้ำ สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือ ขนาดของหม้อต้องเหมาะสมกับการใช้งาน สอง ระบบการไหลเวียนของไอน้ำในภาชนะต้องมีประสิทธิภาพดี เนื่องจากในขณะใช้หม้อความดันไอน้ำ จะมีความดันสูง อาจทำให้เกิดอันตรายได้ หากหม้อระเบิดขึ้น เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อต้องดูว่าหม้อความดันไอน้ำนั้น มีเครื่องหมายประกันคุณภาพในด้านความปลอดภัย เช่น T?V, CE หรือ GS หรือไม่ สาม ตรวจสอบอะไหล่และชิ้นส่วนของหม้อไอน้ำ เช่น ซีลริง (Seal ring) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่จะเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน หากผู้บริโภคซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์เนม เวลาหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยน ก็จะสามารถหาอะไหล่ประเภทนี้ได้ง่ายกว่า สินค้าราคาถูกที่ไม่ได้ทำอะไหล่รองรับการใช้งานในระยะยาว นอกจากนี้ มาตรบอกความดันก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก เพราะช่วยให้เราทราบถึงระดับความดันในหม้อ ซึ่งจะมีประโยชน์ในด้านการประหยัดพลังงานเพราะเมื่อเราให้ความร้อนจนกระทั่งความดันในหม้อถึงระดับที่ต้องการแล้ว เราก็สามารถปรับระดับของความร้อนจากเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊สลง โดยที่ความดันในหม้อยังรักษาระดับไว้อยู่ สุดท้าย คือ การทำความสะอาด ควรพิจารณาว่าหม้อความดันไอน้ำสามารถแยกชิ้นส่วนได้หรือไม่ หากทำได้ ก็จะทำให้การทำความสะอาดหม้อสะดวกยิ่งขึ้น และจะทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บอีกด้วย ของเล่นปลอดภัย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หน.ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อของเล่นไว้ดังนี้ “ ของขวัญสำหรับเด็ก ๆ ในเทศกาลปีใหม่ ที่พ่อแม่ต้องเลือกให้ลูก ๆ ควรเป็นของเล่นที่สร้างสรรค์ และไม่เป็นอันตราย หรือหนังสือที่เหมาะกับเด็กก็ได้ ส่วนของเล่นที่ไม่ควรเลือกซื้อให้ลูกๆ เช่น ของเล่นที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนในสีที่เคลือบอยู่ ของเล่นที่มีความแหลมคมหรือมีชิ้นส่วนเล็กๆ เป็นต้น ฉะนั้นการให้ของขวัญกับลูกในช่วงเทศกาลนี้จึงควรเลือกซื้อของเล่นที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกๆ เช่น เด็กวัย 3 ปี ควรเลือกซื้อจิ๊กซอว์ ขนาด 10 ชิ้น แทน 50 ชิ้น เพราะยิ่งจำนวนชิ้นมาก ชิ้นส่วนก็จะเล็กลง เป็นอันตรายกับเด็กเล็กเพราะชิ้นส่วนอาจจะหลุดเข้าคอของเด็ก ๆ ได้ ส่วนเด็กๆ ที่อยู่ในวัยโตขึ้นมา อย่างเด็กผู้ชายต้องระวังเรื่องปืนอัดลมเด็กเล่นที่ผลิตเหมือนของจริงๆ เพราะความแรงของปืนทำให้เกิดบาดแผลได้ ส่วนลูกวัยรุ่นที่รอคอยของขวัญชิ้นใหญ่ที่อยากได้มานาน อย่างจักรยานยนต์นั้น พ่อแม่ควรคำนึงถึงให้มากที่สุด เพราะว่าจักรยานยนต์คือสินค้าที่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต สุดท้ายคือการเลือกซื้อของขวัญสำหรับครอบครัวใหม่ อย่างสินค้าสำหรับทารก อย่าง โมบาย ยางกัด กุ๊งกิ๊ง รถหัดเดิน นั้น สินค้าบางอย่างในหมวดนี้มักจะมีมาตรฐานควบคุมอยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลมาก แต่บางอย่าง เช่น รถหัดเดิน ที่บางประเทศห้ามใช้แล้ว เพราะ 2 ใน 3 ของผู้ใช้จะเกิดอุบัติเหตุนั้น ยิ่งต้องระวัง ไม่ควรซื้อเป็นของขวัญให้กับใครเลย" กระถางกุยช่ายให้คุณเทรนด์คนสนใจปลูกผัก ทำสวนครัวในเมืองมาแรงในปี 2552 และคาดว่าจะได้รับการตอบรับดีในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกอับเฉา ข้าวปลาอาหารราคาแพงและมีความเสียงปนเปื้อนสรอันตรา ผู้คนตึงเครียดกับการดำเนินชีวิตในวิถีคนเมือง รวมไปถึงกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่องในเรื่องอาหารอินทรีย์และการรักษาสุขภาพทางเลือก ที่เลือกทำได้เองง่ายๆ ในครอบครัว ประหยัดค่าใช้จ่าย ของขวัญปีนี้ที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เฉพาะเลยกับเจ้าของคอลัมน์ Connecting ของฉลาดซื้อซึ่งเมื่อผ่านปีใหม่ 2010 ไม่นานก็จะกลายสภาพจากแม่มารเป็นคุณแม่ลูกอ่อน คือ กุยช่ายกระถาง พร้อมกับสูตรบำรุงน้ำนมจากเมนูกุยจากน้องจิต คุณแม่ลูก 2 กุยช่ายมีกลิ่นเฉพาะตัว เหมาะที่จะปลูกในกระถางก้นตื้นเพราะรากไม่ยาว ขึ้นได้ดีทั้งในร่มรำไร หรือกลางแดดจ้า ที่สำคัญปลูกขึ้นไว้เสียหนหนึ่งแล้วสามารถตัดกินแล้วปล่อยให้แตกกอได้เรื่อยๆ ในเขตร้อนชื้นอย่างบ้านเรายังปลูกให้เป็นดอกแล้วปล่อยให้เกิดเมล็ดจนเมล็ดแก่แล้วเก็บมาปลูกต่อก็ยังได้ ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าต้านทานต่อโรคแมลงและหอยทากอัฟริกา คุณค่าทางอาหารของต้นและใบกุยช่ายเหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดมากๆ เพราะมีฤทธิ์ขับน้ำนม มีเส้นใยมากทำให้รักษาสมดุลของระบบย่อยและช่วยในการขับถ่าย นอกจากกินสดและกินสุกกับผัดไทย ขนมผักกาด แล้วยังผัดกับตับหมูเป็นเมนูบำรุงเลือดได้ดี บางแห่งนำไปใส่ในแกงเลียง แต่สูตรน้องจิตที่เคยบอกฉันไว้ตอนแรกคลอดลูกชาย คือ นำไปต้มกับปลาช่อน โดยตั้งน้ำบนเตาด้วยไฟอ่อน ใส่หอมแดงบุบ 4 – 5 หัว ลงไปต้มให้เดือด ปรุงรสด้วยเกลือ แล้วใส่ปลาช่อนนาสดๆ ลงไปต้มให้สุกโดยไม่ต้องคน เมื่อเดือดดีอีกครั้งใส่ใบกุยช่ายลงไปแล้วดับเตาไฟ ยกลงรับประทานอุ่นๆ ถ้าชอบรสแซบก็เติมมะนาว พริกขี้หนูลงเพิ่มก็ไม่ว่ากัน จริงๆ กำลังรอเก็บเมล็ดผักโขมจีน ผักป็อบอาย hi- antioxidant ไว้สำหรับคุณพ่อกระรอกที่บอกว่าอยากได้ไปปลูกให้ลูกม่อนกินเป็น รวมไปถึงต้นกล้าส้มจีน ที่กะว่าจะนำมาแบ่งใส่กระถางรอวันให้คนสนใจอยากเอาไปปลูกลงดินให้กลายเป็นต้นใหญ่ ไว้ใช้ทำเครื่องดื่มและตำน้ำพริกแทนยามมะนาวแพงอีก 10 กว่าต้นนก อยู่วนา จากคอลัมน์เรื่องเรียงเคียงจาน  ของขวัญที่ลงมือทำเอง ศจินต์ ประชาสันต์ จากคอลัมน์ Connecting ก็ให้ไอเดียของขวัญเขียวๆ ช้าๆ ไว้เช่นกัน เจ้าตัวไม่ว่าถ้าใครสนใจจะลอกเลียนแบบ “การ์ดอวยพรทำเอง เค้กฝีมือคุณอา น้ำอัญชันจากสวนใส่ขวดผูกโบว์ ต้นไม้เล็กๆสักต้น ของสุดรักนำมาแลกเปลี่ยนกัน เสียงดนตรีเล่นเองอัดใส่ซีดี รูปถ่ายที่มีความหมายเอามาใส่กรอบ ผ้าปักครอสติส รูปวาด ปฏิทินปี 2553 ทำมือ บัตรสมนาคุณพาเที่ยวรอบหมู่บ้านโดยรถจักรยานฟรีตลอดสัปดาห์ ซีดีเพลง green สักแผ่น ตุ๊กตาเต่าหรือหอยทาก (เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการใช้ชีวิตให้ช้าลง) ข้าวสารอินทรีย์ แชมพูสมุนไพร สบู่ทำเอง หนังสือว่าด้วยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์หุงข้าว ตะกร้าสานใส่ผ้า โมบายปลาตะเพียน ฯลฯ”ศจินต์ยังแนะนำชั้นในยี่ห้อ TRY ARM ของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ไว้ด้วย กางเกงชั้นใน Try Arm ราคาตั้งแต่ 39//59/79 แม้จะมีสีและแบบให้เลือกยังไม่มาก แต่ดูจากเนื้อผ้าและการตัดเย็บแล้ว ราคานี้ถือว่าคุ้มจริงๆ ค่ะพี่น้องหาซื้อได้ที่ใต้ถุนตึกกระทรวงแรงงานและบูธที่โรงแรมเดอะพาลาสโซ่ ใกล้ศูนย์วัฒนธรรม ทางกลุ่มบอกว่าปีหน้าจะมีเสื้อชั้นในออกมาให้ได้ซื้อหากันด้วย ไอเดียเก๋ๆ จากเว็บคนรักสิ่งแวดล้อม www.treehugger.comผ้าพันคอเส้นใยธรรมชาติผ้าพันคอเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องมี เพราะสามารถเข้ากับเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ กางเกงยีนส์ หรือจะคลุมทับค็อกเทลเดรสใส่ไปเฉิดฉายในงานปาร์ตี้ก็ได้ คราวน์เจเวลส์ลิปกลอสจากทาร์ตชุดลิปกลอสคราวน์เจเวลส์จากทาร์ต 15 แท่งที่ไล่เฉดสีตั้งแต่ชมพูอ่อนไปถึงแดงเข้มและทองระยับไปจนถึงน้ำตาล หนึ่งกล่องมี 3 ชุด ชุดละ 5 แท่ง ซึ่งคุณจะแบ่งให้เพื่อนคนละชุดหรือจะมอบให้ทีเดียวหนึ่งกล่องใหญ่เลยก็ได้ ที่สำคัญลิปกลอสน่ารักๆ พวกนี้ปราศจากสารเคมี เช่น พาราเบน ปิโตรเคมิคอล น้ำหอม และซัลเฟตอีกด้วย คีย์บอร์ดและเมาส์ไม้ไผ่จากผลงานของ Brandoคีย์บอร์ดไม้ไผ่ขนาดมาตรฐาน 106 ปุ่ม และเมาส์ลูกกลิ้ง ใช้ได้ทั้ง OS Windows และ Linux เปลี่ยนโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่แสนจะธรรมดาให้ดูน่าสนใจขึ้น เพิ่มต้นไม้และจุดเทียนหอมสักหน่อยก็จะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น โปสเตอร์หนังทำเอง ทำโปสเตอร์ที่มีอันเดียวในโลกด้วยการปะติดรูปภาพและข้อมูลของคุณลงบนโปสเตอร์หนังที่ชื่นชอบ ซึ่งเป็นของขวัญที่เหมาะมากๆ สำหรับเพื่อนผองพี่น้องที่หลงใหลในภาพยนตร์ กล่องข้าวสุดกิ๊บให้กล่องข้าวเป็นของขวัญเพื่อให้คนรับมีภาชนะที่สะอาดสำหรับใส่อาหารพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ทั้งยังช่วยลดขยะได้อีกด้วย ว้าว! ถุงซิปถุงซิปขนาดพกพาจะช่วยเก็บอุปกรณ์ที่จำเป็นหรืออาจต้องใช้ยามฉุกเฉินเวลาเดินทาง เช่น ไฟฉาย กุญแจ หรือสิ่งอื่นๆ ไว้ใกล้มือ ปลอกคอสัตว์เลี้ยงปลอกคอน่ารักๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่คุณสามารถทำได้เอง โดยใช้วัสดุเหลือใช้มาดัดแปลง เช่น ถุงผ้า ซิป กระดิ่ง ริบบิ้น ฯลฯ ตกแต่งลวดลายต่างๆ ให้สวยงาม กระเป๋าผ้าลายสวยกระเป๋าผ้าจากฝีมือคุณแสดงถึงความตั้งใจที่คุณจะมอบให้กับใครสักคน แถมยังช่วยลดโลกร้อน อย่างนี้เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โคมไฟประดิษฐ์จากขวดเบียร์ดินเนอร์จะกลายเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่น่าจดจำ ด้วยเทียนในขวดแก้ว ที่คุณสามารถมอบเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนอื่น สร้างพื้นที่สีเขียวสร้างพื้นที่สีเขียวมอบเป็นของขวัญให้โลก วิธีการง่ายๆ เพียงปลูกต้นไม้ที่บ้านตัวเอง และชักชวนให้เพื่อนมาร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 บุญ ไม่ใช่การซื้อ

คงไม่ใช่การพูดเกินเลยไปนัก หากจะมองว่าสังคมไทยวันนี้มีรูปแบบ “การทำบุญ” ไม่ต่างจากรูปแบบการบริโภคอื่นๆ คือ ต้องการอะไรสำเร็จรูป สะดวก รวดเร็วและอาศัย “เงิน” เป็นเครื่องมือไปสู่ความสุขหรือสู่การมีบุญ บุญในพุทธศาสนามาจากภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ บุญเป็นเครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เรียกกันว่า กิเลส ดังนั้นความหมายที่แท้จริงของการทำบุญคือ การทำให้เราลด ละ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ ความตระหนี่ ความลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความทุกข์ในจิตใจ หากสละได้ก็ทำให้ใจเป็นอิสระ ลดความเป็นตัวตนลง ถือเป็นโอกาสสร้างคุณความดีอื่นๆ ต่อไป   ดังนั้นการทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การตั้งหน้าตั้งตาซื้อ การทำบุญในพุทธศาสนาสามารถทำได้มากมายหลายวิธี ซึ่งขอสรุปให้เป็นแนวทาง 10 วิธี ดังนี้ 1.การให้ทาน บริจาคเงิน สิ่งของ (ทานมัย)2.การถือศีลหรือลดความประพฤติไม่ดี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น (ศีลมัย)3.การเรียนรู้ ฝึกจิตให้สงบไม่เศร้าหมอง ทำให้เกิดปัญญา (ภาวนามัย)4.การสละแรงกายช่วยเหลือสังคมและผู้อื่น เป็นงานเพื่อส่วนรวม (ไวยาวัจจมัย) 5.การอ่อนน้อมถ่อมตน แม้มีอาวุโสกว่าก็มีเมตตา รู้จักให้เกียรติ (อปจายนมัย)6.การยอมรับและมีความยินดีในการทำความดีของผู้อื่น (ปัตตานุโมทนามัย) 7.การเผื่อแผ่โอกาสให้ผู้อื่นได้ร่วมทำบุญหรือความดีกับเรา พร้อมเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับส่วนบุญนั้นด้วย (ปัตติทานมัย) 8.การรับฟังธรรมะและข้อคิดดีงาม (ธรรมสวนมัย) 9.การให้ธรรมะและและข้อคิดที่ดีงามแก่ผู้อื่น (ธรรมเทศนามัย)10. การนึกคิดในทางที่ถูกต้องดีงาม (ทิฎฐุชุกรรม) หากดูจาก 10 ข้อ ที่กล่าวมา คนส่วนใหญ่จะคิดถึงเพียงข้อแรกคือ การให้ทาน และมักเข้าใจว่าต้องทำกับพระเท่านั้น กลายเป็นว่าเวลาต้องการทำบุญ เลยต้องไปซื้อ ถังบรรจุสิ่งของ ที่เรียกกันทั่วไปว่า ชุดสังฆทาน ไปมอบแด่พระภิกษุสงฆ์ ถามว่าได้บุญไหม ก็ได้อยู่ แต่ถ้าจะให้ดี ควรเลือกถวายของที่พระท่านจะได้นำไปใช้จริงๆ ไม่ใช่ของที่ใช้ประโยชน์ได้น้อยจนพระท่านต้องทิ้งให้กองอยู่ล้นวัด อย่างนี้จะได้บุญมากกว่า การให้ทานแก่ผู้อื่นนอกจากพระสงฆ์ก็เป็นบุญเช่นกัน มีคนมากมายที่เราควรให้ความเอื้อเฟื้อ เช่น เด็กยากจน เด็กกำพร้า ผู้พิการ ฯลฯ หรือแม้แต่การสงเคราะห์สัตว์ เช่น สุนัข แมวเร่ร่อน ก็เป็นบุญเช่นกัน เอาเขามาเลี้ยงในบ้านเพื่อช่วยรักษาชีวิตของเขา หรือบริจาคเงินให้แก่หน่วยสงเคราะห์สัตว์ ทานอีกอย่างที่สำคัญคือ ธรรมทาน เช่น การให้หนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ช่วยให้ผู้อื่นมีแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลจิตใจ สุขภาพ ร่างกาย ก็ถือว่าได้บุญเช่นกัน ไม่มีเงิน ก็ทำบุญได้ทำบุญไม่ได้แปลว่าให้ทานเสมอไป ไม่มีเงินเลยก็สามารถทำบุญได้เหมือนกัน การงดสิ่งเสพติด งดอบายมุข ก็ถือว่าได้บุญแล้ว รักษาศีล ไม่ประพฤติตนเป็นคนเกเร อันธพาล ไม่เป็นหนี้เป็นสินหรือไม่ใช่จ่ายให้เกินตัว ทำให้ชีวิตให้โปร่งเบาโดยลดกิเลสต่างๆ ลง เหล่านี้ไม่ต้องใช้เงิน ก็นับเป็นการทำบุญที่อานิสงค์ ไม่แพ้การให้ทานแต่ประการใด สังฆทาน ที่แท้นั้นคืออะไร“การทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน”จะทำบุญกันทั้งที ก็ให้มันมีสติหน่อยพี่น้อง หากจะเลือกการทำทาน ที่เรียกว่า “สังฆทาน” ขอท่านได้โปรดพิจารณา ชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรม ที่ฉลาดซื้อไปตะลุยซื้อมา ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จำนวน 15 ชุด แล้วลองทบทวนกันให้ดีอีกนิดว่า การถวายสังฆทานครั้งต่อไป ท่านยังจะเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปอีกหรือไม่ พฤติกรรมการเลือกซื้อ “ชุดสังฆทาน”บริษัท นาโน เซิร์ช จำกัด ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 200 ราย ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เกี่ยวกับพฤติกรรมการทำบุญและเลือกซื้อชุด “สังฆทาน” โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 44 หญิง ร้อยละ 56 ช่วงอายุระหว่าง 22 – 45 ปี   จากการสำรวจพบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าประเภทชุดสังฆทาน ส่วนใหญ่เลือกซื้อในรูปแบบที่มีการจัดสำเร็จรูปพร้อมยกไปใช้งานถึง ร้อยละ 61.1 และ ร้อยละ 21.1 เลือกจะไปใช้บริการที่วัดที่มีการบริการเกี่ยวกับชุดสังฆทานเมื่อต้องการถวายอยู่แล้ว และอีกร้อยละ 18.1 ซื้อของที่ต้องการและนำมาจัดชุดเอง ส่วนการเลือกซื้อชุด “สังฆทาน”ของผู้บริโภค นั้นพบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้ตรวจสอบสินค้าก่อน ดูแค่ลักษณะภายนอกว่ามีสินค้าอะไรบ้าง ร้อยละ 40 ส่วนผู้บริโภคทีดูว่าสินค้าภายในชุดสังฆทานนั้นครบถ้วนอย่างที่ต้องการหรือไม่ มีเพียงร้อยละ 33.5 การจัดชุด”สังฆทาน” จะมีการตั้งราคาขายไว้อยู่แล้ว มีทั้งในรูปแบบขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ ขนาดใหญ่ มูลค่าจะสูงขึ้นตามขนาดของสินค้าหรือของที่อยู่ภายใน ซึ่งราคาที่ผู้บริโภคเลือกซื้อได้นั้น อยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อชุด ร้อยละ 50 และ ไม่เกิน 200 บาทต่อชุด ร้อยละ 21 และราคา 401-600 บาท ร้อยละ 21 ในสัดส่วนที่เท่ากัน ที่มา http://www.businessthai.co.th{/xtypo_rounded2} สุดท้ายก็ไปกองล้นวัด จากการสำรวจของฉลาดซื้อ สิ่งของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป ประกอบด้วยของ 5 กลุ่มหลัก คือ 1.ภาชนะบรรจุ แน่นอนส่วนใหญ่เป็นถังพลาสติกสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่แนวสุดในการสำรวจครั้งนี้คือ ย่ามพระ 2.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องดื่มสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ รสช็อกโกแลต นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสารแบ่งบรรจุ ขนมอบ กาแฟ ครีมเทียม 3.ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องใช้ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้ว ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีดโกน เข็มด้าย ธูป เทียน ทิชชู่ กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุดโน้ต ปากกา ยาจุดกันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำ ฝอยเหล็กล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็กสำหรับเช็ดหน้าหรือเช็ดมือ 4.ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้ 5.เครื่องใช้สำหรับพระ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ ข้าวของเครื่องใช้ดังปรากฏในรายงานการสำรวจครั้งนี้ แทบไม่ต่างจากการสำรวจของฉลาดซื้อเมื่อปี 2546 (ฉบับที่ 55 มิถุนายน-กรกฎาคม 2546) โดยฉลาดซื้อได้เคยเสนอทางเลือกให้ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พิจารณาจัดหาหรือเตรียมข้าวของเอง เมื่อมีความตั้งใจที่จะถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ แทนการซื้อสังฆทาน ถังเหลือง ที่ข้าวของส่วนใหญ่พระท่านไม่ค่อยได้ใช้ หรือของบางอย่างจำเป็นจริง แต่ที่ใส่หรือบรรจุในชุดสังฆทานมักเป็นของไม่มีคุณภาพ เช่น ธูปเทียนที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ แปรงสีฟันคุณภาพต่ำ ไฟฉายที่ใช้งานไม่ได้ ทิชชู่ที่เนื้อหยาบคุณภาพต่ำ น้ำรสผลไม้ที่อุดมด้วยน้ำตาลแต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร เป็นต้น รวมไปถึงถังเหลือง กล่องสบู่ ขันน้ำ ที่พากันไปกองทับถมอยู่ล้นวัด รายการสำรวจสังฆทาน ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2552 Doawload ตารางการสำรวจสังฆทาน ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2552 พระท่านคิดอย่างไรฉลาดซื้อได้นำรายการสินค้าจากการสำรวจไปสอบถามความคิดเห็นจากพระภิกษุสงฆ์ พบว่า ข้าวของส่วนใหญ่ที่ใส่มาในสังฆทานเป็น ของที่ไม่ค่อยจำเป็น มีประโยชน์น้อย 10. อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น ที่พบในชุดสังฆทานจากการสำรวจ 1.ใบชา เหตุผล เดี๋ยวนี้พระท่านไม่ค่อยฉันแล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ที่อยู่ในสังฆทานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีคุณภาพ เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือผงสมุนไพรห่อเล็กๆ ที่ดูด้อยคุณภาพ 2. ขิงผงสำเร็จรูป เหตุผล เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก แต่คนก็ชอบถวาย เพราะนึกว่าพระท่านจะชอบ 3. ยาจุดกันยุง เหตุผล สำหรับพระเมือง อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญเนื่องจาก ทางวัดน่าจะมีการจัดการที่ดีในการดูแลไม่ให้ยุงมารบกวนการทำกิจต่างๆ ส่วนพระป่า อาจมีความจำเป็นอยู่บ้าง 4. นมข้นหวาน เหตุผล พระท่านไม่รู้จะได้ใช้ตอนไหน เพราะถือว่าเป็นอาหาร หลังเพลก็ฉันไม่ได้แล้ว 5. กาแฟผงสำเร็จรูป เหตุผล พระท่านไม่รู้จะได้ฉันตอนไหนอีกเช่นกัน 6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน พลาสติกเหตุผล ใครๆ ก็หิ้วกันไป เลยเหลือกองอยู่ล้นวัด 7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เหตุผล เป็นของไม่มีประโยชน์ พระท่านฉันเพียง 2 มื้อเท่านั้น อีกอย่างเก็บไว้นานก็ไม่ดี เพราะจะหืนหรือเสียเร็ว และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในชุดสังฆทานแล้ว 8.น้ำดื่มบรรจุขวดเหตุผล น้ำดื่มบรรจุขวดที่อยู่ในถังสังฆทานมักมีสภาพไม่น่าดื่ม และส่วนใหญ่แต่ละวัดก็จะมีระบบเรื่องน้ำสำหรับดื่มภายในวัดที่พร้อมกว่า 9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ เหตุผล ไม่ใช่ของที่ดีต่อสุขภาพ 10.ธูปเทียน ไม้ขีดไฟเหตุผล มีจำนวนเกินพอในวัดแล้ว และที่มากับสังฆทานมักหักหรืออยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน พระไพศาล วิสาโลเจ้าอาวาสวัดป่ามหาวัน จังหวัดชัยภูมิสังฆทานนั้น ถ้าจะให้ได้บุญจริงๆ ต้องทำโดยไม่ต้องระบุ หรือมีเจตนาว่าจะให้กับพระรูปไหน ของที่จะให้พระก็ควรจะเป็นของพี่พระนำเอามาใช้ได้จริง หลายคนเลือกซื้อถังสังฆทานที่วางขายอยู่ตามร้านขายสังฆภัณฑ์ ซึ่งแต่ละถังก็มีราคาที่แตกต่างกัน ถูก – แพง ต่างกันไป แล้วแต่ว่าเขานำอะไรใส่ลงไปบ้าง แต่ที่เหมือนๆกันก็คือพระแทบจะนำมาใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ ขันน้ำบางทีก็แตกมา อาหารกระป๋องก็หมดอายุ เคยเห็นจีวรในถังสังฆทานไหมว่าผืนแค่ไหน ผืนนิดเดียวจะเอามาทำอะไรได้ คนทั่วไปมักมองว่า “พระ” คือ “บุรุษไปรษณีย์” ที่จะนำสิ่งของต่างๆ ไปให้กับญาติที่จากโลกนี้ไปแล้ว หลายคนเลือกของที่ญาติๆ พวกเขาชอบมาถวาย ก็ถือว่าทำได้ แต่ควรจะนึกถึงประโยชน์ที่ทางวัด หรือพระจะนำไปใช้ประโยชน์มากกว่า อย่างเช่นพวกสมุด ดินสอ ปากกา หลอดไฟฟ้า ที่สำคัญอีกอย่างก็คือของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ เจตนาต้องบริสุทธิ์ ผู้รับต้องบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน จึงจะได้ผลทานที่แท้จริง ชุดสังฆทานต้องมีฉลากแจ้งข้อมูลผู้บริโภคขณะที่คนส่วนใหญ่ยังชอบซื้อชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรมสำเร็จรูป หลายหน่วยงานของรัฐจึงได้เข้ามาดูแลและกวดขันการบรรจุสังฆทานหรือชุดไทยธรรมสำเร็จรูปมากขึ้น โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2550) ให้ชุดสังฆทานและชุดไทยธรรมเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยต้องระบุข้อความ รายการสินค้าที่ระบุขนาด มิติ ปริมาณ ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน และราคาของสินค้าแต่ละรายการ รวมถึงชื่อ สถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายชุดสังฆทานหรือชุดไทยธรรม ไว้ด้วย นอกจากนั้นยังต้องระบุวันเดือนปีที่หมดอายุ หรือวันเดือนปีที่ควรใช้ก่อนของสินค้าใดสินค้าหนึ่งที่นำมารวมนั้นระบุว่าเร็วที่สุด วันเดือนปีที่บรรจุ และราคารวมชุดจัดบรรจุที่ระบุหน่วยเป็นบาทและกรณีที่ชุดสังฆทานและชุดไทยธรรมใด ที่นำสินค้าที่อาจทำปฏิกิริยากันจนทำให้มีสี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคเนื่องในการใช้หรือโดยสภาพของสินค้านั้นได้ ผู้ผลิตต้อง ระบุคำเตือนในฉลาก เช่น ใบชา ข้าวสาร สบู่ และผงซักฟอก อาจทำปฏิกิริยากัน จนทำให้มีสี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ซึ่งข้อความที่ติดตั้งหรือแสดงฉลากต้องเป็นข้อความภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้อย่างชัดเจน หากผู้ใดขายสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยไม่มีฉลาก หรือมีฉลากแต่ฉลากนั้นไม่ถูกต้อง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้ที่พบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องสามารถแจ้งได้โดยตรงที่ สคบ.ในส่วนของ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ก็สามารถเอาผิดแก่ผู้ผลิตได้ หากนำของไม่มีคุณภาพตรงตามฉลากหรือหมดอายุมาจำหน่าย เพราะชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรม ถือเป็นสินค้าบรรจุหีบห่อ กฎหมายว่าด้วยการกระทำเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อไม่ตรงกับที่ระบุไว้ ถือเป็นความผิดกฎหมายหีบห่อ มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในกรณีสินค้าราคาต่ำแต่บวกราคาสูง มีความผิดปรับ 10,000 บาท และหากสินค้าไม่ครบตามจำนวนที่ระบุไว้ถือว่าผิดกฎหมายอาญาเข้าข่ายฉ้อโกง มีโทษปรับ 6,000 บาท จำคุก 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนรวมถึงพระภิกษุพบเห็นสามารถร้องเรียนสายด่วน 1569 ได้เช่นกัน 10 สิ่งของถวายสังฆทานที่อาจนึกไม่ถึง 1.ยาสระผม แต่คงไม่ต้องถึงขั้นถวายครีมนวดผมด้วย เพราะท่านใช้เพียงแค่โกนศีรษะให้ง่ายขึ้น และช่วยดูแลผิวบริเวณศีรษะที่ไม่มีเส้นผมปกคลุมบ้างเท่านั้น 2.มีดโกน ใบมีดโกน ซึ่งเป็นของจำเป็น พระท่านได้ใช้งานบ่อย แต่ไม่ค่อยมีคนถวาย 3.อุปกรณ์เครื่องครัว จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่คุณภาพค่อนข้างดี แม้ท่านมิได้นำไปประกอบอาหารเอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญ งานศพในวัดก็ได้ใช้ประโยชน์เสมอ อาจลองสอบถามดูว่าทางวัดต้องการมากน้อยแค่ไหน จะได้จัดเป็นชุดใหญ่ถวายให้เป็นของพระสงฆ์ เพื่อให้ชาวบ้านได้นำไปใช้ต่อในงานบุญงานประเพณีต่างๆ 4.อุปกรณ์งานช่าง ทั้งค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ของเหล่านี้พระในหลายวัดโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือนอกเขตเมือง ถือว่าเป็นสิ่งของจำเป็น พระท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาศาสนสถานภายในวัดได้ 5.อุปกรณ์งานทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ ก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกเช่นกันในการดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในวัด 6.ข้าวสาร อาหารแห้ง ประเภทที่บรรจุในชุดสังฆทาน ส่วนใหญ่จะเป็นของไม่มีคุณภาพพระท่านไม่ได้ประโยชน์เท่าไร แต่หากเลือกของมีคุณภาพดีจัดถวายเป็นชุดใหญ่ พระท่านก็สามารถรวบรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่ทางวัดให้การอุปการะอยู่ได้ 7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ แม้แต่กระดาษเป็นรีมๆ พระท่านก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญต่างๆ ของวัดได้ 8.หนังสือธรรมะ หนังสือแนวทางดูแลสุขภาพกาย ใจ รวมไปถึงหนังสือที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ในทางสร้างสรรค์ เช่น หนังสือเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงาน ที่คิดว่าพระท่านรู้แล้วจะนำไปบอกต่อญาติโยมได้ ก็ถือเป็นสิ่งของที่มีประโยชน์ 9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่มีคุณภาพดี แม้มีราคาค่อนข้างแพงสักหน่อยแต่พระท่านก็ได้ใช้ประโยชน์นานหลายปี ดีกว่าผ้าผืนบางๆ ที่บรรจุในถังสังฆทานราคาถูก อนึ่งการเลือกสี ขนาด เนื้อผ้า แต่ละวัดก็จะมีระเบียบในการครองผ้าสีต่างกัน หากเราอยากถวายพระวัดไหน ก็ย่องไปดูเสียก่อนว่าพระท่านใช้สีอะไรก็จะได้จัดหาได้ถูกต้อง 10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐานการผลิต พร้อมกับคู่มือการใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อให้พระท่านได้ใช้ประโยชน์จากยาได้สูงสุด ไม่ก่อให้เกิดโทษภัยจากการใช้ยาผิดวิธี แถม… อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมาก นอกจากการถวายสิ่งของ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธ ได้บุญแรงเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 ผัก ผัก ผัก ไม่กินผักทำไม(เรา)ต้องบอก

ที่จั่วหัวอย่างนี้ไม่ได้จะมารีวิวหนังแต่อย่างใดหรอกนะครับ เพียงแต่ได้รับคำสั่งจากทาง บก. ของนิตยสารฉลาดซื้อให้ไปเขียนสรุปเนื้อหาที่เคยออนแอร์ทางรายการ “กระต่ายตื่นตัว” ที่ทำกันอยู่ให้ออกมาเป็นบทความเกี่ยวกับ “ผักปลอดสารพิษ” ให้คุณผู้อ่านได้ย่อยง่ายๆ กันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อต้อนรับเทศกาลกินเจ ให้ได้บุญกันทั้งคนกินและคนปลูก ไอ้กระผมก็คันไม้คันมืออยากจะเขียนใจแทบขาดแล้วสิครับ เพราะปกติทำแต่รายการโทรทัศน์ไม่เคยเขียนบทความกับเขาเสียที เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะเคยมีประสบการณ์เดินเลือกซื้อผักในซูเปอร์มาเก็ตกันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะครับ ทีนี้เคยผ่านตากับคำว่า “ผักปลอดสาร” หรือ “ผักอนามัย” ที่ติดอยู่ตามฉลากหรือแพ็คเกจจิ้งกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย ขอเดาต่อเลยแล้วกันนะครับว่าเมื่อวิญญาณทางตาของคุณผู้อ่านได้เห็นรูปดังนั้น สัญญาก็พลันจดจำคำว่า “ปลอด” หรือ “อนามัย” ได้ สังขารก็เลยปรุงแต่งต่อไปว่า “ผักนี้ต้องปลอดภัยไร้สารพิษใดๆ แน่ๆ เลย” เอาล่ะสิครับ ชงมาซะขนาดนี้ ท่านผู้มีญาณทั้งหลายพึงเกิดคำถามขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะครับว่า “อ้าว แล้วอย่างนี้มันปลอดภัยจริงหรือ?”    ขออนุญาตปรับความเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับ คือคำว่า “ปลอด” เนี่ย ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานคือ พ้นจาก, ปราศจาก ฉะนั้น ผักปลอดสาร (พิษ) ก็ควรที่จะหมายความว่า “ผักที่ปราศจากสารพิษทั้งหลายทั้งปวง” หรือมีค่าสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเท่ากับ “ศูนย์” ในทางคณิตศาสตร์ แต่เอาเข้าจริงแล้วคุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่าเจ้าผักเหล่านี้ยังมีสารเหล่านั้นเจือปนอยู่ “อ้าว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ นี่ผู้ผลิตโกหกเราอย่างนั้นรึ?”... ผมขออธิบายให้ฟังดังนี้ครับ   ผักสวยๆ งามๆ ที่เรามักจะพบเห็นได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาเก็ตตลาดนัดแผงลอยต่างๆ ไม่ว่าจะมีฉลากติดตรงแพ็คเกจพร้อมเขียนตัวเบ้อเร่อว่าปลอดสาร, ไร้สาร, ผักอนามัย หรืออะไรก็ตามแต่หรือจะเป็นแค่ผักเปลือยๆเปล่าๆที่แม่ค้าจัดเป็นกองมัดเป็นกำใส่ตะกร้าโชว์ไว้ ถ้าไม่ใช่ผักอินทรีย์หรือผักสวนครัวที่ปลูกเอง ก็ล้วนแล้วแต่ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตทั้งสิ้นครับ อาทิ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง เอนไซม์เร่งการเจริญเติบโตต่างๆ ฯลฯ ถึงตรงนี้หลายท่านคงเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาอีกเป็นแน่แท้ ว่าอย่างนั้นทำไมถึงเรียกว่าผักปลอดสารทั้งๆ ที่มันยังมีการใช้สาร (พิษ) อยู่ล่ะ วิสัชนาว่า...ก็ปริมาณสารที่ใช้อยู่นั้นเมื่อนำมาสุ่มทดสอบแล้ว พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายน่ะขอรับครับผม ซึ่งวิธีที่เขาใช้ทดสอบกันนั้นก็หาใช่วิธีอื่นไกลครับ หนูทดลอง (อีกแล้ว) นี่เอง โดยจะนำสารเคมีแต่ละชนิดมาทดสอบกับหนู เพื่อนร่วมโลกผู้น่าสงสารดูว่าปริมาณแค่ไหนจึงจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย (ของหนู) จากนั้นจึงคำนวณสัดส่วนปริมาณสารเคมีที่ร่างกายได้รับแล้วไม่เป็นอันตรายระหว่างหนูกับคน บันทึกเอาไว้เป็นค่ามาตรฐานสำหรับการสุ่มตรวจผักตามแหล่งที่มาต่างๆ ย้ำว่า “สุ่ม” ตรวจนะครับ เพราะไม่มีทางที่จะนำเอาผักทุกต้นทุกแปลงจากทุกไร่ทั่วประเทศมาทดสอบได้ทันในแต่ละวัน อีกทั้งงบประมาณยังสูงลิบลิ่วอีกด้วย นอกจากนี้ อย่าลืมนะครับว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยสำหรับคนนั้นก็ได้มาจากการคำนวณ ตัวเลขที่ไม่เป็นอันตรายสำหรับหนู(ทดลอง) มิได้หมายความว่าพอนำมาคำนวณด้วยสูตรคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์แปลงค่าหาผลลัพธ์ออกมาแล้ว จะสามารถยืนยันการันตีได้ว่าไม่มีอันตรายต่อคน อีกทั้ง สารเคมีที่นำมาใช้ทดลองก็ไม่ได้ทดลองพร้อมกันทีเดียวหลายๆ สาร เพียงแต่แยกสารเพื่อทดสอบทีละครั้ง อย่างนี้ เราจะมั่นใจได้หรือว่าสารเคมีเมื่ออยู่รวมกันในผักจะไม่ทำปฏิกิริยาในเชิงเสริมประสิทธิภาพในการทำลายตับ ไต ไส้ พุง ของเรา แหม..สาธยายมาซะขนาดนี้ คุณผู้อ่านหลายท่านคงจะมีแวบคิดขึ้นมาบ้างใช่ไหมครับว่า “แล้วอย่างนี้จะเหลืออะไรให้กูกินล่ะ? ต้องไปปลูกผักสวนครัวเองเลยมั้ย?” ใจเย็นๆ ครับ ลองย้อนกลับไปดูย่อหน้าที่ 4 ก่อน คุณจะพบกับคำว่า... ใช่แล้วครับ “ผักอินทรีย์” นั่นเอง บางท่านที่เคยผ่านการเรียนวิชาเกษตรตอนประถมอาจจะพอจำได้คลับคล้ายคลับคลา ส่วนบางท่านที่ลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้โดยละเอียดเลย ผักอินทรีย์ ก็คือผักที่อาศัยกระบวนการผลิตโดยวิธีทางธรรมชาตินั่นเอง ปราศจากการใช้วัตถุสังเคราะห์ใดๆ ทั้งปวง เอาล่ะครับ...โผล่มาแล้วพระเอกตัวจริงของเรา ซึ่งการจะจัดว่าเป็นผักอินทรีย์หรือไม่นั้น เขาไม่ได้วัดกันที่ผลผลิตแบบสุ่มๆ ผักมาตรวจนะครับ แต่เขาจะวัดกันที่ขั้นตอนกระบวนการ คือ 1) จะต้องปราศจากสารเคมีในปัจจัยการผลิตแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และ 2) บริเวณแปลงหรือไร่ที่ทำการเพาะปลูกนั้น เมื่อตรวจสอบแล้วจะต้องพบว่าไม่มีร่องรอยการใช้สารอย่างน้อย 3-4 ปีเลยทีเดียว ทีนี้มาว่าด้วยเรื่องหลักการกันบ้าง แน่นอนครับว่ากระบวนการผลิตผักอินทรีย์นั้นไม่มีคำตอบสำเร็จรูปตายตัว เนื่องจากแต่ละพื้นที่แต่ละดินแดนก็จะมีระบบนิเวศที่แตกต่างกัน เกษตรกรจะต้องใส่ใจศึกษาเรียนรู้ภายในระบบนิเวศของตนเอง (Knowledge Intensive) เช่น ลักษณะดินฟ้าอากาศเป็นอย่างไร แมลงที่พบได้บ่อยคือตัวอะไร ให้คุณหรือให้โทษมากกว่ากัน หรือต้องใช้สมุนไพรชนิดใดจัดการ ฯลฯ เกษตรกรอาจต้องใช้เวลาอยู่ในแปลงปลูกมากขึ้น ไม่ใช่ขาดอะไรก็หามาใส่ๆๆ (Input Intensive) ปุจฉาต่อมาคือ...ถ้ามันทำกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น แล้วใยจะต้องใช้สารเคมีอีกล่ะครับ... นี่แหละที่นักวิชาการรวมถึงพวกหัวการค้าเสรีเขาไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ คุณผู้อ่านก็เช่นกันนะครับอย่าเพิ่งปักใจเชื่อข้อมูลที่ผมเขียนทีเดียวเชียวล่ะ ใช้หลักกาลามสูตรของพระสมณโคดมบรมครูเจ้าของเราพิจารณาเหตุและผลกันก่อน เอาเป็นว่า...ถ้าอยากพิสูจน์ให้เห็นจะๆ กับตา ผมก็จะขออาสาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์นำทางคุณผู้อ่านทุกๆ ท่านไปดูไร่ผักเกษตรอินทรีย์ของจริงกันเลยดีกว่านะครับ ตะลุยแปลงผักอินทรีย์กระผมและเพื่อนทีมงานรายการ “กระต่ายตื่นตัว” ก็ได้ลงพื้นที่ไปสำรวจไร่เกษตรอินทรีย์กันที่บ้านป่าคู้ล่าง จังหวัดสุพรรณบุรีครับ โดยมีพี่ปัญญา งามยิ่ง เกษตรกรยุคบุกเบิกของที่นี่เป็นคนพาเดินทัวร์และให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมแบบปลอดสาร 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเขาทำกันอย่างไร ก่อนอื่นเลยต้องขอเกริ่นก่อนนะครับว่าชาวบ้านที่นี่เขามีวิถีชีวิตพอเพียงทำกันแบบพอมีพออยู่ ใครใคร่ปลูกอะไรก็ปลูกอันนั้น ไม่มีการบังคับกันแต่ประการใด ดังนั้น ไร่ของแต่ละท่านจึงมีความปัจเจกแตกต่างกันออกไป อย่างไร่ของพี่ปัญญาเองก็จะใช้วิธีการแบ่งโซนตามความต้องการน้ำครับ พืชชนิดไหนต้องการน้ำเยอะน้ำน้อยจัดสรรปันส่วนกันออกไป อย่างเช่น คะน้าต้องการน้ำเยอะหน่อยก็ไว้โซนนึง ไชเท้าได้รับน้ำเยอะไปไม่ดีก็ไว้อีกโซนหนึ่ง ส่วนปริมาณของผักแต่ละชนิดที่จะปลูกก็จะดูจากความยากง่ายในการดูแลรักษา เช่น คะน้านี่ดูแลยากเพราะกินปุ๋ยมากกินน้ำมากก็ให้ลงเยอะหน่อย สมมติว่าลง 2 แปลงเทียบกับผักกวางตุ้งที่ดูแลรักษาไม่ยากเท่าไหร่ใช้พื้นที่แปลงเดียว พอเก็บเกี่ยวก็จะได้ปริมาณน้ำหนักเท่ากัน ดังนี้เป็นต้น และที่สำคัญก็จะเวียนพืชผักตามแต่ละแปลงเพื่อไม่ให้ดินเสื่อมสภาพด้วยครับ อ๊ะ...จะกลายเป็นสอนปลูกผักซะแล้วสิเนี่ย ตัดกลับมาที่เรื่องเกษตรอินทรีย์ต่อนะครับ ซึ่งด้วยเหตุที่ว่าอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยในการผลิตเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ (ที่เหลือคือการเอาใจใส่ดูแลของเกษตรกร) ผลก็เลยทำให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณผลผลิตตามต้องการได้ อย่างเช่น หน้าหนาวก็จะได้ผลผลิตในปริมาณมากหน่อย หน้าฝนหรือหน้าแล้งก็จะได้ผลผลิตลดหลั่นกันลงมา หรือพืชบางชนิดอาจไม่ออกผลเลยในบางช่วงฤดูกาล อีกทั้งปัญหาแมลงศัตรูพืชก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เกษตรกรต้องให้ความสำคัญ โดยการเรียนรู้วิธีที่จะทำให้พืชและสัตว์อยู่ในอัตราส่วนที่สมดุลกัน ซึ่งอาจจะเลือกใช้สมุนไพร อาทิ สะเดา, หางไหล เป็นตัวขับไล่แมลง แต่กระนั้นผักที่ได้ออกมาก็อาจจะมีร่องรอยถูกกัดกินรวมไปถึงรูปทรงก็คงไม่สวยงามเท่าใดนักเมื่อเทียบกับผักที่อุดมไปด้วยสารเคมียาฆ่าแมลง เริ่มเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับ ก็ไอ้ผักแคระๆ แกร็นๆ ที่ดูเหมือนไม่สมประกอบบ้างมีรูแหว่งรูโหว่เล็กบ้างใหญ่บ้างที่เรามักจะร้อง “ยี้” เวลาที่พบเห็นตามแผงขายผักทั่วไปนั่นล่ะครับ ปลอดภัยยิ่งนักแล แต่เมื่อจิตมันเคยชินกับความพอใจในรูปสวยงามจนติดเป็นนิสัย แล้วแม่ค้าที่ไหนเขาอยากจะเอาผักซีดๆเหี่ยวๆ มานั่งขายให้เมื่อยกันล่ะครับ ทีนี้พอบริโภคผักสวยๆ งามๆ ที่เปี่ยมด้วยสารพิษเข้าไปนานเข้าๆสะสมไปเรื่อยๆ จนโรคนู้นโรคนี้ถามหาเป็นว่าเล่นแล้วก็กลับมาไม่พอใจกันอีก แบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมเหมือนกันนี่จริงไหมครับ? ทีนี้เริ่มเห็นพิษภัยของรูปสวยๆ งามๆ กันบ้างหรือยัง? ซื้อผักห้างหรือซื้อผักของเกษตรกรโดยตรง ต่างกันตรงไหนเอาล่ะครับ ในเมื่อเริ่มมีคนเห็นโทษภัยจากการใช้สารเคมี ก็เลยเริ่มเกิดการหันมาบริโภค “ผักปลอดสารอย่างแท้จริง” ในวงเล็กๆ ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็ยังมีสัดส่วนเพียงกะจิริดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศ แล้วห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ซูเปอร์มาเก็ตทั้งหลายจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องหันมาสนใจนีชมาร์เก็ต (Niche Market) กลุ่มนี้... โอเค อาจจะมีผู้ประกอบการบางรายใส่ใจและคำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับตัวผู้บริโภคอันจะตามมาภายหลัง แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อฉันต้องการผักจำนวน 100 กิโลกรัมเพื่อวางบนชั้นให้ลูกค้าเลือกหยิบเลือกซื้อ แต่คุณกลับมีให้ฉันแค่ 50 หรือบางวันก็ 30, 20... มันคาดการณ์ไม่ได้... แบบนี้จะให้เกษตรกรแบกรับภาระความรับผิดชอบส่วนที่เหลือแต่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่ไหว ดังนั้น เพื่อความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิต เขาจึงรวมตัวกันและสร้างสรรค์ระบบ CSA (Community Supported Agriculture) ขึ้นมา หมายความว่าผู้บริโภคจะต้องเป็นฝ่ายที่เข้ามาสนับสนุนเกษตรกร และจะต้องร่วมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนไปพร้อมๆกัน ผู้บริโภคที่เป็นสมาชิก (หมายถึงผู้สนใจซื้อผักอินทรีย์จากไร่โดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง) จะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนหรือ 1 ปีเพื่อเป็นค่าพักค่าแรงค่าดำเนินการ โดยให้สมาชิกระบุเลยว่าต้องการผักอินทรีย์อาทิตย์ละกี่กิโล แต่ต้องเข้าใจก่อนนะว่าความไม่แน่นอนคือ คุณมิอาจ “เลือก” ผักได้ตามใจชอบ (ต้องแล้วแต่ว่าช่วงนี้ผักชนิดใดเจริญเติบโตได้ดี) และอาจจะไม่ได้รับปริมาณผักตรงตามที่ระบุ (ซึ่งเป็นไปได้ทั้งมากกว่าและน้อยกว่า) หลังจากนั้นก็จะมีรถขนผักส่งตรงให้คุณถึงบ้านอาทิตย์ละ 2 วัน อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณผู้อ่านอาจจะมีความรู้สึกว่าเกษตรกรเอารัดเอาเปรียบเกินไปรึเปล่า? ตรงนี้อยากให้ลองถามใจตัวเองกันดูสักหน่อย ว่าที่ผ่านมา “เขา” หรือ “เรา” ที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบ ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย คนไทย 60 กว่าล้านคนบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักทุกวัน แต่ทำไมชาวนาส่วนใหญ่กลับเป็นหนี้ มันตลกไหมล่ะครับ?... นี่ก็เช่นกัน มีสมาชิกที่เลิกรับผักเพราะไม่พอใจและไม่เข้าใจระบบ โดยเห็นว่าผักอินทรีย์นี้มีราคา แพงกว่าผักที่ขายอยู่ในท้องตลาด ผมขอยกราคาจริงมาเลยแล้วกันนะครับนั่นคือ กิโลกรัมละ 70 บาทถามว่าแพงไหมครับ?... ถ้าแพงแล้วมันแพงจากอะไรล่ะ? เทียบกับราคาที่แพ็คขายในห้าง 1 ขีด 2 ขีด 20 บาท ดีไม่ดีจะถูกกว่าเอาด้วย จริงอยู่ที่พอไปห้างแล้วเราได้ผักตามต้องการ แต่คุณรู้ไหมว่าหอมกระเทียมที่คุณหยิบใส่ตะกร้านั้นมาจากไหน? ผักคะน้าที่เตรียมจะนำไปทำกับข้าวเย็นนี้มีกระบวนการผลิตอย่างไร? แน่นอนว่าคุณไม่รู้ แต่ถ้าเป็น CSA คุณจะรู้จักกระบวนการผลิตทั้งหมดรวมไปถึงสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ถึงแปลงปลูกให้เห็นกับตาตัวเองเหมือนอย่างที่ผมและทีมงานได้แวะไปเยี่ยมชมที่บ้านป่าคู้ล่างมายังไงล่ะครับโดยส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่าปัญหาของบ้านเราคือราคาพืชผลทางการเกษตรค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่มาก ผมขอยกตัวอย่างที่ประเทศญี่ปุ่น กล้วยหอม 1 ลูกของเขาเทียบเป็นเงินไทยแล้วตกลูกละประมาณ 50 บาทเชียวนะครับ (บ้านเราได้เป็นหวีเลย) ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?... วิสัชนาว่า...ก็เพราะเราดันไปลอกเลียนวัฒนธรรมการผลิตตลอดจนการค้าแบบตะวันตกมาน่ะสิครับ อย่าลืมว่าตั้งแต่อดีตกาลนานมาใครๆ เขาก็รู้ว่าประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม มีทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดินอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงสภาพอากาศก็เหมาะสมเป็นใจให้แก่การทำไร่ ทำนา ปลูกผัก ปลูกข้าว ฯลฯ ด้วยประการทั้งปวง แต่ละบ้านแต่ละพื้นที่ก็จะมีแปลงเกษตรไว้ปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ละฤดูกาล อย่างไรก็มีผลผลิตตลอดทั้งปีแน่ๆ ไม่อดตาย แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้ทฤษฎีเกษตรเชิงเดี่ยวปลูกพืชผลชนิดเดียวเป็นไร่ใหญ่ๆ มันเข้ามาได้อย่างไร? จากสังคมเกษตรแบบพออยู่พอกินกลับกลายมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีในการผลิตไม่ว่าจะเป็นสารเคมียาฆ่าแมลงหรือรถแทร็คเตอร์ จากการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนกลายเป็นการผลิตเพื่อแข่งขันเพื่อค้าขาย ใครปลูกมากก็รวยมากก็อยู่ได้ ทีนี้พอมีผู้ผลิตปริมาณมากเข้าๆราคาสินค้าก็ตกลงฮวบฮาบ อย่างหน้าฝนนี่ผักกาดหอมหายากเพราะเจริญเติบโตได้ไม่ค่อยดี ทุกคนก็จะเร่งผลิตแต่ผักกาดหอม ที่มีอยู่เท่าไหร่ก็ใส่แต่เมล็ดพันธุ์ผักกาดหอม เก็บเกี่ยวได้เท่าไหร่ไปวางขายที่ตลาดทั้งตลาดก็มีแต่ผักกาดหอมแล้วราคาผักกาดหอมจะไม่ตกได้อย่างไร? เช่นกันครับเมื่อพวกคนกลางห้างร้านต่างๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ตลาดการค้าเสรีเปิดกว้าง ผลคือต่างฝ่ายต่างแย่งกันลดราคาเพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าไปจับจ่ายใช้สอยยังพื้นที่ของตน ห้างร้านไหนขายของถูกกว่าผู้บริโภคก็จะไปแออัดกันอยู่ ณ ที่นั้น แต่มันก็ไม่ลำบากอะไรนี่ครับในเมื่อกำไรยังเท่าเดิม เนื่องจากไปลดทางฝั่ง “ต้นทุน” เอา ยิ่งคนกลางห้างร้านตัวใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งมีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตมากขึ้นเท่านั้น ถ้ายังไม่เข้าใจผมจะสมมติเล่นๆดูนะครับ สมมติว่าราคาผักที่คุณต้องจ่ายคือ 10 บาท ห้างได้กำไร 7 บาท ผู้ผลิตหรือเกษตรกรได้ส่วนแบ่ง 3 บาท วันต่อมาราคาผักตกลงมาอยู่ที่ 9 บาท แต่ห้างก็ยังคงกำไร 7 บาทเช่นเดิมในขณะที่เกษตรกรผู้ผลิตรายได้หดลงเหลือ 2 บาท... ฉะนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าผักที่มาจากระบบเกษตรอินทรีย์จะ “แพง” กว่าผักที่วางอยู่ตามห้างร้านแผงขายในซูเปอร์ฯ ทั่วไปหรอกนะครับ แต่มันสะท้อนให้เราเห็นถึงต้นทุนในการผลิตจริงๆ ที่เกษตรอยู่ได้โดยไม่ลำบากต่างหากล่ะ คุณผู้อ่านผู้มีญาณทั้งหลายพึงเห็นด้วยกับผมไหมล่ะครับว่าเราควรที่จะร่วมมือกันเลิกผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นแต่ปริมาณจนราคามัน “ต่ำ” กว่าความเป็นจริง เพราะหากจะเน้น “ถูก” เอาใจผู้บริโภคอย่างไรก็ตามเราก็มิอาจสู้จีนหรือเวียดนามได้อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือหันมายกระดับการผลิตภาคเกษตรกรรมให้เน้นไปที่คุณภาพดีกว่า อย่างผักอินทรีย์ปลอดสารที่กระผมได้กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่าง เกษตรกรบ้านเราก็จะได้มีรายได้ที่ดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็จะได้บริโภคแต่สินค้าที่มีคุณภาพด้วย ไม่ดีหรือครับ? สำหรับผู้บริโภคที่สนใจซื้อผักจากเกษตรกรโดยตรง สามารถติดต่อที่โครงการผักประสานใจตู้ ปณ.15 อำเภอด่านช้าง สุพรรณบุรี 72180 คุณระวีวรรณ ศรีทอง โทรศัพท์ 081-981-8581  แหล่งซื้อผักปลอดสารนอกซูเปอร์มาร์เก็ตคลังเกษตรอินทรีย์ (Organic’s Warehouse)โดยสถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน สนับสนุนโดย Oxfam GBที่อยู่ : เจเจ มาเก็ต ถ.อัษฎาธร ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50000โทรศัพท์/โทรสาร : 053-233694  สหกรณ์เกษตรอินทรีย์กองทุนข้าว จำกัดเลขที่88 หมู่ 7 บ้านทนง ต.แกใหญ่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ติดต่อคุณธัญญา แสงอุบล โทรศัพท์ 044 - 514206 ชมรมรักษ์ธรรมชาติเลขที่ 52 ต.น่าโส่ อ.กุดชุม จ.ยโสธรติดต่อคุณชุธิมา ม่วงมั่น โทรศัพท์ 089-0370094 , 045-738429หรือดูรายชื่อผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์อื่นๆ เช่น ข้าว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ที่ผ่าน มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ได้ที่ http://www.actorganic-cert.or.th

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 103 ที่ไหนคุณไปได้ คนพิการ(ควรจะ)ไปได้ด้วย

ที่ไหนคุณไปได้ คนพิการ(ควรจะ)ไปได้ด้วย           เปรียบเทียบการใช้ระบบขนส่งมวลชน สำหรับคนพิการ รถเมล์โอกาสที่ผู้พิการที่ใช้รถวีลแชร์จะได้ใช้บริการรถเมล์เป็นไปได้น้อยมาก เพราะรถเมล์บ้านเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เอื้อต่อการนำรถวีลแชร์เข้าไป และก็อย่างที่รู้กันว่าขนาดคนปกติยังเจอปัญหามากมายกับการใช้บริการรถเมล์ ดูแล้วจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตรายที่ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์จะเลือกใช้บริการรถเมล์คะแนนความน่าใช้ 0ความเป็นไปได้ในการใช้ 0ความปลอดภัย 0 รถไฟฟ้ารถไฟฟ้าเหมือนจะเป็นความหวังให้ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ แต่กลับกลายเป็นสร้างปัญหาซะมากกว่า เพราะ 25 สถานีของรถไฟฟ้าตอนนี้มีลิฟต์ให้ใช้แค่ 7 สถานี ซึ่งไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ แถมบริเวณชานชาลาที่จะขึ้นไปในตัวรถไฟฟ้าก็มีช่องว่างที่กว้างเกินกว่าล้อรถวีลแชร์จะข้ามผ่านได้ จะเข้าไปในรถทีก็ต้องมีคนช่วยยกเข้าไป แถมเมื่อเข้าไปในรถแล้วก็ไม่มีตัวที่ช่วยล็อครถให้อยู่กลับที่ ซึ่งแบบนี้ถือว่าไม่ปลอดภัยคะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย รถไฟฟ้าใต้ดินถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ เพราะรถไฟฟ้าใต้ดินมีลิฟต์ไว้ให้บริการทุกสถานี และมีห้องน้ำผู้พิการในสถานีด้วย แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาเปิดให้ถ้าอยากจะใช้บริการ ซึ่งก็อาจต้องเสียเวลารอบ้างนิดหน่อย อีกอย่างที่เป็นข้อดีของรถไฟฟ้าใต้ดินคือ ผู้พิการที่มีสมุดประจำตัวผู้พิการสามารถใช้รถไฟฟ้าใต้ดินได้ฟรี แต่ข้อจำกัดของรถไฟฟ้าใต้ดินก็คือเส้นทางการเดินทางยังไม่ทั่วถึงคะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย รถแท็กซี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ผู้พิการที่นั่งรถวีลแชร์ใช้มากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะการใช้บริการแท็กซี่ของผู้ใช้วีลแชร์ก็มีอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งเรื่องราคาที่ค่อนข้างแพง แท็กซี่บางคันก็ปฏิเสธที่จะรับผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ เพราะกลัวว่าจะต้องอุ้มผู้พิการขึ้นรถ ซึ่งจริงๆ แล้วผู้พิการสามารถพยุงตัวขึ้นรถเองได้ แต่บางครั้งก็อาจต้องการคนช่วยพับรถวีลแชร์เก็บให้ คะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย รถตู้โดยสารเดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถตู้โดยสารสาธารณะมีให้บริการเยอะแยะไปหมด ซึ่งช่วยเรื่องความสะดวกและประหยัดเวลา แม้ราคาจะแพงแต่ก็มีคนนิยมใช้กันเยอะ สำหรับผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ก็มีสิทธิที่จะใช้เจ้ารถตู้พวกนี้เหมือนกันแต่อาจจะค่อนข้างลำบากสักหน่อย เพราะต้องมีคนช่วยอุ้มขึ้นรถ แถมรถตู้ส่วนมากไม่ค่อยรับผู้ที่ใช้วีลแชร์เพราะกลัวต้องเสียพื้นที่สำหรับเก็บรถวีลแชร์คะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 103 ทางสำหรับคนพิการ สังคมไทยพร้อมแค่ไหน

“ความพิการ อาจบั่นทอนบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของเราไป แต่ความพิการ ไม่อาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตที่เราเคยมี”ความพิการ เกิดขึ้นกับคนเราได้หลายสาเหตุ ทั้งพิการมาตั้งแต่กำเนิด พิการเพราะความแก่ชรา พิการด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และพิการเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งแน่นอนว่าการยอมรับในความพิการของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ไม่ได้พิการมาตั้งแต่กำเนิด เพราะการจะทำใจยอมรับพร้อมกับปรับตัวให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ในขณะที่สภาวะร่างกายมีบางอย่างที่สูญเสียไปไม่ใช่เรื่องง่าย กำลังใจจากทั้งของตัวเองและคนรอบข้างคือแรงกระตุ้นสำคัญ ที่จะทำให้ผู้พิการกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติอีกครั้งเมื่อผู้พิการมีกำลังใจพร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตในสังคม ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของสังคมว่ามีความพร้อมเพื่อผู้พิการแล้วหรือยัง?   เมื่อสังคมไม่พร้อม คนพิการก็ไม่กล้าฝันประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตเช่นคนปกติอาจถูกลดทอนลงไปเพราะความพิการ แต่ผู้พิการก็ยังต้องใช้ชีวิตประจำวันไม่ต่างจากคนปกติทั่วๆ ไป คนพิการยังคงต้องทำงาน ต้องตื่นแต่เช้าไปเจอรถติด ต้องไปซื้อของที่ตลาด ไปกินข้าว ไปเที่ยวกับเพื่อนกับครอบครัว หรือแม้แต่ไปดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งกิจกรรมที่ว่ามาอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป เพราะจะไปไหนมาไหนก็มีทางให้เลือกมากมาย สะดวกบ้างไม่สะดวกก็ว่ากันไป แต่สำหรับคนพิการ การจะเดินทางไปไหนที มองหาตัวเลือกยากจริงๆ ยิ่งเป็นผู้พิการที่ใช้เก้าอี้รถเข็นหรือรถวีลแชร์ยิ่งมีปัญหาเวลาเดินทาง เพราะระบบขนส่งมวลชนบ้านเราไม่เอื้อต่อผู้พิการ ความจริงในบ้านเรามีข้อกำหนดหลายข้อ ที่มีเนื้อหาพูดถึงการดูแลและให้ความสำคัญกับผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็น พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2550, พรบ.ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 และกฎกระทรวงเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ. 2548 ใจความสำคัญของข้อกำหนดเหล่านี้ต้องการบอกให้ทราบว่าคนพิการมีสิทธิในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกจากสาธารณประโยชน์ต่างๆ ที่ทางภาครัฐมีหน้าที่จัดหามาให้ เช่นเดียวกันกับที่คนปกติได้รับ แต่เมื่อมองกลับมาในความเป็นจริง จะเห็นว่าผู้พิการยังคงถูกจำกัดสิทธิในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องพื้นฐาน อย่างเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทั้งในส่วนของทางเท้า และระบบขนส่งมวลชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้พิการสามารถออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติและอิสระ Universal Design – การออกแบบที่เป็นประโยชน์กับทุกคนในสังคมUniversal Design ไม่ได้เป็นแค่คำภาษาอังกฤษเท่ๆ แต่ว่าเป็นคำที่มีความหมาย ใช้ในการอธิบายแนวคิดการออกแบบทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม สถานที่ และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนในสังคมใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ให้ความแตกต่างของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ อายุ และรวมถึงความทุพพลภาพทางร่างกายมาเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงและใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ Universal Design จึงเป็นหลักการการออกแบบที่เอื้อต่อผู้พิการ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงกลุ่มผู้ป่วย เด็ก และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เพราะ Universal Design เป็นการออกแบบอาคารสถานที่ที่เน้น ให้ทุกอย่างสามารถใช้สอยได้โดยคนทุกกลุ่ม ใช้ง่าย มีความเสมอภาค ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ ปลอดภัย พร้อมทั้งทุ่นแรงขณะใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทางเดิน ประตูทางเข้า บันได้ขึ้นลง รวมไปถึงห้องน้ำ สิ่งที่ควรมีไว้ให้ผู้พิการป้าย – เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้ให้ผู้พิการไปไหนมาไหนหรือทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะต้องตั้งให้อยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทางลาด – มีประโยชน์และสำคัญอย่างมาก สำหรับทั้งผู้ที่ใช้วีลแชร์ ซึ่งเพื่อความปลอดภัย ควรมีความลาดอยู่ที่ 30 องศา (*กฎกระทรวงกำหนดไว้ไม่เกิน 45 องศา) ที่จอดรถ – ควรมีสัญลักษณ์แสดงให้ชัดเจนว่าเป็นที่จอดรถสำหรับคนพิการ และมีความกว้างพอสมควร ห้องน้ำ – พื้นภายนอกกับพื้นในห้องน้ำต้องมีระดับเท่ากัน หรือต่างระดับก็ต้องเป็นทางลาด ที่สำคัญประตูต้องเป็นบานเลื่อน ความกว้างต้องไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร และต้องติดปุ่มสัญญาณฉุกเฉินไว้ด้วย ประตู – ควรเป็นแบบเลื่อนเพราะใช้แรงน้อยกว่าประตูที่เป็นแบบผลัก ยิ่งที่เป็นระบบเซ็นเซอร์เปิด-ปิดอัตโนมัติก็จะยิ่งดีมาก ความกว้างของประตูควรไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร พื้นผิวต่างระดับ – มีประโยชน์สำหรับผู้พิการทางการมองเห็น ซึ่งควรให้มีพื้นผิวต่างสัมผัสไว้ตาม ทางขึ้น-ลงบันไดและทางลาด ด้านหน้า-หลังประตู และที่หน้าประตูห้องน้ำ ปัจจุบันสถานที่ต่างๆ พร้อมแค่ไหนสำหรับคนพิการสถานที่ราชการถ้าเป็นเมื่อก่อน สถานที่ราชการมักจะถูกสร้างเป็นอาคารสูงๆ เพราะอาจจะต้องการให้ดูโดดเด่นเป็นสง่า ซึ่งแน่นอนไม่มีทางลาดให้ใช้ แต่สมัยนี้สถานที่ราชการหลายๆ ที่ก็เริ่มมีการปรับปรุง และออกแบบให้เอื้อกับคนพิการมากขึ้น ซึ่งคนพิการก็ต้องการติดต่อเรื่องทางราชการไม่ต่างจากคนปกติ สถานศึกษาถ้าหากภาครัฐหรือคนที่มีอำนาจในการปรับปรุงสถานที่เพื่อคนพิการ อยากจะลงมือปรับปรุงสถานที่สักแห่ง เราขอแนะนำให้เริ่มที่สถานศึกษา สถานศึกษาในที่นี้หมายถึงสถานศึกษาทั่วๆ ไป ไม่ใช่ที่มีไว้ให้เฉพาะคนพิการ เพราะถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในสถานศึกษาทั่วไป นอกจากคนพิการจะได้มีโอกาสทางการศึกษาแล้ว พวกยังได้มีสิทธิได้ใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับคนปกติ วัดกิจกรรมทางศาสนาส่วนใหญ่มักจะจัดกันในโบสถ์หรือไม่ก็บนศาลาวัด ซึ่งล้วนแล้วแต่ออกแบบให้เป็นอาคารสูง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับผู้พิการที่อยากเข้าไปร่วมฟังเทศน์ฟังธรรม หากไม่ขอแรงให้คนอื่นช่วยพาขึ้นไป ก็ต้องยอมนั่งฟังเทศน์อยู่ข้างล่าง แถมบางครั้งผู้พิการยังถูกมองว่าความพิการเป็นเรื่องของบุญบาป ผู้พิการเลยมักถูกดูแคลนเวลาที่อยู่ในวัด ซึ่งความจริงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อคนพิการในวัด นอกผู้พิการจะได้ใช้แล้ว บรรดาคนเฒ่าคนแก่ก็ได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้ด้วย ตลาดบริเวณพื้นตามตลาดสดส่วนมากจะค่อนข้างเฉอะแฉะ ซึ่งเป็นอุปสรรคมากๆ สำหรับผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ แถมในตลาดจะมีร่องน้ำอยู่ตามทางเดิน ถ้าหากรถวีลแชร์พลาดตกลงไปก็อาจเกิดอันตราย เรื่องความกว้างก็เป็นอีกปัญหาสำคัญที่สร้างความลำบากให้ผู้ที่ใช้วีลแชร์ เพราะตามตลาดส่วนมากผู้คนจะพลุกพล่าน ยิ่งตลาดดังๆ ถึงขนาดต้องเดินเบียดเสียดกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ก็แทบจะหมดสิทธิ ธนาคารธนาคารส่วนใหญ่มักสร้างให้ดูยิ่งใหญ่อลังการ และชอบสร้างให้เป็นอาคารแบบยกสูง โดยทำชั้นล่างเป็นที่จอดรถ ซึ่งก็ต้องเดินขึ้นบันไดหลายขั้นกว่าจะถึงตัวธนาคาร แล้วแบบนี้ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์จะมีโอกาสใช้ได้ยังไง แม้ธนาคารส่วนใหญ่จะได้คำชมเรื่องการบริการ พนักงานส่วนมากยินดีมาช่วยพาผู้พิการขึ้นไป แต่ผู้พิการก็อยากที่จะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีธนาคารในห้างมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ก็อาจพอช่วยผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ได้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด โรงภาพยนตร์ผู้พิการเสียค่าตั๋วชมภาพยนตร์เท่ากับคนปกติ แต่แทบไม่มีโอกาสได้เลือกที่นั่งในมุมที่อยากนั่ง เพราะเวลาผู้พิการวีลแชร์ไปดูหนังก็มักถูกจัดให้ไปนั่งอยู่ตรงที่ว่างริมสุดของแถว หรือไม่ก็ที่ว่างตรงกลางโรงภาพยนตร์ แถมในโรงหนังก็แทบไม่มีทางลาดไว้ให้ใช้ ขอขอบคุณ ผู้ให้ข้อมูล …รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์ หน่วยวิจัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุและผู้พิการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8 ปี กับชีวิตบนวีลแชร์ ที่ไม่มีคำว่ายอมแพ้ขวัญฤทัย สว่างศรีเจ้าหน้าที่องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เมื่อต้องต่อสู้กับความพิการตอนที่ตัวเองประสบอุบัติเหตุใหม่ๆ ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 4 ก็ทำใจไม่ได้ เพราะตอนนั้นทำอะไรก็ไม่ได้ กินข้าวเองก็ไม่ได้ จะเข้าห้องน้ำก็ทำไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่เฉยๆ รู้สึกอายด้วยเพราะจะเจอแต่คำถามหรือคำพูดที่บั่นทอนจิตใจจากคนรอบข้าง จนเมื่อเรารู้สึกว่าไม่ได้แล้วนะ อยู่อย่างนี้ก็มีแต่รู้สึกแย่ รู้สึกหดหู่ ก็เลยตัดสินใจลองออกมาใช้ชีวิตคนเดียว แล้วก็โชคดีมาได้ทำงานที่องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิต แรกๆ เราจะไม่กล้าทำอะไรเลย ต้องรอให้คนอื่นมาช่วย เพราะเรายังมองไม่เห็นว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง จนเมื่อเราได้ลองกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งเราก็เริ่มเห็นว่า ถึงเราเป็นแบบนี้ก็ยังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ความพิการเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เราอาจต้องเริ่มต้นเรียนรู้อะไรใหม่หลายๆ อย่าง แต่อันดับแรกคือเราต้องไม่ยอมแพ้ให้กับความพิการ ชีวิตผู้พิการในสังคมไทยความพิการมีหลายประเภท คือพิการตั้งแต่กำเนิด กับพิการในภายหลัง ซึ่งผู้พิการภายหลังการยอมรับการปรับตัวเป็นเรื่องยาก แต่พอเริ่มยอมรับได้ในระดับหนึ่งก็คิดอยากกลับมาใช้ชีวิตในสังคม แต่ก็กับต้องมาท้ออีก เพราะสังคมกลับพิการยิ่งกว่า สิ่งที่เอื้อกับผู้พิการในสังคมหาได้ยากมาก ใจพร้อมแต่สังคมไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นบันได ทางลาด ห้องน้ำ ไม่มี ซึ่งเราก็ต้องมาสู้มาทำให้เขาเห็นว่าเรามีตัวตน คนพิการพอมองเห็นสังคมเป็นอย่างนี้แล้วอาจจะท้อ แต่เราท้อไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่ออกมาในสังคม สังคมก็จะไม่มีทางรู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งที่อยากเห็นในสังคมอยากให้มองถึงเรื่องการศึกษา ถ้าเราได้รับโอกาสในการศึกษา ก็ช่วยทำให้เรามีอาชีพ มีเงิน มาเลี้ยงดูตัวเองได้ พอเขามีเงินพอเขาก็อาจจะนำไปปรับปรุงทำทางลาดหรือทำห้องน้ำสำหรับคนพิการไว้ใช้เองที่บ้าน การศึกษาเป็นประตูไปสู่ชีวิต ซึ่งคนพิการสามารถเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกับคนปกติได้ ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพราะผู้พิการก็คือคนๆ หนึ่งที่อยู่ในสังคม ต้องการใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป ฝากถึงผู้พิการคนอื่นๆเราต้องพยายามออกมาในสังคมมากขึ้น เพื่อให้คนทั่วไปได้ทราบว่าคนพิการมีอยู่ในสังคม เราต้องการมีส่วนร่วมในสังคม ให้เขาเห็นว่าเราทำอะไร อย่างสถานที่ต่างๆ ที่เขาไม่ได้ทำสิ่งที่ควรมีให้คนพิการ เช่น ทางลาดตามสถานที่ราชการ หรือลิฟต์ในสถานีรถฟ้า เพราะเขาอาจจะมองว่าคนพิการที่ไหนจะมาใช้ เขาเลยไม่ยอมสร้างให้เรา เพราะฉะนั้นเราก็ควรต้องออกมาใช้ชีวิตในสังคม ให้เขาเห็นว่าเราต้องการตรงนี้นะ คุณควรจะมีทางลาดไว้นะ ประตูควรเป็นแบบเลื่อนนะ ห้องน้ำคนพิการต้องกว้างนะ ให้เขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อสังคม สร้างมาแล้วได้ใช้งาน คือถ้าเรารออย่างเดียวไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนสิ่งเหล่านี้จะเกิด แต่ถ้าออกมาใช้ชีวิต ให้สังคมได้มองเห็นเรา แล้วหันมาให้ความสำคัญกับเรามากขึ้น เชื่อว่าสิ่งจำเป็นต่างๆ สำหรับคนพิการน่าจะเกิดขึ้นได้ อนาคตข้างหน้า (อาจจะ) มีให้ใช้-ลิฟท์ที่รถไฟฟ้า BTS ทุกสถานี ภายในปี 2554-สัญญาณไฟพูดได้ เพื่อช่วยผู้พิการทางสายตาเวลาข้ามถนน-ปรับปรุงทางเท้าใน กทม. โดยคำนึงถึงความสะดวกของผู้พิการเป็นหลัก-หากรถเมล์ NGV 4000 คันได้มีโอกาสมาวิ่งในบ้านเรา คนพิการก็มีสิทธิได้ใช้เจ้ารถเมล์พวกนี้ เพราะองค์กรคนพิการเรียกร้องให้รถเมล์ที่จะนำเข้ามาต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการด้วย เช่น พื้นชานต่ำ ราวจับ ที่ล็อคล้อรถวีลแชร์ โดยต้องมีอยู่ในรถเมล์ทุกสาย ครอบคลุมทุกเส้นทาง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 ตะกั่วในสีอันตรายที่ห้ามมองข้าม

ทั่วโลกขับเคลื่อนห้ามมีตะกั่วในสีทาบ้านและสีตกแต่งในประชุมสุดยอดแห่งสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลนานาชาติและองค์กรระหว่าง ได้มีมติร่วมกันในการจัดตั้งยุทธศาสตร์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีระหว่างประเทศ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่ายุทธศาสตร์ไซคัม (Strategic Approach to International Organization on Chemicals Management หรือ SAICM) และต่อมาในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลนานาประเทศได้ให้การรับรองยุทธศาสตร์นี้ร่วมกันอีกครั้งในการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 1 (The 1st International Conference on Chemicals Management: ICCM-1) ณ กรุงดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   น.ส. วลัยพร มุขสุวรรณ นักวิจัยอาวุโสด้านสารเคมีและของเสียอันตราย จากมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลของหลายๆ ประเทศเริ่มปรับนโยบาย มาตรการ และแผนงานการจัดการสารเคมีอันตรายต่างๆ ภายในประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไซคัม ตัวยุทธศาสตร์นี้มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ต้องการเน้นให้เกิดการจัดการสารเคมีอย่างเหมาะสมตลอดวงจรชีวิตของสารเคมีนั้นๆ และมีเป้าหมายร่วมกันในระดับโลกว่า ภายในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 การผลิตและการใช้สารเคมีจะต้องให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ซึ่งนี่เป็นแนวทางสำคัญที่จะปกป้องสังคมโลกให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ยุทธศาสตร์ไซคัมให้ความสำคัญกับหลักการพื้นฐานสั้น 5 ข้อด้วยกัน คือ 1) การลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย 2) การทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและการส่งเสริมองค์ความรู้ต่างๆ 3) การสร้างธรรมาภิบาล 4) การเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือทางเทคโนโลยี และ 5) การห้ามการขนส่งของเสียอันตรายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย เธอกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ไซคัมเองยังมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ทั่วโลกช่วยกันปกป้องสุขภาพของเด็ก สตรีมีครรภ์ คนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ คนยากจน คนงาน และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เปราะบางทั้งหลายไม่ให้ได้รับอันตรายจากสารเคมีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้องค์กร Toxics Link (อินเดีย) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนของอินเดีย ร่วมกับเครือข่ายระหว่างประเทศที่ต่อต้านสารพิษตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมหรือที่เรียกว่า International POPs Elimination Network (IPEN) ได้เสนอให้รัฐบาลทั่วโลกเร่งมีมาตรการควบคุมการใช้ตะกั่วในสีทาบ้านหรือสีตกแต่งต่าง ๆ ในเวทีการประชุมระดับโลก 2 ครั้งคือ ในการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมีครั้งที่ 6 หรือ Sixth Session of International Forum on Chemical Safety (IFCS Forum VI) ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน 2551 ที่กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล และต่อมามีการเสนอในการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2 (ICCM 2) เมื่อวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2552 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง ความพยายามผลักดันให้มีการควบคุมสารตะกั่วในสีทาบ้านและสีตกแต่งต่างๆ เนื่องจากเห็นว่าตะกั่วที่ผสมอยู่ในสีเหล่านี้เป็นแหล่งแพร่กระจายของตะกั่วสู่เด็กแหล่งใหญ่ที่สุด หลังจากที่ทั่วโลกได้มีมาตรการยกเลิกการใช้ตะกั่วในน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้ว ที่ต้องผลักดันเรื่องนี้เพราะว่า ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศยังไม่มีกฎข้อบังคับที่ควบคุมหรือห้ามการใช้ตะกั่วเป็นส่วนผสมในสี ที่ประชุม ICCM 2 มีมติร่วมกันในการควบคุมสารตะกั่วในสีที่สำคัญ 2 เรื่องด้วยกันคือ 1) มีมติให้บรรจุเรื่องตะกั่วในสีเป็นนโยบายเร่งด่วนใน SAICM และ 2) มีมติให้นานาประเทศสร้างความร่วมมือระดับโลกเพื่อช่วยกันสร้างความตระหนักเรื่องผลกระทบของตะกั่วในสีที่มีต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ให้มีการพัฒนาโครงการป้องกันอันตรายจากตะกั่วในสีโดยหามาตรการหรือสร้างความรู้เพื่อป้องกันสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งสนับสนุนประเทศต่างๆ ให้กำหนดกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องออกมาบังคับใช้ ประเทศไทยมีมาตรการอะไรแล้วบ้าง น.ส. วลัยพร ซึ่งได้เข้าร่วมกับโครงการทดสอบสีของ Toxics Link กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทยเองก็ได้เข้าร่วมกับการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 1 และได้ให้การรับรองยุทธศาสตร์ไซคัมด้วย โดยมีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในฐานะศูนย์ประสานงานแห่งชาติของไซคัม ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องนำเอายุทธศาสตร์และหลักการสำคัญที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ไซคัมมาดำเนินการในประเทศด้วย ขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2550 – 2554) ซึ่งจัดทำเสร็จแล้ว โดยแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ได้บรรจุเอานโยบายและหลักการสำคัญๆ ของยุทธศาสตร์ไซคัมเข้ามาด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันติดตามต่อไปว่า ประเทศไทยมีการปฏิบัติตามหรือมีการดำเนินมาตรการอะไรในเรื่องนี้บ้าง เพื่อให้สังคมไทยมีความปลอดภัยจากอันตรายของสารเคมีภายในปี 2563 ตามที่ไซคัมตั้งเป้าหมายเอาไว้ สำหรับประเด็นตะกั่วในสีนั้น กรมควบคุมมลพิษในฐานะศูนย์ประสานงานแห่งชาติของ ไซคัมได้จัดประชุมเตรียมความพร้อมและกำหนดท่าทีของประเทศ 2 ครั้ง คือครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2552 และครั้งที่ 2 วันที่ 9 เมษายน 2552 และได้นำประเด็นนี้เข้าปรึกษาหารือในที่ประชุมคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 เพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทย แต่เนื่องจากมีข้อมูลการใช้สารตะกั่วในการผลิตสีไม่ตรงกัน ที่ประชุมจึงมีมติให้มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงงานผลิตสีว่ามีการใช้สารตะกั่วหรือไม่อย่างไร ล่าสุดนี้คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมีมีการประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ในที่ประชุมครั้งนี้มีการนำเอาผลการประชุมของ ICCM 2 มาพิจารณาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการขึ้นในประเทศด้วย ในส่วนของปัญหาตะกั่วในสี ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปดำเนินการให้เกิดการจัดการตะกั่วอย่างเหมาะสมตลอดทั้งวงจรตั้งแต่การผลิต การใช้ และการกำจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะกั่วในสี เอกสารอ้างอิง1. SAICM Secretariat, Information bulletin No.1, January 2008.2. เอกสารการประชุมคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 3/ 2552

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 มีสี (ไม่จำเป็นต้อง) มีเสี่ยง

บังเอิญได้เหมาะเจาะจริงๆ หลังจากที่สมาชิกของฉลาดซื้อได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรทำทดสอบสีทาบ้านดูบ้าง เราก็ได้รับข้อมูลจากมูลนิธิบูรณะนิเวศ (Ecological Alert and Recovery - Thailand, EARTH) ว่าทางมูลนิธิฯ ได้เข้าร่วมโครงการระหว่างประเทศเพื่อศึกษาการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสีตกแต่งและสีทาบ้านใน 10 ประเทศ ซึ่งดำเนินการโดย Toxics Link ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในอินเดีย และเครือข่ายระหว่างประเทศต่อต้านสารพิษ POPs (International POPs Elimination Network, IPEN) โครงการนี้เน้นการทดสอบหาความเข้มข้นของตะกั่วในสีที่ใช้กันอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา เพราะปัจจุบันเป็นที่ทราบกันว่า มีวัตถุดิบที่เป็นอันตรายน้อยกว่าตะกั่วและสามารถนำมาใช้แทนตะกั่วได้ในการผลิตสีได้ แต่ที่ยังไม่ทราบคือมีผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสุขภาพของเรา   ฉลาดซื้อจึงขอนำผลการทดสอบดังกล่าวมาลงให้สมาชิกได้รู้กันก่อนใคร ว่าสียี่ห้อไหนปลอดภัย และยี่ห้อไหนไม่ควรซื้อมาใช้ ในการสำรวจครั้งนี้ที่มีประเทศ 10 ประเทศเข้าร่วมโครงการและส่งตัวอย่างสีไปทดสอบหาสารตะกั่วในห้องปฎิบัติการของประเทศอินเดีย ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา แทนซาเนีย อัฟริกาใต้ ไนจีเรีย เซเนกัล เบลารุส เม็กซิโก และบราซิล การเก็บตัวอย่างสี (ทั้งสีน้ำและสีพลาสติก) ทำในระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และมีสีที่ถูกทดสอบทั้งหมด 317 ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ของ Toxics Link ได้เตรียมตัวอย่างก่อนส่งไปทดสอบที่ห้องปฎิบัติการด้วยการทาสีลงบนแผ่นแก้ว ทิ้งไว้ 72 ชั่วโมงให้แห้ง จากนั้นจึงขูดสีที่แห้งแล้วออกมา เพื่อส่งไปยังห้องปฏิบัติการ Delhi Test House สำหรับประเทศไทยนั้นส่งตัวอย่างสีทั้งหมด 27 ตัวอย่าง เป็นสีน้ำมัน 17 ตัวอย่าง สีพลาสติก 10 ตัวอย่าง ยี่ห้อที่มีการเก็บตัวอย่างได้แก่ ทีโอเอ กัปตัน เบเยอร์ โจตัน นิปปอน รัสท์-โอเลียม และเดลต้า ผลทดสอบ ไม่มีสีพลาสติกรุ่นใดมีความเข้มข้นของตะกั่วเกิน 90 ppm (ส่วนในล้านส่วน) พบสีน้ำมันที่มีความเข้มข้นของตะกั่วเกิน 600 ppm ถึง 8 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 17 ตัวอย่าง สีน้ำมันในกลุ่มที่ราคาต่ำกว่า 200 บาท ทุกตัวอย่างมีความเข้มข้นของตะกั่วเกิน 600 ppm สีน้ำมันยี่ห้อ ทีโอเอ เบเยอร์ และโจตัน มีความเข้มข้นของตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm ** หมายเหตุ: ตัวอย่างสีที่ทดสอบนั้นอาจจะยังไม่ครอบคลุมยี่ห้อหลักๆ ที่มีในตลาดบ้านเราทั้งหมด แต่ไม่ต้องห่วงเรากำลังส่งตัวอย่างเพิ่มไปยังห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์บริการ เพื่อให้ทดสอบด้วยกรรมวิธีเดียวกันกับที่ทางอินเดียได้ทำไว้ ได้ผลเมื่อไร ฉลาดซื้อจะนำมาลงให้สมาชิกได้ทราบทันที จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2550 เรามีโรงงานผลิตสีอยู่ทั้งหมด 296 โรง ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 9,300 ล้านบาท ผู้ผลิตสีส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย มีบริษัทผู้ผลิตสี ขนาดใหญ่เพียง 6 ราย ได้แก่ ทีโอเอ อีซึ่นเพ้นท์ นิปปอนเพ้นท์ ไทยคันไซ และบริษัทข้ามชาติอัคโซโนเบิล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ โจตัน จากประเทศนอร์เวย์ มูลค่าทางการตลาดของธุรกิจสีในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2551 อยู่ที่ 24,500 ล้านบาท  ส่วนแบ่งการตลาดของสียี่ห้อต่างๆในประเทศไทย   ยี่ห้อ ผู้ผลิต ร้อยละของส่วนแบ่งตลาด ทีโอเอ ทีโอเอ เพ้นท์ 40 ไอซีไอ อัคโซ โนเบล 15 กัปตัน กัปตัน เพ้นท์ 15 เบเยอร์ เบเยอร์ 8 โจตัน โจตัน ไทยแลนด์ 7 อื่นๆ 15   สถานการณ์สีทาบ้านกับสารตะกั่วในประเทศอื่นเราลองมาดูผลการทดสอบในประเทศอื่นๆ กันบ้าง เผื่อว่าเห็นแล้วจะรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่เราเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนของสีที่มีสารตะกั่วเกินต่ำที่สุดในกลุ่ม แต่ความจริงแล้วไม่น่าจะต้องมีผู้บริโภคที่ไหนต้องเสี่ยงกับผลิตภัณฑ์สีที่ไม่ปลอดภัย ....   * มีน้ำมันเคลือบเงา 3 ตัวอย่างรวมอยู่ด้วย** มีน้ำมันเคลือบเงา 4 ตัวอย่างรวมอยู่ด้วย   สีประกอบด้วยอะไรบ้าง สีที่เราใช้อยู่ปัจจุบันจะมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ชนิด คือ 1.ตัวเนื้อสี (Pigment) มีหน้าที่ทำให้เกิดสีที่สวยสดงดงามกับตาของเรา 2.สารยึดเกาะ (Binder) ทำหน้าที่เป็นตัวยึดเกาะกับตัวผนัง พื้นผิว และมีหน้าที่เป็นเนื้อของสี ซึ่งเกรดของสีจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนการผสมตัวสารยึดเกาะลงไปในผลิตภัณฑ์ 3.ตัวทำละลาย (Solvent) ทำหน้าที่ให้ เนื้อสีและกาว เจือจางลง จนสามารถนำมาทาได้ในบริเวณที่กว้างขึ้น ซึ่งถ้าเป็นสีน้ำ ก็ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย ส่วนสีประเภทสีน้ำมัน ก็จะใช้ทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย ตัวทำละลายนี้จะระเหยออกไปหลังการทาสี4.ตัวเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ (Additive) เพื่อให้สีมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งปัจจุบัน ตัวนี้คือจุดขายสำคัญที่บริษัทสีแข่งขันกัน เช่น ทนกรดด่าง ทนชื้น ปกปิดรอยร้าว ฯลฯ คำแนะนำสำหรับการเลือกสีทาบ้าน 1.สีทาบ้านมีหลายเกรด ราคาตั้งแต่ถังละ 400 บ. - ถังละ 3,000 บ จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมเพื่อจะได้งานที่มีคุณภาพดีในราคาประหยัด การเลือกใช้สีว่าจะของยี่ห้อใดนั้นให้เปรียบเทียบที่รุ่นสินค้าของแต่ละยี่ห้อ แทนการมั่นใจในตัวยี่ห้อสินค้า เพราะเมื่อนำมาเปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่นแล้ว จะพบว่าคุณสมบัติไม่ต่างกันมากนัก 2.เลือกใช้สีให้เหมาะสมกับงาน โดยหาความรู้เพิ่มเติมหรือปรึกษาช่าง เช่น ปูนทาสีน้ำ เหล็ก/ไม้ทาสีน้ำมัน เป็นต้น จากนั้นก็ประเมินตัวเองว่า อยากได้สีแบบไหน สีกันร้อน สีเช็ดได้ สีปกปิดรอยแตกลายงา สียืดหยุ่นได้ สีกันคราบน้ำมัน ฯลฯ และต้องการสีที่มีอายุงานกี่ปี 2 ปี 4 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี เมื่อประเมินได้แล้วจึงค่อยหาแคตตาล็อกของบริษัทผู้ผลิตสีมาเปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่น เพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการในราคาที่ถูกใจ3. ก่อนลงมือทาสีจริง ควรทดลองทาสีด้วยการเอาสีขนาดบรรจุเล็กๆ มาทาก่อน ถ้าชอบใจค่อยไปซื้อมาเป็นถังใหญ่เพื่อทาจริง เพราะสีจริงจะเพี้ยนไปจากแคตตาล็อกนิดหน่อย อาจจะเพราะรองพื้นหรือสภาพพื้นผิวที่เราจะทา4.เลือกชนิดที่ปลอดสารตะกั่ว ทุกชีวิตในบ้านจะได้ปลอดภัย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 100 สิ่งที่ไม่ต้องทำ (ก็ได้) ก่อนตาย

ฉลาดซื้อฉบับที่ 100 มองหาเรื่องอะไรที่เข้ากับสมาชิก มองไปมองมา 100 สิ่งที่ควรทำคนก็ทำไปแล้ว ฉลาดซื้อมองไม่ธรรมดาอยู่แล้วค่ะ เลยมองมุมกลับมาดู 100 เรื่องที่ไม่ต้องก่อนตายกันดูบ้าง 1. เชื่อหนังสือ 100 สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย หรือการใช้ชีวิตที่กระตุ้นต่อมตื่นเต้นให้ทำงานอยู่เสมอๆ เริ่มหวั่นไหวต่อข้อความในหนังสือใหม่ๆ ที่ออกมาเร่งเร้าความอยากเที่ยวอยากรู้อยากเห็น ให้เราต้องดั้นด้นไปแสวงหาให้ครบถ้วน ...แต่ ถ้าบางอย่างที่ไม่คุ้มค่าน่าเที่ยวน่าทดลองล่ะ ท่านจะรู้ได้อย่างไร เช่น - (ฝันเฟื่องว่าจะ) พิชิตเขาเอเวอร์เรสให้ได้ไม่ต้องก็ได้ นอกจากเสียเงินมหาศาลอย่างไร้สาระแล้ว ถ้ามีชีวิตรอดกลับมา อาจจะมีเซลล์สมองน้อยลงไปอีกนะ นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่า นักปีนเขามืออาชีพที่ไปเหยียบยอดเขาเอเวอร์เรสและเคทูมาแล้ว มีเซลล์สมองที่หดหายไปและมีปัญหากับความจำและความว่องไวของสมองเนื่องจากต้องไปอยู่ในพื้นที่ระดับสูงที่มีอากาศเบาบางไปเวลานาน แม้แต่นักกีฬาที่ไปแข่งบริเวณที่มี high altitude ก็มีโอกาสเสี่ยงต่ออาการทางสมองที่อาจถึงตายได้ - ดูวิวที่ตึกเปโตรนาสไม่ต้องไปเที่ยวตึกเปสโตรนาสที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ก็ได้ เพราะที่ตึกแฝดที่สูงอันดับสี่ของโลก(สูง 452 เมตร) นั้น เปิดให้ขึ้นไปแค่ชั้น 49 ตรงบริเวณสะพานเชื่อมที่เป็นกระจกทั้งสองด้านเท่านั้น เหตุที่ไม่ควรเสียเวลาไปที่นั่นเพราะคนที่จะไปดูวิวตึกที่สูงเป็นอันดับสี่ของโลก ก็ย่อมอยากไปอยู่บนยอดตึกแล้วมองลงมา แต่ไม่ใช่ไปดูแค่ชั้น 49 ซึ่งไม่ได้มีวิวอะไรที่น่าตื่นเต้น แถมต้องรอคิวอีกต่างหาก สาเหตุที่เจ้าของตึกไม่ยอมให้ขึ้นไปยอดตึก เป็นเพราะเรื่องความปลอดภัย เพราะตรงนั้นเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทน้ำมันเปโตรนาส 2. กินหอยเอสคาโก้ของฝรั่งเศสเวลาเข้าหน้าฝนทีไร เราจะเห็นญาติของหอยทากเอสคาโก้ของฝรั่งเศสออกมาเดินนวยนาดตามทางเดินสุมพุ่มไม้เต็มไปหมด ลูกเด็กเล็กแดงที่เป็นหอยทากจิ๋วก็ช่วยกันสร้างความลำบากใจให้แก่มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง หลายคนเถียงว่า นี่มันสุดยอดอาหารฝรั่งเศสนะ ก็จริงอยู่ว่า อาหารฝรั่งเศสเป็นอาหารที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยถูกปากคนทั้งโลก แต่ก็มีอย่างอื่นให้เลือกอีกมากมายที่ไม่ใช่หอยทาก เพราะรสชาติเอสคาโก้ก็ไม่ได้พิเศษกว่าอาหารจานอื่นๆ ที่ปรุงโดยพ่อครัวฝรั่งเศสเลย จานเอสคาโก้ราคาแพงแสนแพง แต่ทำใจยากมากที่จะรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆ ก็หน้าตามันเหมือนๆ กับหอยทากที่เดินไปเดินมาอยู่ตามสวนที่เมืองไทยคิดยังไงก็รู้สึกอร่อยยากไปหน่อย 3.เที่ยวป่าอะเมซอนถ้ายังมีที่อยากไปเที่ยวอีกเยอะล่ะก็นะ ยังไม่ต้องไปท่องป่าอะเมซอนก็ได้ เพราะแม้การไปป่าเขตร้อนที่อะเมซอน ฟังดูดีมากๆ แต่พอไปจริงๆ ก็เหมือนกับป่าเขตร้อนชื้นแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรายังไปได้อย่างถูกๆ เช่นที่อินโดนีเซียหรือบอร์เนียว ป่าอะเมซอนแม้จะมีนกแก้ว (Amazon parrot) แต่ที่โรงแรมในป่าลึกนี่ก็ใช้วิธีคลิปปีกหรือผูกนกเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวดู เหมือนกับเวลาเราไปสวนสนุกหรือสวนสัตว์ในเมืองไทยเช่นกัน ส่วนกิจกรรมการตกปลาปิรันย่า ก็ยากมากที่เราจะได้แม้แต่ตัวเดียว แถมเวลาไปตามหมู่บ้าน เราก็จะพบว่าชาวบ้านก็อยู่เหมือนชาวบ้านเมืองไทย คือแต่งตัวปกติ มีความสะดวกครบครัน แล้วยังทำสวนยางแบบเดียวกับเมืองไทยอีกต่างหาก อันที่จริง อเมริกาใต้ คือต้นตำหรับของการทำสวนยางนั่นเอง 4.กินเป็ดปักกิ่งในปักกิ่งการกินเป็ดปักกิ่งนั้น ขอย้ำว่ากินในเมืองไทยอร่อยที่สุดแล้ว เพราะที่อื่นไม่มีใครทำรสชาติซอสเป็นได้ถูกปากคนไทยเท่ากับร้านอาหารจีนในเมืองไทย ส่วนที่ปักกิ่งนั้น ทำให้นักรับประทานชาวไทยอาจต้องผิดหวังไปตามกันเพราะน้ำซอสเค็มมาก หนังเป็นก็แล่ไม่บางเท่าเมืองไทย แถมมีเนื้อติดมาเยอะแยะอีก อุดหนุนคนไทยดีกว่า 5.กินตับห่าน fois grasอาหารจานเด็ดจานนี้ เขาเอาตับห่านไปทอดพอสุกแล้วปรุงด้วยซอส เวลามาเสิร์ฟ ผู้กินก็จะได้ลิ้มรสชาติตับห่านทั้งชิ้นที่นุ่มลิ้น ละลายในปาก เรื่องความอร่อยน่ะไม่ต้องพูดถึง มีอยู่เรื่องเดียวที่คนกินควรทราบไว้ ก็คือว่า ในระหว่างที่ห่านถูกเลี้ยงให้สร้างตับที่หวานอร่อย นุ่มลิ้นนั้น มันต้องถูกจับกรอกอาหารตลอดเวลา แล้วไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับเขยื้อนจนกว่าจะถูกพาไปขึ้นเขียง เอาตับมาให้พวกเรากิน 6.ขึ้นไปบนยอดหอไอเฟิล เมืองปารีส เป็นเมืองสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะนอกจากชื่อเสียงในด้านความโรแมนติกแล้ว ยังเป็นเมืองที่มีความสวยงาม น่าเดินน่าเที่ยวไปหมด ไม่ว่าจะเดินเล่นริมแม่น้ำแซน ไปโปสถ์นอร์ทเทอร์ดัม ไปพิพิธภัณท์ลูฟ สำหรับหอไอเฟิลนั้นจะสวยที่สุด เมื่อเราเงยหน้ามองจากพื้นถนน เพราะหอนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสที่ชวนหลงใหล แต่…อย่าพลั้งเผลอไปต่อแถวขึ้นไปดูให้เสียเวลาไปเที่ยวที่อื่นเลย เพราะขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ดูเท่าไรนัก7.สะสมแสตมป์สมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในยุคก่อนเมื่อคำว่าคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ เป็นความคิดที่ไกลพอๆ กับการเดินทางไปดวงจันทร์ เด็กๆ ทุกครอบครัวจะถูกสอนให้มีงานอดิเรกเช่น สะสมแสตมป์เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แต่สมัยนี้อาจไม่จำเป็นแล้ว 8.เที่ยวแหลมกู๊ดโฮปใครที่ได้เดินทางไปอัฟริกาใต้ ย่อมได้รับมนต์เสน่ห์แห่งความงามที่ชวนหลงใหลของธรรมชาติที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติที่งดงาม ภูเขา ดอกไม้ สัตว์ป่า ทะเล แต่จุดท่องเที่ยวที่ฟังแล้วยิ่งใหญ่อย่างแหลมกู๊ดโฮป ที่มีชื่อเสียงมากในอดีต เพราะเป็นจุดการเดินทางที่อันตรายมากหากจะล่องเรือจากยุโรปไปเอเชีย แต่ครั้นพอได้ไปเที่ยวชมจุดนั้นจริงๆ สิ่งที่พบก็คือแนวหินระเกะระกะที่ยื่นไปในทะเลแค่นั้น ซึ่งไม่มีความงามหรือความยิ่งใหญ่อย่างที่คาดหวังแต่อย่างใด ไปเที่ยวจุดอื่นในประเทศนี้คงจะน่าสนใจกว่า 9.ใช้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค อย่าดีกว่า ยังไงสบู่ทั่วไปก็ใช้ทำความสะอาดได้เหมือนกัน ลดปริมาณแบคทีเรียไปได้มากอยู่แล้ว การใช้สบู่ฆ่าเชื้อนั้น มันอาจจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์โดยธรรมชาติออกไปด้วย การกำจัดไปหมด อาจยิ่งทำให้ส่งผลไม่ดีมากกว่า งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้สรุปว่า แม้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อจะกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้จริง แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคดีไปกว่าสบู่ธรรมดาแต่อย่างใด สบู่ธรรมดาก็สามารถกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ได้เช่นกัน 10.ใช้น้ำยาบ้วนปาก เช่นเดียวกับสบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยาบ้วนปากจะทำให้แบคทีเรียตัวดีโดนฆ่าไปด้วยนะอย่าลืม การให้เวลาแปรงฟันอย่างพอเพียง (นาน 2 นาที) อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละสองครั้ง และใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร บวกกับการป้วนปากหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง และหมั่นไปหาทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน ถือว่าเพียงพอที่จะขจัดของเสียในปากที่จะทำให้เกิดกลิ่นปากได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาป้วนปากอีก11.ดื่มน้ำแร่ถ้าจะดื่มน้ำแร่เพื่อเติมแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไป คุณจะต้องดื่มน้ำแร่เป็นปริมาณมากๆ ต่อวัน ซึ่งอาจไม่จำเป็น เพราะแร่ธาตุที่มีในน้ำแร่นั้นมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน ถ้ามีแร่ธาตุเกินจำเป็นในร่างกายมันจะถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แทนที่จะไปซื้อน้ำแร่ที่มีราคาแพงและมีแร่ธาตุไม่เท่าไหร่ (น้ำแร่สำหรับบริโภคไม่สามารถจำกัดแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในน้ำได้ เพราะแหล่งน้ำแต่ละแหล่งให้แร่ธาตุที่ต่างกันไปตามสภาพทางธรณีวิทยา) ควรไปซื้อผักและผลไม้สดมารับประทานดีกว่า 12.ใช้แชมพูผสมครีมนวดผม ถ้าคาดว่าสระแล้วนวดพร้อมกันไปเลยจะดี ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้ผลทั้งคู่ การสระผมคือการทำความสะอาดผมซึ่งแชมพูอย่างเดียวจะทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่า การที่เอาครีมนวดผมมาผสมในแชมพูนั้น ทำให้เสียประโยชน์ทั้งสองส่วน เพราะครีมผมนวดช่วยให้ผมมันขึ้นลื่นขึ้นด้วยส่วนผสมของไขมัน 13.แชมพูผสมวิตามิน อย่าหลงไปกับคำโฆษณา อยากได้วิตามินก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามิน เพราะวิตามินในแชมพูไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในเส้นผมได้ แต่จะถูกชะล้างออกไปโดยไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น 14.ใช้ครีมทาหน้าขาว ไม่มีครีมที่ทำให้เราหน้าขาวกว่าผิวที่แท้จริงของเราได้ ถ้าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนหน้าขาวกว่าผิวจริงได้ สิ่งนั้นก็ต้องมีส่วนผสมของสารอันตรายที่สามารถฟอกผิวเหมือนการฟอกกระดาษหรือผ้า ให้ขาว ก็ลองนึกภาพดู คุณอาจจะคิดใหม่ก็ได้ อยากให้หน้าขาวขึ้น ก็แค่ทาครีมกันแดด และคอยหลบแดดหน่อยก็จะขาวขึ้นได้อยู่แล้ว 15.น้ำที่ผสมวิตามินซี บางทีนะอาจจะได้สารกันเสียแถมมาด้วย วิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคก็จริง แต่หากมารวมกับสารกันเสีย อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ อีกอย่างวิตามินซี สลายตัวได้ง่ายมากๆ ไม่แน่ว่าน้ำผสมวิตามินซีนั้น อาจไม่เหลือคุณค่าวิตามินซีอยู่แล้วก็ได้ 16.ดื่มน้ำลูกพรุนก่อนนอนอย่าไปเชื่อโฆษณา กินองุ่นคุ้มกว่าเยอะ น้ำลูกพรุนที่โฆษณาว่าเพิ่มวิตามิน ทำให้ไม่ท้องผูกนั้นมีราคาแพงเกินไปเพราะต้นทุนมีทั้งค่าโฆษณาและค่าขวดและหีบห่อ การกินองุ่นสด หรือกินลูกพรุนแห้ง ก็ได้ผลเท่าๆ กันแต่ประหยัดเงินได้มากกว่า 17.กินรังนก ในการวิเคราะห์จากห้องทดลอง รังนกที่เป็นส่วนของน้ำลายนกนั้น มีคุณค่าอาหารเพียงน้อยนิด หากเทียบกับราคาแล้วแทบจะเรียกได้ว่าไม่คุ้มค่า เพราะราคานั้นส่วนมากตกไปอยู่กับงบโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ 18. กินอาหารแช่แข็ง อย่าลืมว่าอาหารแช่แข็งนั้น มันดูน่าอร่อยแต่ในภาพโฆษณาเท่านั้น ของจริงน่ะรสชาติเทียบไม่ติดกับอาหารที่ทำสุกใหม่ที่ขายอยู่ทั่วไป แถมยังถูกกว่าที่โฆษณาเสียอีก ไม่ต้องเห่อตามโฆษณาก็ได้ ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาชวนเชื่อ 19. เข้าฟิตเนสราคาแพง จ่ายเงินแล้วค่อยได้เหงื่อนั้น ไม่มีความจำเป็นเลย การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงหรือการลดน้ำหนักล้วนทำได้ตามที่สวนสาธารณะอยู่แล้ว ถ้าจะออกกำลังกายจริง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ก็ได้ 20. กินบุฟเฟ่ต์ ก่อนไปลองกินบุฟเฟ่ต์ คิดดูใหม่ว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม อย่างแรกคุณต้องจ่ายเงินมากกว่าอาหารมื้อธรรมดาๆ กว่า 2-10 เท่าของราคาอาหารมื้อปรกติ ยิ่งบุฟเฟ่ต์ราคาแพงก็ยิ่งไม่คุ้ม เพราะไม่ว่าอาหารมีมากแค่ไหน เราก็กินไม่ได้มากกว่าที่เคยกินโดยปรกติแค่หนึ่งหรือสองเท่า และเป็นโอกาสที่ทำให้เรารับประทานสิ่งที่เป็นอันตรายได้มากกว่าปรกติเช่นกัน ไม่ว่าไขมัน แป้งและน้ำตาล แล้วลองคิดถึงของเหลือทิ้งอีกล่ะ อาหารบุฟเฟ่ต์เป็นแหล่งที่มีของเหลือทิ้งทำลายสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด 21.ฝันลูกเป็นเด็กอัจฉริยะเด็กสมัยนี้น่าสงสาร เกิดมาพ่อแม่ก็มีความคาดหวังให้เก่งอะไรสักอย่าง ก็เลยมีการผลักดัน จับไปเรียนโน่นฝึกนี่ เอาไปประกวดนั่นนี่ หวังว่าลูกตัวเองจะเป็น “เด็กอัจฉริยะ” จนเด็กไม่มีเวลาเล่นซนตามวัย มีความเครียดกันตั้งแต่ยังเล็กๆ การเล่นและอารมณ์ที่แจ่มใสจะทำให้เด็กเกิดพัฒนาได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นควรจะเน้นที่ความต้องการของเด็กมากกว่าความต้องการของพ่อแม่ 22.ใช้โหมดสแตนบายในเครื่องใช้ไฟฟ้าคนสมัยนี้ลืมไปว่าเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าสักเครื่องสองเครื่องในบ้านก็รุมกันใช้ ไม่ว่ามันจะใหญ่เทอะทะแค่ไหน ฟังก์ชั่นอะไรก็แทบจะไม่มี เดี๋ยวนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งดีทั้งถูก ประสิทธิภาพเต็มเพียบ แต่ที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพคือผู้คน ที่ไม่ยอมแม้กระทั่งเดินไปเปิดหรือปิดเครื่องไฟฟ้า ล้วนแต่ใช้ รีโมตเปิดปิดแทน ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟ เพราะเครื่องต้องเปิดระบบสแตนบายไว้ ครั้งต่อไปลองเดินไปเปิดปิดเสียหน่อย อาจทำให้ประหยัดสตางค์ไปได้หลายเหมือนกันนะ 23. ดูหนังต้นโปรแกรม (ก่อนใครๆ)แย่งกันไปดูตอนนั้นทำไม ชีวิตไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ค่อยดูอีกอาทิตย์ถัดมา ก็ไม่ทำให้เสียหายอะไรกับคอหนังหรอก 24. สะสมหนังสือธรรมะหลายคนชอบงานสะสมหนังสือธรรมะ มีกันเต็มตู้เต็มบ้าน แต่ไม่ค่อยมีเวลาไปปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่ใช้ธรรมะในชีวิตประจำวัน ซื้อมาก็อ่านซะ แล้วไปปฏิบัติจริงดีกว่าสะสมไว้เฉยๆ ในตู้นะ25. ทุ่มทำบุญในหลักพุทธศาสนานั้น การได้บุญที่ต้องใช้เงินมีอย่างเดียวคือการให้ทาน นอกนั้นเป็นเรื่องที่เกิดจากการปฏิบัติเช่น การให้ธรรมะ การฝึกสมาธิวิปัสสนา การแบ่งบันให้คนรอบข้างที่มีความทุกข์ อาจจะดีกว่าการทุ่มทำบุญกับวัตถุเช่นสร้างโบสถ์สร้างวิหารก็ได้ 26. แต่งชุดหนังหรือใส่เสื้อสองชั้นเมืองไทยร้อนจะตาย ใส่เสื้อสองสามชั้น แถมมีผ้าพันคออีก ร้อนแบบไทยๆ คงไม่ต้องการ 27. ไปเมืองปายพร้อมกันวันปีใหม่ปายกลายเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งในช่วงปีใหม่ แต่มันจะสวยได้อย่างไรถ้าทุกคนแห่กันไปพร้อมๆ กัน และธรรมชาติที่สวยงามก็จะต้องถูกย่ำยีไปในช่วงไม่กี่วัน ที่คนไปกินไปเที่ยว ไปทิ้งขยะพร้อมๆ กันที่นั่น 28. ให้ลูกเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้า ป.1 ต้องเตือนคุณแม่ทั้งหลายว่า ป.1 ไม่ใช่ ป.ตรี ยังไม่ต้องกดดันเด็ก ให้เด็กมีพัฒนาการ มีความสุขตามวัยเด็กอย่างที่เขาควรจะเป็น เด็กหลายคนเรียนไม่เก่งแต่พอโตเมื่อถึงเวลาที่พร้อม เขาก็จะกลายเป็นเด็กเรียนเก่งได้ และในชั้นประถมควรให้เรียนในโรงเรียนที่เน้นพัฒนาการวัยเด็กมากกว่าเน้นตำราเรียน 29. ต้องมี Hi 5 ,face book, you tubeไม่ต้องมีก็ได้ ติดต่อกับผู้คนในโลกแห่งความจริงให้ได้ ชีวิตก็เป็นสุขได้เช่นกัน 30. รอชายในฝันเพื่อแต่งงานและมีลูก เดี๋ยวนี้ครอบครัวสมบูรณ์แบบมักจะอยู่ในฝันเท่านั้น เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจทำให้พ่อแม่ต้องวิ่งหาเงินมาเลี้ยงลูก ส่วนลูกเมื่อโตขึ้นก็มีแต่เงินแต่ขาดรัก ดังนั้นการมีครอบครัวอาจไม่ใช่เป้าหมายอีกต่อไป แถมมีข้อวิจัยได้ชี้ชัดว่า ผู้หญิงที่ต้องทำงานปากกัดตีนถีบ (ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหน) และเลี้ยงลูกในเวลาเดียวกันจะมีสิทธิจะมีอาการซึมเศร้าและมีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากกว่าหญิงโสดที่ไม่มีภาระ 31. อายถ้าต้องไปหาจิตแพทย์ การป่วยทางอารมณ์ เครียด ซึมเศร้า ไม่ได้หมายความว่าคนเราเสียสติ แต่อาจจะเกิดจากสังคมที่มีแรงกดดันสูง หรือการขาดฮอร์โมนในสมอง ที่เดี๋ยวนี้มียาดีๆ กินแล้วก็หาย หากรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือก็รีบไปหาแพทย์ได้ ไม่เสียหน้าอะไร 32. ต้องนอนมากๆ พวกที่นอนมากๆ มักเชื่อว่าตัวเองสุขภาพดีกว่าพวกนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอ แต่เพราะนอนมากเกินไปอาจกลายเป็นปัญหาได้ นอนมากจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างแรกคือ จะรู้สึกว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ และเป็นปัญหาในเรื่องการควบคุมเครื่องจักรหรือการขับรถที่ต้องการความว่องไวคล่องแคล่ว ดังนั้นอย่ายืดเยื้อบนที่นอน เมื่อถึงเวลาตื่นก็ต้องพร้อมจะลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง 33. ซื้อครีมกันแดดยี่ห้อแพงของแพงไม่ได้แปลว่าดีกว่าของถูกเสมอไป ครีมกันแดดโดยพื้นฐานมีองค์ประกอบที่ไม่ต่างกัน แต่ของแพงนั้นนอกจากที่เราจะต้องจ่ายเงินมากกว่าแล้ว เรามักจะคิดว่าของดีใช้เล็กน้อยก็พอ แต่หมอผิวหนังยืนยันว่า ถ้าทาครีมกันแดดให้หนาๆ ถึงของถูกก็มีประสิทธิภาพมากกว่าทาของแพงเพียงบางๆ 34. ทำผมแบบดาราที่เราชื่นชอบ ถ้าเห็นดาราที่เราชอบสุดๆ กับทรงผมแหล่มมาก อย่ารีบตัดรูปดาราคนนี้แล้ววิ่งเข้าร้านทำผมให้ตัดผมของเราแบบดารา ต้องคิดเสมอว่าทรงผมต้องเข้ากับรูปหน้า ตา หู จมูกของท่านด้วย มันจึงเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่ท่านจะตัดผมทรงเดียวกับดารา ถ้าท่านไม่ได้มีรูปทรงใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน หาทรงผมที่เข้ากับหน้าท่าน อาจจะทำให้ท่านดูเด่นกว่า เป็นดาราในหมู่เพื่อนก็ได้ 35. ซื้อรถยนต์แพงๆ วิ่งเร็วๆ มาวิ่งในกรุงเทพฯ ดูราคาน้ำมันที่วิ่งขึ้นเอาขึ้นเอา ท่านจะเอารถแพงๆ ที่เอามาจอดกลางถนนเพราะรถติดให้ซดน้ำมันเล่นไปทำไม อีกประการถนนในกรุงเทพฯ ก็ไม่เหมาะกับวิ่งเร็วๆ อยู่แล้วนะจ๊ะ 36. กินแครอทเพื่อจะได้เบต้าแคโรทีนเยอะๆ แม้มีความเชื่อว่าเบต้าแคโรทีนในแครอทช่วยทำให้สายตาดีขึ้น แต่ถ้ารับประทานมากไปก็อาจจะก่อให้เกิดอาการวิตามินเอเป็นพิษได้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทเบต้าแคโรทีนด้วย กินมากไปแทนที่จะช่วยป้องกันมะเร็งกลับกลายเป็นสารก่อมะเร็งเสียเอง 37. ไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงเทศกาล ในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ วันตรุษจีน มีคนจำนวนมากหยุดงาน หยุดกิจการ หรือลาพัก (ลูกจ้างร้านอาหาร หรือโรงแรม) พวกที่ออกไปกิน-เที่ยวในช่วงนี้จึงต้องแย่งกันกิน แย่งกันนอนตามสถานที่ท่องเที่ยว ที่มักจะสร้างความเครียดและความหงุดหงิดที่เกิดจากการแย่งกันกินแย่งกันนอน มิหนำซ้ำ เวลาไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง ท่านจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากฝูงชน ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าท่องเที่ยวได้อย่างไร 38. เห่อสินค้าที่ใส่น้ำหอม เดี๋ยวนี้สินค้าตั้งแต่ครีมทาผิวไปจนถึงผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ครีมโกนหนวด ล้วนแต่ใส่ส่วนประกอบที่เป็นน้ำหอมที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ส่วนประกอบหลายๆ อย่างมีความเป็นพิษต่อร่างกาย น้ำหอมบางทีก็ทำให้เราหลงลืมความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์อันตรายบางอย่างที่เราใช้อยู่ เช่น ยาฆ่ายุง น้ำยาล้างห้องน้ำ เป็นต้น 39. จาริกแสวงบุญ พระอริยะสงฆ์จำนวนมากสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งที่ไม่เคยไปจาริกแสวงบุญที่อินเดีย หากปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่พอเพียง ก็ไม่จำเป็นต้องไปแสวงบุญที่อินเดีย แต่ให้ฝึกปฏิบัติทางธรรม ซึ่งสามารถบรรลุได้โดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่น้อย 40. กระโดดบันจี้จั๊ม หรือทำอะไรที่เสี่ยงตายเพื่อความเท่ หากยืนอยู่ข้างหน้าเครื่องกระโดดบันจี้จั๊ม อย่ายอมทำเพียงเพราะเพื่อนๆ ยุ หรือท้าหากเราไม่พร้อม เครื่องเล่นสมัยใหม่ของตะวันตกที่ทำกันออกมาเพียงเพราะเขาเชื่อว่า การท้าทายกับความกลัวถึงที่สุด และจะมีเครื่องแบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เชื่อเถอะว่ามันไม่พิสูจน์ความเก่งหรือกล้าของใครเลย 41. ใช้บัตรเครดิตหลายใบที่มีกันอยู่หลายๆ ใบน่ะ ลองคิดใหม่ซิว่าถ้าไม่มีเลย ชีวิตจะเป็นอย่างไร – ไม่ต้องเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อน ไม่ต้องโดนกิเลสยั่วให้ซึ้อของทั้งๆ ที่ไม่มีเงิน ไม่ต้องโดนหลอกว่ายิ่งใช้มากยิ่งดีได้โน่นได้นี่ แต่ลืมไปว่าถ้าผิดนัดจ่ายเงินก็ดอกเบี้ยอาน หลายคนมีชีวิตที่บัดซบต้องหมดตัว โดนฟัอง โดนยึดบ้านยึดรถ หมดเนื้อหมดตัว ก็เพียงเพราะมีบัตรเครดิตใบเล็กๆ นี่แหละ 42. ทำศัลยกรรม ไม่ว่าเพื่อนจะพูดอะไร หมอจะบอกอย่างไร ต้องจำไว้หนึ่งอย่างว่าการทำศัลยกรรมตกแต่งหรือเสริมความงามทั้งหลาย ล้วนมีความเสี่ยง แปลว่าทำออกมาแล้วกลายเป็นคนขี้เหร่ไปกว่าเดิมหรือจากสาวการเป็นแก่ไปเลยก็ได้ หรือทำแล้วไม่ดี ต้องแก้แล้วแก้อีก อย่างที่เป็นคดีความตามหน้าหนังสือพิมพ์ คนที่คิดจะทำศัลยกรรมมักคิดแง่เดียวว่าจะต้องดี ที่หนักกว่านั้นก็คือว่า คุณรู้หรือไม่ว่าหมอศัลยกรรมความงามหลายคนไม่ได้เรียนจบมาทางศัลยกรรมความงาม แต่ฝึกเอาเองเนื่องจากงานนี้รายได้ดี มีคนพร้อมทุ่มหมดตัว ขอให้สวยเท่านั้น 43. รับประทาน(ยา) วิตามิน อี หรือ ซี เพื่อป้องกันมะเร็งอย่าดีกว่า เสียสตางค์ฟรี เพราะในการทดสอบที่สหรัฐอเมริกาที่ทำกับหมอ 15,000 คนที่รับประทานวิตามิน อี และ ซี มาสิบปี ปรากฏว่าไม่มีผลที่แสดงว่าวิตามินเหล่านี้ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็ง ในทางกลับกัน การรับประทานวิตามินมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคได้ 44. ซื้อเครื่องสำอางที่เขียนว่าผ่านการทดสอบจากห้องทดลองแล้ว ไม่มีอะไรขายง่ายเท่าผลิตภัณฑ์ความงาม ดูตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาสมัยนี้ เครื่องสำอางได้แทรกเข้ามาขายง่ายๆ เหมือนขายนมกระป๋อง หรือยาธาตุน้ำแดง ขอเพียงแต่มีคนเชียร์แขก มีคำโฆษณาฝันหวานและคำรับประกันที่หาคนพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริง เช่นเครื่องสำอางนี้ผ่านการทดสอบวิจัยจากห้องแลปทดลองที่ประเทศ ...อะไรก็ได้ที่ฟังแล้วดูดี ก็จะขายได้ทันที แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่อ้างมามักจะเป็นแค่มุขใหม่ของการตลาดเท่านั้นเอง 45. กินอาหารเสริมก็เราจ่ายเงินซื้ออาหารรับประทานวันละ 3 มื้ออยู่แล้ว เราไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารเสริม) ที่ไม่ได้มีอะไรมากกว่าอาหารที่เรารับประทานปรกติ อาหารเสริมนอกจากแพงแล้ว ยังไม่มีประโยชน์ สู้จ่ายเงินซื้อผัก ผลไม้ดีๆ มารับประทานพร้อมๆ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอดีกว่า 46. มีนาฬิกาแพงๆนาฬิกาแพงๆ นั้น เป็นค่านิยมที่คนขายพยายามทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่าเขาจะเป็นคนพิเศษทันทีด้วยนาฬิการุ่นนี้ แต่การเป็นคนพิเศษไม่ควรตัดสินด้วยนาฬิกา (อย่างที่คนเชื่อกัน) อย่าลืมว่าไอ้ราคา 199 กับ 19,999 ก็ดูเวลาได้เหมือนกัน 47. ซื้อหนังสือยอดนิยมทุกเล่มหนังสือยอดนิยมทุกเล่มแปลว่าแต่ละเล่มมีคนจำนวนมากซื้ออ่าน แต่อย่าลืมว่าคนแต่ละกลุ่มจะเลือกซื้อหนังสือที่เหมาะกับตัวเอง หรืออ่านแล้วสนุก แปลว่าเราไม่ต้องมีหนังสือยอดนิยมทุกเล่มหรอก หาหนังสือที่ตัวเองชอบ แม้ไม่ได้เป็นหนังสือยอดนิยมก็ตาม 48. ซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ดเอาของแถมต้องยอมรับว่านักการตลาดต่างประเทศมีมุขล่อผู้บริโภคอย่างชาญฉลาด มีหลายครั้งที่เขาปั่นยอดขายอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเอาของกระจุกกระจิกมาแถม โดยที่ในแต่ละชุดจะมีแบบออกใหม่ทุกอาทิตย์ ทำให้คนสะสมต้องกลับมากินทุกอาทิตย์ แล้วของเหล่านั้นท้ายที่สุดก็มาเก็บไว้ก็รกบ้าน กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเป็นเหยื่อนักการตลาดอีกแล้วอาจจะติดรสชาติอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ไม่มีคุณค่าอาหารไปเรียบร้อยแล้ว 49. กินแบรนด์หรือซอยเปปไทด์ก่อนสอบ ไม่ต้องกินของเหล่านี้ก็ได้ หากขยันและมีการเตรียมตัวที่ดีก็สอบได้แน่นอน ของพวกนี้ทำมาเพื่อการขายน่ะ ราคามันแพงและไม่มีการันตีว่าจะสอบได้จริงหรอก 50. ไม่ต้องผอมเหมือนนางแบบ ถ้าอาชีพคุณไม่ใช่นางแบบ มันก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องอดอาหาร ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ นางแบบมีลูกยากเพราะร่างกายจะขาดสารอาหารตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วหากคุณมีโอกาสไปพูดคุยกับนางแบบบางคนเขาจะสารภาพว่าเขาทรมานแค่ไหนที่ต้องอดอาหารอร่อยๆ เพียงเพราะว่าเขาต้องรักษาอาชีพนี้ไว้ด้วยรูปร่างที่ผอมเพียว 51. กินขนมเค้กวันเกิดมีอย่างอื่นที่ประหยัดและถูกกว่า มีข้อคิดอีกอย่างเรื่องวันเกิดว่าแทนที่เราจะไปฉลองการเกิดตัวเอง เราควรพาคุณพ่อคุณแม่ไปเลี้ยงขอบคุณที่ให้ชีวิตและเลี้ยงดูเราแทน 52. เจิมรถ ถ้าคนขับรถขับด้วยความประมาท หรือขับไปคุยโทรศัพท์ไป หรือขับรถเร็วเกินพิกัด การเจิมรถก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ 53. ซื้อหวยเคยรู้จักใครที่ซื้อหวยเป็นประจำแล้วรวยได้บ้าง ส่วนมากจะถูกเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับกลายเป็นคนติดการซื้อหวยจนใกล้กับการติดพนัน แต่แม้กระทั่งคนที่ถูกหวยที่หนึ่ง มักจะกลายเป็นคนไม่มีเงินเหลือหรือก็เป็นคนไม่มีความสุข อย่างคนที่คนถูกหวยที่อเมริกาได้เงินหลายสิบล้านดอลล่าร์ ท้ายสุดกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน (เพราะทุกคนเข้ามาขอเงิน) และไม่มีความสุข (เพราะไปไหนคนก็ขอเงิน) 54. เป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ความสามารถของพวกนายทุนหนึ้คือการทำให้การเป็นหนี้กลายเป็นสิ่งที่ดูดีในสังคมสมัยใหม่ เพราะมาในรูปแบบ บัตรเงินสดที่ดูทันสมัย เก๋ไก๋ หรือบัตรเครดิต บัตรสมาชิก ล้วนแล้วแต่ชักชวนให้คนมาเป็นหนี้ ทำให้เอาเงินออกมาใช้ให้ง่ายที่สุด กว่าจะรู้ตัว เราก็กลายเป็นหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด 55. เล่นหุ้นการเล่นหุ้นเคยเป็นความมั่นคงในชีวิตสำหรับหลายคนที่คิดว่าจะเอาเงินไปทำงานให้ แต่วันดีคืนดี ตลาดหุ้นก็ล้มโครม คนที่เคยร่ำรวยจากการได้เงินง่ายๆ กลับกลายเป็นคนหมดตัว สูญเสียทรัพย์สิน ถ้าไม่รู้จริง อย่าเสี่ยงดีกว่า 56. อ่านหนังสือ gossip ดาราที่ชอบลงรูปฝีมือปาปาราชซี่ก็เพราะคนอ่านแบบเราๆ ที่สนับสนุนหนังสือพวกนี้นะซิ ถึงทำให้มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพวกดาราที่โดนรังควานโดยช่างภาพที่ต้องการหาเงินจาก ช็อตเด็ด ซึ่งบางครั้งทำให้ครอบครัวแตกแยก หรืออาชีพล่มสลาย มีหนังสือที่สร้างสรรมากกว่านั้นมากมายที่น่าอ่าน 57. ไหว้นักการเมืองขี้โกง พินอบพิเทาข้าราชการขี้ฉ้ออย่าทำให้นักการเมืองขี้โกง หรือข้าราชการขี้ฉ้อ ที่เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะโกงแค่ไหน โดนเปิดโปงอย่างไรถ้าตำแหน่งใหญ่ซะอย่าง คนไทยก็ยังกราบยังไหว้เพราะมีมารยาทดี ถ้าเป็นต่างประเทศ พวกนี้อยู่ในตำแหน่งไม่ได้แล้ว 58. ต้องมีโทรศัพท์ 3Gคำถามแรก คุณต้องใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำอะไรบ้าง มีโทรศัพท์ที่มีทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วทำไมต้อง 3G59. กินมันฝรั่งทอด (potato chip)มันฝรั่ง potato chip นั้น ทำมาจากมันฝรั่งจีเอ็มโอทั้งนั้น มันยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพืชดัดแปลงนี้กินแล้วปลอดภัย มีแต่รายงานการแพ้และผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกับแมลงที่มีประโยชน์ต่อธรรมชาติ แม้แต่ผีเสื้อก็ตายได้เพราะไปตอมพืชพวกนี้ และอาจจะมีผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในดินของแปลงที่ปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วย 60. ใส่เสื้อผ้ายี่ห้อ หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม โดยเฉพาะรุ่น limited editionอะไรกันนี่ คนไทยชอบเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง เจ้าของสินค้ายี่ห้อที่ร่ำรวยมหาศาลจากการจ้างคนออกหัวคิดแพงๆ แล้วมาทำสินค้าให้แพงเว่อร์ๆ มากๆ มาขายทั่วโ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 99 มาทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายกันเถอะ

มาทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายกันเถอะโดย แนวร่วมส่งเสริมประชาธิปไตยในการผลิตเครื่องสำอางผิดกฎหมายแห่งชาติ “กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติด้วยกัน จงขยันผลิตจำหน่าย”สวัสดี ครับ พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน กระผมในนามของประธานแนวร่วมส่งเสริมประชาธิปไตยในการผลิตเครื่องสำอางผิด กฎหมายแห่งชาติ ขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ โดยการผลิตเครื่องสำอางกันเถอะครับ เพราะในยุคนี้ สมัยนี้ ใครๆ ต่างก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ดูเอาซิครับ เครื่องสำอางน่ะโฆษณากันโครมๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ใครๆ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เด็กหรือแก่ ก็แย่งกันซื้อมาใช้ แต่ท่านสมาชิกครับ ขืนเราลงไปแข่งกับเขา ก็ตายซิครับ เราต้องหาช่องว่างทางการตลาดที่จะแย่งส่วนแบ่งส่วนนี้ให้ได้ กระผมพบแล้วครับ ช่องทางการตลาดที่เหมาะกับเรามากที่สุดคือ ช่องทางของเครื่องสำอางผิดกฎหมายไงครับ   ท่าน สมาชิกอย่าเพิ่งเบ้หน้าซิครับ อย่ากลัวครับ อย่ากลัว รักจะทำผิดแล้วจะกลัวได้อย่างไร ท่านไม่เห็นหรือครับว่าทุกวันนี้หน่วยราชการเขาก็เที่ยวไล่ตามจับเครื่อง สำอางผิดกฎหมายกันอยู่ทุกวัน แล้วเป็นไงครับ มันหมดหรือเปล่า ไม่หมดใช่มั้ยครับ นั่นย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนได้เลยว่าตลาดของเครื่องสำอางผิดกฎหมายของเรายัง สามารถเติบโตได้อีกเยอะครับ   แม้ จะเป็นการเสี่ยงกฎหมาย แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สมาชิกทุกท่านมีโอกาสร่ำรวยแบบกระผม ในโอกาสนี้ กระผมขอแนะนำเคล็ดลับในการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางผิดกฎหมาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้นำกลับไปทำมาหากินเพื่อตัวท่านเอง และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ อันเป็นการช่วยประเทศได้อีกทางเลยนะครับ และไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออกนะครับ เพราะวันนี้กระผมจะแนะนำให้ครบวงจร หมดไส้หมดพุงเลยครับ เรียกว่ามางานนี้ครั้งเดียวกลับไปรวยและเลยครับ หมายถึงรวยเห็นๆ นะครับไม่ใช่รวยจนเละตุ้มเป๊ะนะครับ ขั้นตอนที่หนึ่ง หาวัตถุดิบสรรพคุณวิเศษประการ แรกเลย ท่านสมาชิกต้องตั้งสติให้ดีก่อนนะครับว่าจะผลิตผลิตภัณฑ์อะไร งานนี้คนธรรมดาทำไม่ได้นะครับ ต้องมีสมองและยิ่งขี้โกงนิดๆ จะยิ่งแจ๋วไปเลยครับ เคยมีสมาชิกบางท่านไปทำดินสอพองผสมสีย้อมผ้า แม้ว่าจะเป็นนวัตกรรมผิดกฎหมายที่เยี่ยมยอด แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดครับ นึกดูซิครับใครจะไปใช้ดินสอพองได้ทุกวัน กลายเป็นขายได้เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น ต้องนี่ครับ กระผมขอแนะนำ เครื่องสำอางสำหรับใบหน้าและผิวขาว ครับ เพราะยุคนี้ใครๆ ก็อยากหน้าขาวผิวขาวกันทั้งนั้น ถึงจะบางคนพ่อดำ แม่ดำ ก็ยังอยากจะขาวตะเกียกตะกายขวนขวายซื้อมาใช้จนได้ วัตถุ ดิบก็ไม่ยากครับ มีสารตั้งหลายตัวที่เราซื้อมาใช้ได้ พวกนี้แม้ราชการเขาจะห้ามใช้ในเครื่องสำอาง แต่เขาไม่ห้ามที่ผลิตเป็นยา ก็เลยมีสารเคมีเหล่านี้วางจำหน่ายได้ เวลาไปซื้อเราก็บอกว่า จะซื้อไปให้คุณหมอที่คลินิกซิ ไอ้ครีมที่หน้าขาวๆ ที่จ่ายตามคลินิกน่ะบางตัวเขาก็ผสมสารพวกนี้นะ แล้วก็อ้างว่าใช้รักษาคนไข้เฉพาะราย ทั้งๆ ที่ เห็นๆ ใครๆ ก็เข้ามาขอซื้อได้ ความจริงการผลิตยาขายเขาต้องมาขออนุญาตผลิตก่อนนะ แต่ใครจะไปตามจับตามตรวจได้หมดล่ะ พูด ไปเรื่อย แนะนำสารเคมีดีกว่า สมาชิกรู้จักมั้ย สารไฮโดรควิโนน น่ะ ตัวนี้เจ๋งมากนะครับ ทาไม่เท่าไหร่หน้าจะขาววอกเลย แต่อย่าเผลอไปบอกคนใช้ล่ะ ว่าถ้าใช้ไปนานๆ หน้าจะด่างแบบถาวรรักษาไม่หาย อีก ตัวก็ ปรอทแอมโมเนีย ไอ้ตัวนี้ใช้เยอะมันจะซึมเข้าไปถึงไต ไตพังนะ แต่อย่ากังวลครับ คนยุคนี้เขากินโน่นใช้นี่มากมาย เวลาเจ็บป่วยชอบมาโบ้ยโทษว่าเกิดจากสารปรอทแอมโมเนียของเรา จริงๆ มันก็มีส่วนนะแหละ แต่ทำไมไม่คิดล่ะว่าชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้ก่อน ตัว สุดท้ายก็ กรดวิตามินเอ ตัวนี้สุดยอด สิวหายหน้าใสเลยล่ะ แต่อาการข้างเคียงคือ ปวดแสบปวดร้อนตรงผิวที่ทาเจ้าตัวนี้ลงไปครับ และปกติเขาห้ามใช้ในคนท้องนะ เพราะมันจะซึมไปถึงลูกในท้องจนพิการ แต่อย่าคิดมากครับ คนท้องคนไส้ที่ไหนจะมาทาครีมผิวขาว ขืนคิดมากจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจนะอย่าลืม ขั้นตอนที่สอง ผลิตง่ายๆ ไม่ต้องจ่ายภาษีพอ ได้สารสำคัญๆ ครบแล้ว ก็เข้าสู่การผลิตเลย ทำไม่ยากหรอกครับ เดี๋ยวผมจะให้สูตรนะครับ สถานที่ก็ไม่ต้องใหญ่โตหรอก ขืนใหญ่โตเกินไปสรรพากรจะตามมาเก็บภาษี เจ้าหน้าที่จะตามกลิ่นได้ เอาแบบนี้เลยครับ ที่นิยมมากๆ คือไปเช่าทาวน์เฮ้าส์ว่างๆ แล้วผลิตที่นั่นเลย แต่แนะนำให้ทำหลังบ้านนะครับ ล็อคประตูบ้านให้ดีล่ะ เผื่อเจ้าหน้าที่ดมกลิ่นตามมาถูก แต่กว่าจะพังเข้ามาได้ เราจะได้หนีทัน แต่ที่ประหยัดที่สุด แนะนำให้ผลิตในรถตู้เลยครับ มีเตาแก๊ส กาละมัง กระบวย ไม้พาย แค่นี้ก็ต้มๆ กวนๆใส่กระปุกขายได้แล้ว สุดยอดไหมล่ะครับ เจ้าหน้าที่ก็ตามจับไม่ได้หรอกเพราะรถมันไม่ได้อยู่กับที่น่ะ แถมทำปุ๊บส่งของได้ปั๊บเลยเด็ดมั้ยครับ ผลิต เสร็จแล้วต้องหาภาชนะบรรจุสวยๆใส่นะ ขืนใส่ถุงพลาสติกรัดยางขาย ดูมันจะกระจอกเหมือนน้ำมันทอดซ้ำที่ขายแบกะดินชอบกล พยายามหน่อยนะท่านสมาชิก หากระปุก หาขวดที่รูปร่างสวยงามกันหน่อย กระปุกแบบใส่ดินสอพอง ใส่เต้าหู้ยี้ไม่เอานะครับ เอากระปุกแบบยี่ห้อดังๆ เลย อย่าลืมว่าคนสมัยนี้บางคนเขาเลือกซื้อเครื่องสำอางตามหน้าตาของภาชนะบรรจุ ด้วย เสร็จแล้วก็ออกแบบฉลากให้มันสวยงามทันสมัยหน่อย แม้กฎหมายจะบังคับให้เครื่องสำอางต้องแสดงฉลากเป็นภาษาไทย และต้องมีรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น ชื่อเครื่องสำอาง ส่วนประกอบ ปริมาตรปริมาณที่บรรจุ วันผลิตหรือหมดอายุ รวมทั้งสถานที่ผลิต แต่เพื่อความปลอดภัยจากเงื้อมมือของกฎหมาย กระผมแนะนำให้แสดงฉลากเป็นภาษาประกิตเลย ผู้ซื้อจะได้ดูว่าเป็นของนอก ถ้าคิดไม่ออกก็ทำฉลากปลอมยี่ห้อดังๆ เลยง่ายดี ส่วนที่อยู่ผู้ผลิตท่านสมาชิกก็อย่าซื่อเกินเหตุไปบอกที่อยู่จริงล่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะตามมาเยี่ยมถึงบ้าน ใส่ให้มันคลุมเครือหาไม่เจอเอาไว้ก่อนดีกว่า ไม่ต้องกลัวว่าลูกค้าจะหาซื้อไม่ได้ เรามีวิธีขายครับ ขั้นตอนที่สาม ขายง่าย ขายดี เขาทำกันแบบนี้การ ขายเครื่องสำอางผิดกฎหมายนั้น จะให้วางขายแบบปกติคงไม่ได้ เราต้องมีวิธีการขายที่แยบยล ยิ่งฉลาดกว่าเจ้าหน้าที่ เราจะยิ่งประสบความสำเร็จครับ กระผมขอแนะนำวิธีขาย 2-3 แบบครับ แบบ แรก เราก็วางขายหน้าร้านไปเลย วางในจุดที่เด่น ไม่ต้องหลบซ่อน เพราะเดี๋ยวจะมีพิรุธ ถ้าเจ้าหน้าที่มาตรวจ เราก็อ้างว่า มีคนมาฝากวางขาย เราไม่รู้หรอกว่ามันถูกหรือผิดกฎหมาย ใครจะไปรู้ ถ้าเจ้าหน้าที่ถามว่า ทำไมไม่ใช้ชุดทดสอบเครื่องสำอางที่ราชการแจกไปทดสอบก่อนขายล่ะ เถียงไปเลยครับว่า ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีเวลาทำมาหากินแล้วยังจะให้มาทดสอบอีก แล้วใครจะไปจำวิธีทดสอบได้ล่ะ ดูสีอะไรกันแยกไม่ถูกหรอก มันไม่ได้จำง่ายๆ แบบแทงหวยนี่นา และ หากจะเพิ่มยอดการจำหน่ายให้มากขึ้น แนะนำให้วางในที่ที่เจ้าหน้าที่นึกไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจตามร้านเสริมสวย ร้านขายของชำหรือตามตลาดนัด สมาชิกของเราบางท่านเคยนำไปวางขายในร้านเบเกอรี่ ร้านขายเครื่องเขียน กระบะขายผักก็มีมาแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยมาตรวจพบ ไหมล่ะ เจ๋งไหมครับวิธีนี้ ท่านสมาชิกครับ อย่าเพิ่งหยุดแค่นี้นะ กระผมแนะนำให้ท่านสมาชิกนำผลิตภัณฑ์ไปขายตรง แบบปากต่อปากเพื่อส่งเสริมธุรกิจไปด้วย เพราะการขายแบบนี้ มันโฆษณาตัวต่อตัวได้เวอร์มากกว่าวิธีอื่นๆ แถมไม่ต้องเสียค่าแผง ไม่ต้องเสียภาษี ไปไหนก็เอาไปด้วยได้ง่ายๆ เวลาขายก็อ้างพวกดาราหน้าสวยๆ งามๆ ได้เลย ลูกค้าที่ไหนเขาจะโทรไปเช็คกับดาราล่ะ หรือไม่ก็อ้างว่าได้มาจากคลินิกก็ได้ ดูมันขลังดีเหมือนกันเพราะเหมือนผ่านมือหมอมาแล้ว แถมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องฉลากที่ไม่ครบถ้วนอีกด้วย ไม่เชื่อไปดูซิ พวกที่หลุดมาจากคลินิกน่ะ ฉลากถูกกฎหมายมีมั้ย น้อยมากใช่มั้ยครับ หรือจะอ้างว่าผลิตโดยทีมอาจารย์จากหมา เอ๊ย มหาวิทยาลัยดังๆ แค่นี้คนก็อยากได้กันจะแย่แล้ว ขั้นตอนที่สี่ การขยายธุรกิจที นี้ถ้าธุรกิจเราเริ่มเติบโตขึ้นไปอีก เราก็ต้องเริ่มมีโฆษณาแล้ว ตอนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะถือว่าเราอยู่ในที่โล่ง เจ้าหน้าที่อาจจะมาตรวจสอบได้ ไม่เป็นไรครับ อย่ากลัว จำคำขวัญของเราให้ดี “กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติด้วยกัน จงขยันผลิตจำหน่าย”   ก็ เราก็มีสถานที่และเครื่องสำอางให้เขาตรวจตอนขออนุญาตแล้วนี่ ส่วนที่จะทำขายจริงๆ น่ะ เราก็แอบไปหาที่อื่นทำก็ได้ ให้มันรู้กันไปเลยว่า ใครจะฉลาดกว่ากัน เราหรือเจ้าหน้าที่ ส่วน การโฆษณาน่ะไม่ยากถ้าทำเป็นเอกสาร ใบปลิวหรือสิ่งตีพิมพ์ก็ทำให้มันสวยงามน่าเชื่อถือ ใส่ภาษาอังกฤษไปเยอะๆ แล้วก็ใส่ข้อความตามใจชอบที่จะสามารถดึงดูดใจลูกค้าให้ได้ อ้างผลการทดลองต่างๆ จริงบ้างเท็จบ้างไม่เป็นไร คนซื้อเขาชอบ ยิ่งโฆษณาโอ้อวดว่า ผลิตภัณฑ์ของเรามันรักษาโรคโน้นโรคนี้ได้ยิ่งดี แม้ว่ามันจะผิดกฎหมายก็อย่าไปกลัวครับ เพราะมันจะดูน่าเชื่อถือ คุ้มครับคุ้มมากๆ แต่ที่สำคัญ เราอย่าเผลอไปลงชื่อของเรา หรือสถานที่ผลิตของเราล่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะตามมาถึงเรา สมาชิก บางท่านถามกระผมถึงการทำสปอตโฆษณาทางวิทยุ ก็เหมือนกันครับ ทำไปเถอะ กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ กว่าจะตามอัดเทปโฆษณา กว่าจะเชิญเราไปพบ เราก็หนีหายได้ทัน ส่วน การโฆษณาทางโทรทัศน์อันนี้ต้องลงทุนหน่อย อย่าหาพรีเซนเตอร์เพียงคนเดียว มายืนพูดปาวๆ อันนั้นมันเก่าไปแล้ว เดี๋ยวใครเขาจะคิดว่าเราขายเครื่องสำอางแผนโบราณ ต้องแบบนี้เลยครับ ไปจ้างดาราและนักวิชาการที่น่าเชื่อถือมาพร้อมๆ กันเลย อ้อ! ลืมบอกไปว่าต้องเอาดาราที่หน้าสวยๆ งามๆ หล่อๆหน่อยนะ หน้าตาเห่ยๆ อย่าเผลอไปจ้างมาล่ะ แต่นักวิชาการหากเห่ยไปบ้างพอรับได้ครับเพราะมันดูน่าเชื่อถือว่าเป็นตัว จริง แล้วก็ไปแทรกในรายการสุขภาพต่างๆ เวลาจัดรายการก็ให้โฆษกมันต่อยหอยพูดเจื้อยๆไปเถอะ เพ้อเจ้ออะไรก็ได้ ขอให้สนุกและน่าสนใจ แต่อย่าลืม ให้โฆษกพูดชื่อสารที่มีในเครื่องสำอางของเรากรอกหูคนดูไปบ่อยๆ และพอได้จังหวะคนดูเริ่มเคลิ้ม ก็ให้หันมาถามนักวิชาการว่าไอ้สารตัวนี้มันคืออะไร มันดีอย่างไร ตรง นี้ต้องเตี๊ยมกับนักวิชาการทั้งหลายก่อนว่า ไม่ได้จ้างมาโฆษณานะ จ้างมาให้พูดแนะนำความรู้เกี่ยวกับสารต่างๆ ให้ประชาชนรู้จัก เพราะนักวิชาการพวกนี้ บางคนเขามีสภาของเขาดูแลอยู่ ขืนไปโฆษณาการันตีสินค้าสุ่มสี่สุ่มห้าจะถูกลงโทษได้ พวกนี้เขาจะกลัว อันนี้ต้องชี้แจงเขาให้ดี พอนักวิชาการพูดเสร็จ ก็ถึงท่อนฮุคแล้วครับ ให้โฆษก ถามดาราเลยว่าไอ้ที่หน้าตาสวยๆ งามๆ หล่อๆ แบบนี้เขาใช้อะไร ที นี้ก็ให้ดาราที่จ้างมา กระหน่ำพรั่งพรูถึงสารเคมี ยี่ห้อ สินค้า สรรพคุณ เรียกว่าพูดน้ำไหลไฟดับให้คุ้มค่าจ้างไปเลยยิ่งดี พวกนี้เขาเก่งครับ เล่นได้สมบทบาท ส่วนของจริงเขาจะใช้หรือใม่ใช้ ไม่ต้องไปกังวลครับ ไม่มีใครตามมาเช็คหรอก และขอให้จบตรงที่โฆษกมอบของที่ระลึกให้ทั้งนักวิชาการและดารา ไม่ต้องไปหาถ้วยชามสังคโลกหรือพระเครื่องอะไรมามอบนะ เอาไอ้เครื่องสำอางของเรานั่นแหละมอบให้ ไปเลย เหมือนบอกคนดูแบบอ้อมๆ ว่าสุดท้ายก็ไปไหนหรอก ใช้ของเราหมดเลย ทั้งดาราและนักวิชาการ ลืม บอกไปอีกอย่าง พวกอุปกรณ์ประกอบฉาก ต้องหาให้เกี่ยวหรือเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของเราให้ได้ เช่น รูป สี ข้อความ หรือแม้กระทั่ง ฉากหลัง ภาษาวงการเขาเรียกว่า โฆษณาแฝง อย่าคิดมาก ขนาดละครโทรทัศน์ทุกวันนี้มันยังโฆษณาแฝงมากกว่าเราอีก เป็น ไงครับ สมาชิกเรา เริ่มมีความหวังที่จะร่ำที่จะรวยกันแล้วใช่มั้ยครับ แต่ยังครับ เราต้องป้องกันความเสี่ยงด้วย เพราะเราทำผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ขืนไม่บอกเคล็ดลับสุดท้าย ก็แย่ซิ เราต้องหาทางป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจไว้ด้วย   ขั้นที่ห้า ปฏิบัติการแก้ต่างเพื่อพ้นผิดถ้า ลูกค้ามาโวยวายว่าใช้เครื่องสำอางของเราแล้วแพ้ อย่าตกใจครับ ตั้งสติให้ดี ค่อยๆ บอกเขาว่า ตัวยากำลังออกฤทธิ์ ผิวหน้าผิวหนังกำลังลอกคราบ พยายามอ้างโน้นอ้างนี้ บอกให้ใจเย็นๆ แต่ถ้าลูกค้าดันไป โวยวายร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ อ้างไปเลยว่า รู้ได้อย่างไรว่าเกิดจากเครื่องสำอางของเรา มีพยานพิสูจน์หรือเปล่า หรือเอาสูตรสำเร็จไปอ้างเลยว่า เอาของคนอื่นมาปลอมเพื่อมาเรียกร้องรีดเงินจากบริษัทรึไง แต่ต้องระวังหน่อยนะตอนนี้เขามีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคที่ทางศาลเขา จะรับเรื่องได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งจะมีกฎหมายความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ ปลอดภัย ซึ่งถ้าผู้บริโภคเขาเสียหายก็จะมาร้องให้เราต้องรับภาระพิสูจน์ ดังนั้นเตรียมอะไรในเบื้องต้นให้มันคลุมเครือสับสนไว้ก่อนจะยิ่งปลอดภัยแก่ ตัวเราเอง แต่ ถ้าเจอของแข็ง โดนเจ้าหน้าที่ตรวจจับ ตั้งสติให้ดีนะครับ ถ้าเขาจับผลิตภัณฑ์ของเราได้จากที่อื่น ให้อ้างไปเลยครับว่า ของปลอม เราทำของถูกกฎหมายนะ ไอ้ที่เจ้าหน้าที่จับมาได้เป็นของคนอื่นมาปลอมของเราต่างหาก เขาก็อ้างอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ เห็นมั้ย ไอ้ที่เจ้าหน้าที่เขาประกาศกันโครมๆ ไม่เห็นมีเจ้าของรายไหนยอมรับว่าเป็นของตนเองสักราย อ้างแต่ว่าคนอื่นมาปลอม ทั้งๆ ที่ตนเองก็เป็นผู้เสียหาย เสียชื่อเสียง แต่ไม่เห็นเดือดร้อน ถ้าเป็นสินค้าอื่นๆ เจ้าของเขาให้สินบนนำจับไปแล้ว อ้างไปเถอะอย่าอาย ต้องด้านๆ เข้าไว้ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ดันมาจับได้ในสถานที่ของเราเอง ให้เตรียมจ้างคนไว้เลยให้มันรับเป็นเจ้าของสถานที่ไปเลย แล้วเราก็รีบแว่บหนีไป พวกรับจ้างติดคุกแทนน่าจะหาไม่ยากนะ เป็น ไงครับ วันนี้กระผมแนะนำกลเม็ดเด็ดพราย ทลายทะลุทะลวงยอดขายให้แล้วนะครับ ก่อนปิดการประชุมในวันนี้ กระผมก็ขออวยพรให้สมาชิกของเราทุกท่าน ประสบความสำเร็จในธุรกิจอันนี้ อย่าลืมนะครับ “กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติด้วยกัน จงขยันผลิตจำหน่าย” ถึงจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มใช่มั้ยครับ สวัสดี หมายเหตุบท ความนี้ไม่ได้มีเจตนาอยากให้ใครไปทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายจริงๆ หรอกนะครับ เพียงแต่ต้องการจะบอกความจริงว่า การทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายออกมาหลอกลวงขายให้กับผู้บริโภคนั้น มันง่ายมากๆ เจ้าหน้าที่ตรวจจับปราบปรามกันเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่มียุบ มีหยุด กี่ปีๆ เราก็ได้ยินแต่ข่าวเจ้าหน้าที่ตรวจจับเครื่องสำอางผิดกฎหมาย ที่มีมูลค่าร่วมๆ สิบล้านบาท เพราะฉะนั้นคงต้องหวังพึ่งพลังของประชาชนนั่นแหละครับ อย่าได้ไปซื้อใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไอ้ที่บอกเห็นผลในสามวัน เจ็ดวัน มันผสมสารต้องห้ามทั้งนั้นแหละ หน้าคนนะครับไม่ใช่กระดาษจะได้ขาวได้เหมือนฟอกสี ดังนั้นอย่าหลงไปเป็นเหยื่อของพวกทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายเข้าล่ะ แล้วถ้าเจอเบาะแสที่ไหน ก็อย่าลืมช่วยกันแจ้งเจ้าหน้าที่นะครับ สงสัยว่าเครื่องสำอางใดอาจมีสารห้ามใช้ โทร.ที่กลุ่มงานเครื่องสำอาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 02-590-7277 หรือ ตรวจสอบได้ที่ www.fda.moph.go.th/ ข้อหาฐานผลิตเพื่อขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2535

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 เครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 ใครช่วยคุณประหยัดไฟ (ฟ้า) ที่สุด

วฤษสพร วิริยะประสาท   เครื่องปรับอากาศ เบอร์ 5 ใครช่วยคุณประหยัดไฟ(ฟ้า)ที่สุดคงพอทราบวิธีเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศกันมาบ้างแล้ว ซึ่งหนึ่งในคำแนะนำสำคัญก็คือ ควรเป็นเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากเบอร์ 5 เพราะจะช่วยให้ประหยัดไฟฟ้าได้มาก แต่ว่าถึงจะเป็นเบอร์ 5 เหมือนกันก็มีความแตกต่างนะคะ เบอร์ 5 มาอย่างไร"โครงการประชาร่วมใจใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟเบอร์ 5 " เป็นผลงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนร่วมใจการประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าและใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ สำหรับเครื่องปรับอากาศซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการเติบโตสูงและใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดทั้งในบ้านพักอาศัยและในภาคธุรกิจ กฟผ.ได้ขอความร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศให้เข้าร่วมโครงการเพื่อกำหนดระดับประสิทธิภาพและพัฒนาเครื่องปรับอากาศเพื่อติดฉลาก แสดงระดับประสิทธิภาพเบอร์ 5 ติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพตามมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิคส์ (สฟอ.) เป็นหน่วยงานทดสอบค่าประสิทธิภาพ โดยเกณฑ์ที่ใช้กำหนด ประหยัดไฟเบอร์ 5 หมายถึง ท่านจ่ายค่ากำลังไฟฟ้า 1 หน่วย จะได้ความเย็นไม่น้อยกว่า 10,600 บีทียู (ซึ่งเครื่องปรับอากาศปกติโดยทั่วไปท่านจ่ายค่าไฟฟ้า 1 หน่วย จะได้ความเย็นประมาณ 7,000-8,000 บีทียูเท่านั้น) แสดงว่าถ้าใช้เครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 จะประหยัดไฟฟ้าถึงประมาณ 35% ความต่างของเบอร์ 5 ในปัจจุบันมีเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด เพื่อตอบสนองนโยบายการประหยัดพลังงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 จะมีประสิทธิภาพพลังงาน (EER - Energy Efficiency Ratio) สูงกว่า และช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากกว่าเครื่องปรับอากาศที่ไม่ใช่เบอร์ 5 แต่ข้อเสียคือมีราคาสูงกว่าเครื่องปรับอากาศธรรมดา ดังนั้นผู้ซื้อจึงควรเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกับค่าไฟฟ้าในระยะยาว แต่ก่อนจะเปรียบเทียบเบอร์ 5 ของเครื่องปรับอากาศยี่ห้อต่างๆ เรามาทำความรู้จักกับค่า EER กันก่อนนะคะ เพราะตัวนี้คือจุดตัดสินสำคัญ ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) หรืออัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศ คือ ค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศว่าดีหรือไม่ อย่างไร มีหน่วยเป็น (Btu/hr.)/W ดูจากหน่วยของค่า EER นี้แล้วก็คงเข้าใจได้โดยง่ายว่าค่า EER นั้นก็คืออัตราส่วนของความเย็นที่เครื่องปรับอากาศสามารถทำได้จริง (Output) กับกำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศนั้นต้องใช้ในการทำความเย็น (Input) เครื่องปรับอากาศที่มีค่า EER ยิ่งสูงก็แสดงว่า เครื่องปรับอากาศเครื่องนั้นยิ่งมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ดียิ่งขึ้น วิธีคำนวณหาอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน (EER) คือ   EER = ขนาดของเครื่องปรับอากาศ(BTU/hr) กำลั งไฟฟ้าที่ใช้(Watt) เช่น ขนาดเครื่องปรับอากาศ 12,000 บีทียู/ชั่วโมง มีกำลังไฟฟ้า 1,200 วัตต์ 12,000 ค่า EER = 10 1,200 การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพ ที่เราเห็นๆ อยู่ตามเครื่องปรับอากาศนั้น ฉลากแสดงประสิทธิภาพจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 จะเป็นแถบโค้งครึ่งวงกลมสีเขียว แสดงตัวเลขบอกระดับประสิทธิภาพตั้งแต่ระดับ 1 ถึงระดับ 5 ซึ่งถ้าฉลากแสดงระดับไหน ตัวเลขและช่องบรรจุตัวเลขในระดับนั้น จะเป็นสีแดงโดยตรงจุดศูนย์กลางของแถบโค้งครึ่งวงกลมนี้ จะมีตัวเลขบอกระดับประสิทธิภาพอยู่ในช่องวงกลมเพื่อเป็นการย้ำบอกระดับประสิทธิภาพอย่าง ชัดเจนส่วนที่ 2 จะเป็นส่วนตัวเลขการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อปีและค่าไฟฟ้าต่อปี รวมถึงค่าประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศส่วนที่ 3 จะแสดง ยี่ห้อ รุ่น และขนาดของเครื่องปรับอากาศที่ฉลากนี้ระบุระดับประสิทธิภาพอยู่ เปรียบเทียบเบอร์ 5 ใครมีค่า EER สูงกว่ากัน เรามาลองดูกันว่าเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟเบอร์ 5 ยี่ห้อใดมีค่า EER สูงกว่ากัน เพราะนั่นหมายความว่ายิ่งมีค่า EER สูงก็ยิ่งประหยัดไฟขึ้นนั่นเองค่ะ ดาวโหลด ตารางเปรียบเทียบ ค่ะ EER ของแอร์แต่ละยี่ห้อ   ผลการจัดอันดับตามค่า EER ของเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดบีทียูในช่วงเดียวกันเป็นไปตามตารางที่นำเสนอไปข้างต้น ฉลาดซื้อขอสรุปว่าเครื่องปรับอากาศยี่ห้อที่มีค่า EER สูงกว่าจะมีแนวโน้มที่จะประหยัดไฟฟ้าได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้เราต้องพิจารณาค่าขนาดบีทียูประกอบด้วยค่ะเช่น ในตารางที่แสดงค่า EER อันดับหนึ่งมีค่าสูงกว่าอันดับสองไม่มากนัก แต่ค่าบีทียูของอันดับสองมีค่าต่ำกว่าของอันดับหนึ่งอยู่มาก แสดงว่า เครื่องปรับอากาศที่มี ค่า EER อันดับสองมีแนวโน้มประหยัดไฟฟ้ามากกว่า ฉลาดซื้อฝากเอาข้อมูลที่เรานำเสนอครั้งนี้เป็นคู่มือประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศด้วยนะคะ สำหรับท่านที่มีความจำเป็นในการซื้อ แต่สำหรับบางท่านที่สามารถใช้วิธีทางธรรมชาติเพื่อให้คลายร้อนได้ฉลาดซื้อขอปรบมือให้ค่ะ ตารางคำนวณอัตราการใช้ไฟฟ้าเปรียบเทียบคำนวณแอร์เบอร์ 5 (ที่ EER 10.6 คำนวณที่ 1 เดือนมี 30 วัน) เปรียบเทียบกับเบอร์ 4 จำนวน ชั่วโมงที่ใช้ 8 12 16 20 24 ขนาดเครื่อง No.4 No.5 No.4 No.5 No.4 No.5 No.4 No.5 No.4 No.5 9000 569 516 854 773 1139 1031 1423 1289 1708 1547 10000 633 573 949 859 1265 1146 1581 1432 1898 1718 12000 759 687 1139 1031 1518 1375 1898 1718 2277 2062 16000 1012 917 1518 1375 2024 1833 2530 2291 3036 2750 18000 1139 1031 1708 1547 2277 2062 2846 2578 3416 3093 20000 1265 1146 1898 1718 2530 2291 3163 2864 3795 3437 22000 1392 1260 2087 1890 2783 2520 3479 3151 4175 3781 25000 1581 1432 2372 2148 3163 2864 3953 3580 4744 4296 28000 1771 1604 2657 2406 3542 3208 4428 4010 5313 4812 30000 1898 1718 2846 2578 3795 3437 4744 4296 5693 5155 33000 2087 1890 3131 2836 4175 3781 5218 4726 6262 5671 35000 2214 2005 3321 3007 4428 4010 5534 5012 6641 6015 38000 2404 2177 3605 3265 4807 4354 6009 5442 7211 6530 44000 2783 2520 4175 3781 5566 5041 6958 6301 8349 7561 56000 3542 3208 5313 4812 7084 6416 8855 8020 10626 9624 60000 3795 3437 5693 5155 7590 6874 9488 8592 11385 10311 63000 3985 3609 5977 5413 7970 7218 9962 9022 11954 10826

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 เลือกซื้อแอร์กับฉลาดซื้อ

กองบรรณาธิการ“จากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัว สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้แนวโน้มของตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้อาจจะอยู่ในภาวะชะลอตัว” ประโยคข้างต้นอาจดูคล้ายหัวข้อข่าวในหน้าเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ และในความเป็นจริง แม้ว่าสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนมีทีท่าจะร้อนระอุกว่าปีที่ผ่านมา และความต้องการเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น แต่สภาพทางเศรษฐกิจที่ปรับลดลง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคาดว่าการแข่งขันของตลาด เครื่องปรับอากาศในปีนี้จะรุนแรง และจะทำให้ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศต้องพยายามปรับตัว พร้อมจัดรายการส่งเสริมการขายเครื่องปรับอากาศ ตั้งแต่ต้นปีเพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้   โปรโมชั่นส่วนใหญ่เน้นไปที่การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีของเครื่องปรับอากาศ ที่สร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัว และหันกลับมาใช้กลยุทธ์ทางด้านราคา โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ สำหรับตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้ จะมีมูลค่าประมาณ 740,000 เครื่อง โดยมีอัตราการเติบโตในเชิงปริมาณอยู่ที่ 4% ขณะที่การเติบโตในเชิงมูลค่าจะอยู่ที่ 2% จากปกติจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5-10% โดยมีแบรนด์มิตซูบิชิ อีเล็คทริคของ ค่ายกันยงวัฒนาเป็นผู้นำตลาด ครองส่วนแบ่ง 29% และจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้กันยงต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาด ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิต และปรับลดคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้ราคาของเครื่องปรับอากาศลดลง ในฤดูร้อนเช่นนี้อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนัก ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงมากขึ้น ซึ่งการดูแลเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเพื่อเตรียมรับหน้าร้อนโดยการล้างเครื่องปรับอากาศจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีขึ้น ส่วนใครที่ต้องการซื้อเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนนี้ก็ต้องทำการบ้านกันหน่อยค่ะ เพราะจากการสำรวจพบว่าพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีเทคโนโลยีเรื่องของสุขภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือช่วยประหยัดไฟ ราคา บริการหลังการขายและรูปลักษณ์ของตัวสินค้า แต่อย่างไรก็ตามฉลาดซื้อเห็นว่า เราควรเลือกเครื่องปรับอากาศแบบที่คุ้มค่าระหว่างเงินที่เสียไปกับเทคโนโลยีที่ได้มา อีกทั้งผู้บริโภคยังต้องคำนึงถึงเรื่องการช่วยประหยัดไฟในระยะยาวด้วยนะคะ แอร์เลือกอย่างไรให้เย็นใจ 1.เลือกเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดของห้องขนาดการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ เรียกว่า บีทียู (บีทียู/ชั่วโมง) การเลือกขนาดบีทียูให้เหมาะกับขนาดห้องเป็นเรื่องสำคัญสุด ทำไมต้องเลือกบีทียูให้พอเหมาะกับห้อง เพราะถ้า BTU สูงไป คอมเพรสเซอร์ทำงานตัดบ่อยเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง ทำให้ความชื้นในห้องสูง ไม่สบายตัวและที่สำคัญราคาแพงและสิ้นเปลืองพลังงาน BTU ต่ำไป คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา เพราะความเย็นห้องไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ สิ้นเปลืองพลังงานและเครื่องเสียเร็ว   BTU/ ช.ม. ห้องปกติ (ตารางเมตร) ห้องที่โดนแดด (ตารางเมตร) 9000 12-15 11-14 12000 16-20 14-18 18000 24-30 21-27 21000 28-35 25-32 24000 32-40 28-36 26000 35-44 30-39 30000 40-50 35-45 36000 48-60 42-54 48000 64-80 56-72 60000 80-100 70-90 หรือมีสูตรสำหรับคำนวณง่ายๆ คือ BTU = พื้นที่ห้อง ( กว้าง X ยาว ) X ตัวแปรตัวแปรแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ 700 สำหรับห้องที่มีความร้อนน้อยใช้เฉพาะกลางคืน 800 สำหรับห้องที่มีความร้อนสูงใช้กลางวันมาก และกรณีที่ห้องสูงกว่า 2.5 เมตร บวกเพิ่ม 5 % 2.เลือกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5การเลือกฉลากเบอร์ 5 หมายถึงว่า คุณได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่ไม่กินไฟมากแต่ให้ความเย็นได้เท่ากัน หากเครื่องปรับอากาศที่คุณชอบเป็นเบอร์ 5 เหมือนกัน บีทียูเท่ากัน ให้เลือกเครื่องที่มีค่า EER สูงกว่า เพราะกินไฟน้อยกว่าแต่ให้กำลังความเย็นเท่ากัน (ค่า EER หรือ Energy Efficiency Ratio เป็นค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพด้านพลังงาน ซึ่งสามารถคำนวณได้เองหรือดูจากเอกสารแนะนำสินค้าที่ผู้ผลิตนำเสนอไว้ หรือดูได้ทันทีตอนนี้เลยที่เรื่องเด่น 2 ค่ะ) 3.พิจารณาเรื่องอายุการใช้งาน การติดตั้งและบริการหลังการขายความบกพร่องใดๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเลือกบริษัทหรือผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีการทำตลาดมานาน มีบริการติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญ และบริการหลังการขายที่ดี ตลอดจนการรับประกันต่างๆ ก็คือจุดสำคัญของการพิจารณาเลือกเครื่องปรับอากาศเช่นกัน 4.พิจารณาคุณสมบัติพิเศษและดีไซน์ต่างๆ ว่าใช้คุ้มราคาหรือไม่นอกจากเบอร์ 5 แล้ว เดี๋ยวนี้ยังแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีความเย็น ความเงียบ จนกระทั่งก้าวมาสู่กระแสสุขภาพที่หลายๆ แบรนด์ต้องใส่ระบบฟอกอากาศในเครื่องปรับอากาศ ซึ่งมีทั้ง ซิลเวอร์นาโน นาโนไททาเนียม แผ่นกรองเฮปป้าฟิลเตอร์ พลาสม่าคลัสเตอร์ เป็นต้น ลองพิจารณาดูนะคะว่าคุ้มค่าหรือไม่ เรามีข้อมูลมาฝากค่ะ ระบบการทำการของเครื่องปรับอากาศก็มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคเช่นกัน เช่น ระบบฟอกอากาศ (Air Purifier) ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตนิยมติดตั้งระบบฟอกอากาศไว้ในเครื่องปรับอากาศ เพื่อช่วยทำให้อากาศภายในห้องมีความสะอาดบริสุทธิ์ มากขึ้น ซึ่งระบบฟอกอากาศที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่องปรับอากาศมีอยู่ด้วยกันหลายระบบดังนี้(1) การกรอง (Filtration) เป็นการใช้แผ่นกรองอากาศในการดักจับฝุ่นละออง หรืออนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่าช่องว่างระหว่างเส้นใย โดยที่สิ่งสกปรกจะติดค้างอยู่ที่ไส้กรอง และต้องทำการเปลี่ยนเมื่อหมดอายุการใช้งาน ตัวอย่างของระบบนี้ก็คือ HEPA (High Efficiency Particulate Air) ซึ่งเป็นการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.05 ไมครอน ในกรณีที่ต้องการกำจัดกลิ่นในอากาศ จะนิยมใช้แผ่นคาร์บอน (Activated carbon filters) เพื่อดูดซับกลิ่นเช่น กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นอาหารเป็นต้น    (2) การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) เป็นการใช้ตะแกรงไฟฟ้า (Electric grids) ในการดักจับฝุ่นละออง หรืออนุภาค โดยการเพิ่มประจุไฟฟ้าให้กับอนุภาคฝุ่นละออง และใช้แผ่นโลหะอีกชุดหนึ่งซึ่งเรียงขนานกันดูดอนุภาคฝุ่นละอองไว้ โดยที่หลังจากใช้งานไประยะหนึ่งต้องหยุดเครื่องเพื่อทำความสะอาดแผ่นโลหะ(3) การปล่อยประจุไฟฟ้า (Ionizer) เป็นการใช้เครื่องผลิตประจุไฟฟ้า และปล่อยออกมาพร้อมกับลมเย็นเพื่อดูดจับอนุภาคฝุ่นละออง และกลิ่น โดยประจุลบที่ปล่อยออกมาจะทำการดูดจับอนุภาคฝุ่นละอองและกลิ่น ซึ่งมีโครงสร้างเป็นประจุบวก จนกระทั่งกลุ่มอนุภาคเหล่านั้นรวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่ขึ้น และตกลงสู่พื้นห้อง โดยกลุ่มอนุภาคเหล่านั้นจะถูกกำจัดไปพร้อมกับการทำความสะอาดพื้นห้องตามปกติ ดังนั้นระบบนี้จึงไม่จำเป็นต้องมีการทำความสะอาดเพราะไม่มีการดักจับโดยใช้แผ่นกรอง แต่เป็นการใช้ปฏิกิริยาทางเคมี ประจุลบ = ผลิตจากระบบฟอกอากาศประจุบวก = ฝุ่นละออง กลิ่น ควัน เชื้อโรค เครื่องปรับอากาศที่บอกว่ามีระบบฟอกอากาศนั้นเพียงแค่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปเพาะเชื้อในเครื่องได้ตอนที่ปิดเครื่องไปแล้วมีความชื้น เครื่องปรับอากาศนั้นหน้าที่เดียวคือให้ความเย็นในเมืองร้อน (หรือให้ความอุ่นในเมืองหนาว) การกรองอากาศ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฟอกอากาศ ซึ่งการกรองอากาศคือการดูดฝุ่นนั่นเอง ในขณะที่การฟอกอากาศที่ดีจะเพิ่มการปล่อยประจุ +/- มาฆ่าเชื้อโรค หรือทำให้เชื้อโรคเป็นหมันและสลายเคมีที่เป็นอันตรายด้วย ดังนั้นการจะเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศหรือฟอกอากาศนั้นควรจะคำนึงเสียก่อนว่าระหว่าง อากาศเย็นสบายกับอากาศที่ปราศจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา สิ่งใดสำคัญกว่ากันค่ะ 5. เลือกประเภทของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมเครื่องปรับอากาศ 2 แบบที่ผู้บริโภคมักใช้กันในบ้าน คือ1) แบบติดผนัง (Wall type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่มีรูปแบบเล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่น้อย เช่น ห้องนอน ห้องรับแขกขนาดเล็ก ข้อดี: รูปแบบทันสมัย และมีให้เลือกหลากหลาย เงียบ และติดตั้งง่าย ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับงานหนัก เนื่องจากคอยล์เย็นมีขนาดเล็กส่งผลให้คอยล์สกปรก และอุดตันง่ายกว่าคอยล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 2) แบบตั้ง/แขวน (Ceiling/floor type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ตั้งแต่เล็กเช่น ห้องนอน ไปจนถึงห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น สำนักงาน ร้านอาหาร ห้องประชุม ข้อดี: สามารถเลือกการติดตั้งได้ทั้งตั้งพื้น หรือแขวนเพดาน สามารถใช้งานได้หลากหลาย เข้าได้กับทุกสถานที่ และการระบายลมดี ข้อเสีย: ไม่มีรูปแบบให้เลือกมากนักสรุปปัจจัยต่างๆ ในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนนี้ ได้แก่ ขนาดห้องที่ติดตั้ง โดยการคำนวณขนาดทำความเย็น (BTU) รูปแบบของเครื่องปรับอากาศว่าเป็นแบบติดผนัง ตั้ง แขวน โดยต้องคำนึงถึงพื้นที่ที่จะทำการติดตั้ง และความสะดวกในการดูแลรักษา บริการหลังการขาย เทคโนโลยีพิเศษ และสุดท้ายก็คือวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องปรับอากาศ เพราะมันจะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคงทนของเครื่องปรับอากาศค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 97 บัตรเครดิตยอดเยี่ยม ยอดแย่

ความเดิมตอนที่แล้ว ฉลาดซื้อฉบับที่ 95 ได้นำเสนอผลการสำรวจบางส่วนเกี่ยวกับสัญญาบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ไปบ้างแล้วโดยเน้นที่ประเด็นการทวงหนี้ ที่เราพบว่ามีผู้ประกอบการ หลายเจ้าที่ระบุในสัญญาว่า เรายินยอมให้เขาไปทวงหนี้กับบุคคลอื่นได้ การสำรวจของฉลาดซื้อเป็นการเก็บข้อมูลจากแผ่นพับที่สถาบันการเงิน แจกจ่ายให้กับลูกค้า และจากการโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก เจ้าหน้าที่ของบริษัท งานนี้มีบัตรเครดิตลงแข่งทั้งหมด 17 ใบ (รวมเจ้าที่เป็นบัตรเครดิตพ่วงสินเชื่อด้วย 1 ใบ) และบัตรสินเชื่ออีก 6 ใบคราวนี้ลองมาดูกันเต็มๆ ว่า บัตรเครดิต/สินเชื่อ เจ้าไหน น่าใช้ (หรือไม่น่าใช้) กว่ากัน บัตรเครดิต/สินเชื่อ ที่ฉลาดซื้อชอบ ...* มีขนาดตัวอักษรในสัญญาไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร* ผู้ถือบัตรจะได้รับแจ้งล่วงหน้ากรณีมีการเปลี่ยนแปลง เรื่องอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ฯลฯ* ผู้ถือบัตรจะได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน* ไม่มีข้อความที่ระบุให้ผู้ถือบัตร ยินยอมผูกพันตามข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ จะมีเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงในภายหน้า* ไม่มีข้อความระบุว่าผู้ถือบัตรจะไม่เพิกถอนความยินยอม และไม่เรียกร้องค่าตอบแทน* ไม่มีข้อความระบุว่าผู้ถือบัตร ยินยอมให้ธนาคารใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลได้ (เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด)* ไม่มีข้อความระบุว่าเจ้าของบัตรไม่สามารถเพิกถอนความยินยอมที่ให้ไว้แม้จะยกเลิกบัตร* ไม่มีข้อความที่ระบุว่ายินยอมให้บริษัทนำข้อมูลที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ ในการเสนอขายผลิตภัณฑ์* ไม่มีข้อความระบุให้เจ้าหนี้สามารถทวงหนี้กับบุคคลอื่นได้* ไม่มีข้อความระบุว่าข้อตกลงการใช้บัตรเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา* ไม่มีข้อความว่าบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า* ผู้ถือบัตรสามารถโทรไปอายัดบัตรได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ไม่ต้องรอเฉพาะเวลาทำการ) บัตรเครดิตTop 3ลำดับ 1. บัตรเครดิตกสิกรไทยลำดับ 2. บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพลำดับ 3. บัตรเครดิตซิตี้แบงก์ Bottom 4ลำดับ 14. บัตรเครดิต กรุงศรี จีอีลำดับ 15. บัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ดลำดับ 16. บัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่าลำดับ 17. (คะแนนน้อยที่สุด). บัตรเครดิตเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า สินเชื่อ (เรียงตามลำดับคะแนนได้ดังนี้)สินเชื่อบุคคล เคทีซี แคชบัตรกดเงินสดยูเมะ พลัสสินเชื่อบุคคล กรุงศรี สไมล์ แคช สินเชื่อเงินสดพร้อมใช้สินเชื่อหมุนเวียนสปีดี้แคช / สินเชื่อบุคคลสปีดี้โลน สินเชื่อเงินสด เพาเวอร์บาย ดาวโหลด File รายละเอียด ผลการสำรวจ บัตรเครดิต และสินเชื่อ ตัวอย่างค่าธรรมเนียมต่างๆ ของบัตรเครดิต บัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมแรกเข้าบัตรหลัก ค่าธรรมเนียมแรกเข้า บัตรเสริม ค่าธรรมเนียมรายปี บัตรหลัก ค่าธรรมเนียมรายปี บัตรเสริม ค่าธรรมเนียมการขอตรวจสอบรายการ ค่าธรรมเนียมการขอบัตรใหม่ บัตรเครดิตกสิกรไทย 600 -- 2,000 ฟรี 1,050 -- 3,500 1,050 -- 3,500 ไม่มี 200 - 500 บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ฟรี -- 4,000 ไม่ระบุ ฟรี -- 4,000 ไม่ระบุ 100/ครั้ง 200 บัตรเครดิตซิตี้แบงก์ ไม่ระบุ ไม่ระบุ ฟรี -- 4,000 ไม่ระบุ ไม่ระบุ ไม่ระบุ บัตรเครดิตทหารไทย 500 -- 1,500 500 -- 1,500 600 -- 1,500 600 -- 1,500 ไม่ระบุ 100 -200 บัตรเครดิตพร้อมสินเชื่อบ้าน ฟรี ยกเว้นบัตรวีซ่าแพลทินัม อีลีท บัตรมาสเตอร์การ์ด แพลทินัม บัตรวีซ่าเพื่อธุรกิจ บัตรมาสเตอร์การ์ด ไททาเนียม 15,000 บาท ฟรี 1,600 - 4,000 1,000 -- 1,500 ฟรีถ้าไม่ต้องการสำเนา 200 บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ ฟรี และฟรีปีต่อไปถ้าใช้จ่ายตามที่กำหนด ไม่ระบุ ฟรี และฟรีปีต่อไปถ้าใช้จ่ายตามที่กำหนด ไม่ระบุ ไม่ระบุ 150 บัตรเครดิตธนาคารนครหลวงไทย 500 -- 1,000 500 -- 1,000 650 -- 1,200 500 -- 1,000 100/รายการ 250 บัตรเครดิตธนาคารยูโอบี 500 - 750 (ฟรีสำหรับแพลทินัม) ฟรี 600 -- 3,000 300 - 600 (ฟรีบัตรแพลทินัม) 100/ครั้ง ไม่ระบุ บัตรเครดิตอิออน ฟรี ฟรี ฟรี 100 ไม่มี 200 บัตรเครดิตเอชเอสบีซี ฟรี - 500 ฟรี 500- 3,800 ฟรี - 800 ไม่ระบุ 200 บัตรเครดิตโรบินสัน วีซ่า ฟรี ไม่ระบุ 100 200 ไม่ระบุ 200 บัตรบิ๊กซีมาสเตอร์การ์ด ฟรี ไม่ระบุ 199 ไม่ระบุ 150/ครั้ง 150 บัตรเครดิตธนาคารกรุงไทย ฟรี ไม่ระบุ ฟรี ไม่ระบุ ไม่มี ไม่มี บัตรเครดิต กรุงศรี จีอี ฟรี ไม่ระบุ ฟรี ไม่ระบุ ไม่ระบุ 200 บัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด ไม่ระบุ ไม่ระบุ 100 - 300 50 -- 150 200/ครั้ง 200 บัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่า ไม่ระบุ ไม่ระบุ 600 100 200/ฉบับ 200 บัตรเครดิตเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า ฟรี ไม่ระบุ 300 -500 150 - 250 200/ครั้ง 100 - 200 อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน สำหรับสินเชื่อ สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย (% ต่อปี)/ วันที่เริ่มคิด ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน (% ต่อปี) /วันที่เริ่มคิด ค่าธรรมเนียมการขอตรวจสอบรายการ ต่อครั้ง ค่าธรรมเนียมการขอบัตรใหม่ สินเชื่อบุคคล เคทีซี แคช 15% ไม่ได้ระบุวันที่เริ่มคิด สูงสุดไม่เกิน 13% ไม่ได้ระบุวันที่เริ่มคิด ไม่มี ไม่มี บัตรกดเงินสดยูเมะ พลัส สูงสุด 28% 100 บาท/ครั้ง 100 บาท/ครั้ง สินเชื่อบุคคล กรุงศรี สไมล์ แคช 26% ต่อปี สำหรับวงเงินที่ได้รับอนุมัติ 30,000-44,999 บาท 21% ต่อปี สำหรับวงเงินที่ได้รับอนุมัติ 45,000-100,000 บาท ไม่ได้ระบุวันเริ่มคิด รวมกับดอกเบี้ยแล้ว สูงสุดไม่เกิน 28% ต่อปี ไม่ได้ระบุวันเริ่มคิด ไม่มี ไม่ได้ระบุ สินเชื่อเงินสดพร้อมใช้ ไม่เกิน 28% ขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อ 28% (5,000-99,000 บาท) 21.25% (100,000-399,999 บาท) 19.16% (400,000-499,999 บาท) 17.06%(ตั้งแต่ 500,000บาทขึ้นไป) 200 บาท/ครั้ง 200 บาท/ใบ สินเชื่อหมุนเวียนสปีดี้แคช / สินเชื่อบุคคลสปีดี้โลน สูงสุด 28% - ไม่มี ไม่มี สินเชื่อเงินสด เพาเวอร์บาย สูงสุดไม่เกิน 15% ไม่ได้ระบุวันที่เริ่มคิด สูงสุดไม่เกิน 13% ไม่ได้ระบุวันที่เริ่มคิด ไม่ระบุ 100 บาท/ครั้ง                                                             ความปลอดภัยในการใช้บัตรบัตรเครดิตหรือสินเชื่อทุกบัตรที่เราสำรวจนั้น การอายัดบัตรสามารถทำได้ภายใน 5 นาที และแน่นอนเราต้องเสียค่าธรรมเนียม ในการทำบัตรใหม่อันเนื่องมาจากการขออายัดบัตรเก่าด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 97 บัตรเครดิต ใช้อย่างไรไม่เป็นหนี้

กองบรรณาธิการบัตรเครดิต ใช้อย่างไรไม่เป็นหนี้การใช้บัตรเครดิต ว่าไปแล้วก็คือการนำเงินในอนาคต (ของเรา) มาใช้จ่าย ณ เวลาปัจจุบัน จัดเป็นสินเชื่อประเภทหนึ่ง ถ้าผู้ใช้บัตรมีวินัยในการใช้จ่ายดีพอ เรียกว่า ฉลาดใช้ กล่าวคือ ไม่จ่ายจนเกินความสามารถในการจ่ายหนี้คืนได้เต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด บัตรเครดิตก็มีประโยชน์เพราะช่วยให้จับจ่ายใช้สอยได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องพก พาเงินสดเป็นจำนวนมากๆ เรียกว่า เอาเงินของธนาคารมาใช้ก่อนโดยไม่มีดอกเบี้ยกวนใจแต่คงต้องยอมรับกันล่ะว่า คนส่วนหนึ่ง(อาจเป็นส่วนใหญ่) ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการจับจ่ายของตัวเองได้ อาจเพราะถูกโปรโมชั่นต่างๆ ล่อใจ หรืออาจเพราะคิดว่าสามารถผ่อนจ่ายได้เรื่อยๆ สบายๆ เนื่องจากบัตรเครดิตมีบริการให้จ่ายคืนขั้นต่ำได้ (ร้อยละ 10) จนอาจลืมไปว่า ดอกเบี้ยของสินเชื่อบัตรเครดิตนั้นสูงมาก คือสูงถึงร้อยละ 20 ต่อปี (ลองคิดเทียบกับเงินฝากหรือเงินกู้ประเภทอื่น) ดังนั้นหากยิ่งมีจำนวนเงินค้างชำระมากเท่าไร จำนวนดอกเบี้ยก็จะยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว รวมถึงค่าธรรมเนียมยิบย่อยเป็นต้นว่า ค่าทวงถาม ค่าธรรมเนียมรายปี ฯลฯ สุดท้ายก็พัวพันเป็นหนี้สินก้อนโต ผ่อนใช้กันไม่รู้จักจบสิ้น ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนี้ โอกาสที่จะสูญเสียรายได้หรือตกงาน จนหมดความสามารถจ่ายหนี้คืนได้อาจมาถึงโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นก่อนคิดมีบัตรเครดิตหรือก่อนใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตทุกครั้ง ต้องรอบคอบและมั่นใจว่า ไม่ได้ใช้จ่ายจนเกินตัวและมีเงินมากพอที่จะจ่ายคืนได้ครบเมื่อถึงรอบกำหนด จ่ายคืน ถ้าทำได้เช่นนี้บัตรเครดิตก็จะไม่เป็นปัญหาอะไรกับชีวิตเลยปี 2552 แนวโน้มบัตรใหม่ลดลง ธนาคารก็กลัวหนี้เสียเหมือนกันข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ภาพรวมปริมาณบัตรเครดิตทั้งระบบ ณ สิ้นปี 2552 น่าจะมีปริมาณบัตรเครดิตอยู่ที่ประมาณ 13,650,000 บัตร ซึ่งถือว่าเป็นภาวะชะลอตัว เมื่อเทียบกับปริมาณบัตรเครดิตในปัจจุบัน (สิ้นปี 2551) คือ 12,987,073 บัตร เหตุเพราะปี 2552 ฝ่ายผู้ประกอบการจะอนุมัติบัตรยากขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคเองส่วนใหญ่อาจจะประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งการตกงาน ขาดรายได้ หรือการยกเลิกบัตรเพื่อลดภาระการใช้จ่ายลงทิศ ทางที่ทำให้เห็นว่า ผู้ประกอบการจะคัดคุณภาพผู้ถือบัตรมากขึ้นคือ ธนาคารบางแห่งได้ปรับฐานเงินเดือนของผู้ที่จะขอทำบัตรเครดิตจากที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนดคือ ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน เป็น 18,000 – 20,000 บาท ไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2551 กล่าวคือป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบสินเชื่อนั่นเอง บัตรเครดิตทั้งระบบ ณ สิ้นปี 2551 คาดการณ์ ณ สิ้นปี 2552 ปริมาณบัตรเครดิต 12,987,073 บัตร 13,650,000 บัตร ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 799,717ล้านบาท 879,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิต 189,227 ล้านบาท 201,900 ล้านบาท ผู้บริโภคต้องรอบคอบกับแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายเมื่อคัดคุณภาพของผู้ที่จะถือครองบัตรรายใหม่อย่างเข้มงวด ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวเน้นการทำยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรกับผู้ถือบัตรเดิม ให้มากขึ้น เราจึงเห็นแคมเปญต่างๆ ออกมามากมาย ทั้งการสะสมแต้มรับรางวัลพิเศษเป็นของรางวัลต่างๆ หรือการบินไปต่างประเทศ การนำเงินคืนเข้าบัญชีผู้ใช้บัตร(Cash Back) หรือการให้สิทธิพิเศษในการผ่อนซื้อสินค้าในอัตราดอกเบี้ย 0 ฯลฯ ถ้าผู้บริโภคไม่รอบคอบในการใช้จ่าย อาจส่งผลเสียหายในอนาคตได้ดังนั้นต้องระวังให้มากเช่น การให้สิทธิในการซื้อตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ ลองถามตัวเองก่อนว่า เดินทางได้ตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการกำหนดหรือไม่ หากทำได้ก็ถือว่าคุ้ม แต่ถ้าไม่มีทางทำได้อย่างเงื่อนไข การใช้จ่ายหนักมือก็คือภาระที่ต้องแบกรับหนักขึ้นเมื่อถึงกำหนดจ่ายชำระคืน หรือการคืนเงินสดกลับบัญชี ประเภท “จ่ายมากสะสมมาก” ลองพิจารณาเงื่อนไขให้ดีก่อน หากจ่ายแล้วต้องมาเดือดร้อนหาเงินจ่ายหนี้คืนให้ทันรอบบัญชีเพื่อไม่ให้เกิด ดอกเบี้ย สู้ไม่ใช้ดีกว่าไหม เพราะถึงเงินในบัญชีไม่เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ลดลงล่ะน่าฉลาดใช้บัตรเครดิต1.การที่ผู้ประกอบการแข่งขันกันให้สิทธิพิเศษมากมายแก่ผู้ใช้บัตร มองให้ดีก็ดี มองให้ร้ายก็ได้ เพราะเท่ากับกระตุ้นให้ใช้จ่ายเกินตัว ดังนั้นควรพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ให้รอบคอบเสียก่อน ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์และประเมินตัวเองแล้วว่า มีเงินสดพอที่จะจ่ายคืนได้ทันกำหนดโดยไม่เสียดอกเบี้ย ถือว่าเป็นสิทธิประโยชน์ที่น่าพิจารณา เช่น การผ่อนชำระเมื่อซื้อสินค้าได้ถึง 6 เดือนไม่มีดอกเบี้ย นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ควรเป็นสินค้าที่สามารถสร้างประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้เท่านั้น ไม่ควรนำเงินไปใช้จ่ายกับสินค้าฟุ่มเฟือยหรือหรูหราเกินตัว2.ควรใช้บัตรเครดิตเฉพาะการชำระค่าสินค้าหรือบริการเท่านั้น อย่าใช้เบิกเงินสดล่วงหน้า เพราะท่านต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมเบิกเงินสดล่วงหน้าระหว่างร้อยละ 3 - 5 และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 20 เมื่อนำมารวมกันแล้วกลายเป็นดอกเบี้ยที่สูงมาก (ประมาณร้อยละ 33) แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องใช้เงินสดจำนวนมาก ควรหารูปแบบสินเชื่อประเภทอื่นดีกว่า3.การใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตไม่ควรเกินร้อยละ 20 ของรายได้ต่อเดือน รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตสะสมเป็นวงเงินที่สูงเกิน กว่ารายได้ต่อเดือน การชำระเงินคืนควรจ่ายให้ทันรอบบัญชีเพื่อมิให้มีดอกเบี้ยเกิดขึ้น หรือไม่ไหวจริงๆ ก็ให้จ่ายเท่าที่จ่ายได้แต่ไม่ควรเป็นขั้นต่ำ เพราะจะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป เงินคงค้างเหลือมากเท่าไร ดอกเบี้ยก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น4.อย่ามีบัตรเครดิตหลายใบ จำนวนที่เหมาะสมคือ 1 – 2 ใบ หากเกินกว่านี้จะทำให้เกิดภาระหนี้สินได้ไม่รู้ตัวระลึกไว้เสมอ การใช้บัตรเครดิตจะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อผู้ใช้บัตรเครดิตมีการวาง แผนและมีวินัยทางการเงินที่ดี หากเผลอรูดเพลินจนลืมตัวเมื่อไรแล้วล่ะก็ ได้กลายเป็นสมาชิกชมรมหนี้บัตรเครดิตไปอีกยาวเลยเชียว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 ผลสำรวจค่าธรรมเนียมโรงเรียนอนุบาล

ปิติ วาสนาดำรงดี ผลสำรวจค่าธรรมเนียมโรงเรียนอนุบาล“สมัยนี้ ค่าธรรมเนียมโรงเรียนอนุบาลเอกชนที่ไหนๆ ก็แพงกันทั้งนั้น แล้วฉันจะส่งลูกเข้าเรียนที่ไหนดีล่ะ“ นี่เป็นปัญหาใหญ่มากๆ ของบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย เมื่อพบว่าบุตรหลานของพวกเขาอายุครบ 3 ขวบแล้ว ถึงเกณฑ์ที่จะส่งเข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาล 1 ค่าธรรมเนียมแพงจริงไหม และมีที่มาจากค่าอะไรบ้าง เราควรเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับฐานะเศรษฐกิจของครอบครัวและให้เหมาะสมกับลูกรัก แล้วรัฐบาลได้เข้ามาอุดหนุนค่าธรรมเนียมการศึกษาอย่างไรเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง เรามาติดตามกัน แบ่งประเภทโรงเรียนอนุบาลตามสังกัด โรงเรียนอนุบาลในบทความนี้ คือโรงเรียนที่เปิดสอนชั้นระดับอนุบาล1 ขึ้นไป ซึ่งมีหลายระดับตั้งแต่เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับอนุบาลอย่างเดียว หรือเปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 ขึ้นไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลขอแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มเอกชน แบ่งออกเป็นโรงเรียนในเครือคาทอลิก โรงเรียนเอกชนทั่วไป และโรงเรียนนานาชาติ ทุกแห่งสังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 2.กลุ่มโรงเรียนรัฐบาล โดยหลักแล้วแบ่งย่อยออกเป็น โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษาของกรุงเทพมหานคร และโรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทย   ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่กับค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรก ค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรก จะหมายถึงค่าเล่าเรียนรวมค่าแรกเข้า ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในวันที่ผู้ปกครองจะต้องชำระในวันมอบตัวต่อโรงเรียน (สำหรับโรงเรียนใดมีมากกว่า 2 เทอม ค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรกจะเพิ่มขึ้นโดยการหารเฉลี่ยเพื่อคิดแบบ 2 เทอมต่อปี)   โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก 1.โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก ในกทม. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 22,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 6,500 -50,000 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 แห่ง)2.โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก ในตจว. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 13,500 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 3,180 -36,880 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 แห่ง)ประมาณการสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนในเครือคาทอลิก แบ่งเป็น ค่าเล่าเรียน 41% ค่าแรกเข้า 27% ค่าอาหาร 17%และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 15%   โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไป1.โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไป ในกทม. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 20,350 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 4,000 -57,800 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 64 แห่ง)2.โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไป ในตจว. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 8,040 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด ฟรี -79,000 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 85 แห่ง)ประมาณการสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนเอกชน แบ่งเป็น ค่าเล่าเรียน 31% ค่าแรกเข้า 26% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 23%และค่าอาหาร 20% สำหรับสัดส่วนห้องเรียนชั้นอนุบาลโรงเรียนเอกชนอยู่ในช่วง 2-3 ห้อง มีนักเรียนประมาณ 20-30 คน และมีครู 2 คน (มีครู 1 คน พี่เลี้ยง 1 คน) โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ1.โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ ในกทม. มีค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่ ตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป มีค่าธรรมเนียมเฉลี่ย 247,300 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 64,000 – 759,200 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 24 แห่ง)2.โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ ในตจว. มีค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 50,001-300,000 บาท มีค่าเฉลี่ยคือ 173,820 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 41,000 – 430,000 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 แห่ง จากทั้งหมด 30 แห่ง) ประมาณการสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนนานาชาติ แบ่งเป็น ค่าเล่าเรียน 40% ค่าแรกเข้า 38% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 19%และค่าอาหาร 3%ส่วนโรงเรียนนานาชาติมีอยู่ในช่วง 1-2 ห้อง และมีนักเรียนอยู่ในช่วง 10-25 คน และมีครูในช่วง 2-3 คน (ครู 2 พี่เลี้ยง 1 คน) โรงเรียนอนุบาลของรัฐบาลโรงเรียนของรัฐบาลนั้นมีค่าธรรมเนียมการศึกษาฟรี รัฐอุดหนุน 100% ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ผู้ปกครองเสียแค่ ค่าอาหาร ค่าพี่เลี้ยงค่าใช้จ่ายส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งรวมกันแล้วประมาณ 3,000 ต่อเทอม วิธีคิดค่าธรรมเนียมเทอมสองแบบคร่าวๆค่าธรรมเนียมเทอมสองนั้น มีวิธีคิดง่ายๆ คือ นำค่าธรรมเนียมการศึกษาแรกเข้า เทอม 1 หักค่าใช้จ่ายค่าแรกเข้า (โดยส่วนใหญ่แล้วค่าแรกเข้าคือส่วนต่างระหว่างค่าธรรมเนียมการศึกษาทางเทอม 1 กับเทอม 2) ตัวอย่างเช่น โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก มีค่าธรรมเนียมเทอม 1 รวมค่าแรกเข้าเฉลี่ย เท่ากับ 22,000 บาท และมีสัดส่วนแรกเข้าเท่ากับ 27% หรือและเท่ากับ 5,940 บาท ดังนั้นโรงเรียนจะมีค่าใช้จ่ายเทอม 2 ประมาณ 16,060 บาท (สัดส่วนนี้เป็นการประมาณแบบคร่าวๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละสถาบัน) โครงสร้างค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรกรวมค่าแรกเข้า โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไปในกทม.พิจารณาจากค่าธรรมเนียมรวมค่าแรกเข้าในเทอมแรก โดยใช้ค่าเทอมเฉลี่ยโรงเรียนอนุบาลเอกชนในกรุงเทพฯ จำนวน 64 แห่ง สุ่มตัวแทนจากทุกเขตรวมกัน มีค่าเฉลี่ยค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรกเท่ากับ 20,350 บาท และมีค่าธรรมเนียมเทอมสองหักค่าแรกเข้าร้อยละ 30 (พิจารณาจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนเอกชน) จะเหลือค่าธรรมเนียมเทอม 2 จำนวน 14,245 บาท เมื่อรวมกับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจำนวน 5,896 บาทต่อคนต่อปี รวมเป็นค่าธรรมเนียมการศึกษาแรกเข้าแท้จริง จำนวน 40,491 บาทต่อคนต่อปี ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ส่วนค่าเล่าเรียนที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียน(~40%) เป็นการเก็บค่าเรียนแบบคงที่ จำนวน 4,960 บาท 2.ส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เป็นเงินอุดหนุนแบบคงที่(~60%) จำนวน 5,896 บาท แบ่งเป็น เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานจำนวน 1,700 บาทและเงินอุดหนุนเงินเดือนครูต่อนักเรียน 1 คนจำนวน 4,196 บาท 3.เงินค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่มเติมแบ่งเป็นค่าธรรมเนียมแรกเข้า,ค่าอาหาร,ค่าอุปกรณ์พิเศษ,ค่าเรียนพิเศษ,ค่าบำรุงการศึกษา ฯลฯ จากข้อมูลนี้พบว่า ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่มเติมมีมากสุด ร้อยละ 73 ค่าเล่าเรียนที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียน ร้อยละ 12 เงินอุดหนุนเงินเดือนครูต่อนร.1 คน ร้อยละ 10 เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานร้อยละ 4 ส่วนเงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนจากรัฐบาลมีอัตราต่ำรวมกันมีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น ขณะที่ค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติมจากโรงเรียนอยู่ในอัตราสูงร้อยละ 73 ถ้าโรงเรียนสามารถลดค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติมหรือคงระดับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในปีต่อไป และให้ภาครัฐเข้ามาเพิ่มสัดส่วนเงินอุดหนุนให้มากขึ้นก็จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองในยามภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนี้ได้ เงินอุดหนุนของรัฐต่อโรงเรียนอนุบาลเอกชน ปัจจุบันโยบายของรัฐที่ให้เงินอุดหนุนแก่โรงเรียนอนุบาลเอกชน รายหัวนักเรียนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 จากยอดรายรับต่อหัวเฉลี่ยของโรงเรียน ซึ่งทางรัฐคำนวณแล้วว่ารายได้ต่อนักเรียน 1 คนเท่ากับ 10,856 บาท แบ่งเป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 1,700 บาท* เงินอุดหนุนเงินเดือนครูต่อนักเรียน 1 คน 4,196 บาท รวมเป็นเงินอุดหนุน 5,896 บาท โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียนอีก 4,960 บาท ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน คือ ค่าใช้จ่ายจริงสำหรับผู้เรียนทุกคนและค่าใช้จ่ายสำหรับสถานศึกษาเพื่อดำเนินงานจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานสถานการณ์ปัจจุบันโรงเรียนเอกชนขอรับเงินอุดหนุนกว่าร้อยละ 90 จากโรงเรียนทั้งหมด ทั้งนี้โรงเรียนที่ขอรับเงินอุดหนุนจะต้องประกาศเฉพาะค่าเล่าเรียนไว้ตามที่รัฐบาลกำหนดเท่ากับจำนวน 4,960 บาท โรงเรียนที่ไม่ขอรับเงินอุดหนุน ส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามส่งเสริมการจัดการศึกษา โดยการเพิ่มเงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนให้ ร้อยละ 70 จากเดิม ร้อยละ 60 ช่วยลดภาระค่าเล่าเรียนของผู้ปกครองให้เหลือเพียงร้อยละ 30 และนโยบายเรียนฟรี 15 ปีจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 5,000 บาทต่อปี หากทำได้จะทำให้สามารถยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียน ปีละ 4,960 บาท

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก

ปิติ วาสนาดำรงดีกองบรรณาธิการ โรงเรียนอนุบาลในประเทศไทยมีจำนวนมากเหลือเกิน แล้วจะเลือกอย่างไรดี คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกในวัยที่ถึงเกณฑ์ต้องส่งลูกเข้าเรียนชั้นอนุบาลคงกลุ้มใจเหลือกำลัง ยิ่งเข้ายุคเศรษฐกิจไม่ดีด้วยแล้ว เหลือบไปเห็นค่าเทอมค่าธรรมเนียมที่แสนจะแพงเข้า ก็เล่นเอาหนาวไปเหมือนกัน แต่เพื่อให้ลูกรักได้สิ่งที่ดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่ต้องพิถีพิถันกันหน่อย และก็ไม่ใช่ว่า ราคาแพงจะเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะสิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากที่สุดคือ ลูกได้รับการดูแลที่ดี โรงเรียนสามารถเตรียมความพร้อมให้ลูกได้มากพอจะไปรับมือหรือเรียนรู้กับสังคมได้ ที่สำคัญลูกต้องมีความสุขที่ได้ไปโรงเรียนด้วยมิใช่หรือ   ฉลาดซื้อแนะ หลักในการเลือกโรงเรียนอนุบาล1. เยี่ยมชมโรงเรียนคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเลือกโรงเรียนให้บุตรหลานของคุณจากเหตุผลเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านหรือได้รับคำชักชวนจากเพื่อนบ้าน ถึงอย่างไรก็ดี สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นและมือคลำ เนื่องจากโรงเรียนที่คุณเลือกอาจไม่ได้ตรงตามสิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยตนเอง สิ่งต่างๆที่ควรสังเกต เรียงตามลำดับก่อน-หลัง ดังนี้การเดินทางเข้ามาโรงเรียน มีความสะดวกสบายและมีการจราจรเป็นอย่างไร มีป้ายบอกชื่อและทางเข้าโรงเรียนไหม สถานที่จอดรถสำหรับการรับส่งนักเรียนเป็นอย่างไร สภาพพื้นที่ภายนอกก่อนเข้ามาที่โรงเรียนว่ามีความปลอดภัยเพียงใดและวิธีการแลกบัตรเข้ามาโรงเรียน เป็นต้นห้องเรียน ควรไปชมการเรียนการสอนในห้อง ตรวจดูความสะอาด สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในห้องเรียนว่ามีพอเพียงหรือไม่ อุปกรณ์ความปลอดภัยในห้องเรียน เช่น ถังดับเพลิง และสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ข้อควรคำนึงคือโปรดระมัดระวังการจัดฉากจากโรงเรียนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายนอกห้องเรียน เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา ห้องน้ำ ตู้น้ำดื่ม ห้องพยาบาล โรงอาหาร สนามเด็กเล่น สนามกีฬา สระว่ายน้ำ สระว่ายน้ำ เป็นต้น พิจารณาว่ามีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และมีความสะอาด หรือไม่ อาหารและนม คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกไปเยี่ยมชมโรงเรียนช่วงก่อนรับประทานอาหารเที่ยงของนักเรียนสักเล็กน้อย เพื่อจะได้เห็นการรับประทานอาหารของเด็กนักเรียน และพิจารณาว่าอาหารและนมของเด็กมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ 2. ขอดูนโยบายและแนวทางการเรียนการสอนโรงเรียนอนุบาลหลักๆ มี 2 แนว คือ แนวกระแสหลัก เน้นการเรียนรู้เชิงวิชาการ กับแนวทางเลือก เน้นการเตรียมความพร้อม และใช้นวัตกรรมการเรียนแบบใหม่ โรงเรียนอนุบาลกระแสหลักหรือแนววิชาการซึ่งโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่จะเป็นแบบแนวนี้ เป็นรูปแบบจัดการเรียนการสอนแต่ดั้งเดิม ด้วยเชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในการเรียนรู้ได้เต็มที่ ดังนั้นควรเร่งสอนให้เด็กสามารถหัดอ่าน หัดเขียน หัดบวกลบเลขให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะสามารถเรียนรู้เพิ่มขีดความสามารถของสมองให้กว้างขึ้น ส่วนโรงเรียนอนุบาลทางเลือกหรือแนวเตรียมความพร้อม จะเน้นพัฒนาศักยภาพของเด็ก โดย นําเอาความต้องการของเด็ก ความสุขของเด็กเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเริ่มที่ตัวเด็กเอง โดยผ่านกิจกรรมทั้งหลาย เช่น วาดรูป เล่นเกม ร้องเพลง เป็นต้น เพื่อพัฒนาแนวคิด สำหรับนวัตกรรมการสอนและทฤษฎีที่โรงเรียนทั้วไปยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Reggio Emilia, Project Approach, Whole Language , จิตพิสัย เป็นต้น การศึกษาและสอบถามนโยบายและแนวทางการเรียนการสอนจากคุณครูหรือผู้บริหารจะทำให้เข้าใจแนวคิดของโรงเรียน และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ครูผู้สอน นอกจากนั้นควรสอบถามถึงรางวัลโรงเรียนดีเด่นหรือรางวัลชนะเลิศด้านต่างๆของโรงเรียน อัตราการเข้าเรียนโรงเรียนดัง รวมถึงถามคำถาม เกี่ยวกับอัตราสวนคุณครูกับจำนวนนักเรียน ข้อมูลเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันที่นักเรียนแต่ละคนต้องทำ 3. ตรวจสอบครูผู้สอน ครูผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการอบรม สั่งสอน และปลูกฝังความคิด ทัศนะคติและความรู้ แก่เด็ก ดังนั้น คุณพ่อและคุณแม่ควรสัมภาษณ์ครูผู้สอน ประวัติการศึกษา ถ้าคุณครูจบมาทางด้านครุศาสตร์มาโดยตรงจะมีความได้เปรียบกว่าสายอื่นๆ เนื่องจากคุณครูจะสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ได้อย่างดี นอกจากนั้นลักษณะและบุคลิกของครูผู้สอนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอย่างรอบคอบ 4.ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆโรงรียนอนุบาลเอกชน โดยมากมักมีค่าธรรมเนียมการศึกษาต่ำ แต่จะมีค่าแรกเข้าสูง หรือหลายๆครั้งโรงเรียนจะเลี่ยงการเก็บค่าแรกเข้าที่สูง โดยเก็บเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าอุปกรณ์,ค่ากิจกรรมพิเศษ,ค่าคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ทั้งหมดที่เกี่ยวกับค่าเทอมแรกเข้า ค่าเทอมสองและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดปีการศึกษาด้วย และถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องออกเพิ่มเติมด้วย เช่น ค่าเสื้อผ้า,ค่าหนังสือ,ค่ารถโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนส่วนใหญ่จะไม่นำมาคำนวณในค่าเทอมแรกเข้า และควรคำนวณให้เพียงพอต่อรายได้ของครอบครัว คำแนะนำเพิ่มเติมกรณีโรงเรียนเอกชนตรวจสอบรายได้ของผู้ปกครอง โดยใช้เกณฑ์ 10% จากรายได้ครัวเรือน รายได้ของครอบครัว(คุณพ่อและคุณแม่)ที่เหมาะสมคือเดือนละ 30,000 บาท ขึ้นไป สามารถส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนได้ เนื่องจากสามารถรับค่าเล่าเรียนเอกชนตกเดือนละประมาณ 3,000 บาทได้ (ค่าธรรมเนียมการศึกษาเฉลี่ยต่อปีประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป) หรือร้อยละ 10 ของรายได้ ซึ่งพิจารณาจากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2549 พบว่าครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,787 บาท รายได้จำนวน100%แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ 32% ค่าที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ภายในบ้าน 22% ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะ และการเดินทาง 18% การสื่อสาร 4% ค่ารักษาพยาบาล 2% ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา 2% และมีเงินออม 20% ดังนั้นเมื่อนำเงินออม 8% หรือลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบ 8% เพราะควรเหลือเงินออมขั้นต่ำร้อยละ 10 ของรายได้ จะสามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาและส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนได้ ทั้งนี้หนี้สินเพื่อการศึกษาซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพื่อการศึกษาของตนเองในอัตราร้อยละ 2 นั้นยังค่อนข้างต่ำเพราะหนี้สินเพื่อการศึกษาถือว่าเป็นการลงทุนประการหนึ่ง ที่เพิ่มศักยภาพของการหารายได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต สำหรับโรงเรียนนานาชาตินั้น รายได้ครอบครัวควรมีรายได้เดือนละประมาณ 400,000 บาท เป็นต้นไป เนื่องจากค่าธรรมเนียมเฉลี่ยตกปีละ 500,000 บาทหรือเดือนละ 41,666 บาท คิดในอัตราส่วนร้อยละ 10 ของรายได้ ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น คุณแม่เลือกอย่างไรคุณปวีณา ตั้งจิตรพร ผู้ปกครองส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลคาทอลิก ต่างจังหวัด เป็นผู้ปกครองท่านหนึ่งที่มีรายได้เพียงพอและมีความเห็นว่าโรงเรียนอนุบาลเอกชนมีค่าธรรมเนียมการศึกษาไม่แพงนัก เหมาะสมกับคุณภาพการเรียนการสอนที่โรงเรียนจัดให้ แสดงความเห็นดังนี้ “ที่เลือกส่งลูกเรียนเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ มีการเรียนการสอนครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาพื้นฐานทั่วไปหรือด้านภาษา โดยโรงเรียนให้ความสำคัญกับการเรียนด้านภาษามาก นอกจากนั้นทางโรงเรียนได้จัดการเรียนพิเศษภาคฤดูร้อน(summer) โดยคลอบคลุมทักษะด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา,ดนตรี,ศิลปะและคอมพิวเตอร์ ที่ผ่านมาถือว่าโรงเรียนได้มีคุณภาพการสอนดี สังคมและสิ่งแวดล้อมที่นี่ก็ดี กิจกรรมที่โรงเรียนจัดทุกปีคือ เช่น งานกีฬาสี กิจกรรมผู้ปกครองก็มีเช่น กิจกรรมของสมาคมผู้ปกครอง อยากให้ลูกเรียนที่นี่จนถึง ป 6. แล้วจึงให้ลูกเรียนต่อในโรงเรียนของรัฐชื่อดัง เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่า ลูกสอบได้ที่ไหนก็ให้เข้าเรียนที่นั่น สำหรับค่าเทอมถือว่าไม่แพงนัก ค่าเทอมปกติประมาณเทอมละ 20,000 บาท แต่ผู้ปกครองที่จะส่งลูกเข้าเรียนที่นี่ควรมีฐานะปานกลางขึ้นไป จะได้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นตามมา” ในขณะที่ผู้ปกครองที่ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลรัฐบาล (สพฐ.).ในต่างจังหวัด คุณสวนีย์ ฉ่ำเฉลียว กล่าวว่า “ที่เลือกส่งลูกเรียนที่นี่เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน มีญาติเป็นครูในโรงเรียน อีกทั้งตนเองยังเป็นศิษย์เก่าที่เคยเรียนมา โรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ป6.เชื่อมั่นในคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนนี้ เพราะสามารถปั้นให้เป็นคนเก่งได้ทุกคน ไม่จำเป็นต้องเรียนในโรงเรียนเอกชน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของเด็กเองด้วย ที่ผ่านมาเห็นว่าคุณครูมีความเอาใจใส่ต่อเด็กทุกคน มีความเข้าใจเด็ก และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างดี อัตราครูต่อนักเรียนของโรงเรียนไม่น้อยเกินไป มีความเหมาะสม อีกทั้งค่าธรรมเนียมการศึกษาฟรี จ่ายเพียงค่าเสื้อผ้า 500 บาทเท่านั้น”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point