ฉบับที่ 168 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ 2558 ดีเอสไอ เชือด!!! อาหารเสริม “เมโซ” (Mezo) อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ถูกเช็คบิลไปอีกหนึ่งยี่ห้อ สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงอย่าง อาหารเสริมยี่ห้อ “เมโซ” (Mezo) ที่ถูกทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำการตรวจยึดของกลางได้กว่า 1 ล้านแคปซูล มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท จาก 2 แหล่ง คือที่ บริษัท เมโซ เอนเทอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตราเมโซ (Mezo) และที่โรงงานผลิตอาหารเสริม บริษัท สุกฤษ 55 จำกัด ซึ่งพบผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายความผิดหลายรายการ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนักตราเมโซ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนัก ตรา FOMO V Shape Body ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนัก ตราดับเบิลยูพีพลัส และผลิตภัณฑ์เอฟบีแอลพลัส มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท โดยโรงงาน-บริษัท ข้างต้นจดทะเบียนถูกต้อง มีรูปแบบการทำธุรกิจโดยเป็นเจ้าของสูตรยา แล้วโฆษณาให้คนที่มีต้นทุน และสนใจที่จะเข้ามาลงทุน โดยระบุข้อความขอเพียงมีเงินลงทุนเท่านั้น บริษัทจะเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ ทำการตลาด กำหนดยี่ห้อสินค้าให้ แต่ใช้สูตรตัวยาเดียวกัน สำหรับความผิดที่นำไปสู่การตรวจยึดสินค้าครั้งนี้มาจากการที่ผลิตภัณฑ์แสดงชื่อไม่ตรงกับที่จดแจ้งไว้ และแสดงฉลากข้อความอวดอ้างสรรพคุณฝ่าฝืนประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยอาหารและยา มาตรา 6 (10) และมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 อาหารเสริมดังกล่าวมียอดการจำหน่ายต่อปีกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งต้องตรวจสอบการยื่นเสียภาษีด้วย ส่วนการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดนั้น ดีเอสไออยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน โดยในส่วนของโรงงานยังไม่สั่งปิด เนื่องจากผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์ให้กับหลายบริษัท แต่หากพบว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากโรงงานมีความผิด ก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป อย.เตรียมปรับฉลากอาหารใช้สัญลักษณ์แสดงโภชนาการ บ้านเรามีความพยายามอย่างมากในการปรับปรุงฉลากอาหารให้มีความเป็นมิตรกับผู้บริโภคมากที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของฉลากโภชนาการที่เป็นข้อมูลสำคัญที่แจ้งให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงส่วนประกอบต่างๆ ในอาหารที่เรารับประทาน ซึ่งล่าสุดผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) น.ส.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ออกมายืนยันว่าทาง อย. มีแผนที่จะปรับปรุงฉลากอาหารโดยจะมีการกำหนดเกณฑ์ของสารอาหารที่เหมาะสมต่อการบริโภคที่จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยใช้วิธีการมอบตราสัญลักษณ์ให้แก่ผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารได้ตามเกณฑ์ที่ อย. กำหนดไว้ ที่ผ่านมามีข้อเสนอจากภาคประชาชนที่เสนอให้ใช้ฉลากอาหารแบบสัญญาณไฟจราจร ที่เป็นแบบแจ้งปริมาณสารอาหารว่าอยู่ในเกณฑ์หรือไม่แบบตรงไปตรงมา ซึ่งผู้อำนวยการสำนักอาหารก็ยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก เพราะเป็นรูปแบบฉลากที่ผู้ประกอบการไม่ยอมรับ ส่วนฉลาก GDA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นการให้ข้อมูลที่อ่านง่ายแต่ไม่ได้ตัดสินว่าผลิตภัณพ์อาหารนั้นดีหรือไม่ดี โดยภายในปีนี้ เครื่องหมายตราสัญลักษณ์แบบใหม่จะเริ่มนำมาใช้ได้ในกลุ่มอาหารแช่แข็งเป็นกลุ่มแรกและค่อยๆ ทยอยออกเพิ่มเติมต่อไป สปสช. เพิ่มยา 6 รายการในสิทธิบัตรทอง คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้อนุมัติสิทธิประโยชน์ด้านยาเพิ่มเติม 6 รายการ เพื่อให้ผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง เข้าถึงการรักษาพยาบาลและได้รับยาที่จำเป็นเพิ่มขึ้น โดยยา 6 รายการที่มีการอนุมัติเพิ่มเติมได้แก่ 1. ยาลอราซีแพม อินเจกชัน ใช้ฟื้นฟูลดภาวะที่สมองจะถูกทำลายและเสียชีวิตจากการชัก มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยา 3,000 - 5,000 คนต่อปี 2. ยาทริแพน บูล ใช้ย้อมสีถุงหุ้มเลนส์ตาระหว่างผ่าตัดต้อกระจก และย้อม Internal Limiting membrane กรณีผ่าจอตา มีผู้ป่วยต้องการใช้ประมาณ 10,000 รายต่อปี 3. ยาอินดอคยาไนน์ กรีน ใช้วินิจฉัยโรคจุดภาพเสื่อม (PCV ) มีผู้ป่วยที่ต้องการใช้ประมาณ 20,000 ราย 4. ยาดาคาบาซีน ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดกินส์ ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับยานี้มีโอกาสหาย มีผู้ที่ต้องรับยานี้ประมาณ 100 คนต่อปี 5. ยารักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว APL ใช้สำหรับกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา All-trans-retinoic acid มีผู้ป่วยที่ต้องได้รับยานี้ประมาณ 1,000 คน และ 6. Factor Vlll และ Factor IX สำหรับผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย A และ B มีผู้ป่วยที่ต้องใช้รับยานี้ประมาณ 1,483 ราย การส่งเสริมเรื่องการเข้าถึงยาเพิ่มมากขึ้นในครั้งนี้ นอกจากช่วยให้ผู้ป่วยบัตรทองได้สิทธิในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยกองทุนบัตรทองถึงปีละเกือบหมื่นล้านบาท ช่วยลดภาระค่ายาที่มีราคาแพงให้กับโรงพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเหล่านี้ สั่ง “วิตามิน-อาหารเสริม” จากต่างประเทศ ระวังเสียเงินฟรี!!! อย.เตือนใครที่คิดจะสั่งซื้อ “วิตามิน” และ “อาหารเสริม” จากต่างประเทศผ่านทางเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต ระวังจะสูญเงินเปล่า เพราะวิตามินและอาหารเสริมที่สั่งซื้ออาจเข้าข่ายเป็นยาตามกฎหมาย อย. หากไม่มีการขึ้นทะเบียนนำเข้าก็จะถูกสกัดที่ด่านอาหารและยาตั้งแต่ต้นทาง ปัจจุบันพบว่ามีคนที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากต่างประเทศ เช่น วิตามิน เกลือแร่ โสมสมุนไพร หรือสารสกัดต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งนำมาใช้เองและนำมาเพื่อจำหน่ายต่อ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาขายตามเว็บไซต์ต่างๆ นั้น แม้ในประเทศต้นทางแม้จะบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่เมื่อพิจารณาจากขนาดของวิตามิน เกลือแร่ หรือสารสกัดต่างๆ ที่เป็นส่วนผสมแล้ว หากพบว่าเกินกว่าเกณฑ์ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ถือว่าเข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งวิตามิน หรือสารสกัดแต่ละตัวจะมีขนาดกำหนดไว้ไม่เท่ากัน และหากมีการโฆษณาว่าสามารถรักษาโรคได้ก็ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งหากไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนนำเข้ามาในราชอาณาจักรกับ อย. ก็ถือเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย หากใครมีข้อสงสัยเรื่องการสั่งซื้อนำเข้ายาจากต่างประเทศ ควรสอบถามให้แน่ใจกับทาง อย. เสียก่อน เพื่อป้องกันการสูญเงินไปแบบฟรีๆ โฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายเกลื่อนจอทีวี มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 10 จังหวัด ได้ทำการจับตาเฝ้าระวังสถาการณ์ของบรรดาผลิตภัณฑ์สุขภาพโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงทั้งหลาย ที่ยังคงโฆษณาออกอากาศอยู่ตามช่องเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม ระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา พบว่าโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ออกอากาศอยู่ ณ ปัจจุบัน เกือบ 100% เป็นการโฆษณาอย่างผิดกฎหมาย เนื้อหาส่วนใหญ่โอ้อวดเรื่องสรรพคุณด้านความสวยความงาม การลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ขาว-สวย-ใส และเรื่องการรักษาโรคแบบครอบจักรวาล ข้อมูลที่ได้จากการเฝ้าระวังพบว่า โทรทัศน์ดาวเทียม-เคเบิ้ลจำนวน 18 ช่อง พบแล้ว 17 ช่อง ที่โฆษณาผิดกฎหมายและเป็นช่องที่กสทช. เคยสั่งปรับไปแล้ว 5 ช่อง ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ไทยมุสลิม (TMTV) , ทีวีมุสลิมไทยแลนด์ , มีคุณทีวี , เอชพลัส (H+) และช่อง 8 (8 Channel : ดิจิตอลทีวี) โดยมีผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายที่โฆษณาอยู่จำนวน 95 ผลิตภัณฑ์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ผู้บริโภคต้องรู้เท่าทันและมีข้อมูลก่อนเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเทคนิคง่ายๆ สำหรับใช้เป็นคนสังเกตผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีดังนี้ 1.สังเกตเลขอนุญาต เช่น ด้านอาหาร คือ ฆอ. .../... , กรณีด้านยา คือ ฆท. .../... , เครื่องมือแพทย์ คือ ฆท. ..../... ,ส่วนเครื่องสำอางไม่ต้องมีเลขอนุญาตโฆษณา แต่ต้องไม่โฆษณาเกินจริง เป็นเท็จ ซึ่งจะมีความผิดตา พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค 2.พิจารณาเนื้อหา ว่าโฆษณาตรงกับผลิตภัณฑ์หรือไม่ 3.เนื้อหาโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงหรือไม่ สำหรับข้อเสนอที่ภาคประชาชนอยากให้หน่วยงานภาครัฐจัดการกับปัญหานี้ คือให้มีการปรับปรุงบทลงโทษผู้ที่ทำผิดให้มีความรุนแรงมากขึ้น และต้องเร่งรัดการจัดทำระบบฐานข้อมูลการอนุญาตโฆษณาอาหาร และเปิดให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเรื่องการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้ ที่สำคัญหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลปัญหานี้โดยตรงอย่าง อย. กสทช. ต้องจริงจังเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 167 ไก่กอและ

จัดเป็นไก่ย่างชนิดหนึ่ง เป็นไก่ย่างสไตล์มลายู ซึ่งนิยมกันมากในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะปัตตานีจะมีชื่อเสียงมาก ว่าไปแล้วคนไทยนิยมกินไก่กันมาก ไปถิ่นหนก็จะเจอไก่ย่างไปทั่ว ที่มีชื่อเสียงโด่งดังชื่อคุ้นๆ ก็เช่น ไก่ย่างเขาสวนกวาง ไก่ย่างวิเชียรบุรี ไก่ย่างบ้านโป่ง ไก่ย่างจีระพันธ์ ทั้งนี้คงเพราะไก่ย่างนั้น กินเป็นกับข้าวก็ได้ กับแกล้มก็ดี โดยเฉพาะกินกับส้มตำยิ่งอร่อย ยิ่งได้กินคู่กับข้าวเหนียวร้อนๆ ด้วยยิ่งเคี้ยวเพลินกันไปใหญ่ โดยไก่ย่างที่นิยมกินกันส่วนใหญ่จะเป็นไก่ย่างหนังกรอบๆ และอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมๆ แต่ไก่กอและไม่ได้เป็นแบบนั้น ไก่กอและ รสชาติจะออกหวานเปรี้ยวนิดๆ เนื้อไก่จะนุ่ม มีรสชาติกลมกล่อมในตัวเอง เพราะก่อนย่างเนื้อไก่จะต้องนำไปเคล้ากับเครื่องแกงเสียก่อน แล้วเวลาย่างก็จะราดน้ำกะทิปรุงรสไปด้วย ไก่กอและจึงมีสีออกส้มๆจากเครื่องเทศที่ประกอบด้วย พริกแดง ขมิ้น หอมแดง โดยมีรสหวานจากน้ำตาลมะพร้าวและรสเปรี้ยวจากมะขามเปียก ดังนั้นเมื่อย่างสุกแล้วรสชาติจะลงตัวโดยไม่ต้องอาศัยน้ำจิ้มเลย สมัยก่อนชาวบ้านทำไก่กอและรับประทาน จะกินกับข้าวเหนียวใบพ้อ(ลักษณะเหมือนข้ามหลาม) และทำกินกันในวันสำคัญโดยเฉพาะวันรายอ หรือวันจัดงานแต่งงาน เป็นต้น ที่สำคัญการทำไก่กอและถ้าไม่มีไก่ อาจเปลี่ยนเป็น ปลา หอย กุ้ง หมึก หรือเนื้อก็ได้ ภาษามลายูของไก่กอและ คือ "อาแยฆอและ" (Ayam Golek) คำว่า อาแย (Ayam) แปลว่าไก่  ฆอและ (Golek) แปลว่า กลิ้ง  อาแยฆอและ จึงแปลว่า ไก่กลิ้ง หรือก็คือการพลิกย่างบนไฟนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 เมื่อ layman ชนะผู้เชี่ยวชาญรอบที่ 21

มติของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เรื่องการให้ชะลอการสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ถูกใจสาธารณชนไม่น้อยไปกว่ามติของสปช.ที่ให้กสทช. สั่งให้บริษัทคิดค่าโทรศัพท์ ตามจริงเป็นวินาทีโดยไม่ปัดเศษเป็นนาที ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคประหยัดเงินไปได้มากกว่า 43,000 ล้านบาทต่อปี เหตุผลในการให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 21 นั้นคือ ปริมาณสำรองพลังงานปิโตรเลียมโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยมีน้อย และกำลังจะหมดไป ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ต้องนำเข้าพลังงานทุกประเภท ทั้งที่ข้อเท็จจริง เป็นเรื่องหมดอายุสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมในปี พ.ศ. 2565 หรืออีก 7 ปีจากนี้ ซึ่งจำนวนปีที่เหลือนี้ได้ถูกนำมาใช้ในลักษณะให้ดูเหมือนว่า ประเทศไทยใกล้จะไม่มีพลังงานใช้แล้วหากไม่เร่งเปิดสัมปทานต่อไป เพราะปริมาณก๊าซที่มีอยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุของสัญญาสัมปทาน เป็นเพียงประเด็นสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 1 ที่รัฐบาลให้กับบริษัทยูโนแคลหรือเชฟรอนในปัจจุบันในแหล่งเอราวัณ และที่ให้กับบริษัท ปตท.สผ.ในแหล่งบงกช ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวไทย ตั้งแต่ปี 2514 กำลังจะหมดสัญญาสัมปทาน หากไม่รีบดำเนินการจะทำให้ราคาพลังงานสูงเพราะต้องซื้อจากต่างประเทศ แต่โดยข้อเท็จจริง ราคาพลังงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสัมปทานพลังงานที่ได้ เพราะรัฐบาลมีนโยบายใช้ราคาพลังงานตามกลไกตลาดโลกแถมมีต้นทุนเทียมในกรณีราคาน้ำมัน เช่น ค่าขนส่งน้ำมันทั้งที่ไม่มีการขนส่งจริง หรือในกรณีก๊าซธรรมชาติ เราใช้ก๊าซธรรมชาติ 16.10 บาทต่อกิโลกรัมขณะที่ราคาในตลาดโลกเพียง 14 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น เช่น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2555 คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบให้ ปตท. ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ ในปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี อายุสัญญา 20 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 โดยเป็นสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาวฉบับแรกของประเทศไทย ดังนั้นถึงแม้การสัมปทานครั้งนี้ เราจะได้ก๊าซธรรมชาติมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ย่อมส่งผลต่อราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศน้อย เนื่องจากโครงสร้างราคาต้องรวมค่าใช้จ่ายซื้อก๊าซ 2 ล้านตันต่อปีที่ทำสัญญาล่วงหน้าไปแล้ว 20 ปีของปตท. เหมือนกับรูปแบบใช้หรือไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay)   โจทย์สำคัญในการปฏิรูปกิจการพลังงาน จึงต้องทำให้เกิดกลไกใหม่หรือองค์กรบริหารกิจการพลังงานรูปแบบใหม่ที่ลดผลประโยชน์ขัดแย้งในกลุ่มข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผูกขาดพลังงาน โดยเป็นกลไกที่มีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514  ให้มีเรื่องเหล่านี้ และรวมถึงการแบ่งปันผลประโยชน์ในกิจการพลังงาน นอกจากนี้ การยกร่างรัฐธรรมนูญ มีแนวทางที่อาจจะกำหนดให้ทรัพยากรพลังงานเป็นสมบัติของชาติและประชาชน หากเร่งเดินหน้าสัมปทานครั้งนี้ซึ่งเป็นเวลานานถึง 29-39 ปี ก็จะไม่มีความหมายใดๆ เพราะทรัพยากรธรรมชาติได้ถูกบริหารจัดการไปหมดแล้ว การทำให้เรื่องพลังงานเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องผู้เชี่ยวชาญ เป็นมายาคติที่ทำให้คนเชื่อถือนักวิชาการพลังงาน ทั้งที่เรื่องนี้เต็มไปด้วยผลประโยชน์ และความมั่งคั่งของทุนบางกลุ่มเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 เช็ค “แคลอรี” ในขนมหวานยอดฮิต

“ฮันนี่ โทสต์”, “เครปเค้ก”, “แพนเค้ก”, “เอแคลร์”, “ชูครีม” “มาการอง” ฯลฯ เหล่านี้คือ เมนูเบเกอรี่สูตรอินเตอร์ที่กำลังฮิตติดเทรนด์สุดๆ ในหมู่บรรดาผู้นิยมขนมหวาน ผู้ซึ่งไม่หวั่นต่อปริมาณน้ำตาลและไขมัน เรียกว่าฮิตขนาดที่ร้านดังๆ มีคนเฝ้ารอต่อแถวซื้อยาวเหยียด บางคนต้องรอเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ชิม แบบเดียวกับปรากฏการณ์เข้าคิวซื้อขนมยอดฮิตในอดีตอย่าง “โรตีบอย” และ โดนัท “คริสปี้ครีม” ซึ่งขนมที่เคยฮิตทั้ง 2 ประเภท (ปัจจุบันนี้โรตีบอยไม่มีขายในไทยแล้ว ส่วนโดนัทคริสปี้ครีมหลังขยายสาขาปรากฏการณ์เข้าคิวซื้อก็หายไปในเวลาอันรวดเร็ว) “ฉลาดซื้อ” ของเราก็เคยนำมาทดสอบดูปริมาณน้ำตาลและไขมันมาแล้ว เมื่อมีของกินมาใหม่และกำลังได้รับความนิยม แบบนี้ “ฉลาดซื้อ” ของเราไม่พลาดที่จะนำมาวิเคราะห์กันดูสิว่า แต่ละร้านแต่ละเมนูให้ พลังงาน น้ำตาล และไขมัน แค่ไหนกันบ้าง   ผลทดสอบค่าพลังงานในตัวอย่างขนมหวานยอดนิยม จากผลวิเคราะห์ที่ได้ จะเห็นว่าบรรดาขนมหวานยอดนิยมทั้งหลาย ล้วนแล้วให้ค่าพลังงานที่ค่อนข้างสูง อย่าง Round & Brown ของร้าน แพนเค้ก คาเฟ่ 1 เสิร์ฟ ให้พลังงานถึง 617.5 กิโลแคลอรี หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน หรือจะเป็นเมนูยอดนิยมที่สุดในตอนนี้อย่าง ชิบูญ่า ฮันนี่ โทสต์ ของร้าน อาฟเตอร์ยู ที่ 1 เสิร์ฟ ให้พลังงานสูงถึง 802.5 กิโลแคลอรี หรือคิดเป็นประมาณ 40% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะส่วนใหญ่คนที่ไปกินขนมหวานเหล่านี้ ไม่ได้กินคนเดียวหมด 1 เสิร์ฟ เพราะ 1 จากที่ทางร้านเสิร์ฟมา ก็มักจะช่วยๆ กันกิน ที่เห็นส่วนมาก จาน 1 ก็กินกันที 2 – 3 คน ถ้าเป็นแบบนี้ค่าพลังงานที่ได้ก็จะลดลง ไม่ถึงกับน่ากลัว ถ้าบริหารดีๆ ค่าพลังงานที่ได้จากการกินอาหารใน 1 วัน ก็น่าจะยังไม่เกินกับที่ร่างกายของเราต้องการ(ไม่เกิน 2,000 กิโลแคลอรี) แต่เห็นค่าพลังงานแบบนี้แล้ว บางคนที่คิดว่าไหนๆ พลังงานก็สูงแล้วกินมันแทนข้าวไปเลยแล้วกัน ถ้าเป็นแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ เพราะแม้จะให้พลังงานสูงเทียบเท่าอาหารมื้อหลัก แต่คุณค่าทางอาหารนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ขนมเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำจากแป้ง น้ำตาล ครีม ยังขาดสารอาหารสำคัญๆ อีกมากที่ร่างกายต้องการ อย่าง โปรตีน วิตามิน ใยอาหาร กินแต่ขนมก็ได้แต่ แป้ง ไขมัน น้ำตาล ถ้าอ้วนขึ้นมาจะหาว่าฉลาดซื้อไม่เตือนไม่ได้นะ ส่วนพวกที่เป็นขนมทานเล่นเป็นชิ้นๆ อย่าง ปารีส เอแคลร์ รส ไอเฟล ที่ 1 ชิ้นให้พลังงาน 306 กิโลแคลอรี ถ้ากิน 2 ชิ้น 612 กิโลแคลอรี ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง หรืออย่าง ขนมปังหน้าสังขยา จากร้าน มนต์นมสด ที่ปริมาณแคลอรีต่อ 1 แผ่นอยู่ที่ 268.6 กิโลแคลอรี 2 ชิ้นก็จะกลายเป็น 537.2 กิโลแคลอรี ก็ถือว่าค่อนข้างสูง ประมาณ 1 ใน 4 ของ พลังงานที่ร่างกายเราควรได้รับใน 1 วัน เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าแค่กินขนมชิ้น 2 ชิ้น คงไม่อ้วน ถ้าหากมื้อหลักอื่นๆ เรายังกินอาหารที่เต็มไปด้วยแป้งและไขมัน โดยเฉพาะพวกของทอด แล้วยิ่งถ้ากินพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟเย็น ชาเย็น ด้วยพลังงานที่เราได้รับมีสิทธิพุ่งทะยาน กินแบบนี้บ่อยๆ ไม่ใช่แค่ไขมันจะมาเพิ่มที่รอบเอว แต่สุขภาพก็จะมีปัญหาตามมาด้วย เทคนิคกินขนมหวานให้มีความสุข สุขใจไม่ทำร้ายสุขภาพ กินขนมให้เป็นขนม อย่ากินโดยคิดว่าจะกินแทนข้าว กินแค่พออร่อย อย่ากินเอาอิ่ม ขนมชิ้นใหญ่ จานใหญ่ อย่ากินคนเดียว แชร์กันกินกับเพื่อนหลายๆ คน ไม่ทำร้ายสุขภาพ แถมประหยัดเงินด้วย เพราะช่วยๆ กันจ่าย กินขนมหวาน อย่ากินคู่กับน้ำหวาน เดี๋ยว น้ำตาล กับ ไขมัน จะทวีคูณ กินของคาวแล้วไม่จำเป็นต้องกินขนมหวานเสมอไป ถ้าอิ่มแล้ว ก็ขอให้พอ เอาไว้กิน มื้อหน้า วันหน้า ก็ได้ กินขนมหวานแล้วอย่าลืมออกกำลังกาย อย่าเอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่โต๊ะ ลุกไปออกกำลังกายบ้าง เผาผลาญแคลอรี   กินถูกหลัก “พลังงานไม่เกิน” คนที่กลัวอ้วนหรือกำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักหลายคนกังวลเรื่องปริมาณแคลอรีของพลังงานจากการกินอย่างมาก ซึ่งมีหลายคนเข้าใจผิดเรื่องการคุมพลังงานจากการกินอาหาร ความจริงแล้วพลังงานถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากต่อร่างกาย การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ทั้งการทำงานของสมอง ระบบการเต้นของหัวใจ ระบบการหายใจ ล้วนแล้วต้องอาศัยพลังงานที่เราได้จากการกินอาหารและพลังงานบางส่วนที่ร่างกายเราสะสมเอาไว้ ซึ่งปริมาณแคลอรีของพลังงานจากการกินอาหารที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วันคือ 1,600 – 2,000 กิโลแคลอรี ซึ่งหากเราต้องกินอาหาร 3 มื้อต่อ 1 วัน ใน 1 มื้อ ปริมาณแคลอรีที่เราได้จะอยู่ประมาณ 350 – 500 กิโลแคลอรี ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วถือว่าเหมาะสมพอดีกับที่ร่างกายของเราต้องการ แถมยังเหลือพอให้เรากินพวกผลไม้ต่างๆ เป็นว่างของหวานหลังการกินอาหารมื้อหลักได้อีก แต่สาเหตุที่หลายคนน้ำหนักเพิ่มหรือมีรูปร่างอ้วนจากการกิน ส่วนใหญ่เป็นเพราะอาหารที่เพิ่มมาจาก 3 มื้อหลัก พวกขนมหวาน น้ำหวานน้ำอัดลม กาแฟเย็น ชาเย็น พวกนี้แหละคือตัวร้ายที่ทำให้หลายคนอ้วนขึ้น เพราะบรรดาขนมหวาน กับเครื่องดื่มรสหวานทั้งหลายให้พลังงานสูง สูงพอๆ กับอาหารจานหลัก อย่างเมนูเบเกอรี่ยอดฮิตทั้งหลายที่ฉลาดซื้อนำมาทดสอบล้วนแล้วแต่มีวัตถุดิบหลักคือ แป้ง น้ำตาล นม เนย ครีม บางสูตรก็เติมน้ำเชื่อม แยม ช็อกโกแลต เพิ่มความอร่อย เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้ากินขนมพวกนี้บ่อยๆ แล้วพุงน้อยๆ จะเริ่มย้อยออกมา เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่ก็กินข้าวแค่ 3 มื้อปกติ แต่ลืมคิดว่าระหว่างมื้อหลักก็กินขนมหวานของว่างจุบจิบอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แบบนี้จะไม่ให้แคลอรีเกินได้ยังไง   ค่าพลังงานในอาหารแต่ละประเภท   ที่มา : การดูแลสุขภาพทางโภชนาการด้วยตนเอง, ดร. บุญศรี   กิตติโชติพาณิชย์ ภาควิชาการพยาบาลสูติ-นารีเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช   ปริมาณสารอาหารที่เหมาะกับร่างกายใน 1 วัน   -พลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี -โปรตีน ตามน้ำหนักตัว กรัม (เช่น น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีนต่อวันคือ 50 กรัม) -ไขมันทั้งหมด น้อยกว่า 65 กรัม -กรดไขมันอิ่มตัว น้อยกว่า 20 กรัม -โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม -คาร์โบไฮเดรต ทั้งหมด 300 กรัม -ใยอาหาร 25 กรัม -โซเดียม น้อยกว่า 2,400 มิลลิกรัม -น้ำตาล น้อยกว่า 24 กรัม (ประมาณ 6 ช้อนชา) ที่มา : ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI (Thai Recommended Daily Intakes))   ออกกำลังกายช่วยเผาผลาญแคลอรี ใน 1 ชั่วโมง เราเผาพลังงานด้านได้แค่ไหน วิ่งเร็ว                                       560 กิโลแคลอรี วิ่งช้า (จ๊อกกิ้ง)                           490 กิโลแคลอรี เดิน                                         245 กิโลแคลอรี ปั่นจักรยาน                                420 กิโลแคลอรี ที่มา : http://manycalorie.com/calories-burned-running/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 ธุรกิจสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ

จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ประเทศไทยเราได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ตัวชี้วัดก็คือ จำนวนประชากรสูงวัย(อายุ 60 ปีขึ้น) ณ ปัจจุบันมีมากกว่า 9 ล้านคน ซึ่งเกิน 10% ตามนิยามขององค์การสหประชาชาติ ที่ระบุว่า ประเทศใดมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 10% หรืออายุ 65 ปี ขึ้นไปเกิน 7% ถือว่าประเทศนั้นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สิ่งที่ตามมากับตัวเลขอายุที่มากขึ้น คือ ความเสื่อมถอยของร่างกาย ทั้งหูตาที่ฝ้าฟาง ข้อ กระดูกที่เปราะบาง ความกระฉับกระเฉงลดลง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก อีกทั้งความเสื่อมถอยของร่างกายทำให้เป็นโรคได้ง่ายโดยเฉพาะกลุ่มโรคติดเชื้อ และถ้ายิ่งใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยระวังตัว โรคเรื้อรังในกลุ่มหัวใจ เส้นเลือด ก็กลายเป็นโรคประจำตัวที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการทุพพลภาพหรือพิการได้มากที่สุด ระดับผู้สูงอายุไทยอาจแบ่งได้เป็นสามระดับ คือ กลุ่มสูงอายุวัยต้น 60-79 ปี วัยปลาย 80-99 ปี และกลุ่มอายุเกิน 100 ปีขึ้นไป  ซึ่งในช่วงวัยต้นร่างกายยังไม่เสื่อมถอยมาก ประกอบกับความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ ทำให้ยังสามารถทำงานได้ เป็นประโยชน์ทั้งกับครอบครัวและชุมชน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องเข้าสู่ระยะพักผ่อน งานการต่างๆ ที่เคยทำได้ ก็อาจไม่สามารถทำได้อีกและต้องการผู้ช่วยเหลือดูแลในบางกิจกรรม เช่น  การเดินทาง  การใช้ขนส่งสาธารณะ การใช้โทรศัพท์ การเข้าใช้ห้องสุขา การอาบน้ำ การประกอบอาหาร เป็นต้น และเมื่อเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงมากที่สุด คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ต้องนอนติดเตียง ภาระทั้งหมดก็จะตกมาที่ผู้ดูแล ซึ่งสังคมไทยแต่เดิมมาก็ฝากไว้กับลูกหลาน หรือญาติพี่น้อง แต่สถานการณ์ปัจจุบันคือ ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งไม่มีลูก ต้องอยู่ตามลำพัง และถึงแม้จะมีลูก พวกเขาเหล่านั้นก็มีภาระที่มากมายรอบด้าน อาจทั้งในฐานะของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกของตน ตลอดจนภาระในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ถ้าผู้สูงอายุต้องเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงไม่ว่าจะมากหรือน้อย ใครจะเป็นผู้ดูแล?   สถานบริการดูแลผู้สูงอายุ จำนวนผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลไม่ว่าจะระดับมากหรือระดับน้อย ที่เพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ส่งผลให้มีความต้องการการดูแลในสถานบริการเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่ปรากฏว่าภาครัฐยังไม่มีการจัดให้มีบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุกลุ่มนี้อย่างชัดเจน มีเพียงสถานสงเคราะห์คนชรา(บ้านพักคนชรา) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่ออุปการะผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาทุกข์ยากเดือดร้อนไม่มีผู้ดูแลหรือไม่ก็ไร้ที่อยู่อาศัยเท่านั้น ขณะที่สถานบริการดูแลผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ของภาคเอกชน ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาล หรือจดทะเบียนเป็นสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยสูงอายุ หรือที่เราเรียกว่า เนอร์สซิ่งโฮม (Nursing Home) จะมีราคาค่าใช้จ่ายที่สูง และยังพบปัญหาในเรื่องของมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุที่ยังไม่มีมาตรฐานชัดเจนโดยตรง ตลอดจนอุปกรณ์การดูแลและสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่ไม่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่นเรื่องแสงสว่าง พื้นผิวห้อง ทางลาด จำนวนผู้ดูแลที่ไม่พอต่อจำนวนผู้สูงอายุ เป็นต้น เนื่องจากยังไม่มีบริการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวในภาครัฐ  มีแต่การบริการโดยภาคเอกชน   แต่ด้วยการจดทะเบียนของสถานพยาบาลเอกชนของไทยนั้นมีหลายลักษณะมาก ทำให้เราไม่สามารถทราบจำนวนสถานบริการผู้สูงอายุที่แน่ชัดได้ อีกทั้งในการประกอบธุรกิจสถานดูแลผู้สูงอายุ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นสถานพยาบาลก็ได้ แค่จดทะเบียนการค้าเท่านั้นก็สามารถดำเนินธุรกิจนี้ได้แล้ว ธุรกิจสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ อาจหมายถึง สถานบริการที่ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่มีการให้บริการที่พำนัก บริการยาแก่ผู้สูงอายุที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเป็นประจำ โดยทั่วไปจะครอบคลุม การให้บริการที่พักค้างคืน บริการอาหารการดูแลความสะอาดเสื้อผ้าและที่พัก ตลอดจนความสะอาดของร่างกาย พร้อมทั้งติดตามดูแลสุขภาพเบื้องต้นอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้ให้การรักษาพยาบาล หากมีความเจ็บป่วยจะบริการนำส่งต่อแผนกคนไข้ของโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อรับการรักษาพยาบาลต่อไป โดยอาจมีบริการเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมพิเศษ ที่ช่วยส่งเสริมให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ถ้าการให้บริการเน้นการดูแลเพื่อการฟื้นฟูสภาพสำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพาและทุพพลภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และต้องการบริการพยาบาลและยาเป็นประจำ จะจัดเป็น “สถานพยาบาล” ตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 และเป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการสถานพยาบาล พ.ศ. 2545 อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบัน คือ การให้บริการในธุรกิจนี้จะมีลักษณะของการผสมผสาน  โดยที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลแม้จะให้บริการในลักษณะของการบริบาลผู้สูงอายุก็ตาม และสถานบริการดูแลผู้สูงอายุหลายแห่งแม้แต่จดทะเบียนการค้าก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้อง ประเภทของการให้บริการ การบริการในสถานดูแลผู้สูงอายุในกลุ่มที่ไม่เน้นเรื่องการฟื้นฟูบำบัด ซึ่งผู้รับบริการส่วนใหญ่ไม่มีภาวะพึ่งพิง หรือพึ่งพิงไม่มาก ยังพอสามารถช่วยตัวเองได้ ส่วนใหญ่จะครอบคลุมการบริการหลักและมีการให้บริการเสริมเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและดึงดูดใจลูกค้า ดังนี้   บริการหลัก บริการเสริม Ø บริการดูแลผู้สูงอายุด้านความเป็นอยู่ทั่วไป Ø บริการที่พักค้างคืน Ø บริการอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 2 มื้อ Ø ดูแลทำความสะอาดของร่างกาย Ø ดูแลทำความสะอาดเสื้อผ้า Ø ติดตามดูแลสุขภาพเบื้องต้นแต่ไม่ได้ให้การรักษาพยาบาล หากมีความเจ็บป่วย Ø จะบริการนำส่งต่อแผนกคนไข้ของโรงพยาบาลใกล้เคียง Ø กิจกรรมกายภาพบำบัดเบื้องต้น Ø กิจกรรมสันทนาการต่างๆ และกิจกรรมตามวัฒนธรรมประเพณี Ø บริการรถรับ-ส่งจากบ้าน Ø นำส่งผู้สูงอายุตามแพทย์นัด Ø ทัศนศึกษา Ø บริการด้านจิตใจ เช่น การจัดกิจกรรมทางศาสนา Ø บำบัดในรูปแบบพิเศษต่างๆ เช่น วารีบำบัด Ø บริการด้านความรู้ข่าวสารใหม่และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ Ø การบรรยายจากวิทยากรรับเชิญต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลในการดำเนินชีวิต Ø การบริการประสานงานกับองค์กรอื่นๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย และการฌาปนกิจ   สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงสูง เช่น เป็นผู้ป่วยอัมพาต ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องหรือพักฟื้นจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ลักษณะการให้บริการของสถานดูแลผู้สูงอายุกลุ่มนี้จะอยู่ในข่าย เนอร์สซิ่งโฮม ซึ่งบริการที่จัดให้ได้แก่ บริการบำบัดทางการแพทย์ เช่น บริการยา การตรวจวัดอุณหภูมิ ความดันโลหิต บริการให้อาหารทางสายยาง ดูดเสมหะ บริการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพ การป้องกันแผลกดทับ ฯลฯ แต่ดังที่ได้กล่าวไป ส่วนใหญ่การให้บริการของสถานดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบันจะมีลักษณะผสมผสาน จึงจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการในการเข้ารับบริการ   ค่าใช้จ่ายไม่ธรรมดา ผู้ที่เลือกใช้บริการในสถานดูแลผู้สูงอายุ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นลูกหลานของผู้สูงอายุ บางทีผู้สูงอายุก็เป็นผู้เลือกใช้บริการสถานดูแลเหล่านี้ด้วยตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องมีความสามารถในการจ่ายพอสมควร ปกติราคาจะขึ้นอยู่กับบริการที่นำเสนอ ค่าบริการมีทั้งแบบรายวันและรายเดือน รวมทั้งเงินค้ำประกันหรือค่าประกันแรกเข้า(ส่วนนี้จะคืนเมื่อบอกเลิกใช้บริการ)   ในลักษณะรายวันค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 800-1000 บาท ส่วนรายเดือนประมาณ 10,000-25,000 บาท ทั้งนี้สถานบริการบางแห่ง ยังมีค่าบริการเสริมอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากค่าบริการปกติ เช่น การเฝ้าไข้เฉพาะบุคคล ค่ายานพาหนะรับส่งโดยกะทันหัน ค่ายาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งโดยรวมแล้วอาจสูงถึง 30,000 บาท/เดือน จากการสำรวจหากเป็นสถานบริการดูแลผู้สูงอายุในโรงพยาบาลจะมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด เพราะได้รวมค่าแพทย์และพยาบาลเข้าไว้ด้วย ค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่ประมาณเดือนละ 30,000-50,000 บาท และจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการบางท่านให้ความเห็นว่า การเรียกเก็บค่าบริการสูง ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันปัญหาการทิ้งผู้สูงอายุไว้กับสถานดูแล   มาตรฐานควบคุมและการคุ้มครองด้านบริการ กรณีสถานดูแลผู้สูงอายุในส่วนของเอกชน ยังไม่มีมาตรฐานกำกับที่ชัดเจน เว้นแต่ที่จดทะเบียนเป็นสถานพยาบาลสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ตามกฎหมายสถานพยาบาล ที่มีกองการประกอบโรคศิลปะเป็นผู้กำกับดูแล นอกจากนี้ต้องบอกว่า ไม่มีองค์กรกำกับดูแลโดยตรง ทั้งในส่วนมาตรฐานการให้บริการ การกำกับดูแลและการขึ้นทะเบียน ดังนั้นหากเกิดปัญหาจากการใช้บริการ คงต้องดำเนินการร้องเรียนในเรื่องสัญญากับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ถ้าสถานบริการดูแลผู้สูงอายุได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกองการประกอบโรคศิลปะ ก็สามารถร้องเรียนได้โดยตรง หรืออาจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้โดยใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค   การเลือกสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ สถานดูแลผู้สูงอายุที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ควรจัดให้เป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะในการดูแลผู้สูงอายุ หากเป็นไปได้ การดูแลโดยคนในครอบครัวย่อมดีที่สุด แต่หากบางครั้งมีความจำเป็น เช่น ผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้รับการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง อาจพิจารณาเลือกจ้างผู้ดูแลพิเศษประจำบ้าน ซึ่งท่านสามารถดูแลต่อได้เมื่อผู้ดูแลกลับไป อีกทั้งผู้สูงอายุก็ได้อยู่ในบ้าน ซึ่งสร้างความอบอุ่นใจได้มากกว่า การเลือกสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ ควรพิจารณาเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งควรจะใกล้บ้านและสะดวกในการเดินทาง สิ่งแวดล้อมรอบอาคารที่ให้บริการควรมีความสงบไม่พลุกพล่าน ไม่มีมลภาวะที่เป็นพิษ อีกทั้งควรพิจารณาในส่วนของอุปกรณ์เช่น เตียงนอน เครื่องมือแพทย์ การรักษาความสะอาดของสถานที่ ลักษณะทางกายภาพบางอย่างที่อาจไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ เช่น บันไดลาดชันเกินไป ประตูแคบไป ห้องน้ำสุขภาพภัณฑ์ต่างๆ   ควรได้รับการออกแบบให้เหมาะกับผู้สูงอายุ  ส่วนเรื่องราคาค่าบริการให้พิจารณาเปรียบเทียบกับการบริการที่จะได้รับ และระมัดระวังเรื่องค่าบริการเสริม ที่ไม่รวมอยู่ในค่าบริการปกติ และที่สำคัญอีกประการคือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ควรเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนสอนหลักสูตรดังกล่าวหลายแห่ง และควรมีจำนวนที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการ เพื่อให้สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงอย่างมีคุณภาพ   แม้ว่าผู้สูงอายุจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เหมือนในอดีต แต่ก็ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นควรช่วยกันเรียกร้องและผลักดันให้รัฐได้เข้ามามีส่วนในการดำเนินงาน สถานดูแลผู้สูงอายุระยะยาวที่เป็นของรัฐ หรือหน่วยงานของชุมชน หรือในรูปแบบที่เหมาะสม ได้มาตรฐานและเป็นธรรมโดยถือเป็นสวัสดิการที่รัฐพึงมอบให้กับประชาชนกลุ่มสูงวัยที่ได้มีส่วนร่วมสร้างสังคมมา   ไทยสู่ยุค “คนชราเต็มเมือง” จี้รัฐกันเงินก้อนโตไว้ดูแล หมอแนะผู้สูงวัยตุนเงิน “3 ล้านบาท” ไว้รักษา 2 โรคยอดฮิต! ผู้จัดการออนไลน์ 6 กุมภาพันธ์ 2556 ประเทศไทยใกล้เข้าสู่ภาวะคนชราเต็มเมือง แพทย์ชี้โรคหัวใจ-มะเร็ง ผลาญงบดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอ่วม แนะว่าที่ “คนแก่” ต้องเตรียมเงินค่ารักษาตัวโรคละ 1.5 ล้านบาท พร้อมเตรียมใจรับสภาพปัญหาขาดแคลนผู้ดูแลระดับวิกฤต “สิ่งที่รัฐบาลจะต้องรีบทำก็คือการส่งเสริมให้ประชาชนปรับเปลี่ยน วิถีชีวิตไปสู่แนวทางที่จะไม่เป็นโรคอย่างจริงจัง ซึ่งทำได้หลายระดับ ไม่เพียงแต่ให้ความรู้ในรูปแบบของข้อมูลเฉยๆ แต่รวมไปถึงการส่งเสริมทางสังคม เช่น จัดถนนหนทางให้คนขี่จักรยานได้โดยไม่มีรถมาชน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนออกกำลังกายระหว่างเดินทางไปทำงาน เพราะตอนนี้โอกาสที่คนไทยจะได้ออกกำลังกายแทบจะเหลืออยู่อย่างเดียวคือ การเดินทางไปทำงาน” นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2 แสดงทัศนะต่อบทบาทเชิงรุกที่รัฐบาลควรทำในการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของ ประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นมาระยะหนึ่งแล้ว โดยข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยแล้ว   อีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” เมื่อมีสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มสูงถึงร้อยละ 14 และต่อจากนั้นอีกไม่เกิน 10 ปี ไทยจะเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในปี พ.ศ. 2575 เมื่อประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ประชากร 1 ใน 5 จะมีอายุสูงกว่า 65 ปี และประชากรครึ่งหนึ่งในประเทศไทยจะมีอายุสูงกว่า 43 ปี! อาจจะช้าเกินไปด้วยซ้ำที่ประเทศไทยเพิ่งมาตั้งคำถามกันว่า จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้างเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคผู้สูงวัยเต็มอัตรา ? นพ.สันต์กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้แม้แต่ชาวไร่ชาวนาก็ไม่ได้ออกแรง ส่งผลให้ชาวไร่ชาวนามีอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นโรคของคนไม่ออกแรง สูงพอๆ กับคนที่อยู่ในเมือง เพราะชาวไร่ชาวนาในปัจจุบันกลายเป็นผู้จัดการท้องนาที่ไม่ต้องออกแรงเหมือนเดิม กิจกรรมการเกี่ยวข้าวไถนาล้วนแต่เป็นหน้าที่ของรถเกี่ยวรถไถที่ถูกจ้างมาแทน ที่แรงคน “ทำอย่างไรจะให้คนได้เดินทางไปทำงานพร้อมกับออกกำลังกายไปในตัว เป็นเรื่องที่ต้องทำในระดับรัฐบาล โดยอาจจะตั้งต้นด้วยเมืองเล็กๆ นำร่องขึ้นมาสักเมือง กำหนดถนนสำหรับคนเดินและขี่จักรยานโดยเฉพาะ แล้วค่อยๆ ขยายออกไป ในที่สุดคนก็จะได้ออกกำลังกาย เพราะอย่างไรเขาก็ต้องเดินทางไปทำงานอยู่แล้ว ทุกวันนี้บางคนเขาก็อยากเดินหรือขี่จักรยานไปทำงาน แต่ทำไม่ได้ เพราะกลัวถูกรถชน” ดังนั้นรัฐต้องส่งเสริมให้คนเริ่มรักษาสุขภาพตนเองตั้งแต่วันนี้ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นคนจะเสี่ยงต่อ 3 กลุ่มโรควัยชราต่อไปนี้ 1. กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคกลุ่มหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง จากข้อมูลปัจจุบันคนไทยราว 55% มีปัจจัยเสี่ยงของโรคเหล่านี้ ทำให้คนไทยเกินครึ่งเสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ 2. โรคสมองเสื่อม ซึ่งมากับคนอายุยืน 3. โรคซึมเศร้า ซึ่งตามมากับภาวะสมองเสื่อมและโรคเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า “3 โรคนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตของประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมคนชรา โดยเฉพาะ 2 โรคที่ค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าเพื่อนคือ โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง เพราะทางการแพทย์ยังไม่รู้วิธีรักษา จึงต้องรักษาที่ปลายเหตุ ส่งผลให้เป็นกลุ่มโรคที่กินเงินมากที่สุด โดยสังเกตได้จากการลงทุนของโรงพยาบาลภาคเอกชนที่จะเน้นลงทุนในกลุ่มนี้ เพราะสามารถเก็บเงินได้มาก” นพ.สันต์บอกอีกว่า ต้นทุนค่ารักษาพยาบาล 2 โรคแพงในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งค่ารักษาพยาบาลขั้นต้นของโรคมะเร็งในโรงพยาบาลเอกชนจะตกอยู่ที่ประมาณ 600,000 บาท ไม่นับรวมต้นทุนการดูแลเมื่อคนไข้ทุพพลภาพหรือเป็นผู้ป่วยเรื้อรังระยะสุด ท้าย ซึ่งในทางการแพทย์อาจจะหยุดให้การรักษา เมื่อถึงจุดที่รักษาแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีขึ้น ขณะที่ต้นทุนการรักษาโรคหัวใจ เฉพาะค่ารักษาขั้นต้นในโรงพยาบาลเอกชน จะมี 2 ชนิด คือ ชนิดที่จบลงโดยไม่ต้องผ่าตัด ค่ารักษาอยู่ที่ประมาณ 400,000 บาท และชนิดที่ต้องจบลงด้วยการผ่าตัดมีค่ารักษาประมาณ 800,000 บาท “นี่เป็นค่ารักษาขั้นต้นที่ยังไม่ได้นับรวมความยืดเยื้อเรื้อรังและ ค่าเสียโอกาสที่ทำงานไม่ได้ ดังนั้น ถัวเฉลี่ยแล้วโรค 2 กลุ่มนี้จะมีต้นทุนการรักษาขั้นต้น 6-8 แสนบาทต่อคนต่อโรคโดยประมาณ ไม่นับรวมภาวะทุพพลภาพที่เกี่ยวเนื่องจากโรค และการรักษาในฐานะผู้ป่วยที่สิ้นหวังระยะสุดท้าย ซึ่งการรักษาลุกลามจนเสียชีวิตก็ไม่น่าจะถูกกว่าการรักษาขั้นต้น โดยอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่พอๆ กัน หรือมากกว่า ดังนั้นโดยประมาณแล้วจะต้องใช้เงินต่อโรค 1,500,000 บาทต่อการดูแลผู้ป่วย 1 คน” ในขณะที่โรคสมองเสื่อมกับโรคซึมเศร้า มีต้นทุนการรักษาไม่แพง แต่ต้นทุนที่แพงไม่แพ้กันคือต้นทุนในแง่ของคุณภาพชีวิต เพราะคนที่เป็น 2 โรคนี้ชีวิตจะไม่มีคุณภาพ ยิ่งไปกว่านั้นคือจะไปมีต้นทุนที่ผู้ดูแล ซึ่งโครงสร้างสังคมไทยในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ยังมีผู้ดูแลเป็นคนในครอบครัวอยู่ แต่หลังจาก 10 ปีข้างหน้าไปแล้ว ยังไม่มีหลักฐานว่าใครจะเป็นผู้ดูแลคนชราเป็นที่คาดการณ์ว่าผู้ที่จะต้องทำหน้าที่ดูแลคงจะเป็นภาระของสังคม นั่นหมายความว่ารัฐอาจจะต้องจัดตั้ง Nursing Home ขึ้นมาดูแลคนสูงอายุที่ไม่มีใครเอา เพราะลูกไม่พอเลี้ยงดู จากขนาดครอบครัวที่เล็กลง และผู้สูงอายุส่วนหนึ่งไม่มีลูกหลาน เพราะฉะนั้นถึงจุดหนึ่งโรคในกลุ่มโรคชราเรื้อรังจะต้องตกเป็นภาระของสังคม โดยเริ่มต้นตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 สร้างสรรค์สติ๊กเกอร์ไลน์ (Line)

เชื่อได้เลยว่าหลายคนที่ใช้สมาร์ทโฟนย่อมชื่นชอบการดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ไลน์ (Line) ใหม่ๆ กันแน่นอน  ใครชอบรอดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ฟรีก็ต้องรอคอยกันไป  ส่วนคนที่ไม่ชอบมีสติ๊กเกอร์ซ้ำแบบใครก็มักจะเสียเงินดาวน์โหลดมาไว้ครอบครอง  แต่ช่วงนี้สติ๊กเกอร์ฟรีมีให้เลือกดาวน์โหลดมากมาย  เนื่องจากมีการแข่งขันกันสูงในเรื่องการตลาด และถ้าอยากมีสติ๊กเกอร์เป็นของตัวเองล่ะ? ต้องทำอย่างไรดี สำหรับคนที่มีฝีมือในการออกแบบและวาดรูปออกมาเป็นสติ๊กเกอร์ได้นั้น ทางไลน์ (Line) ได้เปิดโอกาสให้ส่งสติ๊กเกอร์ที่ตนเองทำ เพื่อแจ้งเกิดพร้อมทั้งเป็นการสร้างรายได้ เป็นบริการที่เรียกว่า LINE Creators Market  เพื่อให้คนที่มีหัวทางด้านการวาดภาพในรูปแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ (Line) ออกแบบและส่งมายังทีมงานของไลน์ (Line) ได้พิจารณาเพื่ออนุมัติให้วางขายได้ อย่างแรกผู้ที่สนใจต้องมีไลน์ (Line) เป็นของตนเองเสียก่อน แล้วเข้าไปสมัครเพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบของตนได้ที่  https://creator.line.me/th   ทั้งนี้ควรออกแบบและวาดภาพสติ๊กเกอร์ไลน์  (Line) เอาไว้ให้เรียบร้อย โดยจะใช้ภาพทั้งหมด 42 ภาพ โดยจะใช้มาเป็นภาพใช้ใน App Store และใช้โชว์ในห้องสนทนาอย่างละ 1 ภาพ ที่เหลือจะอยู่ในเซ็ตของไลน์ (Line) นั้น แต่ละภาพจะมีให้ใส่รายละเอียดว่ามีขนาดภาพเท่าไร  สกุลไฟล์ของภาพประกอบด้วย  หลังจากนั้นให้กดอัพโหลดรูปภาพทั้งหมด เมื่อสมัครตามขั้นตอนต่างๆ จนถึงเสร็จสิ้นแล้ว รูปภาพเหล่านั้นจะถูกส่งไปให้ทางทีมไลน์  (Line)  ตรวจสอบว่าสติ๊กเกอร์นั้นมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือไม่ และสามารถนำวางขายได้หรือไม่  ถ้าสติ๊กเกอร์ได้รับการอนุมัติทางทีมงานไลน์  (Line)  จะแจ้งกลับมา และนำไปวางขายในราคา 100 เยนหรือประมาณ 30 บาท  โดยผู้ที่ออกแบบและวาดภาพสติ๊กเกอร์นั้นจะได้เงินรายได้ 50%  ของราคาขาย ก็ประมาณ 15 บาท นั่นเอง ถือว่าเป็นการสร้างรายได้แบบกรุบกริบ แต่เล็กพริกขี้หนูนะ  เพราะถ้าสติ๊กเกอร์ที่ออกแบบนั้นติดตลาด จำนวนเงินเพียงเล็กน้อยนี้ก็กลายเป็นเงินที่สร้างรายได้ให้ได้มหาศาลทีเดียว อย่างรอช้านะคะ ใครมีไอเดีย  รีบออกแบบกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 หญิงท้องดื่มชาเขียว

  ชาเป็นเครื่องดื่มที่ผู้ใหญ่ห้ามผู้เขียนสมัยเป็นเด็กดื่ม นัยว่าเพื่อเลี่ยงอาการท้องผูก นอนไม่หลับ แต่พอมาถึงยุคสมัยนี้การดื่มชาของเด็กไทยดูจะไม่มีปัญหา เพราะเป็นการรับอิทธิพลที่ดูดีจากชาวญี่ปุ่น ซึ่งดื่มชาเขียวเป็นนิสัย สิ่งที่ต่างกันกับอดีตคือ ชาที่ผู้เขียนถูกห้ามดื่มนั้นเป็นชาจีนไม่ใช่ชาเขียว ชาจีนและชาเขียวนั้นมาจากพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis วิธีการผลิตนั้นต่างกัน ตามความเข้าใจของผู้เขียนนั้น เมื่อใบชาถูกเก็บมาทิ้งไว้จะมีเอนไซม์ในใบชาออกมาย่อยสารธรรมชาติในใบให้เปลี่ยนไปพร้อมกับการหมักจากจุลินทรีย์ธรรมชาติ จนกลายเป็นสารที่ส่งกลิ่นของชาจีน(ซึ่งอาจรวมถึงชาฝรั่งและแขก) แต่ถ้าใบที่ถูกเก็บมาได้รับความร้อนพอประมาณตามวิธี ซึ่งคิดค้นในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งเป็นการทำให้เอนไซม์ในใบถูกทำลายไป ชานั้นจะคงสารตั้งต้น ซึ่งมีคาเทชินเป็นกลุ่มหลักไว้ พร้อมทั้งมีสีออกเขียวรวมทั้งกลิ่นที่ผู้เขียนไม่ใคร่ชอบ เพราะมันคาวคล้ายสาหร่าย(ต่างจากชาจีนที่สีออกน้ำตาลคล้ำและกลิ่นหอมชวนดื่ม) ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้วชาจีนและชาฝรั่งใส่นมข้นหวาน จึงเป็นตัวเลือกแรกโดยทิ้งชาเขียวลงท่อระบายน้ำไป   มาในปัจจุบัน สืบเนื่องจากการศึกษาทางระบาดวิทยาด้านอาหารและมะเร็ง ได้ผลสรุปประการหนึ่งจากหลายประการว่า คนญี่ปุ่นอายุยืนและเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนชาติอื่นเพราะกินอาหารดีกว่า โดยมีชาเขียวเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในหลายปัจจัย อีกทั้งวัฒนธรรมเจป๊อบก็ได้เข้ารุกรานประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้นำวัฒนธรรมดื่มชาเขียวตามเข้าไปด้วย โดยอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมเพื่อสุขภาพ   ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ชาเขียวเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่น่าจะทำให้คนญี่ปุ่นอายุยืนกว่าคนชาติอื่น แต่การดื่มชาเขียวนั้นไม่ใช่การดื่มน้ำล้างถุงชา(เติมน้ำตาล 12 ช้อน)ในขวดพลาสติก ซึ่งดื่มแล้วอย่าได้หวังเลยว่าอายุจะยืนยาว เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วต้องเข้าใจวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่ดื่มชา ซึ่งไม่ได้ใสแจ๋วแบบที่คนไทยดื่ม อีกทั้งต้องฝึกการฝึกสมาธิ ความมีระเบียบ ความอดทน และอื่นๆ ตลอดถึงการกินอาหารที่ออกเป็นธรรมชาติมีผักและธัญพืชสูง เป็นต้น   จากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มีการทำวิจัยที่ลึกซึ้ง ทำให้เราทราบว่าสารเคมีธรรมชาติสำคัญกลุ่ม คาเทชิน (catechin) นั้นมีศักยภาพในการลดความเสี่ยงของการเกิดเซลล์มะเร็ง ทั้งจากการศึกษาในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผู้แสวงหาแนวทางในการขายสินค้าเพื่อสุขภาพจับประเด็นว่า น่าจะรวย ถ้าหันมาขายคาเทชินแก่ผู้รักสุขภาพซึ่งอยากตายช้า โดยมีบางส่วนของโฆษณาใน facebook ดังนี้ “ชาเขียวเป็นสมุนไพรซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลาย จัดเป็นยาอายุวัฒนะในเมืองจีนที่มีประวัติมายาวนานถึง4000ปี และจากการวิจัยโดยแพทย์ยุคนี้ ทำให้เราได้รู้ว่าสารที่ดีที่มีอยู่ในชาเขียวนั้นคือ"คาเทชิน" และร่างกายหากได้รับสารคาเทชิน 700-800 mg เป็นประจำทุกวัน จะช่วยดูแลร่างกายได้หลักๆคือ ลดคอเลสเตอรอลไม่ดีในเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดและปรับความดันเลือดให้สมดุล บำรุงตับไต และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน สโตรค หลอดเลือดตีบ พาร์คินสัน อัลไซเมอร์ มะเร็ง และโรคอ้วน แต่การที่จะได้คาเทชิน700-800 mg นั้นต้องต้มชาเขียวร้อนถึง10 ลิตรเลยทีเดียว และของแถมที่มากับชาก็คือแทนนินที่ทำให้ท้องผูกและคาเฟอีนที่ทำให้นอนไม่หลับ ซึ่งก็จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดี เลือกดูแลสุขภาพตัวคุณเองแบบง่ายๆด้วยมูเกน สารสกัด"คาเทชิน"คุณภาพพรีเมี่ยมสั่งตรงจากญี่ปุ่น บรรจุแคปซูล ทานง่ายๆหลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แคปซูล เป็นประจำ เหมาะทั้งทานบำรุง ป้องกัน และบรรเทา สินค้าเรานำเข้าจากญี่ปุ่น ราคาจึงอาจจะสูงไปหน่อย แต่คุณภาพสมราคาแน่นอน รับประกันว่าคุณภาพดีที่สุดในไทย สั่งตอนนี้มีโปรโมชั่นดีๆ มาเสนอP”   คาเทซิน คืออะไร  คาเทชินนั้นเป็นสารเคมีที่ใช้ในอาหารคนและอาหารสัตว์ ด้วยคุณสมบัติที่คาเทชินนั้นสามารถยับยั้งการออกซิไดส์ไขมันในอาหารโดยเฉพาะในเนื้อแดง สัตว์ปีกและปลา ปริมาณทั่วไปคือ ราวร้อยละ 0.3 ของเนื้อสัตว์เพื่อให้สามารถยับยั้งการออกซิไดส์ของไขมันที่แทรกในเนื้อสัตว์ได้ นอกจากนี้ในผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วลิสงและน้ำมันคาโนลา ก็มีการใช้คาเทชินเช่นกัน คาเทชินมีหลายชนิดที่สำคัญได้แก่ คาเทชิน เอปปิคาเทชิน และเอปปิคาเทชินแกลเลท สารเหล่านี้เมื่อถูกจำหน่ายในลักษณะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น มักถูกอวดอ้างคุณสมบัติในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ ป้องกันการเกิดคราบฟัน หรือบำบัดอาการความดันสูง ความจริงการบริโภคชาเขียวเพื่อให้ได้คาเทชินนั้น ไม่ควรมีปัญหาอย่างไรเลยเพราะคนญี่ปุ่นดื่มกันมาจนจำความกันไม่ได้แล้ว แต่มันมามีปัญหาในยุคดิจิตอลนี้แหละที่มีการนำเอาคาเทชินมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวแล้วข้างบน ผู้เขียนเลยลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทดูว่าการได้รับคาเทชินเข้าไปในปริมาณสูงๆ นั้นก่อปัญหาทางสุขภาพบ้างหรือไม่ ผลปรากฏว่าโชคร้ายเพราะพบว่า มีบทความวิชาการเรื่องหนึ่งชื่อ Herbs and Supplements to Avoid During Pregnancy and Breastfeeding เขียนโดย Navarro-Peran และคณะเผยแพร่ที่ www.med.nyu.edu/content?ChunkIID=35536 ซึ่งอ้างข้อมูลจากงานวิจัยของตัว Navarro-Peran และทีมงาน ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสเปนและสหราชอาณาจักรเรื่อง The antifolate activity of tea catechins ตีพิมพ์เมื่อปี 2005 ใน วารสาร Cancer Research ชุดที่ 65 หน้า 2059-2064 งานวิจัยนั้นกล่าวว่า สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมลูกคือ ชาเขียว เพราะการดื่มชาเขียวมากเกินไปก่อให้เกิดความผิดปรกติของทารกในท้อง เนื่องจากสารธรรมชาติในชาเขียวน่าจะไปรบกวนการทำงานของโฟเลตในทารกที่อยู่ในครรภ์ เพราะมีการทดลองในห้องปฏิบัติการที่ใช้สารสกัดจากใบชาแล้วปรับให้มีความเข้มข้นเท่าที่ตรวจพบได้ในน้ำเลือดของคน พบว่าสารสกัดนั้นสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ dihydrofolate reductase (DHFR) ซึ่งในสภาวะปรกติถ้าไม่มีสารสกัดจากใบชาในเลือดหรือมีไม่มากนัก เอนไซม์นี้ทำหน้าที่เปลี่ยนโฟเลตที่กินเข้าไปให้อยู่ในรูปที่ร่างกายใช้ได้ ดังนั้นเมื่อกินคาเทชินแล้วการเปลี่ยนโฟเลตให้ใช้ได้ก็จะลดลง ผลที่ตามมาคือ เกิดปัญหาในการสร้างหน่วยพันธุกรรมใหม่ของร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในท้องแม่ ความจริงผลของสารสกัดจากใบชา ซึ่งมีคาเทชินเป็นหลักต่อการเปลี่ยนแปลงโฟเลตนั้น ถ้าเกิดต่อเซลล์มะเร็งก็จะทำให้เซลล์มะเร็งชะลอการเจริญเติบโตได้ ซึ่งเป็นข้อดีที่ส่งผลให้การดื่มชานั้นได้รับการยอมรับว่าลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ แต่ในกรณีที่ผู้ดื่มตั้งครรภ์ ซึ่งทารกในครรภ์มารดานั้นมีอุปมาว่ามีความคล้ายกับก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ เนื่องจากมีการกระตุ้นให้มีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว(แต่ควบคุมได้) ประเด็นที่เซลล์เนื้อเยื่อทารกต่างจากเซลล์มะเร็งก็คือ เมื่อเซลล์แบ่งพอแล้ว จะมีการพัฒนาไปเป็นอวัยวะตามความเหมาะสมของเนื้อเยื่อนั้น ๆ ซึ่งเข้าใจว่าถูกควบคุมด้วยระบบฮอร์โมนของแม่ ดังนั้นจึงมีการตั้งสมมุติฐานว่าการดื่มชามากเกินไปในหญิงตั้งครรภ์นั้นจึงอาจส่งผลถึงการพัฒนาร่างกายของเด็กในท้อง เพราะโฟเลตที่แม่กินเข้าไปทำงานไม่เติมที่ ซึ่งอาจส่งผลถึงการตายคลอดของเด็กได้ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ การที่คาเทชินเป็นสารต้านออกซิเดชั่น(เหมือนสารอื่นๆ ที่มีการขายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) โอกาสที่มันจะแสดงความเป็นสารกระตุ้นออกซิเดชั่น (prooxidation) เมื่อใช้ที่ความเข้มข้นสูงดังที่มีการโฆษณาในการแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีคาเทชินเป็นองค์ประกอบนั้นอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งปรากฏการณ์นี้มีการแสดงให้เห็นแล้วจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เฉพาะทางที่ได้รายงานว่า คาเทชิน โดยเฉพาะเอปปิแกลโลคาเทชินนั้นสามารถออกซิเดไซส์หน่วยพันธุกรรมของเซลล์ให้เสียหายได้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในฮ่องกงแล้วตีพิมพ์ในวารสาร Free Radical Biology and Medicine ชุดที่ 43 หน้าที่ 519–527 .ในปี 2007 กล่าวว่า ในจำนวนคาเทชินที่อยู่ในใบชาทั้งหมดนั้น มีสารชื่อ เอปปิแกลโลคาเทชิน-3-แกลเลท ที่ถูกระบุว่า เมื่อให้สารนี้แก่แม่หนูที่กำลังท้องในความเข้มสูง ทำให้ตัวอ่อนของหนูทดลองหยุดพัฒนาอวัยวะบางส่วน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สนับสนุนสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวข้างต้นว่า สารสกัดจากใบชาน่าจะมีผลต่อความสมบูรณ์ของตัวอ่อนมนุษย์ ดังนั้นถ้าท่านผู้บริโภค โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์มีความประสงค์จะเสพคาเทชินในขนาดสูงๆ เมื่อได้ทราบข้อมูลดังกล่าว ซึ่งแม้ไม่ใช่ผลการทดลองในคนก็ตาม แต่ก็มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ ผู้เขียนก็ไม่คิดจะห้ามปรามแต่ประการใด เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการเสพสิ่งที่หน่วยงานราชการอนุญาตให้มีการขายแล้ว แต่สำหรับนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพแล้ว ประเด็นที่น่าติดตามคือ อุบัติการณ์ของเด็กที่ออกมาผิดปรกติหรือตายคลอดเนื่องจากแม่นิยมบริโภคสารอะไรๆ ในปริมาณสูงๆ นั้น น่าสนใจติดตามเป็นอย่างยิ่งโดย ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 รู้เท่าทันการกินอาหารตามหมู่เลือด ตอนที่ 1

ในช่วงหลายปีมานี้ มีการชักชวนให้กินอาหารตามหมู่เลือดหรือกรุ๊ปเลือดกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยอ้างว่าจะเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นการลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายสวยงาม  การกินอาหารตามหมู่เลือดดีจริงหรือไม่ เกิดประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างหรือเปล่า  มีรากฐานความเชื่อหรือความรู้จากแหล่งใด?  เรามารู้เท่าทันกันเถอะ ที่มาของความเชื่ออาหารตามหมู่เลือดนั้น กล่าวอ้างว่า ช่วยลดน้ำหนักและทำให้สุขภาพดีขึ้น  ความเชื่อนี้เกิดจากนักธรรมชาติบำบัดชื่อ ปีเตอร์ เจ. ดี’อดาโม  เขาอ้างว่า อาหารที่เรากินจะทำปฏิกิริยากับหมู่เลือด  ถ้าเรากินอาหารที่เหมาะกับหมู่เลือด ร่างกายจะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เราจะน้ำหนักลดลง มีพลังงานมากขึ้น และช่วยป้องกันโรคได้ ดี’อดาโมเขียนหนังสื่อชื่อ Eat Right for Your Type ได้ยืนยันว่า เลคติน(โปรตีนที่จับกับคาร์โบไฮเดรต    เลคตินทำให้จดจำเซลล์ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนได้ นอกจากนี้ยังสามารถจับตัวกับแบคทีเรียและไวรัส)   ซึ่งทำปฏิกิริยาแตกต่างกันกับแอนติเจนตามหมู่เลือดแต่ละหมู่นั้น อาจไม่เข้ากันและเป็นอันตราย  ดังนั้นการเลือกอาหารที่เหมาะกับหมู่เลือด A, AB, B และ O  จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดปฏิกิริยาที่เกิดจากเลคตินเหล่านี้ อาหารตามหมู่เลือดของปีเตอร์ เจ. ดี’อดาโมหมู่เลือด O ดี’อดาโมอธิบายว่าเป็น พวกนักล่า เขาแนะนำให้คนหมู่เลือดนี้กินอาหารที่มีโปรตีนสูง  เขาอ้างว่าหมู่เลือดนี้เป็นหมู่เลือดที่เป็นหมู่เลือดแรก เกิดขึ้นเมื่อ 30,000 ปีก่อน แม้ว่างานวิจัยจะบ่งชี้ว่า หมู่เลือด A เป็นหมู่เลือดที่เก่าแก่ที่สุด  อาหารโปรตีนสูงได้แก่ เนื้อไม่ติดมัน สัตว์ปีก ปลาและผัก  ธัญพืช ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนมเล็กน้อย  นอกจากนี้ เขายังแนะนำให้กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายอย่างเพื่อช่วยอาหารท้องเสียและอื่นๆ ซึ่งคนหมู่เลือด O มักจะมีปัญหา หมู่เลือด A ดี’อดาโมเรียกหมู่เลือดนี้ว่า เกษตรกรหรือผู้เพาะปลูก เขาเชื่อว่าหมู่เลือดนี้เกิดขึ้นหลังจากการเกิดเกษตรกรรมขึ้นเมื่อ 20,000 ปีก่อน  เขาแนะนำให้คนหมู่เลือดนี้กินอาหารที่เน้นผักและปราศจากเนื้อแดง  อาหารที่ใกล้เคียงกับมังสวิรัติ อาหารสำหรับหมู่เลือดนี้ ไม่มีเนื้อสัตว์ ให้กินผักและผลไม้  ถั่วและถั่วที่มีไขมันและโปรตีนสูง และธัญพืชที่ไม่ขัดสี  ถ้าเป็นไปได้ ควรเป็นอินทรีย์และสด  คนหมู่เลือด A จะมีระบบภูมิคุ้มกันไว หมู่เลือด B ดี’อดาโมเรียกหมู่เลือดนี้ว่า ชนเผ่าเร่ร่อน ซึ่งประมาณการว่าหมู่เลือดนี้เกิดเมื่อ 10,000 ปีก่อน  เขากล่าวว่า คนหมู่เลือดนี้จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและระบบย่อยอาหารที่ยืดหยุ่น  เขาอ้างว่าคนหมู่เลือดนี้เป็นคนหมู่เลือดเดียวที่สามารถเติบโตได้ดีจากผลิตภัณฑ์นม  ซึ่งค่อนข้างตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงว่า หมู่เลือดนี้มักจะมาจากเอเชีย (โดยเฉพาะจีน หรืออินเดีย)  การแพ้นมพบได้มากที่สุดในชาวเอเชีย อเมริกาใต้ แอฟริกา และพบน้อยที่สุดในกลุ่มที่มาจากยุโรปเหนือหรืออินเดียตอนตะวันตกเฉียงเหนือ อาหารสำหรับหมู่เลือดนี้   ให้หลีกเลี่ยงข้าวโพด ข้าวสาลี บัควีท เลนทิล มะเขือเทศ ถั่วลันเตา และงา  เนื้อไก่อาจก่อปัญหา ควรกินผักใบเขียว ไข่ เนื้อบางประเภท และนมไขมันต่ำ หมู่เลือด AB ดี’อดาโมเรียกหมู่เลือดนี้ว่า คนลึกลับ และเชื่อว่าเป็นหมู่เลือดที่วิวัฒนาการใหม่ล่าสุด และเกิดขึ้นไม่เกิน 1,000 ปีก่อน  อาหารสำหรับคนหมู่เลือดนี้ ให้กินระหว่างหมู่เลือด A และ B อาหารสำหรับหมู่เลือดนี้ ได้แก่ เต้าหู้ อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์นม และผักสีเขียว  คนหมู่เลือด AB  มีกรดในกระเพาะอาหารน้อย  ควรหลีกเลี่ยงกาเฟอีน แอลกอฮอล์ เนื้อรมควัน ฉบับหน้า โปรดติดตามอ่านว่า มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันความเชื่อนี้หรือไม่ อย่างไร 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 งามตามเน็ต

เพราะเป็นยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้น ใครๆ ก็สื่อสารสาธารณะได้ และช่องทางการรับสื่อก็มากมายความจำเป็นจึงไม่ได้อยู่ที่เราจะหาข้อมูลได้ไหม แต่กลายเป็นว่าเราจะเลือกรับข้อมูลเป็นหรือไม่มากกว่า เรื่องสวยๆ งามๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ติดอันดับต้นๆ ในหัวข้อค้นหาจากเว็บท่าต่างๆ ทั้งกูเกิล ยาฮู ฯลฯ ซึ่งถ้าเลือกใช้ข้อมูลไม่เป็นก็อาจกลายเป็นเหยื่อจากการขายสินค้าอันตรายได้ หรือทดลองปฏิบัติในเรื่องที่อันตรายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครั้งนี้ขอยกตัวอย่าง งามตามเน็ต เรื่องการล้างหน้าที่มีการแชร์ต่อๆ กันมากๆ ซึ่งเข้าข่าย อันตรายโดยไม่รู้ตัว พอกหน้าด้วยแอสไพริน เอาล่ะสิ เรารู้กันดีว่า แอสไพริน เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ได้ผลดี และยังใช้ในการลดความเสี่ยงเรื่องเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้อีกด้วย แต่ใครกันนะ นึกไปได้ว่า แอสไพริน เอามามาร์กหน้าจะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ เรื่องมีอยู่ว่า แอสไพริน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า salicylic acid ที่ไปตรงกับชื่อยาที่อยู่หลังขวดยารักษาสิวพอดี งั้นเอามาพอกหน้าทาหน้าก็ได้ผลเหมือนกันสิ ซึ่งความจริงก็ต้องบอกว่า ได้ผล นะคะ แต่...คุณไม่ใช่นักเคมี ไม่ใช่เภสัชกร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าปริมาณเท่าไหร่ จึงจะได้ผลดีและไม่เกิดผลข้างเคียง           ในกลุ่มยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบของสิว ผู้ที่ปรุงยาต้องมีการกำหนดขนาดการใช้สารเคมีที่จะมีผลออกฤทธิ์โดยให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด และต้องผ่านการขึ้นทะเบียนยา เรียกว่ามีหลายขั้นตอนกว่าจะเป็นยาออกมาได้ การนำยาเม็ดแอสไพรินไปบดเป็นผงๆ แล้วมาทาหน้าเอง ผลที่ได้อาจไม่ใช่การรักษาสิว แต่กลายเป็นว่า หน้าจะพังเอา ดังนั้นนักเคมีสมัครเล่นทั้งหลายไม่ควรเสี่ยงจะดีกว่า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขาทำออกมาโดยผ่านการทดสอบผลข้างเคียงแล้วจะดีกว่า   ล้างหน้าด้วยซันไลต์ ใช่แล้ว ซันไลต์ ที่เป็นชื่อของน้ำยาล้างจานนั่นแหละ ในยูทูปซึ่งใครๆ ก็ใช่เป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้เฉพาะตัวตนนั้น เกิดมีน้องนางคนหนึ่งมารีวิวการใช้น้ำยาซันไลต์ ล้างหน้าเข้าให้ โดยบอกว่าได้ผลดีมาก หน้าไม่มันเลย(น้องคะ หน้านะคะ ไม่ใช่จาน) คืออันนี้ผู้ที่มีวิจารณญาณก็คงพอคิดกันได้ว่า มันเกินไป แต่ถ้าเกิดมีใครอุตริทำตามจะแย่เอา เพราะน้ำยานี้เขาออกแบบมาเพื่อขจัดความมันบนพื้นผิววัสดุที่ทนทานอย่างจาน ช้อน หม้อ ซึ่งเป็นพลาสติก อะลูมิเนียม สแตนเลส แต่กับใบหน้าของเราซึ่งแสนบอบบาง จะทำให้ผิวหน้าเยินแทนที่จะสวยได้ ล้างหน้าด้วยเบกกิ้งโซดา ตามสื่อออนไลน์ แนะนำให้มีการใช้เบกกิ้งโซดาหรือผงฟูมาล้างหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน เอิ่ม...รูขุมขนมันแค่เรื่องจิ๊บๆ บนผิวหน้า และวิธีเดียวที่ช่วยให้มันกระชับคือ การทำเลเซอร์เพื่อเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของผิวหนัง แค่เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถทำอะไรกับรูขุมขนได้เลย อาจทำให้รู้สึกเหมือนผิวนุ่มขึ้นนิดหน่อย (ร้านอาหารดังๆ เขาก็ใช้เบกกิ้งโซดาหมักหมู หมักเนื้อให้นุ่มอร่อย)   แต่เบกกิ้งโซดามีสมบัติเป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งจะกัดผิวหน้าให้บางลง โดยเข้าไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอก จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้หน้าเกิดอาการแพ้ โดยจะเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงอักเสบคัน และเกิดเป็นรอยดำตามมา แทนที่หน้าจะสวยกลับจะได้หน้าเสียไปแทน สรุปว่า ใบหน้าของเราท่านนั้นแสนจะบอบบาง อย่าได้ริเอาวัตถุเคมีที่มีการออกฤทธิ์รุนแรงมาใช้กับผิวเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยมาแล้ว เพราะขนาดผ่านมาตรฐานมาแล้ว บางผลิตภัณฑ์ยังก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน จะใช้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ต้องระมัดระวัง อย่าเสี่ยงหน้าพังโดยไม่จำเป็น

อ่านเพิ่มเติม >