ฉบับที่ 130 รอยมาร : เพราะมารมี บารมีจึงเกิด

  นั่งปั่นต้นฉบับฉลาดซื้อเล่มนี้ด้วยใจระทึกยิ่ง เพราะ “มวลน้ำมหาศาล” กำลังรุกคืบคลานเข้ามาสู่ชั้นในของพระนครหลวง มวลน้ำที่ท่วมบ่าเข้ามามากมายทุกทิศทุกทางเช่นนี้ ไม่เพียงแต่นำพาความเสียหายมาสู่บ้านเรือนเรือกสวนไร่นาเป็นวงกว้างใหญ่เท่านั้น แต่ยังซัดพาเอาความฝันและความมั่นใจของคนในสยามประเทศให้ดิ่งลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้มวลน้ำจะเป็นวิกฤติใหญ่ที่คนไทยทั้งประเทศต้องฝ่าไปด้วยกัน แต่ว่ากันว่าทุกครั้งที่ “มาร” มี “บารมี” หรือความเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตก็จะอุบัติขึ้นตาม เฉกเช่นเดียวกับน้องบู้บี้ หรือคุณหนูบี สไบนาง แห่งละครเรื่อง “รอยมาร” ที่เพิ่งจะเข้าใจสัจธรรมชีวิตของเธอได้ ก็ต้องภายหลังจากที่ “มวลน้ำ” แห่งปัญหาได้กลายเป็น “มาร” เข้ามาถาโถมชีวิตและดับความฝันในเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเดียว ไม่มีตัวละครคนไหนใน “รอยมาร” ที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาแต่อย่างใด เริ่มต้นจากนายมาร์คหน้าหนวดหรืออุปมา หนุ่มลูกครึ่งไทย-อาหรับที่เพราะความผิดหวังในรักครั้งแรกกับวิมาดา ทำให้เขาฝังจมอยู่กับอดีต และบอกกับตัวเองตลอดมาว่า ในชีวิตนี้คงจะไม่สามารถมีรักครั้งใหม่ได้อีกแล้ว หรือเมธาวี พี่สาวของสไบนาง ที่ด้านหนึ่งก็เป็นคนทะเยอทะยานต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิต แต่เพราะเธอถูกชันษาลักพาตัวไปในคืนก่อนเข้าพิธีวิวาห์ ความหวังและความดิ้นรนทะยานอยากของเธอก็เป็นอันต้องดับล่มสลายไป แต่ที่ดูจะบอบช้ำระกำใจมากที่สุดยิ่งกว่าน้ำหลากเข้าถาโถม ก็เห็นจะเป็นน้องบู้บี้นางเอกของเรื่อง ที่เพราะพี่สาวหายตัวไปก่อนวันแต่งงาน เธอจึงถูกจับมัดมือชกเข้าพิธีกับนายมาร์คแทน ทั้งๆ ที่เธอกับเขาก็พ่อแง่แม่งอน เป็นขมิ้นที่เจอกับปูนกันตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน ด้วยเหตุอันเกิดมาแต่เพียงปัญหาของคนรุ่นก่อน ไล่ตั้งแต่ความเจ้าคิดเจ้าแค้นของคุณลุงบารมี ความละโมบโลภมากและเล่นพนันจนหมดเนื้อหมดตัวของคุณลุงประมุข รวมไปถึงความต้องการรักษาชื่อเสียงเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูลของคุณหญิงย่ารุจา สถานการณ์ในชีวิตของน้องบู้บี้จึงต้องผกผันหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เธอวาดฝันอยากเรียนต่อต่างประเทศและกลับมาทำงานที่ใจรัก ก็ต้องมาแบกรับปัญหาที่ผู้หลักผู้ใหญ่ผูกบ่วงพันธนาการให้เธอต้องมาเข้าพิธีสมรสกับคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้าเขาเอาเสียเลย ก็เหมือนกับประโยคที่น้องบู้บี้ได้พูดตัดพ้ออย่างแสบสันต์กับคุณหญิงรุจาผู้เป็นย่าว่า “…ก็เพราะสังคมของเรามีชื่อเสียงเกียรติยศที่ต้องรักษา แล้วอนาคตของบีล่ะ ใครเคยเห็นบ้าง เคยห่วงบีบ้าง ทุกคนคิดเอาแต่ได้ ค่าอนาคตค่าความฝันของบี ใครหน้าไหนจะมาชดใช้ให้บีคะ...ความหวังความฝันของบี บีสร้างมาเองคนเดียว แต่วันนี้หลายคนช่วยกันทำลายมันจนหมดสิ้น...” ด้วยเหตุฉะนี้ ไม่ว่าจะด้วยความโกรธแค้น ความโลภ หรือชื่อเสียงเกียรติยศของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่รอบตัว จึงไม่ต่างไปจากการผันมวลน้ำแห่งปัญหาให้ออกจากหน้าบ้านของตนเอง และโถมใส่ชีวิตคนที่มีอำนาจน้อยอย่างน้องบู้บี้ และดับสลายความฝันของเธอให้จมอยู่นอกคันกั้นน้ำนั่นเอง แต่ที่น่าแปลกก็คือ ยิ่งบรรดาผู้ใหญ่เพียรสร้าง “รอยมาร” ให้กับชีวิตของน้องบู้บี้มากเท่าไร ก็ไม่ได้ช่วยแก้คลายปมปัญหาที่ค้างคาใจของพวกเขาเหล่านั้นได้เลย เริ่มตั้งแต่ลุงบารมีที่เต็มไปด้วยความแค้น แต่หลังจากดับฝันหลานสาวไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ลดบรรเทาความแค้นลงแต่อย่างใด และก็ยังจงใจวางแผนกลั่นแกล้งประมุขจนสิ้นเนื้อประดาตัว และตรอมใจตายในที่สุด เช่นเดียวกับลุงประมุขเอง ก็ไม่ได้ยุติความโลภของตน และยังพยายามใช้ปมประเด็นเรื่องชาติกำเนิดของน้องบู้บี้มาเป็นแต้มต่อรองผลประโยชน์ของตนอยู่ตลอดเวลา อาจจะมีก็แต่คุณหญิงรุจา ที่มโนธรรมบางส่วนของเธอ ทำให้สำเหนียกขึ้นได้ว่า เรื่องชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลกับความสุขและความฝันของหลานสาวนั้น เอามาวัดเทียบค่ากันแทบไม่ได้เลย แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่สายเกินไปแล้วก็ตาม และสำหรับน้องบู้บี้แล้ว แม้ชีวิตและความฝันของเธอจะถูกสลักตรึงด้วยรอยแห่งมาร แต่ก็อย่างที่คำพระท่านว่าเอาไว้ “ถ้ามารไม่มี บารมีก็ย่อมไม่บังเกิด” เพราะฉะนั้น หลังจากสวมวิญญาณแบบปางผจญมารที่มาจากรอบทิศ บวกกับมารผจญจากพี่สาวต่างมารดาอย่างเมธาวี และวิมาดาอดีตคนรักเก่าของมาร์ค น้องบู้บี้ก็เริ่มจะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ว่า ความฝันอาจไม่ได้สวยงามหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แม้เธออาจจะไม่ได้ไปเรียนต่อจนจบการศึกษาแบบที่วาดฝันไว้ แต่น้องบู้บี้ก็พบว่า ถ้าเธอรักใครสักคนอย่างนายมาร์คหน้าหนวด ก็จงเลือกใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาไปเถิด ทั้งนี้เพราะตัวเลือกในชีวิตของคนที่มี “อำนาจน้อย” แถมยังต้องอยู่ท่ามกลางความแก่งแย่งชิงชังหรือสนใจแต่เกียรติยศที่ค้ำคออยู่นั้น เป็นตัวเลือกที่มีอยู่ไม่มากเท่าใดนัก ดูละครเรื่อง “รอยมาร” จบลง เราก็คงเห็นสัจธรรมแบบน้องบู้บี้ขึ้นมาเหมือนกันว่า วิกฤติมวลน้ำหรือปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมมากมายในสังคมไทยแบบระลอกแล้วระลอกเล่านั้น คงไม่ใช่มวลปัญหาที่เกิดมาแต่คนแบบน้องบู้บี้ที่มี “อำนาจน้อย” แต่อย่างใด แต่วิกฤติปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดมาจากคนไม่กี่คนที่เป็นบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่แบบคุณลุงบารมีหรือคุณลุงประมุข ที่มักคิดคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองก่อน โดย “ไม่สนใจค่าอนาคตหรือค่าความฝันของคนอื่น” แต่ทว่าเคราะห์กรรมที่สืบเนื่องมาจากลุงๆ ป้าๆ เหล่านี้ ก็มักจะส่งผลต่อคนจำนวนมากที่น้ำไม่เพียงท่วมบ้านเรือนเรือกสวนไร่นาเท่านั้น หากแต่น้ำยังท่วมปากพวกเขาอีก ผมเริ่มจะสงสัยเหมือนกันว่า หลังจากน้ำลดแล้วตอต่างๆ เริ่มผุดออกมาให้เห็น คนไทยจะสนใจกลับไปสาวหาสาเหตุแห่งปัญหาเพื่อหาทางป้องกัน หรือเราจะยอมปล่อยให้ปัญหาค้างคากันอยู่ต่อไป ถ้าเป็นแบบหลังนี้ สงสัยว่าเราจะต้องเตรียมถุงบิ๊กแบ๊ก ถุงยังชีพ หรือปั้นอีเอ็มบอลอีกจำนวนมหาศาล เพื่อเตรียมฝ่าวิกฤติครั้งหน้าไปด้วยกันอีก มวลน้ำคงมีวันผ่านพ้นไปแน่ แต่บารมีจะเกิดในใจคนไทยแบบน้องบู้บี้กันบ้างมั้ยหนอ???

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 น้ำกัดเท้าและยารักษา

  โรคที่มากับมหาอุทกภัยน้ำท่วม 2554 คือโรคน้ำกัดเท้า ซึ่งเกิดจากการเดินลุยน้ำบ่อยๆ นานๆ หรือเป็นประจำ จึงเรียกโรคนี้ว่า “โรคน้ำกัดเท้า” ในประเทศที่เจริญแล้ว มักพบบ่อยในนักกีฬาที่สวมใส่รองเท้าที่เปียกชื้นจากเหงื่อระหว่างเล่นกีฬา จึงได้ชื่อว่า “โรคเท้านักกีฬา” (Athlete’s foot) โรคน้ำกัดเท้าเกิดจากผิวหนังบริเวณเท้าที่ชื้นแฉะมีเชื้อราสะสม เป็นเชื้อราในกลุ่มเดียวกับโรคขี้กลาก ซึ่งมักเจริญเติบโตได้ดีในที่อับชื้น เปียกน้ำ เปียกเหงื่อ เช่น จากการลุยน้ำท่วมขัง รองเท้าเปียก พื้นห้องอาบน้ำที่ใช้ร่วมกันหลายๆ คน และพื้นบริเวณสระว่ายน้ำ เมื่อเดินหรือย่ำบนพื้นดังกล่าว หรือใส่รองเท้าที่มีเชื้อราอยู่ เชื้อราจึงรุกรานเข้าสู่ผิวหนัง และก่อโรคน้ำกัดเท้าได้ นอกจากนี้ยังอาจติดต่อได้ง่ายจากการใช้รองเท้าร่วมกัน ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันและใช้ถุงเท้าไม่สะอาด นอกจากเท้าแล้วยังเชื้อราชนิดนี้ยังทำให้เกิดโรคได้กับผิวหนังส่วนอื่นๆ เช่น เล็บ และขาหนีบ อาการเด่นชัดที่พบ เช่น ง่ามเท้าแห้งตกสะเก็ด เป็นขุย ผิวหนังแตกเป็นร่องแผลสด บวม เจ็บและคัน อาจมีตุ่มน้ำใสๆ ร่วมด้วย แนวทางการรักษา การใช้ยาต้านเชื้อราทาเฉพาะที่บริเวณแผล ขี้ผึ้งแก้น้ำกัดเท้า ซึ่งเป็นตำรับในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ขี้ผิ้งวิทฟิวด์ (Whitfield ointment) มีตัวยาหลักคือ ยาต้านเชื้อราเบนโซอิคแอซิด 6% และซาลิไซลิคแอซิด 3% จะพบว่าขี้ผึ้งชนิดนี้มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง จึงควรระวังไม่ทาผิวหนังส่วนอื่นที่บอบบาง ตำรับยาต้านเชื้อราอื่นๆ เช่น คลอไตรมาโซลหรือคีโตโคนาโซลครีมที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน แต่ราคาจะแพงกว่ามาก  ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาด ใช้สบู่ขัดถูตามซอกและง่ามนิ้วเท้าซึ่งมักมีเชื้อราสะสมและหมักหมมจนก่อให้เกิดโรค ต้องซับผิวหนังให้แห้งสนิทก่อนทาขี้ผึ้งบางๆลงบริเวณผิวหนังที่มีปัญหา วันละ 1-2 ครั้ง แนะนำให้ทาก่อนนอนและไม่ควรย่ำไปไหนเมื่อทายาเสร็จ ตัวยาจะได้ไม่หายหรือเลอะเลือนไปกับรองเท้าหรือพื้น   ข้อควรระวังการใช้ยา อาการคันที่เท้าจากโรคน้ำกัดเท้า ไม่ควรซื้อยาแก้คันที่มีส่วนผสมของยาสเตียรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลให้แผลอักเสบที่เท้ามีอาการอักเสบมากขึ้น และเกิดหนองได้ ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ เพื่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคน้ำกัดเท้า - ผู้ที่ยังไม่ทันเป็นโรคน้ำกัดเท้า ไม่ควรทายาต้านเชื้อรา แต่ควรป้องกันโดยการล้างเท้าให้สะอาด ซับให้แห้งสนิททันทีภายหลังจากการย่ำน้ำ และใช้แป้งฝุ่นโรยง่ามเท้าให้ทั่วเป็นการป้องกันผิวหนังไม่ให้ชื้นแฉะ และควรพยายามหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำหรือการสวมใส่รองเท้าบู้ทหรือสวมถุงพลาสติกหุ้มเท้าก่อนย่ำน้ำ - รองเท้าที่สวมใส่ทุกวัน ควรดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ คือต้องให้ภายในรองเท้าแห้ง ไม่อับชื้น ควรมีรองเท้าอย่างน้อย 2 คู่ เพื่อสวมสลับกัน ซักด้านในรองเท้าให้สะอาด ปัจจุบันนี้มีสเปรย์สำหรับรองเท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค - ไม่ใช้รองเท้าร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าสาธารณะโดยไม่จำเป็น - ต้องรักษาความสะอาดถุงเท้า เมื่อเปียกต้องเปลี่ยนเสมอ -ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น นอกจากนั้น ผ้าเช็ดเท้า และผ้าเช็ดตัว ควรเป็นคนละผืนกัน   เอกสารอ้างอิง1, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์: http://haamor.com/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 โฆษณาเจ้าปัญหา..ใครควรจะถลามาจัดการ?

  ประมาณต้นเดือน มิถุนายน 2554 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจพบ เอกสารเผยแพร่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทเพรสซิเด็นท์ แกรน พรอดักซ์  จำนวน 3 รายการ ที่โฆษณาในลักษณะอวดอ้างสรรพคุณเป็นยา ได้แก่ VC-1 , ธัญพืชสกัด PG&P และ Nature Plants ชีวจิตไฮเทคพร้อมดื่ม จึงได้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาติดตามตรวจสอบ (คงคาดหวังให้ตรวจสอบที่แหล่งต้นตอไปเลย) จนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เจ้าหน้าที่สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ความว่า บริษัทยอมรับว่าเคยจัดทำเอกสารดังกล่าวจริง เมื่อปี 2550 โดยไม่ได้ขออนุญาตแต่อย่างใด และได้กระจายเอกสารนี้ไปยังสมาชิกอิสระ ดังนั้นการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ตรวจพบนั้น สมาชิกอิสระอาจนำเอกสารโฆษณาดังกล่าวมาเผยแพร่เอง  นอกจากนี้บริษัทยังได้เคยแจ้งข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาอาหารให้สมาชิกทราบ ในอดีตเมื่อ ปี 2552 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้เคยพิจารณาการกระทำดังกล่าวของบริษัทว่า มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร 2522 ใน 2 ประเด็น คือ ฐานโฆษณาอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมาตรา 41 โทษตามมาตรา 71 (โทษปรับอายุความ 1 ปี) และฐานโฆษณาอาหารโดยหลอกลวงให้หลงเชื่อโดยไม่สมควร ฝ่าฝืนมาตรา 40 โทษตามมาตรา 72 (โทษจำ) และได้พิจารณา แจ้งระงับโฆษณาดังกล่าวไปแล้ว (ผิดขนาดนี้ ...ใจดีเกินไปหรือเปล่า?) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แจ้งว่าไม่พบข้อมูลการเผยแพร่แผ่นพับโฆษณาดังกล่าวแล้ว จึงได้แจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจสอบเพื่อดำเนินงานตามกฎหมายต่อไป ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะมีข้อสรุปของผลการดำเนินงานอย่างไร ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ คงต้องช่วยตัวเองก่อน  ถ้าเจอการกระทำผิดชัดเจนว่ามีใครโฆษณาแบบนี้ ขอให้รีบแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดดำเนินการไปเลย อาจจะได้ผลรวดเร็วทันใจ “เอาอยู่” กว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 เอาอาหารจากข้างนอกเข้าไปในโรงภาพยนตร์ได้หรือไม่

  เป็นเรื่องถกเถียงกันมาตลอดว่า เราสามารถเอาอาหาร เครื่องดื่ม ที่ไม่ได้จำหน่ายหน้าโรงภาพยนตร์เข้าไปรับประทานในขณะชมภาพยนตร์ได้หรือไม่ “ได้สิ ก็หน้าโรงขายแพงเหลือเกิน ราคาขูดรีดมาก ซื้อข้างนอกถูกกว่าตั้งแยะ” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ขายของราคาเอาเปรียบมาก เราซื้อตั๋วแล้ว ก็น่าจะนำเอาอาหารเข้าไปได้ ของที่เราซื้อก็เหมือนหน้าโรงหนังนั่นแหละ” บลาๆๆ เรื่องนี้ก็เห็นจะต้องแยกเป็นสองประเด็นก่อน คือ 1.เราเอาอาหารจากข้างนอกเข้าไปในโรงภาพยนตร์ได้หรือไม่ 2.ราคาอาหารหน้าโรงหนังแพงเกินไป ประเด็นแรกคือ เราต้องยอมรับก่อนว่า เราเข้าไปซื้อบริการ “ชมภาพยนตร์” ในสถานที่ของเจ้าของกิจการ เท่ากับว่า เรายินยอมรับเงื่อนไขที่ทางโรงกำหนด เช่น ห้ามนำอาหารจากร้านค้าภายนอกที่ไม่ได้จำหน่ายโดยโรงหนังเข้าไปภายในโรง หรือการขอตรวจกระเป๋าเพื่อดูว่าเรานำกล้องเข้าไปแอบถ่ายหรือเปล่า ฯลฯ ถ้าเราไม่ยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ทางโรงกำหนด ก็เท่ากับเราละเมิดสัญญาเขาก็มีสิทธิยกเลิกการชมภาพยนตร์ของเราได้ เพราะเราเป็นฝ่ายผิดเงื่อนไข แต่ในทางปฏิบัติ หลายโรงก็ยืดหยุ่นให้เรานำอาหารเข้าไปได้ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความพอใจให้ลูกค้า คงไม่มีโรงไหนกล้าไล่เราออกมาอย่างจริงจัง นอกจากจะเตือนๆ บ้าง สรุปว่า ทางโรงมีสิทธิห้ามไม่ให้เรานำอาหารจากภายนอกเข้าไปได้ ประเด็นที่สอง สินค้าหน้าโรงราคาแพงมาก โดยปราศจากการควบคุมราคานั้น อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด เคยมีการทำเรื่องร้องเรียนกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว โดยหน่วยงานที่ดูแลเรื่องราคาสินค้าก็คือ กรมการค้าภายใน ซึ่งได้อธิบายว่า สินค้าโรงภาพยนตร์ไม่ได้อยู่ในบัญชีสินค้าและบริการควบคุม เพราะถือเป็น “บริการทางเลือก” ซึ่งไม่สามารถใช้อำนาจตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ไปเอาผิดกรณีจำหน่ายสินค้าในราคาแพงกว่าท้องตลาดได้ บริการทางเลือก หมายความว่า เขาไม่ได้บังคับให้ซื้อ ไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อ อืม ก็จริงนะ แต่ว่า เมื่อไปรวมกับการห้ามนำอาหารจากข้างนอกเข้าไป ก็เลยกลายเป็นว่า มันเหมือนการ “มัดมือชก” ผู้บริโภคดีๆ นี่เอง(ยังไม่รวมเรื่องราคาตั๋วที่แพงจัดและการโฆษณาบ้าเลือดในโรง) เรื่องนี้สำหรับประเทศนี้ กฎหมายคงไม่ใช่ทางออก ผู้บริโภคต้องรวมตัวกันให้ได้จนมีพลังมากๆ มากพอที่จะต่อรองด้วยการไม่ซื้อสินค้าหน้าโรงหนัง จนกว่าผู้ประกอบการจะสำนึกได้ ซึ่งถ้าทำได้จริง รับรองว่า ราคาจะลดลงมาแน่นอน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 รับจำนำที่ดิน บนสำนักงานที่ดิน

น้ำคือชีวิต  ไม่มีเงินอยู่ได้  ไม่มีน้ำอยู่ไม่ได้  แต่ที่ผ่านมาหลายจังหวัด น้ำทำให้ผู้คนในหลายจังหวัดอยู่บ้านตนเองไม่ได้ ต้องอพยพกันวุ่นวาย  แต่เหตุการณ์นั้นกำลังจะผ่านไป  ว่ากันใหม่ปีหน้าว่าน้ำจะมาอีกไหมเนี่ย....  ก็ขอให้กำลังใจ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องต่อสู้และอยู่กับมันให้ได้เอ้า...มาถึงเรื่องราวที่จะเขียนเล่าสู่กันฟังกันดีกว่า..  วันก่อนผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดิน  ที่ดินจังหวัดสมุทรสงคราม   สิ่งที่ได้เห็นเมื่อก้าวเข้าไปคือ หน่วยงานของรัฐพัฒนาไปมาก  ดูเป็นระบบและเอาใจใส่ประชาชนที่มาใช้บริการมากขึ้น   ผู้เขียนทำธุระจนเกือบเรียบร้อย  เหลือแค่ไปจ่ายเงินที่แผนกบัญชี   ไปนั่งรอเลยมองหาหนังสือพิมพ์เพื่อมาอ่านค่าเวลา   สายตาก็ไปสะดุดที่ข้อความ  มีที่ดิน มีบ้าน มีรถ มาจำนำได้ที่....ติดหราสง่างามอยู่ที่วางหนังสือพิมพ์ หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน  บนสถานที่ราชการ    “หา...นี่มาโฆษณารับจำนำที่ดินบนที่ดินจังหวัดกันอย่างนี้เลยหรือ” ผู้เขียนงงหลายคนอาจมองแล้วไม่คิดอะไร  แต่ในฐานะคนทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค มันก็อดคิดไม่ได้   เลยไปถามเจ้าหน้าที่ ว่าทำไมยอมให้เขามาโฆษณาบนสำนักงานที่ดินได้  ก็ได้คำตอบว่า  บริษัทศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ  ได้นำที่วางหนังสือพิมพ์ มาบริจาคให้   โดยที่วางหนังสือพิมพ์มีชื่อบริษัทและมีข้อความเชิญชวนให้ไปใช้บริการ ติดอยู่  ทางที่ดินไม่ได้คิดอะไร เขาเอามาให้ก็รับไว้   นี่ไง...เห็นเล่ห์เหลี่ยม บริษัทพวกนี้มั้ย...เขาเก่งจริงๆ ลงทุนไม่กี่บาท  สามารถเอาป้ายโฆษณาของบริษัทเข้าไปตั้งโฆษณา ในสถานที่ที่มีคนมาใช้บริการได้อย่างถาวร โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าสถานที่ เลยสักบาท  แถมยังได้รับความชื่นชมจากเจ้าหน้าที่  ว่าบริษัทนี้มีน้ำใจนำของมาบริจาคให้   เรียกได้ว่าชั้นเชิงการตลาดเข้าขั้นเซียนเหยียบเมฆกันเลยทีเดียว(เจ้าหน้าตามไม่ทันจริงๆ) และไม่รู้เป็นไงผู้เขียนเห็นอะไรอย่างนี้แล้ว ได้แต่บอกตัวเองว่าหากไม่ทำอะไรเลย  กลับบ้านต้องนอนไม่หลับแน่ๆ เลย   คิดได้ดังนั้น ก็เลยไปคุยกับหัวหน้าเขาว่าทำไมถึงยอมให้บริษัทนี้เข้ามาโฆษณารับจำนำที่ดินบนสำนักงานที่ดินที่เป็นสถานที่ราชการ   เขาก็ทำหน้างง..แล้วถามว่าเขามาโฆษณาที่ไหน  ผู้เขียนเลยบอกว่าก็ที่วางหนังสือพิมพ์ไง ถ่ายรูปไว้แล้วนะ  มาคราวหน้าคงไม่เห็นการโฆษณานี้นะ (ขู่กันให้เห็นๆ เลย) ที่เอาเรื่องนี้มาเล่า เพื่อชี้ให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้ใช้กลยุทธ การตลาดโฆษณาในรูปแบบใหม่ๆ  เล่นกันแบบสดๆ ทันทีที่ชาวบ้านทำโฉนดเสร็จ  มาจำนำได้เลยจริงอยากบ่นมากกว่านี้  แต่บ่นไปไม่มีประโยชน์   สู้ไปกดดันให้การโฆษณาพ้นไปจากที่ดินจังหวัดน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากกว่าการบ่น   แล้วเจอกันนะสถานที่ราชการที่รัก  ไม่ใช่แค่ที่ดินที่ไหนมีการโฆษณาอย่างนี้โปรดขยับขยาย ไม่อย่างงั้นเจอกันแน่  .....

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 เซอร์วิส ชาร์จ ในร้านอาหาร ไม่จ่ายได้หรือเปล่า

เรื่องร้องเรียนหลายเรื่องที่เข้ามาหาเรา มีเนื้อหาเรื่องราวเพียงสั้น ๆ แต่ก็เป็นประเด็นที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนคุณรุ่งทิพย์จึงได้ถามมาสั้นๆ ว่า...“ไปกินอาหารร้านดัง แถวสีลมคอมเพล็กซ์ ในบิลบวกค่าบริการประมาณ 10% ของค่าอาหาร จากค่าอาหาร 160 บาท คิดเป็นค่าบริการ 16 บาทบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ตอนแรกว่าจะให้ทิปแล้ว เลยไม่ให้ดีกว่า ปกติไม่ค่อยได้ไปย่านนั้น ถ้ารู้ก็จะไม่กินร้านนี้หรอก ตอนนี้สงสัยว่าร้านอาหารพวกนี้สามารถบวกค่าโน้นนี้ได้ตามอำเภอใจเลยหรือ แล้วใช้หลักอะไรคิดกัน บริการก็ไม่เห็นแปลกพิเศษอะไรเลยคงด้วยความรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับให้ต้องจ่ายค่าทิปอาหาร จึงได้ถามมาสั้นๆ ว่า ค่าทิปหรือเซอร์วิส ชาร์จ แบบนี้จะไม่จ่ายได้ไหม แนวทางแก้ไขปัญหา ผู้รู้ท่านหนึ่งได้กรุณาเขียนให้ความรู้เกี่ยวกับ ทิป และ เซอร์วิส ชาร์จไว้ว่าทิป คือ เงินจำนวนหนึ่งที่ผู้รับบริการมอบให้แก่ผู้ที่ทำหน้าที่ให้บริการแก่ตนเอง โดยจ่ายเพิ่มให้เป็นพิเศษนอกเหนือการจ่ายค่าสินค้า หรือบริการที่ได้รับไปแล้ว การทิปของแต่ละประเทศนั้นจะไม่เหมือนกัน บางประเทศจะรวมค่าทิปไปในบิลเรียกเก็บเงินหลังเช็คบิล หรือใช้บริการเสร็จ โดยในบิลจะระบุว่า “Service Charge” หรือ “ค่าบริการ” ไว้แล้ว ซึ่งจะกำหนดเป็นค่าร้อยละของยอดจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายให้แก่บริการ นั้นๆ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 5-15 เปอร์เซ็นต์แต่ละประเทศมีการคิดค่าธรรมเนียมในการทิปที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศฝรั่งเศส มีกฎหมายให้ภัตตาคารสามารถบวกค่าบริการได้ ทำให้พนักงานเสิร์ฟที่ประเทศฝรั่งเศสมีเงินเดือนและสวัสดิการที่ดี แต่สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกาไม่บังคับ ทำให้รายได้ของพนักงานส่วนใหญ่ได้มาจากการทิป สำหรับเงินเดือนได้น้อยมากดังนั้นเมื่อไปกินอาหารที่ภัตตาคารที่ฝรั่งเศสที่ได้บอกค่าบริการไปแล้วใน บิลจึงไม่ต้องให้ทิปเพิ่มอีก แต่ถ้าหากได้รับบริการที่ดีอาจจะให้เพิ่มตามความสมัครใจก็ได้ โดยปกติจะอยู่ประมาน 1-5 ยูโรต่อจำนวนสมาชิกในโต๊ะสำหรับ ประเทศไทย ไม่ได้มีกฎหมายการเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จเป็นการเฉพาะ มีเพียงแต่กฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่กรมการค้าภายในดูแลเฉพาะเรื่องการแสดงราคาสินค้าให้ผู้บริโภคทราบก่อนที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการ คือ หากสินค้าหรือบริการใดไม่ได้อยู่ในการรายการควบคุมราคาสินค้าก็สามารถที่จะจำหน่ายหรือเก็บค่าบริการในราคาเท่าไรก็ได้ เพียงแต่ขอให้มีการแจ้งราคาให้ผู้บริโภคทราบในป้ายสินค้าหรือบริการก่อน เพื่อให้ผู้บริโภคใช้สมองของตัวเองพินิจพิจารณาว่าจะซื้อหรือจะใช้บริการนั้นหรือไม่ดังนั้น หากในร้านอาหารใหญ่ๆ หรือการสั่งอาหารตามโรงแรมบางแห่งได้มีการเขียนบอกไว้ในเมนูอาหารอยู่แล้วว่ามีค่าบริการ เพิ่มกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาศัยกติกาสากลมาเทียบเคียง ก็สามารถที่จะทำได้ และเดี๋ยวนี้ก็ทำกันหลายที่เพราะคนไทยไม่ค่อยมีวัฒนธรรมการจ่ายค่าทิปให้เด็กร้าน  และหากผู้บริโภคมีความพอใจในบริการมากๆ อยากจะจ่ายค่าทิปเพิ่มให้อีกก็ทำได้ส่วนการปฏิเสธไม่จ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จนั้น ผู้บริโภคควรมีเหตุผลที่เหมาะสมว่าไม่พึงพอใจบริการเพราะเหตุใด เช่น สั่งอาหารอย่างหนึ่งได้มาอีกอย่างหนึ่ง เสียเวลารอนานเกินเหตุ เข้าร้านไปไม่มีใครสนใจมาถามไถ่ให้บริการเลย ทำเหมือนเราเป็นแมลงวันหลงบินเข้าร้านอะไรทำนองนี้ และเมื่อเทียบกับอัตราค่าเซอร์วิสชาร์จที่ถูกเรียกเก็บเห็นว่าไม่คุ้มค่า ตรงนี้ก็พอที่จะเรียกผู้จัดการร้านมาเจรจาชี้แจงที่จะปฏิเสธค่าเซอร์วิสชาร์จได้ แต่ถ้าไม่มีเหตุเลย ไม่อยากจ่ายซะงั้นก็ดูจะใจจืดใจดำกับลูกจ้างชั่วคราวที่เขาได้ค่าแรงต่ำอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องนึกถึงใจเขาใจเรากันบ้าง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 นางงามประเภทสอง หวิดบอดเพราะฉีดฟิลเลอร์

น้องต๊อกแต๊ก เป็นสาวประเภทสอง มีรายได้จากการเดินสายแข่งขันประกวดความงามบนเวทีทั่วราชอาณาจักร ความงามบนใบหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอหรือเขา...คนนี้“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะฉีด” ภาษิตใหม่ของน้องต๊อกแต๊ก เธอบอกว่ามันช้าและอาจไม่สวยเด่นหากจะให้งามเพราะแต่งอย่างเดียว มันต้องมีฉีดด้วย และที่ได้รู้จัก ได้ยินมาคือการฉีดสารฟิลเลอร์ ดูจะสะดวกรวดเร็วในเว็บไซต์หนึ่งให้ข้อมูลว่า  Filler (HA) ถูกนำมาฉีดเพื่อช่วยในการปรับแก้ไขรูปหน้า  เช่น เสริมจมูก เสริมคาง หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า ลดริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือแม้กระทั่งบริเวณผิวหน้าอก และเมื่อสาร Filler นั้นเป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าไปในชั้นผิวหนังจึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายไปเองได้ตามกระบวนการทำงานของร่างกายพอเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลที่พูดถึง การฉีดปรับแก้ไขรูปหน้าหรือฉีดแบบเฉพาะจุด ยิ่งน่าสนใจ บอกว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับแก้ไขเฉพาะส่วน เช่น ฉีดเพื่อเสริมจมูก เสริมคาง เติมแก้มที่ตอบ เติมร่องใต้ตา โดยผลลัพธ์การรักษาจะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือนต๊อกแต๊ก อยากเสริมหน้าผากให้โหนกนูนเต็มอิ่มขึ้นมาอีกนิด จึงติดต่อเข้าใช้บริการฉีดฟิลเลอร์ที่คลินิกความงามแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกก่อนเกิดเหตุ การฉีดฟิลเลอร์เข้าหน้าผากต๊อกแต๊กทำมาก่อนแล้ว 2 ครั้ง เว้นระยะห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์ ฉีด 2 ครั้งแรก ไม่มีอะไรผิดปกติ เสียเงินรวมไป 7,000 บาท ในราคาที่แพทย์แจ้งว่าเป็นราคาทุนเพราะเห็นใจว่าเป็นนักศึกษาต้องทำงานกลางคืนเพื่อหารายได้พิเศษ จนถึงการฉีดครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการฉีดในบริเวณเหนือคิ้วซ้ายใกล้ดวงตา จึงเป็นเรื่อง... แพทย์ผู้ฉีดให้ข้อมูลหลังเกิดเหตุว่า โดยปกติจะฉีดฟิลเลอร์ให้คนไข้ครั้งละประมาณ 2-3 มิลลิลิตร ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะผิวหนังอักเสบ ติดเชื้ออย่างรุนแรง หากคนไข้ต้องการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มาก จึงจะนัดให้มาฉีดเพิ่มในภายหลังครั้งละประมาณ 1-2 มิลลิลิตร ในการฉีดครั้งที่ 3 หลังจากฉีดเสร็จ เธอมีอาการปวดหัวอย่างแรงบริเวณเหนือคิ้วซ้ายที่ได้ฉีดสารเข้าไปทันที มีอาการตาพร่ามัวและมีอาเจียนร่วมด้วยแพทย์ที่คลินิกได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้ปวดให้ หลังจากนั้นอาการยังไม่ดีขึ้น ตาซ้ายมองไม่เห็นมีอาการบวมแดงแพทย์จึงทำการเจาะเอาสารฟิลเลอร์ออก และนำคนไข้ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมาหลังจากวันนั้นน้องต๊อกแต๊กก็มีอาการปวดหัวเป็นพักๆ ส่วนตานั้นมีอาการพร่ามัวมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ที่สำคัญคือ มันทำให้เธอหมดโอกาสเฉิดฉายบนเวทีประกวดความงามและไม่สามารถทำงานหารายได้ได้เหมือนเดิม ต๊อกแต๊กจึงต้องร้องเรียนและขอให้แพทย์รับผิดชอบในค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แนวทางแก้ไขปัญหากรณีแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ว่า การรักษาเป็นไปโดยมีคุณภาพมาตรฐานหรือไม่  มีความระมัดระวังเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเมื่อถามฝั่งแพทย์ผู้ทำการรักษาได้รับคำตอบว่า การรักษาเป็นไปตามมาตรฐานที่ดี มีความระมัดระวังทุกขั้นตอน แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็พร้อมจะรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเราจึงแนะนำให้น้องต๊อกแต๊กใช้วิธีเจรจาเรียกค่าเสียหายกับคลินิกที่ทำการรักษาก่อน และแนะนำให้ประเมินค่าเสียหายที่เป็นค่ารักษาพยาบาลที่จะตามมาอย่างถูกต้องเหมาะสมเป็นจริง การเรียกค่าเสียหายในด้านความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย การขาดโอกาสในการทำมาหารายได้ก็ให้เรียกอย่างเหมาะสม ไม่สูงสุดโต่งจนเลยจุดที่จะทำให้ไม่สามารถเจรจากันได้ท้ายที่สุด แพทย์ผู้ทำการรักษาได้แสดงน้ำใจให้ความช่วยเหลือน้องต๊อกแต๊กเป็นเงินรวม 100,000 บาท ขอแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ละ 50,000 บาท น้องต๊อกแต๊กพึงพอใจในค่าเสียหายที่ได้รับ ยอมยุติเรื่อง และหันมาตั้งหน้าตั้งตารักษาตัวที่จวนใกล้จะหาย เพื่อก้าวขึ้นสู่เวทีประกวดอีกครั้งเชื่อว่า...ทุกเวทียังมีมงกุฎให้เธอไขว่คว้าอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 ขอคืนเครื่องทำน้ำอุ่นกับพาวเวอร์บาย

วันที่ 28 สิงหาคม 2554 ก่อนน้ำท่วมใหญ่ คุณจำนง สมาชิกฉลาดซื้อ ได้ไปซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นที่พาวเวอร์บาย สาขารัตนาธิเบศร์คุณจำนงจ่ายเงินไป 3,790 บาท สำหรับเครื่องทำน้ำอุ่น ฮิตาชิ รุ่น HES-35R นำมาให้ช่างติดตั้ง ใช้อาบได้ปกติ แต่พออาบเสร็จ คุณจำนงได้ลองกดปุ่มทดสอบป้องกันไฟรั่วตามวิธีที่คู่มือแนะนำ  ได้ผลเป็นอย่างดีคือ เครื่องตัดการทำงานทันที  แต่พอจะเปิดให้ใช้งานอีกครั้งปรากฏว่า เครื่องดันตัดไฟไม่ทำงานแบบถาวรไปเลย ใช้อาบน้ำอุ่นไม่ได้คุณจำนง นำใบเสร็จรับเงินของพาวเวอร์บายมาดู พลิกไปที่ด้านหลังมีข้อความระบุถึงเงื่อนไขในการรับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าว่า“รับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าที่มีใบเสร็จรับเงินพร้อมกล่องบรรจุ, ใบรับประกัน, คู่มือและอุปกรณ์ต่อพ่วงของสินค้าภายใน 7 วัน นับจากวันซื้อสินค้า (ยกเว้นไม่รับคืนมีดังนี้ : กล้องถ่ายรูป, กล้องวีดีโอ, โทรศัพท์มือถือ, เพจเจอร์, )สินค้าตัวโ ชว์, สินค้าลดล้างสต๊อก, ทีวีจอใหญ่กว่า 30 นิ้ว) และยังมีข้อยกเว้นเพิ่มเติมอีกว่า “ยกเว้นสินค้าที่ใช้แล้ว หรือแกะกล่องไม่รับคืนมีดังนี้ : ตู้เย็น, เทปคาสเซท, แผ่นซีดี, วีดีโอเทป, คอมพิวเตอร์ซอฟแวร์, ฟิล์ม, ถ่านไฟฉาย, ถ่านชาร์จ, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องซักผ้า, เครื่องดูดฝุ่น, ไมโครเวฟ, เครื่องครัวเล็ก , ผ้าหมึก, อุปกรณ์ทำความสะอาด)เห็นข้อยกเว้นในประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว ก็เกือบจะครอบคลุมแทบทุกชนิดอยู่แล้วที่ห้างจะไม่รับคืน ยังดีหน่อยที่อ่านอยู่ 2-3 รอบ ไม่พบเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ในข้อยกเว้นไม่รับคืน“โอ้...โชคดีอะไรเช่นนี้ ที่ยังมีเครื่องทำน้ำอุ่นเหลือรอดให้คืนให้เปลี่ยนได้” คุณจำนงคิดในใจ รีบถอดเครื่องทำน้ำอุ่นนำกลับไปที่ห้างพาวเวอร์บายเพื่อขอเปลี่ยนเครื่องใหม่ในวันรุ่งขึ้นทันที เพราะกลัวจะหลุดเวลาการเปลี่ยนคืนสินค้าภายใน 7 วัน แต่คำตอบที่ได้รับคือ...“เขาไม่เปลี่ยนให้ครับ บอกว่าต้องให้ช่างฮิตาชิมาดูก่อน” แนวทางแก้ไขปัญหาพอทราบคำตอบว่าพาวเวอร์บายจะไม่ยอมเปลี่ยนสินค้าให้ง่ายๆ และกลัวจะหลุดกรอบ 7 วันที่ห้างยอมให้เปลี่ยนหรือคืนสินค้า จึงรีบโทรศัพท์และส่งแฟกซ์รายละเอียดมาให้เราในวันที่ 30 สิงหาคม 2554ประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เราได้ติดต่อกลับไปที่คุณจำนงพร้อมข้อแนะนำว่า ให้นำสินค้าและใบเสร็จรับเงินไปขอเปลี่ยนสินค้าใหม่อีกครั้งตามเงื่อนไขที่พาวเวอร์บายแสดงเวลา 13.40 น. ของวันที่ 1 กันยายน 2554 คุณจำนงโทรติดต่อกลับมาว่า ได้นำสินค้าไปเปลี่ยนตามคำแนะนำ แต่ทางห้างอ้างว่าจะให้ช่างจากฮิตาชิมาตรวจสอบก่อน ว่าเครื่องเสียด้วยตัวของผลิตภัณฑ์เองหรือเปล่า ถ้าช่างยืนยันว่าการเสียเกิดจาตัวผลิตภัณฑ์เอง ทางห้างยินดีเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ โดยช่างจะมาภายใน 3 วันคุณจำนงเห็นว่าเป็นธรรมดี แต่เกรงว่าจะหลุดกรอบเวลาการยื่นเคลมสินค้าภายใน 7 วัน ด้วยความรอบคอบจึงได้ขอให้ห้างออกใบยืนยันเพื่อเป็นหลักฐานว่าได้ติดต่อขอเปลี่ยนสินค้าก่อน 7 วัน ซึ่งทางห้างได้ออกใบยืนยันให้ ต่อมาวันที่ 3 กันยายน 2554 ช่างจากฮิตาชิได้เข้ามาตรวจสอบเครื่องทำน้ำอุ่น“ช่างทำการเช็คเครื่องโดยขันน๊อต 2 ตัว ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็สามารถใช้ได้เป็นปกติ ช่างห้ามไม่ให้กด(ปุ่มตรวจสอบสวิทช์ป้องกันไฟรั่ว)หลายครั้ง ประมาณ 1 เดือนถึงจะกดครั้งหนึ่ง”เมื่อเห็นว่า ซ่อมแล้วใช้ได้ คุณจำนงเลยตกลงที่จะรับเอาสินค้าตัวเดิมไว้ และเมื่อไปทำการติดตั้งที่บ้านก็ใช้ได้ดีเหมือนเดิมไม่มีปัญหาแต่อย่างใดถือเป็นการตัดสินใจของผู้บริโภคแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ทำให้เรื่องยุติกันไปแบบน้ำใจงามๆ ของคนไทย แต่ในมุมสิทธิของผู้บริโภคแล้ว แม้สินค้านั้นจะซ่อมได้ แต่เหตุที่ผู้บริโภคต้องเทียวไปเทียวมาพาเครื่องทำน้ำอุ่นมาร้องเรียนอยู่ถึงสองสามรอบกับทางห้างก็นับว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ความรับผิดชอบของห้างในกรณีเช่นนี้จึงถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นและต้องปรับปรุง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 แอร์เอเซีย เรียกเก็บค่าธรรมเนียมยกเลิกเที่ยวบิน

คุณยิ่งปลิวและลูกชายจองตั๋วสายการบินแอร์เอเซีย ไป-กลับ กรุงเทพมหานคร-นครศรีธรรมราช แต่มีเหตุไม่ได้ไปเพราะคุณแม่ของคุณยิ่งปลิวป่วยเข้าโรงพยาบาลกะทันหันคุณยิ่งปลิวจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินเป็นเงินทั้งสิ้น 5,568.96 บาท  แบ่งเป็นค่าตั๋วและภาษี 4,683 บาท ค่าประกันภัยและดำเนินการ 885.96 บาท โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองของประกันภัยว่า หากผู้เอาประกันภัยจำเป็นต้องยกเลิกการเดินทางอันมีสาเหตุจากการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บสาหัส หรือการเจ็บป่วยของผู้เอาประกันภัย คู่สมรส บิดามารดาของผู้เอาประกันภัย บิดามารดาของคู่สมรส ปู่ ย่า ตา ยาย บุตร พี่ น้อง ของผู้เอาประกันภัย ทำให้ไม่สามารถเดินทางตามกำหนดได้ จะให้ความคุ้มครองการบอกเลิกการเดินทางด้วยการคืนเงินชดเชยสูงสุดไม่เกินราคาค่าโดยสาร (ค่าตั๋ว + ภาษี + น้ำมัน)“แม่ผมป่วยอยู่โรงพยาบาล อยู่ในเงื่อนไขการคืนเงิน และทางแอร์เอเซียก็ไม่ขัดข้องใดๆ เพราะไม่ได้คืนเงินให้จริง แต่ให้เป็นเครดิตไว้สำหรับการเดินทางครั้งต่อไปภายใน 90 วัน แต่เมื่อคำนวณการคืนเงินให้ผู้โดยสาร ผมคิดว่าเอาเปรียบผู้โดยสารอยู่ดี” แนวทางแก้ไขปัญหา แอร์เอเซียเอาเปรียบหรือไม่ ลองมาพิจารณาโครงสร้างการหักเงินก่อนคืนเงินค่าโดยสารครั้งนี้ดู แอร์เอเซียหักค่าธรรมเนียมยกเลิกเที่ยวบิน (749 บาท/คน/เที่ยว) เป็นเงิน 2,996 บาท หักค่าประกันและดำเนินการ 885.96 บาท รวมเงินที่หัก 3,881.96 บาท จากเงินที่จ่ายไป 5,568.96 บาท  คงเหลือเงินที่คืนให้แก่ผู้โดยสารเพียง 1,687 บาท“ผมทำประกันการยกเลิกเที่ยวบิน แต่ยังมาหักค่าธรรมเนียมยกเลิกเที่ยวบินอีก ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำประกันไปทำไม” คุณยิ่งปลิวถามด้วยความเคืองใจเมื่อไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดการคืนเงิน คุณยิ่งปลิวจึงส่งเสียงทักท้วงไปที่แอร์เอเซีย ผลปรากฏว่า แอร์เอเซียได้ดำเนินการชดเชยให้แก่ผู้ร้องโดยการส่งตั๋วบินไปกลับฟรีมาให้ แถมยังคืนเงินที่หักค่าธรรมเนียมการยกเลิกเที่ยวบินมาให้อีกด้วย ทำให้คุณยิ่งปลิวรู้สึกพอใจกับการชดเชยของแอร์เอเซียเป็นอย่างมากใครที่เจอปัญหาทำนองนี้ อย่าลืมรักษาสิทธิกันนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 ผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ความยั่งยืนของอาหาร ที่คุณทำได้

  “ถ้าปีหน้าน้ำมันท่วมอีก ข้าวของก็คงขาดตลาดอีก คนก็ตุนมาม่า ปลากระป๋อง ไข่ พอมีความต้องการเยอะ ราคาของก็แพงขึ้น ทำไมเราไม่คิดกลับบ้าง ซื้ออาหารสดพวกปลา หมู มาทำหมูเค็ม ปลาเค็ม ก็เก็บไว้ได้นานเหมือนกัน ที่สำคัญคือผัก น้ำท่วมเราปลูกกินเองได้ ถั่วงอก ผักบุ้งนี่ก็ปลูกง่ายคุณค่าทางโภชนาการก็เยอะ” แก้วตา ธัมอิน นักเขียนบทกวีคนรุ่นใหม่เผยแนวคิดที่แตกต่าง แต่ลงตัวให้กับฉลาดซื้อได้เห็นในอีกมุมมองของการใช้ชีวิต เพื่อจะมีชีวิตอยู่และอยู่อย่างมีชีวิต ในการข้ามฝ่าวิกฤต ที่อาจอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด ฉลาดซื้อขอบอกเล่ากิจกรรมโครงการรณรงค์ของมูลนิธิชีววิถี โดยผ่านเรื่องราวจากปากของ แก้วตา ธัมอิน ที่วันนี้ไม่ได้มาในบทบาทของกวี แต่มาในบทบาทของเจ้าหน้าที่รณรงค์ เกิดกอ ก่อเมล็ดพันธุ์“โครงการ(ผ้าป่าเมล็ดพันธุ์) นี้เกิดขึ้นมาเพราะภาวะน้ำท่วมขังที่ยาวนาน บางพื้นที่ เช่น จ.นครสวรรค์ ท่วมนานกว่า 3 เดือนทำให้พื้นที่การเกษตร ทั้งที่นา ที่สวน จนสวนรอบบ้าน ไม้ผล และพืชผักสวนครัว ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด เกษตรกรไม่สามารถเก็บพันธุ์ไว้ปลูกเพื่อการผลิตในรอบต่อไปได้อีกเลย และเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในระยะฟื้นฟู เราจึงรับบริจาคเมล็ดพันธุ์ผัก-ข้าว กิ่งพันธุ์ผัก-ผลไม้ ที่เกษตรกรสามารถเก็บและขยายพันธุ์ไปปลูกต่อได้ รวมถึงสามารถตอบสนองต่อความจำเป็นเฉพาะหน้า เช่น พืชผักสวนครัว เมล็ดพันธุ์ที่จะปลูกเพื่อเป็นรายได้ช่วงหลังน้ำท่วม” นั่นคือที่มาของโครงการดี ดี แบบนี้ แต่จุดหมายหลักๆ ก็คือความพยายามจะสร้างความยั่งยืนด้านอาหารนั่นเอง ไม่ให้เมล็ดพันธุ์ตกไปอยู่ในมือของนายทุน หรือบรรษัทไม่กี่บรรษัท เพราะตลาดเมล็ดพันธุ์มีมูลค่าทางการตลาดมหาศาล ซึ่งเมล็ดพันธุ์นั้นถือเป็นฐานความมั่นคงทางอาหาร ถ้าหากเกษตรกรไม่ได้จัดการเมล็ดพันธุ์ด้วยตัวเอง สุดท้ายพันธุ์พื้นเมืองก็จะสูญหายไป ความหลากหลาย การเข้าถึงด้านอาหารก็ยากขึ้น ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นที่ทางมูลนิธิชีวิถีเล็งเห็นก็คือ เกษตรกรมีรายได้น้อยเมื่อต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ที่จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ลูกผสม(hybrid) ทั้งหมด แล้วไหนจะต้องติดเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ก็จะเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้เกิดวงจรการเข้าไม่ถึงอาหาร ต้องเข้าเป็นหนี้ และยากจน หมุนวนเป็นวงจร เมล็ดพันธุ์ที่ทางมูลนิธิชีววิถีจับตาและรณรงค์อยู่ก็คือเมล็ดพันธุ์ข้าว เมล็ดพันธุ์ข้าวโพด รวมถึงผักพื้นบ้าน ที่พยายามให้พื้นที่เครือข่ายได้แลกเปลี่ยนกันเพื่อให้เกิดความหลากหลายนั่นเอง ผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ ความยั่งยืนด้านอาหาร พื้นที่เครือข่ายโรงเรียนชาวนาที่เราทำงานด้วยอย่างจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดอุบลราชธานี ก็จะมีการแบ่งปันพันธุ์ข้าวมาให้กัน อย่างคนที่อบรมกับเครือข่ายโรงเรียนชาวนาที่อยู่จังหวัดกำแพงเพชรก็ปันเมล็ดข้าวมาให้ ถึงแม้มันไม่มากมายแต่ก็ถือว่าเบาแรงกับต้นทุนที่ต้องลงทุนใหม่ ตอนนี้ชาวบ้านต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวที่อายุสั้น เพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว เพราะว่าไม่ได้ทำนามารอบหนึ่งแล้ว แล้วข้าวที่ทางเรามีอยู่ก็เป็นข้าวปี ซึ่งต้องใช้เวลานาน ข้าวอายุสั้นจึงเป็นที่ต้องการของชาวบ้าน เพราะถ้าดูแล้วในฤดูกาลหน้า น้ำก็จะมาอีกแล้ว พฤษภาคม น้ำก็จะมีอีกแล้ว ถึงแม้ทาง.ธ.ก.ส.ที่ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ช่วยเกษตรกร โดยการนำพันธุ์ข้าว ซีพี 111 มาขายให้ชาวบ้านในราคาถูก แต่ก็ต้องพ่วงปุ๋ย พ่วงยาของเขาไปด้วยพร้อมๆ กัน เรื่องผักที่เรารวบรวมก็เป็นพวกเครื่องเทศต่างๆ เพราะมันตายหมดเลยนะ ทั้งพริก ขิง ข่า ตะไคร้ กระเพรา คือเหมือนห้องครัวของบ้านหายไปเลย เราก็รวบรวมให้ได้เยอะที่สุดแล้วนำไปให้กับชาวบ้าน รวมกันเป็นผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ 12 – 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็ได้นำไปมอบเป็นผ้าป่าให้กับชาวนครสวรรค์ ซึ่งรวบรวมจากเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ยกตัวอย่างจังหวัดฉะเซิงเทรา จะทำพวกผักพื้นบ้านเยอะ ก็จะรวมมาให้เยอะ ตอนนี้ก็จะมีพันธุ์พริก มะเขือ ถั่วพู เราจะไม่เพาะเป็นกล้านะ เพราะจะยากตอนขนย้าย ให้เป็นเมล็ดพันธุ์ไปเลยจะสะดวกกว่า สวนผักคนเมืองที่นครปฐม คลองโยงก็ได้รับผลกระทบนะ ทางเครือข่ายเชียงใหม่ที่จับเรื่องที่ดินก็จะระดมเมล็ดพันธุ์ไปช่วย ชาวบ้านที่ปลูกผักออร์แกนิคที่ลาดหลุมแก้ว ก็ได้รับผลกระทบเยอะก็คิดไว้ว่าน่าจะมีผ้าป่าเมล็ดพันธุ์เพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ถูกน้ำท่วมด้วย ภาพการเคลื่อนไหวในหลายๆ ส่วนที่เราระดมช่วยเหลือกันเรื่องเมล็ดพันธุ์ ซึ่งน่าจะได้มาพูดกันในเรื่องวิกฤติของอาหาร ทั้งเรื่องภัยพิบัติ ทั้งเรื่องการจะถูกคุกคามจากบรรษัทด้วย เพื่อหาทางออกร่วมกัน พยายามสต๊อกอาหารไว้เพื่อจะผ่านน้ำท่วมไป แต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องผัก ไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตคนเราต้องกินผักเหมือนกันนะ กินอาหารกระป๋องเยอะมันก็เบื่อ ขาดคุณค่าโภชนาการด้วยนะ แล้วทำไมไม่ตุนผักไว้บ้างละ อย่างฟักทอง ฟักเขียว นี่ก็เก็บไว้ได้นาน จินตนาการเกี่ยวกับอาหารของคนมันหายไปไหนหมด  การพึ่งตัวเองในภาวะวิกฤต ถ้าหากภาวะวิกฤตแบบนี้เกิดขึ้นอีก คุณจะเตรียมตัวรับมืออย่างไรบ้าง หลายคนอาจเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะตุนอะไรไว้บ้าง ทั้งอาหาร น้ำ แต่สำหรับแก้วตาเธอมีแผนไว้แล้วว่า จะอยู่กับน้ำยังไง “น้ำมาอีก ก็ปลูกผักลอยน้ำเลย หลายคนอาจเตรียมมาม่า ปลากระป๋อง มีน้องคนหนึ่งบ้านอยู่แถวนนทบุรี บอกว่าซื้อไข่เก็บไว้เป็นแข่งเลย ครอบครัวก็พยายามสต๊อกอาหารไว้เพื่อจะผ่านน้ำท่วมไป แต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องผัก ไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตคนเราต้องกินผักเหมือนกันนะ กินอาหารกระป๋องเยอะมันก็เบื่อ ขาดคุณค่าโภชนาการด้วยนะ แล้วทำไมไม่ตุนผักไว้บ้างละ อย่างฟักทอง ฟักเขียว นี่ก็เก็บไว้ได้นาน จินตนาการเกี่ยวกับอาหารของคนมันหายไปไหน ทำไมจินตนาการไม่พ้นอาหารกระป๋องใช่ไหม พวกปลาเค็ม ปลาแห้ง เก็บไว้ได้ตั้งเยอะ หน่อไม้ดอง หน่อไม้อัด แต่คนเราจินตนาการไปไม่ได้ ก็ไปแย่งกันซื้อไข่ ซื้ออาหารกระป๋อง อยากมีผักกินสดกินใช่ไหม อ้าวก็เพาะถั่วงอกสิ คือมันต้องคิดถึงการสำรองอาหารในอีกรูปแบบ อ่ะอยากซื้อหมูใช่ไหม เราก็เก็บได้ ซื้อมา ไม่ใช่ไปเก็บในช่องฟรีซในตู้เย็นนะ พอถูกตัดไฟขึ้นมาจะทำไง คุณก็ทำแหนม ทำหมูเค็ม หมูแดดเดียว เห็นไหมทำได้ตั้งหลายอย่างง่ายๆ แต่พอถึงสถานการณ์นั้นจริงๆ คิดอะไรไม่ออกเลย ก็นะมันเป็นเรื่องที่เราต้องจินตนาการกับมันหน่อย แล้วเราจะใช้ชีวิตได้อย่างมีชีวิต” สำหรับใครที่อยากร่วมทำบุญผ้าป่าเมล็ดพันธุ์ ส่งมาได้ที่ มูลนิธิชีววิถี 125/356 ม.3 หมู่บ้านนราธิป ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 หากเป็นกิ่งพันธุ์ หรือต้นกล้าจะขนมาส่งที่มูลนิธิชีววิถีก็ได้ หรือไม่สะดวกจะให้ไปช่วยขนก็สามารถแจ้งมาได้ที่ 02-9853837-8 หรือ คุณสุบิน 086-9194868,คุณนนทวรรณ 086-1828423 ทำบุญกับคนที่เขาต้องการจริงๆ ด้วยของที่ขาดแคลนจริงๆ ได้บุญเยอะนะเออ 

อ่านเพิ่มเติม >