ฉบับที่ 104 ประมูล 3 G อย่างไรผู้บริโภคได้ประโยชน์

ตื่นเต้นไปตามๆ กันเมื่อทุกคนเริ่มเห็นว่า ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสประมูลให้ใบอนุญาต 3 G ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเข้าใจกันนักว่าเจ้า 3G นี้แตกต่างจากระบบปัจจุบันที่เป็น 2 G อย่างไร  ฟังแนวทางจากคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรีก็บอกว่าไม่อยากให้ประมูลราคาสูงมาก เพราะจะเป็นภาระแก่ผู้บริโภคประมูลสูงเป็นภาระผู้บริโภคจริงเหรอ ?? ลองดูรูปข้างล่างเรื่องนี้กันเล่นๆ แล้วให้ทายว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร เหตุที่มูลค่าการประมูลที่ราคาสูงไม่เกี่ยวข้องกับภาระกับผู้บริโภคในกรณีนี้เนื่องจาก หากราคาประมูล 3 G ได้ไม่เกิน 6,500 ล้านบาท หรือถึงแม้จะสูงแต่หากยังไม่เกินมูลค่าการจ่ายสัมปทานให้กับรัฐ (ระบบ 2 G) แสดงว่าค่าใช้จ่ายบริษัทลดลง เพราะเดิมค่าใช้จ่ายส่วนนี้คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานและหากประมูลใบอนุญาต 4 ใบจริง ผู้ให้บริการแทบจะไม่ต้องแข่งขันเพราะปัจจุบันมีเจ้าใหญ่ 3 ราย หากรวมทศท. และกสท. เป็น 5 ราย แต่หากทศท.ไม่ได้รับอนุญาตให้ประมูลก็จะเหลือเพียง 4 ราย ทุกบริษัทก็จะได้รับใบอนุญาตกันถ้วนหน้า เพราะกติกากำหนดไว้ว่าบริษัทหนึ่งจะได้รับใบอนุญาตไม่เกิน 1 ใบ โอกาสฮั้วให้ประมูลไม่สูงเกินราคาที่ตั้งไว้ ย่อมน่าจะเป็นไปได้จริงหรือไม่  การประมูลในครั้งนี้หากจะให้รัฐได้ประโยชน์ก็ควรตั้งราคาที่จะทำให้รายได้รัฐไม่ลดไปจากเดิมมากนัก หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องรับประกันคุณภาพและราคาให้กับผู้บริโภคว่า ระบบ 3 G ราคาต้องไม่สูงกว่าระบบ 2 G ในปัจจุบัน หรือห้ามคิดเกินนาทีละบาท ทั้งเสียง ข้อความและภาพ ซึ่งก็มีกำไรมากกว่าระบบเดิมแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 ฉลากอาหารไม่มีเลข อย. 13 หลักถือว่าผิดกฎหมาย

เครื่องหมาย อย. เป็นสิ่งที่การันตีความปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง เมื่อซื้ออาหารแปรรูปต่างๆ มารับประทาน แต่เครื่องหมาย อย. อย่างเดียวอาจไม่ถูกต้อง เพราะจำเป็นต้องมี เลขสารบบอาหารหรือเลขประจำตัวผลิตภัณฑ์อาหาร 13 หลักแสดงอยู่ภายในกรอบเครื่องหมาย อย. ด้วย จึงจะเรียกว่า ถูกต้องคุณสุจิตราซื้อนมปรุงแต่งพาสเจอร์ไรส์ยี่ห้อ อืมม!..มิลค์ (Umm!..Milk) รสกล้วยหอม ราคา 55 บาท จากห้างสรรพสินค้าเซ็นทัลลาดพร้าวกลับมารับประทานที่บ้าน แต่ได้สังเกตว่านมดังกล่าว แม้จะมีเครื่องหมาย อย.แต่ไม่มีเลขสารบบอาหาร เธอจึงสอบถามไปยังหน้าแฟนเพจเฟซบุ๊กของนมยี่ห้อดังกล่าวซึ่งชี้แจงกลับมาว่า “นมปรุงแต่ง 0% แล็กโทส รสกล้วยหอม เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของ อืมม!..มิลล์ ที่อยู่ในขั้นตอนการขอ อย. และสามารถจำหน่ายได้เนื่องจากจำหน่ายในจำนวนจำกัด โดยมีการส่งตรวจคุณภาพกับ อย. เสมอ”อย่างไรก็ตามคุณสุจิตรา ยังข้องใจในคำตอบของบริษัทฯ เธอจึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ เพราะไม่แน่ใจว่านมดังกล่าวได้รับมาตรฐานและมีความปลอดภัยจริงหรือไม่ แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังได้รับเรื่องร้องเรียนศูนย์ฯ จึงไปซื้อนมดังกล่าวจากห้างสรรพสินค้าทั่วไป เพื่อนำมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง ซึ่งพบว่ามีเพียงเครื่องหมาย อย. แต่ไม่มีเลขสารบบอาหารจริง จึงทำหนังสือสอบถามและขอให้มีการตรวจสอบไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่ง อย. ตอบกลับมากว่า ได้ขอความร่วมมือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ให้มีการตรวจสอบสถานที่ผลิตพร้อมเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ดังกล่าวส่งตรวจเพื่อวิเคราะห์คุณภาพ ซึ่งพบว่ามีคุณภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่การแสดงอาหารดังกล่าวไม่ถูกต้อง ถือเป็นการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 367 พ.ศ.2557 เรื่องการแสดงฉลากอาหารในภาชนะบรรจุ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาจึงได้ดำเนินการปรับตามประกาศ (ไม่เกิน 30,000 บาท) เรียบร้อยแล้วทั้งนี้สำหรับอาหารใดๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ต้องมีฉลากอาหาร ก็ไม่ควรวางจำหน่ายก่อนได้รับเครื่องหมาย อย. เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 156 100 ปี หมอยา

เมื่อวันที่ 10- 12  มกราคม 2557  เป็นวันจัดงาน “100  ปี วิชาชีพและการศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย โดย สภาเภสัชกรรม  และมูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม   ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทบทวนผลการดำเนินการ 100 ปี ที่ผ่าน และทิศทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา “วิชาเภสัชศาสตร์” กับความคาดหวังของประชาชนต่อวิชาชีพนี้  ในทศวรรษ ต่อไปประเด็นที่ท้าทาย “หมอยา” มีมากมาย   รวมถึงการกำหนดหลักสูตรการสอนอย่างไร?  ให้ผู้ที่จบหลักสูตรวิชาชีพเภสัชกรรม  เป็นผู้ที่ “เอาธุระต่อสังคม” ไม่ใช่เป็นแค่อาชีพหนึ่งในสังคม   สาเหตุที่เขียน เช่นนี้ เพราะเภสัชกร  เป็นผู้ทรงความรู้เกี่ยวกับเรื่องยา   ทุกแขนง ทุกสาขา ทั้งความรู้เรื่องการใช้ยาการกินยา ผลกระทบของยา การผลิตยา  ทั้งยาคนยาสัตว์  รวมถึงเป็นผู้ที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความมั่นคงด้านยา  เรียกได้ว่าเป็นรอบรู้เรื่องที่เกี่ยวกับยาครบวงจร   แต่ความรู้ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาตั้ง 6 ปี  กลับถูกนำมาใช้อย่างจำกัด  เภสัชกร เป็นได้แค่คนขายยาในร้านยา คนจัดยาและแนะนำยาให้กินยาตามแพทย์สั่ง  เช่น  ยานี้กินกี่วัน กินวันละกี่มื้อ  แต่กินไม่ตรงแล้วเป็นไง กินไม่ครบจะเกิดอะไร(ไม่มีเวลาบอก)  เป็นเภสัชในโรงงาน  ฯลฯ ที่ยังไม่เคยเป็นเลยตลอด 100 ปีที่ผ่านมา  เห็นจะเป็น  “ผู้ทำให้ประเทศไทยพึ่งพาตัวเองด้านยาได้” อย่างที่ควรจะเป็น ด้วยข้อจำกัด และอุปสรรคมากมาย ทำให้ 100 ปี ที่ผ่านมาประเทศไทยยังต้องพึ่งการนำเข้ายาจากต่างประเทศเป็นหลัก  เท่าที่ผู้เขียนไปนั่งฟังในเวทีรวมถึงเป็นผู้ที่ร่วมวิพากษ์ เรื่องหลักสูตรการศึกษานี้  ทำให้ทราบว่า  เรายังขาด   องค์กรที่จะมาเป็นเจ้าภาพในการสร้างความมั่นคงด้านยาของประเทศ  ขาดทั้งงบประมาณ  ความพร้อมในการผลิตยา  รวมถึงขาดนโยบาย จากฝ่ายการเมือง  ที่จะสร้างความมั่นคงด้านยาอย่างจริงจัง  นักการเมืองบ้านเรายังมีความสุขกับการอนุมัติงบประมาณเพื่อนำไปซื้อยา  มากกว่าที่จะทำให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งด้านพึ่งพาตนเองเรื่องยา   ในภาวะกระแสปฏิรูปประเทศไทยกำลัง มาแรง  ก็เลยอยากฝากประเด็นนี้ให้ติดอยู่ในกระบวนการปฏิรูปด้วยก็จะดียิ่งเจอกันฉบับหน้าจะนำปัญหาการใช้ยาอย่างขาดความรู้จนทำให้ถึงตายมาเล่าสู่กันฟัง มีเยอะเชียวล่ะคุณเอ๋ย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 ครีมลดริ้วรอย ของใครนะเวิร์กสุด

อะไรเอ่ย ... มาช้าไม่ว่า ไม่มาเลยยิ่งดี? แต่ถ้ามันมาแล้วก็ถึงเวลาที่ ฉลาดซื้อ จะพาสมาชิกไปพิสูจน์ประสิทธิภาพครีมบำรุงผิวที่อ้างว่าสามารถลบเลือนลายเส้นที่แวะมาฝังตัวบนใบหน้าของเราได้ ว่ามันสามารถทำได้อย่างที่อ้างหรือไม่ และถ้าจะลงมือควักกระเป๋า เราควรเลือกยี่ห้อไหน … ครีมลดริ้วรอยในการทดสอบครั้งนี้เป็นครีมที่ติดอันดับขายดีในยุโรปและเอเชีย (ซึ่งมีฮ่องกง และเกาหลีใต้ส่งตัวอย่างเข้าร่วมทดสอบด้วย) ทั้งยี่ห้อที่ซื้อผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยาทั่วไป วิธีการทดสอบ ทดสอบโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research& Testing) ครั้งนี้มีอาสาสมัครเข้าร่วมทดสอบทั้งหมด 995 คน ทั้งหมดเป็นผู้หญิงเชื้อสายคอเคเซียนที่อายุระหว่าง 31 – 70 ปี (อายุเฉลี่ยของอาสาสมัคร คือ 53 ปี) แต่ละผลิตภัณฑ์จะมีผู้ทดลองใช้ 30 – 31 คน หลังจากอาสาสมัครใช้ผลิตภัณฑ์วันละ 2 ครั้ง (เช้า-ค่ำ) เป็นเวลา 1 เดือน (ที่ไม่โดนแสงแดดเลย) ทีมวิจัยได้วัดความยาวและความลึกของริ้วรอย เพื่อเปรียบเทียบกับค่าก่อนการใช้ นอกจากนี้ยังตรวจวัดความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยวิธี corneometry สอบถามความพึงพอใจของอาสาสมัครที่ใช้ผลิตภัณฑ์ และการพิจารณาความถูกต้องของฉลากด้วย สัดส่วนการให้คะแนน (คะแนนเต็ม 100) ริ้วรอยลดลง       ร้อยละ 50 ผิวนุ่มชุ่มชื้น       ร้อยละ 25 ผู้ใช้พึงพอใจ*      ร้อยละ 15 ฉลากถูกต้อง**   ร้อยละ 10 *ลักษณะเนื้อครีม ความเหนียว ความมัน การซึมลงสู่ผิว กลิ่น **มีชื่อ/ที่อยู่ผู้ผลิต วันผลิต/วันหมดอายุ ปริมาตร ส่วนประกอบ ข้อควรระวัง ฯ จากการทดสอบครั้งนี้ เราพบว่ายังไม่มีครีมยี่ห้อไหนได้คะแนนในระดับ 5 ดาว ครีมที่ดีที่สุดในการทดสอบครั้งนี้คือ EUCERIN Hyaluron-filler ที่ได้คะแนนในระดับ 4 ดาว ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ได้คะแนนในระดับ 3 ดาวเท่านั้น และที่น่าสนใจคือ มีผลิตภัณฑ์ที่ให้อาสาสมัครทดสอบ 2 ตัวที่เป็นครีมบำรุงผิวธรรมดาที่ไม่ได้อ้างสรรพคุณลดริ้วรอย แต่ได้คะแนนจากการทดสอบค่อนข้างดีคือ NIVEA Pure natural soin de jour hydratant* และ VICHY Aqualia thermal* ดีกว่าครีมราคาแพงอีกหลายยี่ห้อด้วย     //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 เปรียบเทียบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา

มาแล้วคุณสาวๆ ที่ไม่อยากแก่ เราจัดให้อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานสำหรับผลทดสอบครีมบำรุงผิว คราวนี้ ฉลาดซื้อ ขอนำเสนอเน้นๆ เฉพาะครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา ให้สมาชิกที่ตั้งตารออยู่ได้รู้กันไปว่า “อายครีม” ยี่ห้อไหน มีประสิทธิภาพในการกำจัดริ้วรอยสูงกว่ากัน คราวนี้เราดูกันเส้นต่อเส้น และใช้วิธีตัดสินกันด้วยภาพถ่ายเลยทีเดียว   และเช่นเคย การทดสอบครั้งนี้ทำโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research & Testing) ที่ฉลาดซื้อเราเป็นสมาชิกอยู่ คราวนี้มี “อายครีม” ที่อ้างว่าสามารถลดริ้วรอยและรอยย่นรอบดวงตาได้ เข้าลงแข่งถึง 18 ยี่ห้อด้วยกัน มีทั้งผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศส (5 ยี่ห้อ) อังกฤษ (4 ยี่ห้อ) และอเมริกา (9 ยี่ห้อ) ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดเป็นหญิงและชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 107 คน ที่มีอายุระหว่าง 35 – 65 ปี แต่ละคนจะใช้ 2 ผลิตภัณฑ์ (คนละซีกหน้า) ทุกเช้า/เย็น เป็นเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีผู้ทดลองใช้ระหว่าง 9 - 11 คน   --------------------------------------------------------------------------------------------------------  โฆษณาแฝง อุอุ ฉลาดซื้อ เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบ ICRT จึงมีผลทดสอบสินค้าและผลิตภัณฑ์มาฝากผู้อ่านได้อย่างสม่ำเสมอแม้จะไม่มีทุนมากพอที่จะส่งผลิตภัณฑ์ไปร่วมทดสอบเอง (ขอเมาท์ให้รู้โดยทั่วกันว่า การทดสอบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายถึง 3,500 ยูโร หรือประมาณ 140,000 บาท ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์) ความฝันอันสูงสุดของกองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ คือการมีสมาชิกมากพอที่จะทำให้เรามีทุนเพียงพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในบ้านเราไปร่วมทดสอบด้วย --------------------------------------------------------------------------------------------------------  เราทดสอบอะไร • ประสิทธิภาพในการลดความลึกและความยาวของริ้วรอย กรรมการจะดูจากภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ (โดยกล้อง Canon EOS-ID Mark III ความละเอียด 21.1 megapixel) เพื่อเปรียบเทียบ ระหว่างสภาพผิวก่อนใช้ สภาพผิวหลังใช้หนึ่งชั่วโมง และสภาพผิวหลังการใช้ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้กรรมการไม่ทราบว่าภาพแต่ละภาพนั้นถ่ายในช่วงเวลาใด • ประสิทธิภาพในการลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา อาสาสมัครที่ทดลองใช้ตอบแบบสำรวจความพึงพอใจ ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถ้ามีผู้ใช้อย่างน้อย 9 คนเห็นด้วยว่ารอยคล้ำได้ตาดูจางลง หรือถุงใต้ตาดูลดลงผลิตภัณฑ์นั้นจะได้คะแนนในข้อนี้ไป   ผลทดสอบในภาพรวม • ต้องทำใจนะ ยังไม่มีครีมลดริ้วรอยรอบดวงตายี่ห้อไหนสามารถกำจัดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ของเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาที่ได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้ สามารถลดริ้วรอยได้ประมาณ 60% • สิ่งที่ครีมเหล่านี้ทำได้ดีคือการลดความลึกของริ้วรอย แต่ยังทำได้ไม่ดีนักในเรื่องของการลดความยาวของริ้วรอย (ประสิทธิภาพในการลดความลึกของริ้วรอยตั้งแต่ 17% ถึง 61% ในขณะที่ประสิทธิภาพในการลดความยาวของรอยย่นตั้งแต่ 9.5% ถึง 46% เท่านั้น) • การทดสอบครั้งนี้ได้มีการทดสอบครีมบำรุงผิวด้วย 2 ยี่ห้อซึ่งปรากฏว่า หนึ่งในนั้นประสิทธิภาพติดหนึ่งในห้าอันดับต้น (Accantia Simple Kind to Skin Replenishing Rich Moisturizer) ในขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งอยู่ในอันดับที่สามจากท้าย (Neutrogena Oil Free Moisture For Sensitive Skin)   เคล็ดลับผิวสวย อ่อนเยาว์จากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง   1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อหน้าตาที่สดชื่นอิ่มเอิบ 2. ลดความเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน เพราะความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังด้วย ลองเลือกวิธีการที่คุณชอบ เช่น ฟังดนตรี ดูภาพยนตร์อ่านหนังสือ พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ฟังธรรมะ นั่งสมาธิ ฯลฯ 3. หลังทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง ควรบำรุงผิวด้วยครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว เพราะหลังล้างหน้า สารทำความสะอาดจากผลิตภัณฑ์จะชะเอาความชุ่มชื้นและน้ำมันธรรมชาติจากผิวหนังออกไป ทำให้ผิวหน้าตึงซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหย่อนยานได้ 4. หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวชนิดสำหรับกลางคืน “Night cream” ซึ่งจะมีส่วนผสมของเนื้อครีมที่เข้มข้นด้วยสารอาหารสำหรับผิวหน้า เช่น วิตามินอี วิตามินเอ คอลลาเจน อีลาสตินและสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ โดยส่วนประกอบของน้ำมันมักจะหนักกว่าครีมสำหรับทาตอนกลางวัน เพื่อปกป้องผิวหน้าจากอากาศเย็นและแห้งในห้องแอร์ 5. ถ้ามีเวลาว่างในช่วงวันหยุดยาว ภายหลังการทำความสะอาดผิวหน้าแล้วอาจพอกหน้าด้วยแตงกวาสดหรือว่านหางจระเข้ โดยล้างให้สะอาด ตัดเป็นแว่นและวางบนผิวหน้า สารอาหารและความชุ่มชื้นจากแตงกวาหรือว่านหางจระเข้จะแทรกซึมเข้าฟื้นฟูและซ่อมบำรุงผิว 6. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลา 8 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลททั้งยูวีเอและยูวีบี ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง ผิวหนังหนา หยาบกร้านและดำคล้ำ แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดได้ ควรปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อแขนยาวหรือกางร่ม และทาผิวด้วยครีมกันแดดที่มีองค์ประกอบของสารที่สามารถกรองรังสีทั้งสองชนิดและมีค่า “เอสพีเอฟ” (SPF) อย่างน้อย 15 (จาก หนังสือ “สวยอย่างฉลาด” โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 76 ทดสอบครีมลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

ในบรรดาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่ใช้ ๆ กันอยู่ นอกจากครีมเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่งซึ่งเป็นที่นิยมมาพักใหญ่ ๆ แล้ว  ผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านและลดริ้วรอยบนใบหน้าก็เป็นเครื่องสำอางอีกชนิดหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ และหนุ่ม ๆ หลายคนทราบกันดีว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูง ยิ่งยี่ห้อที่มีเคาน์เตอร์ในห้างเป็นของตัวเองก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก  แต่จากการที่คนบางคนไม่อยากให้ตัวเองดูแก่กว่าวัย ซ้ำยังอยากให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ ปราศจากริ้วรอย เหมือนกับพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณา หลาย ๆ คนจึงยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้ผิวประเภท “โกงอายุ” มาประดับใบหน้ากัน ผลก็คือ ทำให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านและลดริ้วรอยเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสถิติมูลค่าการตลาดของครีมบำรุงผิวซึ่งอยู่ที่ 6,000 ล้านบาทนั้น พบว่าเป็นมูลค่าการตลาดของครีมต้านริ้วรอยถึงร้อยละ 40 โดยเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 60 เลยทีเดียว   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในบรรดาผลิตภัณฑ์ครีมลดริ้วรอยที่วางขายกันอยู่ ยังไม่มีใครทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานที่แท้จริงของมันเลย และต่อไปนี้คือผลการทดสอบที่ทำโดยองค์การทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research and Testing) โดยผลการทดสอบชิ้นเดียวกันนี้ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ใน นิตยสารคอนซูเมอร์ รีพอร์ท (Consumer Reports) ของสหรัฐอเมริกา และ นิตยสารเคอ ชัวร์ซี (Que Choisir) ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมส่งตัวอย่างเข้าทดสอบ ในฉบับเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งจะช่วยไขปริศนาว่าครีมลบริ้วรอยหลาย ๆ ยี่ห้อที่เราพบเห็นทั่วไป หรือที่บางคนอาจกำลังใช้อยู่ทุกเช้าเย็นนั้น มีประสิทธิภาพเหมือนที่ได้โฆษณาไว้จริงแท้แน่นอนแค่ไหน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ผลที่ได้จากการทดสอบ 1.ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดจัดเป็นครีมลดริ้วรอยที่ดีที่สุดได้ จากคะแนนรวม 100 คะแนนโดยวัดผลจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย , ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว และการไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ พบว่าจาก 13 ผลิตภัณฑ์มีเพียง 4 ผลิตภัณฑ์เท่านั้นที่ได้รับคะแนนเกินครึ่ง ซึ่ง Diadermine Expert rides เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับคะแนนสูงสุด แต่ก็ได้เพียง 62 คะแนน เท่านั้น อันดับสองคือ Oil of Olay Olay Regenerist 61 คะแนน , อันดับสามคือ Lancôme Renergie 56 คะแนน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยในขั้นดีแต่ไม่ถึงกับดีมาก แต่มีประสิทธิภาพในการบำรุงในขั้นดีมากและไม่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้แก่ผู้ทดสอบ  และอันดับสี่คือ Roc Retin-OX 54 คะแนน มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยและประสิทธิภาพในการบำรุงอยู่ในขั้นดี แต่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้มากโดยมีผู้ทดสอบหยุดใช้ถึง 5 คนจากจำนวน 20 คน2.ราคาหรือยี่ห้อ หรือคำโฆษณา ไม่ใช่ตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ แท้จริงแล้ว “ผลิตภัณฑ์ควบคุม” ในการทดสอบครั้งนี้ คือ ครีมบำรุงผิว Oil of Olay สูตรดั้งเดิม ซึ่งมีคะแนนทดสอบ 33 คะแนนอยู่อันดับที่ 11 ราคาเพียง 253 บาทซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่นำมาทดสอบ แต่ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์อย่าง La Prairie Cellular  ซึ่งมีราคาถึง 6 พันกว่าบาทนั้น กลับมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันมาก โดยได้คะแนนทดสอบ 34 คะแนนอยู่อันดับที่ 10 นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าช่วยลบเลือนริ้วรอยบนผิวหน้าได้ก็ยังได้คะแนนทดสอบต่ำติดท้ายตารางเสียด้วยซ้ำ คือ Roc Retinol Correxion Deep Wrinkle 31 คะแนน อยู่อันดับที่ 12  และ Nivéa visage Q10 Advanced Wrinkle Reducer 27 คะแนน อันดับที่ 13และเมื่อดูคะแนนโดยรวมทั้ง 13 ผลิตภัณฑ์แล้ว ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยไม่ได้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนัก หน้าที่หลัก ๆ ของครีมเหล่านี้ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิว รักษาความชุ่มชื้นเสียมากกว่า 3. ความพึงพอใจของผู้ใช้กับการโฆษณาส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับดี ถึงดีมาก แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกของผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งมักจะถูกมาใช้ประโยชน์เพื่อการโฆษณาของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ดังกรณีตัวอย่างของครีม Klein-Becker USA ความจริงแล้วสิ่งที่ผู้บริโภคควรเข้าใจคือ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านั้น เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างรังสีดวงอาทิตย์ และปัจจัยภายใน คืออายุที่มากขึ้น หรือความเครียดของเรานั่นเอง และเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ไม่มีเครื่องสำอางใด ๆ ที่จะสามารถลบเลือนได้ง่าย ๆ เราจึงควรหันมาป้องกันที่สาเหตุ ด้วยการใช้ครีมกันแดด และใช้ชีวิตให้มีความเครียด หรือความกังวล น้อยที่สุด การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยได้มากKlein-Becker USA Strivectin-SD Intensive Concentrate for Existing Stretch Marks  เป็นครีมสัญชาติอเมริกัน ที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นครีมลดรอยแตกลายของผิวหนัง ครีมยี่ห้อนี้โด่งดังมากในฝรั่งเศส และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นครีมที่ลบริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาแล้ว จากการสำรวจความเห็นของสาวฝรั่งเศส 264 คน เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา !! แต่เมื่อดูจากผลทดสอบแล้ว กลับพบว่าประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยอยู่แค่ระดับปานกลางเท่านั้นเอง อยู่ลำดับที่ 8 จาก 13 ผลิตภัณฑ์ แต่ราคาขายคิดเป็นเงินไทย 3,450 บาทจัดว่าแพงทีเดียวเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของมันหน้าที่ของสารชื่อดังในเครื่องสำอาง1.    เรตินอล เป็นญาติห่าง ๆ กับกรดวิตามินเอ ซึ่งสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ เรตินอลสามารถใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ เพราะทำให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่า ในขณะที่กรดวิตามินเอนั้นมีการทำงานเข้มข้น (และมีผลข้างเคียงคืออาการระคายเคือง ในคนที่ผิวแห้ง) จัดเป็นยาและต้องมีการควบคุมความเข้มข้นในการใช้  เป็นสารที่ไวต่อแสงมาก อาจทำให้ผิวหน้าแดง คัน หรือแสบได้ จึงเหมาะกับการใช้ทาในเวลากลางคืนเท่านั้น 2.    คิวเท็น (Q 10) เป็นสารที่ผิวของคนเรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ให้พลังงานกับเซลล์ และเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ เพียงแต่เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือได้รับแสงแดดมาก ๆ สารตัวนี้จะลดลง ผู้ผลิตนิยมใช้สารตัวนี้ในครีมสำหรับผิวที่แพ้ง่าย เพราะไม่ทำให้เกิดอาการระคายผิวเหมือนสารในตระกูลวิตามินเอ นั่นเอง3.    คอลลาเจนและอิลาสติน เป็นโปรตีนเรามีอยู่แล้วใต้ชั้นผิวหนัง ทำหน้าที่ควบคุมความยืดหยุ่นและความสามารถในการอุ้มน้ำของผิวหนัง แต่คุณภาพของโปรตีนเหล่านี้จะเสื่อมสภาพลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น 4.    กรด AHA (Alpha Hydroxy Acids) และ BHA (Beta Hydroxy Acids) เป็นกรดที่สกัดได้จากผลไม้ สามารถทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหนังชั้นบนหลุดออก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและใสขึ้น 5.    วิตามินอี นิยมใช้กันมากในครีมบำรุงผิว เพราะพบว่านอกจากจะเป็นสารบำรุงทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตแล้ว ยังสามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดริ้วรอยได้ด้วย วิตามินอีสามารถละลายในไขมันผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดี 6.    วิตามินซี เป็นอีกหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ผลิตนิยมใช้เป็นส่วนผสมทั้งในครีมสำหรับกลางวันและกลางคืน เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยาต่อแสงแดด วิตามินซีนั้นดีตรงที่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และมีคุณสมบัติในการให้ผิวขาวใสขึ้น แต่คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อผิวน้อยมาก เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำ จึงไม่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ ประสิทธิภาพการลดริ้วรอยของเครื่องสำอางต่างกันแค่ไหน โดยทั่วไปแล้วส่วนผสมน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของครีมลบริ้วรอย แต่ถ้าดูจากผลการทดสอบครั้งนี้ จะเห็นว่า ส่วนผสมของครีมกับประสิทธิภาพโดยรวมของครีม มีความสัมพันธ์กันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนสูงที่สุด และคะแนนต่ำที่สุดต่างก็มี เรตินอล เป็นส่วนผสมทั้งคู่  ------------------------------------------------------------------------------------------------ •    ในแต่ละปี คนอเมริกันใช้เงินกว่า 1 พันล้านเหรียญ (สามหมื่นหกพันล้านบาท) เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย •    โดยเฉลี่ยแล้ว คนฝรั่งเศสหนึ่งคนจะใช้จ่ายเงินในการซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม คนละ 100 ยูโร (ประมาณ 4,700 บาท) ต่อปี •    ร้อยละ 70 ของผู้หญิงฝรั่งเศส ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และร้อยละ  38 ของผลิตภัณฑ์ที่ซื้อนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ------------------------------------------------------------------------------------------------ ผิวหนังเกิดริ้วรอยมีสาเหตุจากอะไร สาเหตุของการเกิดริ้วรอยบนผิวหนัง นั้นเกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังเสียความชุ่มชื้นมีสองประการได้แก่ 1.    รังสีจากดวงอาทิตย์  และ2.    การลดลงของฮอร์โมนเพศ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังของขาดความยืดหยุ่น ความสามารถในการอุ้มน้ำลดลง และความเครียด ที่เป็นตัวการทำให้เซลล์ผิวเสื่อมเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น กระบวนการทดสอบ   ระยะเวลาทดสอบ 12 สัปดาห์  (13 มีนาคม – 16 มิถุนายน 2549) สถาบันทดสอบ Institut Dr. Schrader Creachem GmbH ประเทศเยอรมนี ผู้เข้าร่วมการทดสอบ เพศหญิง อายุระหว่าง 30 ถึง 70 ปี  มีสุขภาพผิวดี ไม่เคยได้รับการฉีดโบทอกซ์ หรือคอลลาเจน และไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อสภาพผิวหนัง ในช่วงสามสัปดาห์ก่อนการทดสอบ (ไม่ว่าจะเป็นโดยการรับประทาน หรือการใช้ภายนอก) ผลิตภัณฑ์ที่ทดสอบ 13 ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ที่ติดอันดับขายดีที่สุดในผรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา (11 ผลิตภัณฑ์ เป็นครีมที่แยกใช้เฉพาะกลางวันและกลางคืน ที่เหลืออีก 2 ผลิตภัณฑ์ เป็นครีมประเภทที่ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน) จะใช้ผู้ทดสอบ 20 คนต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ วิธีทดสอบ ผู้ร่วมการทดสอบในแต่ละผลิตภัณฑ์ จะได้รับครีม 2 ตัวอย่าง เพื่อใช้ทาบนใบหน้าทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ทราบว่าทั้ง 2 ตัวอย่างเป็นผลิตภัณฑ์ใด ครีมตัวอย่างที่หนึ่ง เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมที่ผู้ทดสอบจะได้รับเหมือนกันทุกคน ใช้ทาบนใบหน้าด้านหนึ่ง (ในการทดสอบครั้งนี้ ครีมควบคุมได้แก่ ครีมบำรุงผิวธรรมดา ที่ไม่ได้มีส่วนผสมเพื่อการลดริ้วรอย) ครีมตัวอย่างที่สอง เป็นผลิตภัณฑ์ทดสอบ ซึ่งผู้ทดสอบ จะใช้ทาลงบนใบหน้าอีกด้านหนึ่ง ผู้ร่วมการทดสอบทุกคนจะทำความสะอาดผิวหน้าด้วยวิธีเดียวกัน ได้แก่การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดเดียวกัน ในตอนเย็น และล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า (ที่อุณหภูมิห้อง) ในตอนเช้า คำอธิบายตาราง(1) ราคา เป็นราคารวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับกลางวัน และกลางคืนของต่างประเทศ แปลงค่าเป็นเงินบาท  (2) คะแนนโดยรวม เต็ม 100 คะแนน โดยวัดผลจาก 3 ปัจจัย คือ 80 คะแนน จากประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย10 คะแนน จากประสิทธิภาพในการบำรุงผิว10 คะแนน จากการที่ครีมไม่ทำให้เกิดอาการแพ้(3) ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย ประเมินจาก1. ความเปลี่ยนแปลงของจำนวนรอยย่น  รวมถึงความยาว ความลึก และความหยาบกร้านของผิว หลังการใช้เป็นเวลา 12 สัปดาห์2. ภาพถ่ายรอยย่นบริเวณหางตาของผู้ทดสอบ ก่อน ระหว่าง และหลังการใช้เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก(4) ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ประเมินจากปริมาณน้ำที่วัดได้ในผิวหนัง หลังจากการใช้เป็นเวลา 12 สัปดาห์ เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก(5) การทำให้เกิดอาการแพ้ วัดจากจำนวนผู้เข้าทดสอบที่ต้องเลิกใช้เพราะเกิดอาการแพ้ เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ไม่พบ หมายถึงไม่มีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ผลิตภัณฑ์พบ หมายถึงมีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ ไม่เกิน 2 คนพบมาก หมายถึงมีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ มากกว่า 2 คน(6) ความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการลดริ้วรอย ผู้ทดสอบตอบแบบสอบถามด้านความพึงพอใจ ในสัปดาห์ที่ 4 และ 12 เกี่ยวกับ ความชุ่มชื้น ความเรียบลื่น และความยืดหยุ่นของผิวหนัง และการจางหายไปของริ้วรอย ที่ผู้ทดสอบรู้สึกได้(7) ความพึงพอใจต่อตัวเนื้อครีม เช่น ลักษณะของเนื้อครีม กลิ่น ความสม่ำเสมอในการกระจายตัวเนื้อครีม การซึมลงสู่ผิวหนัง และลักษณะของผิวหน้าหลังทาครีม เกณฑ์ให้คะแนนความพึงพอใจ แบ่งเป็น  ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก   ผลการทดสอบเครื่องสำอางที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยบนใบหน้า   ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากประเทศ ราคา(1) (บาท)   คำโฆษณาบนบรรจุภัณฑ์   คะแนนรวม(2) ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย(3) ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว(4) การทำให้เกิดอาการแพ้(5) ความพึงพอใจของผู้ใช้ ความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการลดริ้วรอย(6) ความพึงพอใจต่อตัวเนื้อครีม(7) 1 Diadermine Expert rides ฝรั่งเศส 529 เสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ริ้วรอยตื้นขึ้น   62 ดี ดีมาก ไม่พบ ดี ดีมาก 2 Oil of Olay Olay Regenerist อเมริกา       721 เผยผิวใหม่ ทีละเซลล์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม 61 ดี ดีมาก ไม่พบ ดีมาก ดีมาก 3 Lancôme Renergie ฝรั่งเศส  อเมริกา   3,154 ซ่อมแซมผิว เพิ่มความกระชับ ต่อต้านริ้วรอย 56 ดี ดีมาก ไม่พบ ดี ดี 4 Roc Retin-OX   ฝรั่งเศส   851 บำรุงผิว รักษาริ้วรอย อย่างเข้มข้น 54 ดี ดี พบมาก ดีมาก ดี 5 Neutrogena Neutrogena Visibly Firm   อเมริกา 613 สูตรปรับปรุงใหม่ เพื่อผิวที่กระชับ เต่งตึงขึ้น 47 ปานกลาง ดี พบ ดี ดี 6 Avon Anew Alternative         ฝรั่งเศส  อเมริกา 1,748 ดูแลริ้วรอยที่เกิดจากวัยอย่างเข้มข้น 44 ปานกลาง ดีมาก พบ ดีมาก ดี 7 L'Oreal Paris Dermo Expertise Wrinkle De-Crease with Boswelox ฝรั่งเศส  อเมริกา   592 ปรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น 42 ปานกลาง ดีมาก พบ ดี ดี 8 Klein-Becker USA Strivectin-SD Intensive Concentrate for Existing Stretch Marks ฝรั่งเศส  อเมริกา 3,450 ทำให้ผิวดูเรียบ กระชับขึ้น รอยแตกลายดูจางลง พิสูจน์แล้วว่าได้ผล โดยร้อยละ 93 ของผู้ทดลองใช้ 40 ปานกลาง ดี ไม่พบ ดี พอใช้ 9 L'Oreal Paris Dermo Expertise RevitaLift Anti-Wrinkle & Firming Cream ฝรั่งเศส  อเมริกา   494 ประสิทธิภาพ การทำงานล้ำลึก 38 ปานกลาง ดีมาก ไม่พบ ดี ดีมาก 10 La Prairie Cellular ฝรั่งเศส  อเมริกา 6,042 เสริมสร้างเนื้อเยื่อ 34 ต่ำ ดี พบ ดี ดี 11 Oil of Olay Active hydrating cream – original   อเมริกา     253 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว 33 ต่ำ ดีมาก พบ ดี พอใช้ 12 Roc Retinol Correxion Deep Wrinkle อเมริกา 721 ลบเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ และริ้วรอยลึก 31 ต่ำ ดีมาก พบ ดีมาก ดี 13 Nivéa visage Q10 Advanced Wrinkle Reducer ฝรั่งเศส  อเมริกา     484 ลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ ปรับสภาพผิวอย่างเข้มข้น 27 ต่ำ ดีมาก ไม่พบ ดี พอใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 ผลทดสอบการป้องกัน “แสงยูวี” แผ่นกันรอยติดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

เดี๋ยวนี้ “แผ่นกันรอยหน้าจอโทรศัพท์มือถือ” ที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปไม่ได้มีคุณสมบัติแค่การป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดกับหน้าจอมือถือของเราเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับคนใช้งานโทรศัพท์มือถือ 1 ในนั้นก็คือ คุณสมบัติในการป้องกัน “แสงยูวี” และ “แสงสีฟ้า” ซึ่งเป็นแสงที่ถูกส่งผ่านมาจากหน้าจอมือถือ เป็นแสงที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตา ยิ่งทุกวันนี้หลายคนใช้ชีวิตแบบติดหน้าจอ ใช้เวลาอยู่กับการจิ้มและสไลด์ไปบนหน้าจอมือถือสมาร์ทโฟนเกือบตลอดทั้งวัน นั้นเท่ากับว่าดวงตาของเรากำลังถูกแสงจากหน้าจอมือถือทำร้ายไปเรื่อยๆแต่อย่างที่บอกว่าปัจจุบันเรามีแผ่นกันรอยหน้าจอมือถือที่มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันอันตรายจากแสงยูวีวางจำหน่ายให้คนใช้สมาร์ทโฟนได้เลือกซื้อหามาใช้งาน หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแผ่นกันรอยหน้าจอมือถือที่เราซื่อมาป้องกันแสงยูวีได้จริง ฉลาดซื้อจึงขอรับอาสานำตัวอย่างแผ่นกันรอยหน้าจอมือถือไปทดสอบดูสิว่า มีคุณสมบัติป้องกันแสงยูวีและแสงสีฟ้าได้จริงตามที่โฆษณาหรือไม่ และแต่ละยี่ห้อมีประสิทธิภาพในการป้องกันแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนการทดสอบเราได้เลือกตัวอย่าง แผ่นกันรอยหน้าจอโทรศัพท์มือถือจำนวน 5 ตัวอย่าง โดยทั้ง 5 ตัวอย่างเป็นแผ่นกันรอยชนิดที่เป็นกระจกนิรภัย รุ่นที่ใช้สำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน iPhone6 ประกอบด้วย1.    Hishield รุ่น Blue Light Cut Tempered Glass2.    CESSORY รุ่น Glass Protector 9H3.    Focus BC รุ่น Premium Tempered Glass 9H Hardness4.    Dapad รุ่น Glass screen protector Blue light cut5.    Dr. eyes Film by VOX. รุ่น Tempered Glassใช้วิธีการทดสอบโดยนำแสงจากแหล่งกำเนิดที่ทราบค่า (ความยาวคลื่น 380-780 นาโนเมตร) ส่องผ่านฟิล์มตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ผลของสเปคตรัมของแสงที่ผ่านออกมาว่ามีองค์ประกอบของแสงอย่างไร เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ1.Spectrometer2.Integrating Sphere3.Light sourceวิธีการทดสอบ1.เตรียมกระจกเพื่อใช้ติดฟิล์มกันรอยใช้กระจกใสขนาด 2 มิลลิเมตร ตัดให้ได้ขนาดเท่ากับฟิล์มกันรอย โดยเตรียมกระจกเปล่าที่ไม่ได้ติดฟิล์มเป็นตัวควบคุมด้วย2.วัดสเปคตรัมของแสงของแผ่นกระจกเปล่าที่ไม่ได้ติดฟิล์มกันรอย เปรียบเทียบกับกระจกที่ติดฟิล์มกันรอยทั้ง 5 ตัวอย่าง แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์สเปคตรัมของแสงที่ผ่านกระจกที่ติดฟิล์มกันรอยออกมาหา ค่าเฉลี่ยของ % การส่องผ่านของแสงยูวีในช่วง 380 – 400 นาโนเมตร ผลการทดสอบ   เส้นกราฟแสดงผลการทดสอบการกรองแสงยูวีช่วงความยาวคลื่น 380-400 นาโนเมตร           ตัวอย่างแผ่นกันรอยหน้าจอมือถือที่นำมาทดสอบมีความสามารถในการกรองแสงยูวี A, B, C (ความยาวคลื่นของแสง UV-C  100-280 nm, UV-B 280-315 nm และ UV-A 315-400 nm)ได้สูงสุดเกือบ 90 % คือ  CESSORY รุ่น Glass Protector 9H เพียงตัวเดียวที่กรองได้เพียง ประมาณ 85 %   ส่วนแสงที่อยู่ในช่วงมากกว่า 400 nm ขึ้นไป ซึ่งแสงสีฟ้าก็อยู่ในช่วงคลื่นนี้ ตัวอย่างที่นำมาทดสอบยังป้องกันการผ่านของแสงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างไรก็ตามการติดแผ่นกันรอยป้องการแสงยูวี ก็ยังเป็นสิ่งที่ช่วยลดอันตรายจากการใช้งานสมาร์ทโฟนที่อาจส่งผลกับสายตาของเราได้ หากจำเป็นต้องใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นประจำและต่อเนื่องครั้งละนานๆ ก็ควรหาซื้อแผ่นกันรอยที่ช่วยป้องกันแสงยูวีมาติดไว้เพื่อช่วยถนอมดวงตาของเรา กลุ่มคลื่นแสงที่สายตามองเห็นได้กลุ่มคลื่นแสงที่ตามองเห็น (Visible light) ซึ่งมีความยาวคลื่น 400 – 800 นาโนเมตร เป็นกลุ่มคลื่นแสงสีต่างๆ จำนวน 7 สีตั้งแต่คลื่นแสง สีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และสีแดง เรียงตามความยาวของคลื่นจากน้อยไปหามาก คลื่นแสงกลุ่มนี้เป็นคลื่นแสงที่ประสาทตาของมนุษย์สามารถรับรู้ได้ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้  กลุ่มแสงที่สายมองเห็นไม่ว่าจะอยู่ที่คลื่นใด ก็มีผลกระทบต่อดวงตาของเราทั้งสิ้น หากดวงตาเขาเราสัมผัสกับแสงเหล่านั้นนานเกินไปส่วนแสงยูวี A B C เป็นกลุ่มแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นที่ต่ำกว่า 400 – 280 nm เป็นกลุ่มแสงที่เรามองไม่เห็น แต่ก็มีอันตรายต่อดวงตาเช่นกัน เพราะดวงตาของเราจะดูดซับเอารังสียูวีเอาไว้แบบเดียวกับผิวหนังของเรา ส่งผลทำให้จ่อประสาทตาเสื่อมอันตรายของแสงจากหน้าจอสมาร์ทโฟนแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เป็นแสงที่มีผลต่อดวงตาของเรา เมื่อดวงตาของเราต้องจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือ แท็บเล็ต หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อาการที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ ดวงตามีอาการล้า ตาแห้ง อาจมองเห็นไม่ชัดชั่วคราว นอกจากนี้ในระยะยาวอาจส่งผลทำให้จอประสาทตาเสื่อมวิธีดูแลดวงตาของเราให้อยู่กับเราไปนานๆการติดแผ่นกันรอยป้องกันแสงยูวีจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นเพียงแค่วิธีหนึ่ง ในการลดอันตรายของแสงต่อดวงตาของเรา แต่วิธีการดูแลรักษาดวงตาของเราที่ดีที่สุดต้องเริ่มจากพฤติกรรมการใช้งาน1.ใช้แต่พอดี ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ไม่ใช้งานต่อเนื่องกันเกิน 2 ชั่วโมง ควรให้สายตาของเราได้พักบ้าง อย่าจ้องอยู่แต่ถ้าจอ ควรพักสายตาด้วยมองไปยังออกไปไกลๆ ที่จุดอื่น กะพริบตาบ่อย อย่าจ้องหน้าจอจนตาแห้ง2.ใช้งานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ แสงสว่างที่เพียงพอ ไม่มากและน้อยเกินไป มองแล้วสบายตา และควรอยู่ในระยะห่างที่พอดี ประมาณ 30 ซม.จะช่วยให้สายตาของเราไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป2.ให้ดวงตาได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ การพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือการนอนหลับ ให้ดวงตาที่เมื่อยล้าของเราได้พักอย่างเต็มที่3.ดื่มน้ำเยอะๆ การดื่มน้ำช่วยให้ดวงตาของเราชุ่มชื้นขึ้น เพราะการที่ต้องจ้องอยู่กับหน้าจอนานๆ จะทำให้ตาแห้ง4.กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก-ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินเอสูง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะละกอสุก กล้วย ฯลฯ รวมทั้งอาหารในกลุ่มโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมและบำรุงสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ นม ปลา เป็นต้นขอขอบคุณ ห้องปฏิบัติการแสงและอุณหภูมิ ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา                 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 183 ผลทดสอบ กระจกนิรภัยกันรอยหน้าจอสมาร์ทโฟน

“แผ่นกันรอยหน้าจอโทรศัพท์มือถือ” เป็น 1 อุปกรณ์เสริมที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสำหรับคนใช้โทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะรุ่นที่เป็นสมาร์ทโฟนที่สั่งการโดยใช้การสัมผัสที่หน้าจอ ส่วนใหญ่เกือบทุกคนต้องหาซื้อมาติดไว้ที่หน้าจอมือถือของตัวเอง เพื่อช่วยให้หน้าจอยังดูเหมือนใหม่ ใช้งานได้นาน ที่สำคัญคือป้องกันไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน ซึ่งฟิล์มกันรอยหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ขายอยู่ทั่วไป มีราคาตั้งแต่ไม่ถึงร้อยบาทไปจนถึงหลักพันบาท แตกต่างกันไปตามวัตถุดิบที่นำมาผลิตและคุณสมบัติ โดยชนิดของแผ่นกันรอยที่ถือว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือได้ดีที่สุดก็คือ กระจกนิรภัยกันรอย (Tempered Glass)ฉลาดซื้อได้สุ่มเก็บตัวอย่าง แผ่นกันรอยหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ชนิดที่เป็นกระจกนิรภัยกันรอย จำนวน 8 ตัวอย่าง ซึ่งเราเลือกรุ่นที่ใช้สำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน iPhone6 ทั้งหมด  โดยมี “เครือข่ายนักวิชาการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการทดสอบ    ประเด็นในการทดสอบมี 3 ประเด็น คือ1.ทดสอบความสามารถการต้านทานรอยขีดข่วน โดยประยุกต์วิธีการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM D 3359 (cross cut guide test)2.ทดสอบความสามารถการต้านทานการขัดด้วยความเร็วรอบสูง3.การวัดความแข็งซึ่งเแต่ละประเด็นการทดสอบ เป็นการทดสอบคุณสมบัติวัสดุที่นำมาผลิตเป็นแผ่นกระจกป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอสมาร์ทโฟน ขั้นตอนการทดสอบ1.ทดสอบความสามารถการต้านทานรอยขีดข่วน โดยประยุกต์วิธีการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM D 3359 (cross cut guide test) (มาตรฐาน ASTM หรือย่อมาจาก American Society for Testing and Materials ซึ่งเป็นชื่อของสมาคมวิชาชีพ ทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่ก่อตั้งในอเมริกา ทำหน้าที่พัฒนาระบบมาตรฐานต่างๆ ทั้งด้านการผลิต การใช้งาน เพื่อส่งเสริมด้านวิชาการสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นำมาใช้ได้โดยสมัครใจ)1.1 ติดกระจกนิรภัยแต่ละยี่ห้อ ลงบนหน้าจอสมาร์ตโฟน หลังจากนั้นนำ cross cut guide หลังจากนั้นเปลี่ยนทิศทางของ cross cut guide ให้ตั้งฉากกับรอยตัดเดิม แล้วทำการกรีดตามร่องให้ครบทั้ง 10 ร่อง 1.2 นำเทปกาวมาตรฐาน ที่มาพร้อมกับเครื่องมือทดสอบปิดลงบนรอยกรีดรีดให้ครอบคลุมรอยกรีดทุกร่องรีดเทปกาวให้สนิทบนผิวกระจกนิรภัย1.3 ทำการดึงเทปกาวออกจากผิวกระจกนิรภัยโดยดึงด้วยความเร็วสม่ำเสมอ1.4 สังเกตรอยกรีดว่ามีหรือไม่2 ทดสอบความสามารถการต้านทานการขัดด้วยความเร็วรอบสูง    2.1 ติดกระจกนิรภัยแต่ละยี่ห้อลงบนหน้าจอสมาร์ทโฟนให้สนิทแน่น โดยใช้ฟิล์มพลาสติกใสที่แต่ละยี่ห้อให้มาทำหน้าที่เป็นแผ่นติดประสานระหว่างแผ่นกระจกกันรอยและหน้าจอสมาร์ทโฟน หลังจากนั้นนำเครื่องขัดกระดาษทรายความเร็วสูง (ความเร็วรอบของการขัด 2500 รอบต่อนาที) ขัดลงบนแผ่นกระจกกันรอยนาน 1 นาที2.2 สังเกตรอยแตกที่เกิดขึ้น พร้อมทำการถ่ายรูป เพื่อบันทึกข้อมูล3 ทดสอบความแข็งวัดความแข็งโดยใช้เครื่อง micro hardness tester, model HV-1000B หัวกดที่ใช้ คือ เพชร ซึ่งมีรูปร่างเป็นปิระมิดฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส และมีมุมระหว่างผิวหน้าด้านตรงข้ามกันเท่ากับ 136 องศา และใช้แรงกด 1000 กิโลกรัมฟอร์ซ (kilogram-force:kgf) ระยะเวลากด 20 วินาที รอยที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็กในระดับไมครอน ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ในการช่วยคำนวณความแข็งสำหรับทดสอบฟิล์มกระจก ผลการทดสอบ1.ผลการทดสอบความสามารถการต้านทานรอยขีดข่วน โดยประยุกต์วิธีการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM D 3359 (cross cut guide test) ไม่พบรอยขีดข่วนทุกตัวอย่างที่ทดสอบ2.ผลการทดสอบความสามารถการต้านทานการขัดด้วยความเร็วรอบสูง พบรอยแตกทุกตัวอย่างที่ทดสอบ3.ผลทดสอบความแข็ง 3 อันดับที่มีความแข็งสูงที่สุด1.Remax มีความแข็งสูงสุด คือ 968.57 วิกเกอร์2.Hishield มีความแข็ง 931.93 วิกเกอร์3.Gorilla มีความแข็ง 848.70 วิกเกอร์ความแข็งของกระจกนิรภัยสามารถเชื่อมโยงไปถึงค่าความสามารถต้านทานการสึกหรอ คือ ค่าความแข็งสูง ก็จะส่งให้ผลค่าความต้านทานการสึกหรอสูงตามไปด้วยฉลาดซื้อแนะนำจากผลการทดสอบจะเห็นว่าทุกยี่ห้อมีผลการทดสอบทั้ง 3 หัวข้อที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก คือ ไม่พบรอยขีดข่วนทุกยี่ตัวอย่าง แต่ในการทดสอบการต้านทานการขัดด้วยความเร็วรอบสูงพบรอยแตกทุกตัวอย่าง ส่วนการทดสอบความแข็ง ผลที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นคำแนะนำในการเลือกซื้อกระจกนิรภัยกันรอยสำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ก็ควรเปรียบเทียบที่ราคาเป็นอันดับแรก พร้อมดูคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบไปพร้อมกัน เช่น ความหนาของกระจก ความคมชัด การลดการสะท้อนของรังสียูวี การป้องกันแสงสีฟ้า (แสงที่เป็นอันตรายต่อจอประสาทตา) จากจอมือถือ การลดหรือป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือจากการใช้งาน ฯลฯผลทดสอบแต่ละยี่ห้อ                            

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 149 ข้าวซอย

อาหารจีน อาหารตะวันออกกลางและอาหารเอเชียอาคเนย์ข้าวซอย อาหารถิ่นภาคเหนือของไทย มีประวัติน่าสนใจเพราะเป็นอาหารที่ผสมผสานระหว่างและกดรีดจนเป็นแผ่นแล้วก็จะใช้มีดตัดซอยเป็นเส้นๆ จึงเรียกว่า ข้าวซอยฮ่อหรือข้าวซอยอิสลามแทนเพราะการผลิตบะหมี่สมัยก่อนยังไม่มีเครื่องผลิตที่ทันสมัยต้องทำเส้นสด คือเมื่อนวดแป้งสาลีกับไข่ได้เริ่มกิจการค้าและทำอาหารชนิดนี้ขายเรียกกันว่า ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ แต่ที่คนเชียงใหม่พากันเรียกว่า ข้าวซอยและเข้ามาอาศัยในมณฑลพายัพสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งก็คือจังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง เมื่อตั้งหลักได้ชาวจีนกลุ่มนี้อาหารนี้มีที่มาจากชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลาม เรียกว่า จีนฮ่อ ซึ่งอพยพลี้ภัยการเมืองมาจากจีนแผ่นดินใหญ่แม้เรียกว่า ข้าวซอย แต่แท้จริงแล้วเป็นก๋วยเตี๋ยว เพราะสาระหลักคือ เส้นบะหมี่ขลุกขลิกในน้ำแกง ชาวเมืองเชียงใหม่อย่างมาก ขายดีกันจนตั้งแต่นั้นมาข้าวซอยต้องใช้กะทิสดตามตำรับของนายปันที่หากินง่ายอย่างหมูมาเป็นวัตถุดิบแทน ปรุงแต่งไปมาก็ลงตัวด้วยการใช้กะทิสดช่วยชูรส ปรากฏว่า ถูกปากถูกใจมาเป็นเจ้าของร้านเสียเองในช่วงสงคราม มหาเอเชียบูรพา ตอนนั้นข้าวยากหมากแพงเนื้อวัวหายาก จึงต้องนำเนื้อเนื่องจากเป็นอาหารอิสลาม แต่มาพลิกแพลงเป็นกะทิเมื่อลูกจ้างร้านข้าวซอยอิสลาม ชื่อนายปันต้องผันตัวเองเดิมข้าวซอยไม่ได้ใช้กะทิอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นเส้นราดด้วยน้ำแกงใสที่ปรุงพร้อมเนื้อวัว หรือไก่ ข้อมูลจาก http://kaosoichiangmai.blogspot.com/2011/11/blog-post_6904.htmlแม้ข้าวซอยจะมีขายกันในท้องถิ่นอื่นมากขึ้น แต่ชาวเชียงใหม่ เขายังฟันธงว่าของแท้ต้องเชียงใหม่เท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 ซอสหอยนางรม ปริมาณหอยนางรมและโซเดียม

ซอสหอยนางรมหรือน้ำมันหอย ถือเป็นเครื่องปรุงรสคู่ครัวไทยมานาน เพราะเชื่อว่าช่วยทำให้อาหารอร่อย รสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น และมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วยโปรตีนจากหอยนางรม โดยอาหารยอดนิยมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัด คะน้าหมูกรอบ ผัดผักหรือหมูปิ้ง ส่วนใหญ่มักใช้ซอสหอยนางรมเป็นส่วนหนึ่งของการปรุงรส อย่างไรก็ตามปัจจุบันซอสหอยนางรมมีมากมายหลายยี่ห้อและมีราคาแตกต่างกัน ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจเลือกซื้ออย่างไรดี ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอเปรียบเทียบปริมาณหอยนางรม และโซเดียม รวมทั้งโปรตีนในซอสหอยนางรมจาก 23 ยี่ห้อยอดนิยมโดยดูจากฉลากข้างขวด ผลจะเป็นอย่างไรเราลองมาดูกัน         ตารางผลทดสอบ 2 ปริมาณโซเดียม ทดสอบด้วยการดูจากฉลากโภชนาการ และเรียงลำดับจากยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมน้อยที่สุด ไปยังยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมมากที่สุด เมื่อเทียบต่อหนึ่งหน่วยบริโภค(หนึ่งหน่วยบริโภคประมาณ 15-17 กรัม) หมายเหตุ มีเพียง 13 ยี่ห้อที่มีฉลากโภชนาการ   สรุปผลทดสอบ จากซอสหอยนางรม 23 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบพบว่า 1. ซอสหอยนางรม 23 ตัวอย่าง ทุกยี่ห้อระบุว่ามีหอยนางรมเป็นส่วนประกอบ โดยยี่ห้อที่มีปริมาณหอยนางรมเป็นส่วนประกอบมากที่สุดคือ ลี่กุมกี่ (โอลด์แบรนด์) 55% ต่อน้ำหนัก 255 กรัม และยี่ห้อที่มีปริมาณหอยนางรมเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุดคือ โฮม เฟรช มาร์ท 9% ต่อน้ำหนัก 770 กรัม2. จากการเปรียบเทียบฉลากโภชนาการ 13 ยี่ห้อ ยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคน้อยที่สุดคือ เทสโก้ เอฟเวอรี่ เดย์ แวลู 240 มก. ต่อน้ำหนัก 675 กรัม และยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคมากที่สุดคือ นกแพนกวินสามตัว 1,110 มก. ต่อน้ำหนัก 700 มล.3. จากการเปรียบเทียบฉลากโภชนาการ 13 ยี่ห้อ มีเพียงยี่ห้อเดียวที่ฉลากโภชนาการระบุว่ามีโปรตีนคือ ยี่ห้อ ไก่แจ้ มีปริมาณโปรตีน 2 กรัม 4. มี 10 ยี่ห้อที่ไม่มีฉลากโภชนาการ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบปริมาณโปรตีนหรือโซเดียมได้ ได้แก่ ยี่ห้อ 1.แฮปปี้บาท 2.เด็กสมบูรณ์ (สูตรดั้งเดิม) 3.พันท้ายนรสิงห์ 4.เด็กสมบูรณ์(สูตรเข้มข้น) 5.ป้ายทอง 6. ลี่กุมกี่ แพนด้า 7.ลี่กุมกี่ ชอยซัน 8.เอช แอนด์ เอ็ม 9.ลี่กุมกี่ (โอลด์แบรนด์) และ 10.ท็อปเกรดออยสเตอร์ซอสข้อสังเกต 1. ปริมาณโซเดียมในซอสหอยนางรมโซเดียมในอาหารส่วนใหญ่อยู่ในรูปของโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือแกงที่ใช้ปรุงแต่งรสชาติอาหาร ให้มีรสเค็มและใช้ในกระบวนการถนอมอาหาร อย่างไรก็ตามนอกจากการใช้เกลือในรูปของเกลือแล้ว เกลือยังมีอยู่มากในเครื่องปรุงรสต่างๆ ที่ใช้ในการปรุงอาหารให้มีรสชาติเค็ม เช่น นํ้าปลา ซีอิ๊ว หรือซอสปรุงรสต่างๆ ซึ่งในซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ จะมีปริมาณโซเดียม 450-610 มก. หรือเฉลี่ยที่ 518 มก. แต่จากผลทดสอบจะเห็นได้ว่าบางยี่ห้อมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าค่าเฉลี่ย หรือมากทีสุดอยู่ที่ 1,110 มก./1 ช้อนโต๊ะ การบริโภคโซเดียมที่มากเกินไป หรือตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดให้ไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือคิดเป็นเกลือป่นประมาณ 6 กรัม(1 ช้อนชา)ต่อวัน โดยสำหรับผู้ที่ต้องจำกัดปริมาณโซเดียมควรบริโภคไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน หลอดเลือดสมองแตก รวมทั้งไตวายได้ 2. ปริมาณโปรตีนในซอสหอยนางรมแม้ตามมาตรฐานของมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนในอาหารประเภทซอสหอยนางรม ไม่ได้มีการกำหนดมาตรฐานปริมาณโปรตีนไว้ แต่หอยนางรมก็เป็นอาหารทะเลที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อย่างไรก็ตามเมื่อนำมาแปรรูปเป็นซอสหอยนางรม กลับพบว่ามีเพียงยี่ห้อเดียวที่พบปริมาณโปรตีนในฉลากโภชนาการ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------เกร็ดเล็กๆ ของซอสหอยซอสหอยนางรม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเนื้อหอยนางรมมาบดให้ละเอียดแล้วทำให้สุก หรือใช้หอยนางรมสกัดหรือใช้หอยนางรมย่อยสลาย มาผสมกับเครื่องปรุงรสเช่น ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว น้ำตาลและส่วนประกอบอื่น เช่น แป้งดัดแปร ต้มให้เดือด บรรจุในภาชนะบรรจุขณะร้อน แล้วทำให้เย็นทันทีแนะวิธีเลือกซื้อซอสหอยนางรมนอกจากเราจะสามารถเลือกซื้อหอยนางรม โดยดูจากปริมาณหอย โปรตีน หรือโซเดียมได้แล้ว ยังสามารถพิจารณาได้จากยี่ห้อที่ภาชนะบรรจุสะอาด มีฝาปิดสนิท มีสีน้ำตาลสม่ำเสมอ หรือมีฉลากภาษาไทย ซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อผลิตภัณฑ์, ส่วนประกอบ, น้ำหนักสุทธิ หรือปริมาตรสุทธิ, วัน/เดือน/ปีที่หมดอายุคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้และการเก็บรักษา รวมทั้งชื่อผู้ผลิตและสถานที่ตั้งข้อมูลอ้างอิง 1.http://www.si.mahidol.ac.th/th/division/diabetes/admin/knowledges_files/8_44_1.pdf      2. http://www.thaihypertension.org/files/237_1.LowSalt.pdf  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 153 มีอะไรอยู่ในช็อกโกแลต?

ช็อกโกแลต อาจเป็นขนมหวานสุดโปรดของใครหลายคน ด้วยรสชาติที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ หวานและขมที่ผสมอยู่รวมกัน ครองใจคนรักขนมหวาน แม้หลายคนจะออกตัวว่าโปรดปรานชอบรับประทานช็อกโกแลต แถมบางคนยังเลือกช็อกโกแลตเป็นของขวัญของฝากมอบให้กันในช่วงเทศกาลและวันสำคัญต่างๆ แต่ช็อกโกแลตที่วางขายอยู่ในบ้านเราส่วนใหญ่มักเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากต่างประเทศ ด้วยความที่ประเทศไทยเรายังไม่ค่อยนิยมผลิตช็อกโกแลตที่ดี หรือที่เรียกกันว่าช็อกโกแลตในกลุ่มพรีเมี่ยม ช็อกโกแลตที่ผลิตในประเทศส่วนใหญ่น่าจะใช้คำว่า “ผลิตภัณฑ์ขนมหวานรสช็อกโกแลต” มากกว่า เพราะมีส่วนประกอบของโกโก้อยู่น้อยมาก ประมาณแค่ 20% ของส่วนประกอบทั้งหมดเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่คนรักช็อกโกแลตจะอยากลิ้มลองของที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เพราะคุณภาพของวัตถุดิบที่ดีกว่า รสชาติอร่อยกว่า แถมบางคนก็ชื่อชอบเพราะแพ็คเก็จสวยกว่า เหมาะมากเวลานำมาเป็นของขวัญ ช็อกโกแลตที่นำเข้าส่วนใหญ่มาจากหลากหลายประเทศทางยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตช็อกโกแลต ไม่ว่าจะเป็น เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส และยังรวมถึงสหรัฐอเมริกา ไม่เว้นแม้แต่ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย หรือแม้แต่ประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมาอาหารที่นำเข้าแม้จะมาจากประเทศใหญ่ๆ ก็ยังเคยเกิดปัญหาเรื่องการปนเปื้อน ที่เป็นข่าวดังหน่อย คงไม่พ้นเรื่องของสารเมลามีนที่มากรพบปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตที่นำเข้ามาจากประเทศจีน  หรือแม้แต่เรื่องการปนเปื้อนของสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่าง เศษชิ้นส่วนเล็กๆ ของซากแมลง และขนของหนู ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราแทบไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะขนาดเล็กมากๆ แต่ดูแล้วน่าจะมีการปนเปื้อนในลักษณะนี้อยู่ไม่ใช้น้อย ขนาดที่องค์การอาหารและยาของอเมริกา (U S Food and Drug Administration) ต้องกำหนดค่าการปนเปื้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคประเทศเขาได้รับอันตรายจากการรับประทานช็อกโกแลต   ข้อกำหนดขององค์การอาหารและยาของอเมริกา เรื่องการปนเปื้อนของเศษแมลงและขนหนูในช็อกโกแลต - ห้ามให้มีเศษชิ้นส่วนแมลงเกินกว่า 60 ชิ้น ต่อช็อกโกแลต 100 กรัม โดยต้องเทียบตัวอย่างจากตัวอย่างปริมาณ 100 กรัม จำนวน 6 ชิ้น หรือถ้าคิดเป็นตัวอย่าง 1 ชิ้น ห้ามมีเศษชิ้นส่วนแมลงปนเปื้อนเกิน 90 ชิ้น - ห้ามมีเศษขนหนูมากกว่า 1 เส้น ต่อช็อกโกแลต 100 กรัม โดยต้องเทียบตัวอย่างจากตัวอย่างปริมาณ 100 กรัม จำนวน 6 ชิ้น หรือถ้าคิดเป็นตัวอย่าง 1 ชิ้น ห้ามมีเศษเส้นขนหนูปนเปื้อนเกิน 3 เส้น ฉลาดฉบับนี้จึงได้สุ่มเก็บตัวอย่างของช็อกโกแลตทั้งที่นำเข้าและที่ผลิตในไทย โดยเราเลือกเก็บตัวอย่างจากหลายๆ จังหวัด โดยเฉพาะที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มักเป็นจุดผ่านของสินค้าอาหารนำเข้า ไม่ว่าจะเป็น สตูล สงขลา เชียงราย พะเยา โดยมีตัวอย่างช็อกโกแลตรวมทั้งหมด 20 ตัวอย่าง โดยฉลาดซื้อได้ส่งตัวอย่างไปยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 อุบลราชธานี เพื่อตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของเศษชิ้นส่วนแมลงและขนหนู   ตารางรายชื่อตัวอย่างช็อกโกแลต สำหรับวิเคราะห์การปนเปื้อนทางชีวภาพ ผลการตรวจวิเคราะห์ จากการตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของเศษชิ้นส่วนแมลงและขนหนูจากตัวอย่างช็อกโกแลตทั้ง 20 ตัวอย่าง ได้ผลออกมาว่า ไม่พบสิ่งปนเปื้อนทางชีวภาพ ซึ่งหมายถึงไม่พบการปนเปื้อนของเศษชิ้นส่วนจากสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเศษชิ้นส่วนแมลงและขนหนู แต่ที่น่าสังเกตคือพบวัสดุคล้ายเส้นใยขนาดเล็กมาก ในบางตัวอย่าง ตั้งแต่ 1 – 4 เส้น ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเส้นใยของอะไร เพราะพบในจำนวนที่น้อยและมีขนาดเล็กมาก แต่ผู้บริโภคอย่าตกใจไป เพราะเส้นใยที่พบไม่เป็นอันตรายกับผู้บริโภค คนที่ชอบรับประทานช็อกโกแลตมั่นใจได้   เรื่องของปริมาณโกโก้ในช็อกโกแลต ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 83 (พ.ศ. 2527) เรื่อง ช็อกโกแลต ได้กำหนดคุณภาพและมาตรฐานเฉพาะของช็อกโกแลตแต่ละชนิดเอาไว้ สำหรับช็อกโกแลตนม ซึ่งเป็นชนิดของช็อกโกแลตที่เราเลือกสุ่มเก็บมาเป็นตัวอย่างในการตรวจวิเคราะห์ครั้งนี้ มีการกำหนดคุณภาพไว้ว่าต้องมีปริมาณโกโก้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของปริมาณช็อกโกแลต โก้โกปราศจากไขมันไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5 มีธาตุน้ำนมไม่รวมมันเนยไม่น้อยกว่าร้อยละ 10.5 และต้องมีน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 55 จากการอ่านดูข้อมูลส่วนประกอบบนฉลากของตัวอย่างช็อกโกแลตที่ฉลาดซื้อสุ่มสำรวจในครั้งนี้ พบว่าโกโก้ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในช็อกโกแลตนมนั้นจะเป็น “โกโก้แมส” หรือ “โกโก้เพสต์” ซึ่งเป็นส่วนที่ได้หลังจากการคั่วและบดเมล็ดโกโก้ เป็นโกโก้ที่ผ่านความร้อนไขมันจะหลอมละลายออกมา ซึ่งจากการตรวจสอบดูข้อมูลในฉลากพบว่าผ่านเกณฑ์ทุกตัวอย่าง ยกเว้นบางตัวอย่างที่ไม่มีข้อมูลฉลากภาษาไทย และไม่ได้แจ้งปริมาณส่วนประกอบเอาไว้ ส่วนปริมาณน้ำตาลก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทุกตัวอย่าง คือไม่เกินร้อยละ 55 ของปริมาณช็อกโกแลต แต่ที่อยากฝากไว้เป็นข้อสังเกตของคนที่ชอบช็อกโกแลตก็คือ เมื่อดูปริมาณส่วนประกอบทั้งหมดในผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตนม จะเห็นว่ากว่า 50% ของส่วนประกอบทั้งหมด คือ น้ำตาล เพราะฉะนั้นถ้าหากรับประทานมากๆ ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพแน่นอน ถึงจะชอบแค่ไหนก็ต้องยั้งใจไว้บ้าง ยิ่งเด็กๆ ยิ่งต้องระวัง เสี่ยงทั้งโรคอ้วน ฟันผุ และในช็อกโกแลตมีสารคาเฟอีนด้วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนติดช็อกโกแลต   ช็อกโกแลตที่ได้มาตรฐานควรมีลักษณะอย่างไร? -มีกลิ่นและรสตามลักษณะเฉพาะของช็อกโกแลตนั้น ๆ -ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค -ไม่ใช้วัตถุที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล -ไม่มีการเจือสีใดๆ ที่มา : ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 83 (พ.ศ. 2527) เรื่อง ช็อกโกแลต

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 ปรอทในครีมหน้าขาว

นาทีนี้การมีผิวหน้าสะอาด ชุ่มชื้น เพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอเสียแล้ว เรายังรู้สึกเหมือนเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีผิวอ่อนเยาว์ ไร้ริ้วรอย และที่สำคัญต้องขาวใสไร้จุดด่างดำอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าวจึงมีออกมาให้เลือกกันมากมายหลายสูตร จนเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว   มูลนิธิบูรณนิเวศ และนิตยสารฉลาดซื้อได้ร่วมกันเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมที่อ้างสรรพคุณว่าทำให้ผิวหน้ามีสีจางลงหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าครีมหน้าขาว มาตรวจหาสารปรอท ซึ่งกฎหมายประกาศห้ามใช้ งานนี้เรายังได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคจังหวัด พะเยา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ สงขลา สุราษฎร์ธานี ในการสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากพื้นที่เข้ามาให้ด้วย   ครั้งนี้เราตรวจหาสารปรอทใน 47 ผลิตภัณฑ์ ที่เราเก็บตัวอย่างครีมจากซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างค้าปลีก ร้านสินค้าสุขภาพ รวมถึงแผงขายเครื่องสำอางในตลาดนัด ระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2555 มีตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากกรุงเทพมหานคร 15 ตัวอย่าง และตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากพื้นที่ต่างจังหวัด ได้แก่ นนทบุรี สุราษฎร์ธานี พะเยา สงขลา สมุทรปราการ กาฬสินธุ์ และขอนแก่น อีก 32 ตัวอย่าง   ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาวทั้งหมดถูกส่งไปวิเคราะห์หาปริมาณสารปรอททั้งหมด ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของบริษัท อินเตอร์เทค เทสติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยวิธีตามมาตรฐานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   เราบอกคุณไม่ได้ว่าทาครีมยี่ห้อไหนแล้วจะขาวกว่ากัน แต่เรารู้แน่ว่ามีถึง 10 ผลิตภัณฑ์ (จากทั้งหมด 47 ผลิตภัณฑ์) ที่มีสารปรอทปนเปื้อน โดย “ครีมน้ำนมข้าว” ที่เก็บตัวอย่างจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีคว้าแชมป์ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปรอทมากที่สุด มากถึง 99,070 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามด้วย “ครีมไวท์โรส” จากสงขลา ที่มีปริมาณปรอทปนเปื้อน 51,600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนที่เหลืออีก 8 ผลิตภัณฑ์นั้นดูได้จากรายละเอียดในหน้าถัดไป   ซื้อแพงไว้ก่อนดีหรือไม่? นี่เป็นอีกครั้งที่เราพบว่าราคาที่แพงกว่า ไม่ได้รับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะปราศจากสารอันตรายเสมอไป เช่น ผลิตภัณฑ์ “ไบโอคอลลาเจน” ที่มีราคาถึง 28 บาท ต่อกรัม มีสารปรอทถึง 47,960 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือครีม “มาดาม” ที่ราคากรัมละ 30 บาท ก็มีสารปรอทถึง 3,435 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ “เภสัช” ซึ่งเราตรวจพบปริมาณสารปรอทต่ำกว่า 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นั้นมีราคาต่อหน่วยเท่ากับ 0.4 บาทเท่านั้น                ที่มา : องค์การอนามัยโลก, 2011 ---   ยุทธศาสตร์ไซคัม ยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีระหว่างประเทศ หรือยุทธศาสตร์ไซคัม (Strategic Approach to International Organization on Chemicals Management หรือ SAICM) มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ส่งเสริมให้เกิดการจัดการสารเคมีอย่างเหมาะสมตลอดวงจรชีวิตของสารเคมีนั้น ๆ ภายในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 การผลิตและการใช้สารเคมีจะต้องให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะปกป้องสังคมโลกให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย   ความเคลื่อนไหวที่สำคัญภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ไซคัมที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แก่ การพัฒนาข้อตกลงสากลว่าด้วยเรื่องสารปรอท (Mercury Treaty) นั่นเอง   หลักการพื้นฐาน 5 ข้อของยุทธศาสตร์ไซคัม 1) ลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย 2) ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและการส่งเสริมองค์ความรู้ต่างๆ 3) สร้างธรรมาภิบาล 4) เสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือทางเทคโนโลยี และ 5) ห้ามการขนส่งของเสียอันตรายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 120 Dark Chocolate ของดำกำลังมา

เทรนด์ใหม่มาแรงนาทีนี้เห็นทีจะหนีไม่พ้น “ช็อกโกแลตดำ” หรือ Dark Chocolate ที่เป็นทางเลือกใหม่ในหมู่ผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพ เพราะส่วนผสมหลักของช็อกโกแลต ซึ่งได้แก่ โกโก้นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีสารฟลาโวนอยด์ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ ไหนจะสรรพคุณช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนโดรฟิน ที่ทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปรู้สึกมีความสุขอีกต่างหาก หรือบ้างก็ยืนยันว่ากินแล้วช่วยลดน้ำหนักได้อีก แต่ทั้งนี้ต้องอย่าลืมว่าสิ่งที่จะทำให้เกิดผลที่กล่าวมาข้างต้นคือโกโก้เท่านั้น ไม่ได้หมายรวมถึงช็อกโกแลตทั้งแท่งซึ่งยังมีส่วนผสมอื่นๆ ซึ่งอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายรวมอยู่ด้วย  ฉลาดซื้อจึงถือโอกาสในเดือนแห่งช็อกโกแลต(ดูจากปฏิทินของคนช่างกิน) ทำการสำรวจหาช็อกโกแลตดำที่มีปริมาณโกโก้สูงที่สุดมาฝากสมาชิกกัน ---  แบบไหนจึงจัดว่า “ดำ”ตามมาตรฐานยุโรป “ช็อกโกแลตดำ” จะต้องมีโกโก้แมสเป็นส่วนประกอบไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 35 แต่ในอเมริกานั้น แค่มีปริมาณโกโก้แมสไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 15 ก็จัดว่าเป็น Dark Chocolate ได้แล้ว---  ฉลาดซื้อสำรวจ ... เราพบว่า- ถ้าต้องการกินช็อกโกแลตเพื่อสุขภาพเราคงต้องให้ความสนใจกับปริมาณน้ำตาลด้วย เราพบว่าแม้ช็อกโกแลตเหล่านี้จะจัดตัวเองว่าเป็น “ช็อกโกแลตดำ” แต่ก็ยังมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบตั้งแต่ ร้อยละ 26 ถึงร้อยละ 46 เลยทีเดียว (ยกเว้น Anti-Ox ซึ่งไม่มีน้ำตาล และ Cavalier ซึ่งใช้สารให้ความหวานมอลทิทอลเป็นส่วนประกอบร้อยละ 22)  - ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เราสำรวจ ช็อกโกแลตดำของ Dove และ Meiji มีส่วนประกอบของน้ำตาลสูงที่สุด (ร้อยละ 46)  - เมื่อเฉลี่ยดูราคาต่อหน่วยแล้ว พบว่าช็อกโกแลตที่เราซื้อมาในราคาต่ำสุด (Miraco) กลับมีราคาต่อหน่วยสูงที่สุด (1.59 บาท/กรัม) ในขณะที่ช็อกโกแลตที่ซื้อมาในราคาสูงที่สุด (Cavalier) นั้นมีราคาต่อหน่วยต่ำที่สุด (0.66 บาท/กรัม) - ผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโกโก้สูงกว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่แพงกว่า เพราะเราพบว่าAnti-Ox ซึ่งที่มีปริมาณโกโก้สูงสุดถึงร้อยละ 90 มีราคาถูกที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก Cavalier  - ถ้าดูจากปริมาณโกโก้แมส ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เราสำรวจสามารถจัดว่าเป็นช็อกโกแลตดำได้ตามมาตรฐานอเมริกัน แต่ถ้าใช้มาตรฐานของยุโรปจะมีเพียง 6 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น (AntiOx / Cavalier / Ritter Sport / Miraco / Dove / และ HERSHEY’s Special Dark) ที่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นช็อกโกแลตดำได้  - อีกข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ปริมาณโกโก้ที่แสดงบนฉลากด้านหน้า บริเวณชื่อผลิตภัณฑ์ กับในส่วนประกอบสำคัญมักไม่ตรงกัน บางทีมากกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้วน้อยกว่า มีเพียง HERSHEY’S Special Dark Pure Chocolate ที่รวมส่วนผสมโกโก้ทั้งหมดแล้วได้ตามที่เขียนไว้ด้านหน้า  - แต่ต้องย้ำตรงนี้ว่า เราไม่ได้สำรวจเรื่องของรสชาติ ผู้ผลิตแต่ละเจ้าก็มีการใช้ส่วนผสมอื่นๆ เพื่อความเนียนนุ่ม หอมมัน หรือใช้น้ำตาลในปริมาณที่แตกต่างกันไป ใครชอบแบบไหนเห็นจะต้องไปทดลองชิมกันเองอีกที---  อีกทางเลือกถ้าไม่ต้องการน้ำตาลส่วนเกินที่มากับช็อกโกแลตดำสำเร็จรูปเหล่านี้ ลองหาซื้อโกโก้ผงมาชงเป็นเครื่องดื่มร้อนไว้จิบชิลๆ ดูก็ได้ ------  หมายเหตุ ช็อกโกแลตดำที่มีขายในตลาดบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากจีน ญี่ปุ่น เบลเยียม เยอรมนี และออสเตรเลีย มีเพียงยี่ห้อ Miraco เท่านั้นที่ผลิตในบ้านเรา---________________________________________________________ เกือบร้อยละ 40 ของผลผลิตโกโก้ดิบมาจากประเทศ ไอโวรี่ โคสต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาได้แก่ประเทศกาน่า และอินโดนีเซีย และเนื่องจากขณะนี้ ไอโวรี่โคสต์ กำลังประสบปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ จึงทำให้ราคาโกโก้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ12.5 เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาราคาโกโก้ในตลาดนิวยอร์กอยู่ที่ตันละ 3,000 เหรียญ แต่ทั้งนี้นักวิเคราะห์เขาบอกว่าราคาโกโก้น่าจะไม่ส่งผลต่อราคาของช็อกโกแลตแท่งมากนักเพราะ ณ ปัจจุบัน ถ้าช็อกโกแลตแท่งหนึ่งราคา 100 บาท ในนั้นมีค่าต้นทุนโกโก้เพียง 6 ถึง 8 บาทเท่านั้น ที่เหลือเป็นราคาสำหรับส่วนผสมอื่นๆ เช่น นม หรือน้ำตาล แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือค่าใช้จ่ายในการผลิต การจัดจำหน่าย ค่าโฆษณาและกำไรของผู้ผลิตช็อกโกแลตนั่นเอง_______________________________________________________________  งานวิจัย: กินช็อกฯ ... กันช็อกงานวิจัยที่ทำกับผู้หญิงสวีเดน ที่อายุระหว่าง 48-83 ปี จำนวนกว่า 30,000 คน (เป็นการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาระหว่างปีคศ. 1998 - 2006) พบว่าคนที่รับประทานช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อย เป็นประจำ จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจล้มเหลวน้อยกว่าคนทั่วไป และช็อกโกแลตที่พวกเธอทานเป็นช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้ในปริมาณที่เข้มข้น   งานวิจัยพบว่า • ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจล้มเหลวลดลงร้อยละ 26 ในกลุ่มที่รับประทานช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้สูงระหว่าง 1 ถึง 3 ครั้งต่อเดือน • ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจล้มเหลวลดลงร้อยละ 32 ในผู้หญิงที่กินช็อกโกแลตดังกล่าว 2 ครั้งต่อสัปดาห์ • ไม่พบว่ามีความเสี่ยงในการเกิดหัวใจล้มเหลวน้อยลง ในผู้หญิงที่รับประทานช็อกโกแลตอย่างน้อยวันละครั้ง ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะแคลอรี่ส่วนเกินที่ได้จากช็อกโกแลตแทนที่จะได้จากอาหารชนิดอื่นนั่นเอง * ปริมาณที่รับประทานต่อครั้งอยู่ที่ 19 – 30 กรัม-----   Dark Chocolate ปริมาณโกโก้ที่แจ้งบนฉลาก (ร้อยละ) ร้อยละของโกโก้ ที่แจ้งในส่วนประกอบสำคัญบนฉลากภาษาไทย (ร้อยละ) ส่วนประกอบของน้ำตาล (ร้อยละ) ราคา (บาท) น้ำหนัก (กรัม) ราคาต่อกรัม (บาท) โกโก้แมส (ร้อยละ) ไขมันโกโก้ (ร้อยละ) โกโก้ผง (ร้อยละ) รวมปริมาณโกโก้ (ร้อยละ) AntiOx Chocolate 70 Dark Chocolate 90 - - 90 - 109 80 0.73 Cavalier Belgian Chocolate Extra Dark 72 41.5 14 13.5 69 22 (มอลทิทอล) 128 85 0.66 HERSHEY’S Special Dark Pure Chocolate 65 57 3 5 65 32 59 50 0.84 Ritter Sport Fine Extra Dark Chocolate 71 60 - - 60 26 74 100 1.35 HERSHEY’S Dark Chocolate ไม่ระบุ 29 17 3 49 42.75 29 40 1.37 Miraco Dark Chocolate ไม่ระบุ 42 5 2 49 40 22 35 1.59 Dove Dark Chocolate ไม่ระบุ 45 2 - 47 46 35 43 1.22 Lindt LINDOR Extra Dark 60 33.19 11.04 - 44.23 30.45 96 100 1.04 Meiji Black Chocolate ไม่ระบุ 33 6 - 39 46 39 45 1.15 Guylian Belgian Chocolates 74 26 11 - 37 35 88 65 0.73 Morinaga DARS ไม่ระบุ 23 5 9 37 30 50 50 1   ไหนๆ ก็ไปเยี่ยมเยียนถึงแผงช็อกโกแลตกันแล้ว ฉลาดซื้อของถือโอกาสนี้สำรวจปริมาณน้ำตาลและโกโก้ในช็อกโกแลตนม/ขนมหวานกลิ่นช็อคโกแลตมาเสียด้วยเลย   • ในบรรดาช็อกแลตนมธรรมดา ที่ไม่ได้เรียกตัวเองว่าช็อกโกแลตดำนั้น บางยี่ห้อมีปริมาณโกโก้อยู่ถึง ร้อยละ 38 (Meiji Milk Chocolate)ส่วนน้ำตาลนั้นก็เป็นไปตามคาด มีตั้งแต่ร้อยละ 23 ถึงร้อยละ 65 โดยขนมหวานที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุดในกลุ่มที่เราสำรวจมาได้แก่ Mars (ร้อยละ 65) ตามด้วย M&M (ร้อยละ 60) และ Snickers (ร้อยละ 53)   ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตนม / ขนมหวานกลิ่นช็อกโกแลต (เรียงลำดับตามปริมาณโกโก้) น้ำตาล และส่วนผสมอื่นๆ เช่นกลูโคสไซรัป/แลคโตส (ร้อยละ) ปริมาณโกโก้ (ร้อยละ) น้ำหนัก (กรัม) ราคา (บาท) Meiji Milk Chocolate 43 38 45 38 Morinaga DARS Milk 35 33 50 50 Ghana Milk Chocolate 42.7 32.3 58 45 Toblerone ช็อกโกแลตนมผสมอัลมอนด์นูกัตรสน้ำผึ้ง 48 30 100 85 Dove Milk Chocolate 38 29 43 35 Miraco Mocha Chocolate 41 27 35 22 BOUNTY ขนมหวานโกโก้สอดไส้มะพร้าว 37 26 57 54 Frey Classic ช็อกโกแลตนมผสมลูกเกด เฮเซลนัท และอัลมอนด์ 36.4 25.1 35 25 Cadbury's Twirl ช็อกโกแลตนม ไม่ระบุ 22 39 58 Cadbury's PICNICช็อกโกแลตนมสอดไส้ขนมปังกรอบผสมคาราเมลและข้าวพอง 23 (คาราเมล) 22 46 58 Van Houten Chocolateช็อกโกแลตนมผสมอัลมอนด์ 39.8 22 50 30 Cadbury's TIME OUTช็อกโกแลตสอดไส้เวเฟอร์ ไม่ระบุ 21 40 58 M&M ช็อกโกแลตนมเคลือบน้ำตาลสีต่างๆ 60 20 100 55 Maltesers ขนมช็อกโกแลตสอดไส้รสมอลต์ 43 18 37 30 KitKat Bites ช็อกโกแลตนมสอดไส้เวเฟอร์ 40 16 40 29 Ferrero Rocher ช็อกโกแลตนมผสมเกล็ดเฮเซลนัทสอดไส้ครีมและเฮเซลนัท 33.7 15.9 37.5 40 Alfie double chocoขนมหวานรสช็อกโกแลต 40 13 36 10 Kinder Chocolate ช็อกโกแลตนมสอดไส้ครีมนม 38.3 12.8 50 33 TOY STORY3 Choco Stick ขนมหวานกลิ่นช็อกโกแลต 44.5 10 15 6 Lilo&Stitch Choco Bar ขนมหวานรสช็อกโกแลต 43.5 9 15 8 Milo Choco Bar ขนมหวานรสช็อกโกแลต 36 7 37 19 Alfie ขนมหวานรสช็อกโกแลต 43 7 36 10 Snickers ถั่วลิสงคาราเมลและนูกัตเคลือบช็อกโกแลตนม 53 6 35 24 Pelotty เปล็อตตี้ ขนมหวานรสช็อกโกแลตและรสนม 48 6 6 Choco2tone ขนมหวานกลิ่นช็อกโกแลต 46.96 5.5 16 8 Mars ช็อกโกแลตนมไส้คาราเมลและนูกัต 65 5 36 24   Ethiscore ว่าด้วยคะแนนจริยธรรมของผู้ผลิต  นิตยสาร Ethical Consumer ของอังกฤษ ได้ให้คะแนนจริยธรรมหรือ Ethiscore (จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน) กับผู้ผลิตช็อกโกแลตไว้ดังต่อไปนี้   ผลิตภัณฑ์     คะแนน Lindt Chocolate     11   คะแนนKinder Chocolate     10   คะแนนGuylian Chocolate bars    7   คะแนนMark&Spencer Organic Fairtrade Chocolate   6.5   คะแนนMark&Spencer Chocolate     4.5   คะแนนCadbury’s Dairy Milk Chocolate   4   คะแนนTime Out     4   คะแนนCrunchie      3   คะแนนKraft Chocolate     3   คะแนนToblerone      3   คะแนนTwirl      3   คะแนนBounty      1.5   คะแนนM&M      1.5   คะแนนMaltesers      1.5   คะแนนMars      1.5   คะแนนMilky Way     1.5   คะแนนSnickers      1.5   คะแนนTwix      1.5   คะแนนNestle’s Heaven     1   คะแนน  หมายเหตุ: คะแนนข้างต้นมีการอัพเดทครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 โดยเกณฑ์การให้คะแนนนั้นได้แก่การปฏิบัติตนของผู้ประกอบการในด้านต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม แรงงาน การปฏิบัติต่อสัตว์ การเมือง และความยั่งยืน (เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ออกานิก หรือผลิตภัณฑ์ Fairtrade เป็นต้น) ช็อกโกแลตที่ได้คะแนนสูงที่สุดได้แก่ Plamil Fairtrade Organic Chocolate ที่ได้ไปถึง 18 คะแนน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 85 อาหารแผงลอย อีกหนึ่งที่พึ่งของคนกรุงเทพฯ

แม้กรุงเทพฯ จะไม่ใช่เมืองน่าอยู่ติดอันดับโลกอย่าง เมลเบิร์น เวียนนา หรือ แวนคูเวอร์ แต่ข้อดีอย่างหนึ่ง ที่คนกรุงเทพฯ หรือผู้ที่มาเยี่ยมเยียนปฏิเสธไม่ได้เลยคือ  ความมั่นใจว่าดึกดื่นแค่ไหน ซอยจะลึกเพียงใด ก็จะมีอาหารให้เราสามารถซื้อรับประทานได้ เพราะเรามีแผงลอย/รถเข็นขายอาหารที่คอยบริการผู้บริโภคอยู่ทุกตรอกซอกซอย ในระยะทางที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ด้วยสนนราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋าเงินของคนส่วนใหญ่ด้วย สำหรับหลายๆคน อาหารแผงลอย/ รถเข็น เป็นเหมือนที่พึ่ง ให้เราได้ฝากท้องกัน ลองมาดูกันว่าคนกรุงเทพฯ มีความคิดอย่างไรกันบ้างในเรื่องการบริโภคอาหารจากแผงลอย วารสารฉลาดซื้อร่วมกับ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่อการใช้บริการอาหารจากร้านแผงลอย / รถเข็น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ผลที่สรุปได้ดังต่อไปนี้•    แชมป์อาหารรถเข็น ยอดฮิตได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว และส้มตำ โดยมีอาหารประเภท ของปิ้ง/ทอด ตามมาติดๆ •    แผงลอย/รถเข็นอาหาร ยังคงเป็นที่ฝากท้องของคนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล  ร้อยละ 30 ของกลุ่มตัวอย่างซื้อทุกวัน และอีกเกือบร้อยละ 40 แม้จะไม่ซื้อทุกวันแต่ก็ซื้อสัปดาห์ละหลายครั้ง•    เหตุผลที่ซื้ออาหารจากแผงลอย/รถเข็น อันดับหนึ่งคือ เพราะหาซื้อได้ง่าย  รองลงมาได้แก่เรื่องของราคา และเวลาที่มีจำกัดของคนเมืองนั่นเอง  •    ครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างมีค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารจากแผงลอย / รถเข็น ครั้งละ 50 - 100 บาท อีกประมาณร้อยละ 40 ใช้น้อยกว่า 50 บาท •    ประมาณร้อยละ 70 ของกลุ่มตัวอย่าง ค่อนข้างพอใจในความสะอาดของแผงลอย/รถเข็นอาหาร ในขณะที่ ร้อยละ 25 คิดว่ายังต้องมีการปรับปรุง•    ปัญหาที่เคยประสบจากการรับประทานอาหารแผงลอย / รถเข็น มากที่สุดได้แก่ สถานที่ขายสกปรก หรือมีฝุ่นละอองมาก  รองลงมาเป็นปัญหาอาหารไม่สด / มีกลิ่น  และการพบสิ่งแปลกปลอมในอาหาร•    มีถึงร้อยละ 60 ของกลุ่มตัวอย่าง ที่เคยมีอาการเจ็บป่วยจากการรับประทานอาหารจากแผงลอย / รถเข็น ในขณะที่ร้อยละ 36 ไม่เคยมีอาการเจ็บป่วยเลยความเปลี่ยนแปลงที่ผู้บริโภคต้องการเห็นจากร้านแผงลอย/รถเข็นสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คาดหวังมากที่สุดสามอันดับต้นในเรื่องของบริเวณขายอาหารของแผงลอย / รถเข็น ได้แก่ เรื่องความสะอาด อากาศถ่ายเทได้ดี  การตั้งจุดขายในบริเวณที่ไกลจากถังขยะหรือท่อระบายน้ำ และการอยู่ในบริเวณที่ไม่มีฝุ่นละอองเรื่องของสุขอนามัยของผู้ขายนั้น  ประมาณร้อยละ 60 ค่อนข้างพอใจ อีกร้อยละ 30 ยังไม่พอใจเท่าไรนัก ส่วนในเรื่องบุคคลิกลักษณะของผู้ปรุงอาหารและผู้ช่วยนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีความคาดหวังเรื่อง เล็บตัดสั้นและสะอาดมากที่สุด รองลงมาคือเรื่องเสื้อผ้าที่สะอาดเรียบร้อย และการไม่ใส่เครื่องประดับ ความคาดหวังในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก ณ ร้านแผงลอย สามอันดับต้นได้แก่ การมีสถานที่ล้างมือ รองลงมาคือการมีน้ำล้างจานพอเพียง และโต๊ะ เก้าอี้ ที่สะอาดสะอาด   นอกจากนี้ลูกค้าเห็นว่า ควรมีการปรับปรุงเรื่องความสะอาด และสิ่งที่ต้องการเห็นมากที่สุดสามอันดับต้นได้แก่ การปิดคลุมอาหาร  รองลงมาคือภาชนะที่สะอาด และไม่มีกลิ่นความจริงแล้วหาบเร่แผงลอยอาหารเหล่านี้ สะท้อนให้เราเห็นอะไรที่นอกเหนือไปจากวัฒนธรรมการกินของคนเมือง งานวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ทำไว้เมื่อปี 2547 ก็พบว่ากิจการอาหารแผงลอยนั้นมีส่วนช่วยให้เกิดการสร้างรายได้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เข้ามาหางานทำในกรุงเทพ ฯ เพราะร้อยละ 90 ของผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 รากบุญ รอยรัก แรงมาร : ความปรารถนาเป็นอาหารอันโอชาของกิเลส

หลังจากที่กล่องรากบุญ อันเป็นแหล่งรวมพลังของ “กิเลส” ได้ถูกเจ้าของกล่องอย่าง “เจติยา” นางเอกนักตกแต่งศพทำลายไปแล้วในภาคแรก คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วกิเลสของมนุษย์สามารถถูกทำลายไปได้จนหมดจริงแล้วหรือ? เงื่อนไขที่กล่องรากบุญใบเก่าได้วางรหัสเอาไว้ก่อนหน้านั้นก็คือ ทุกครั้งที่เจ้าของกล่องได้ทำบุญด้วยการช่วยปลดปล่อยวิญญาณคนตายให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม เจ้าของกล่องรากบุญจะได้เหรียญมาหนึ่งเหรียญ และเมื่อสะสมเหรียญจนครบสามเหรียญ เจ้าของก็ต้องขอพรหนึ่งข้อ และกล่องก็จะบันดาลให้พรนั้นสัมฤทธิ์ตาม “ความปรารถนา” แต่เหตุที่เจติยาเลือกขอพรสุดท้ายให้กล่องรากบุญทำลายตัวเองไปนั้น ก็เพราะเธอเห็นแล้วว่า การทำบุญโดยหวังผลก็เป็นเพียงการแปรรูปโฉมโนมพรรณใหม่ของ “กิเลส” ชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ากล่องและเหรียญเป็นที่สั่งสมไว้ด้วยกิเลส ก็ต้องกำจัดกล่องรากบุญอันเป็นต้นตอของกิเลสนั้นเสีย ทว่า ด้วยปมคำถามที่ว่า กิเลสของมนุษย์สามารถถูกทำลายไปได้หมดจริงหรือไม่ มาถึงละครภาคต่อของเรื่อง “รากบุญ” นั้น แม้กล่องจะถูกทำลายไปแล้ว แต่เพราะเหรียญของกล่องรากบุญใบเก่าได้ถูก “วนันต์” ขโมยไปด้วยความโลภ จากเหรียญหนึ่งเหรียญก็ค่อยๆ แตกตัวมาเป็นสามเหรียญ และก็กลายเป็นกิเลสหยดเล็กๆ ที่ค่อยๆ สั่งสมขุมพลังให้ตนเองมีอำนาจมากขึ้น พลังของเหรียญที่มีกิเลสหล่อเลี้ยงอยู่ ได้สร้างปีศาจตนใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า “กสิณ” ที่ตามท้องเรื่องเป็นปีศาจที่ไร้เพศไร้อัตลักษณ์ชัดเจน แต่ก็อาจจะด้วยว่าเป็นปีศาจที่ได้รับอิทธิพลจากกระแส J-pop หรืออย่างไรมิอาจทราบได้ ปีศาจกสิณจึงมักปรากฏตนในชุดยูกาตะของญี่ปุ่น และมีฝีมือดาบแบบซามูไรแดนอาทิตย์อุทัย เพื่อเพิ่มพลังให้กับกิเลสของมนุษย์ กสิณจึงพรางตัวอยู่ในเหรียญหนึ่งเหรียญ ซึ่ง “พิมพ์อร” ลูกสาวของวนันต์ได้ครอบครองอยู่ ทุกครั้งที่พิมพ์อรขอพรใดๆ ก็ตาม กสิณหรือปีศาจกิเลสก็จะมีพลังและอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น แบบเดียวกับที่ปีศาจกสิณเคยเปรยขึ้นภายหลังจากครั้งหนึ่งที่พิมพ์อรลังเลที่จะไม่ขอพรว่า “เธอใจแข็งได้อีกไม่นานหรอก แล้วสักวัน ความปรารถนาของเธอจะเป็นอาหารอันโชะของฉัน...” เพราะฉะนั้น เมื่อความปรารถนาเป็นอาหารอันโอชารสของกิเลส กสิณจึงคอยตามเป็นเงาของพิมพ์อรอยู่ตลอดเวลา และเรียนรู้ที่จะเข้าไปกำกับก้นบึ้งในจิตใจของพิมพ์อร เพื่อล่อลวงและชักใยให้ผู้หญิงอย่างพิมพ์อรต้องขอพรตามปรารถนาลึกๆ ในใจ ก็ไม่ต่างไปจากภาพสัตว์อย่างกิ้งก่าที่พิมพ์อรเลี้ยงไว้ในห้องนอนของเธอ ที่ผู้กำกับจงใจตัดสลับไปมาในหลายๆ ครั้งคราที่พิมพ์อรกับกสิณสนทนากัน เพราะในขณะที่กิ้งก่าเป็นสัตว์ที่เลียนรู้ที่จะพรางตัวตามสภาวะแวดล้อมที่ต่างกันไป กสิณหรือตัวแทนของกิเลสก็เลียนรู้ที่จะปรับตัวตามธาตุแท้ของโลภะโทสะโมหะที่อยู่ในจิตใจของพิมพ์อรอย่างไม่แตกต่างกัน และเป้าหมายที่กสิณต้องการก็คือ การรวมพลังจากเหรียญที่อยู่ในมือของพิมพ์อรกับเหรียญที่เหลืออีกสองเหรียญเพื่อสร้างกล่องรากบุญใบใหม่ขึ้นมา ซึ่งเหรียญหนึ่งก็อยู่ในมือของ “อยุทธ์” ผู้เป็นน้องชายของพิมพ์อร กับอีกหนึ่งเหรียญที่เปลี่ยนถ่ายมือไปมาจนตกมาอยู่ในความครอบครองของนางเอกอย่างเจติยา แม้ในกรณีของอยุทธ์นั้น เขามีเดิมพันเรื่องการขอพรให้เหรียญช่วยยืดอายุของวนันต์บิดาผู้กำลังเจ็บป่วยใกล้ตาย ทำให้อยุทธ์ต้องเลือกขอพรและเติมความปรารถนาให้เป็นอาหารของกิเลสเป็นครั้งคราว แต่สำหรับเจติยาแล้ว เธอกลับเลือกที่จะยุติอำนาจของกิเลสที่บัดนี้พรางรูปมาอยู่ในร่างของกสิณนั่นเอง เพราะรู้เป้าหมายเบื้องลึกของกสิณที่จะรวมพลังของเหรียญทั้งสามเพื่อสร้างกล่องรากบุญใบใหม่ เจติยาจึงพยายามขัดขวางไม่ให้กิเลสได้สั่งสมขุมกำลังขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้นเจติยาจึงมุ่งมั่นทำความดีด้วยการปลดปล่อยความทุกข์ของวิญญาณคนตายให้หลุดพ้นจากการจองจำ และทุกครั้งที่เธอช่วยเหลือวิญญาณคนตายได้แล้ว แทนที่จะขอพรตามความปรารถนาให้กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงกิเลสต่อไป เจติยากลับใช้วิธีการชำระเหรียญให้บริสุทธิ์ปราศจากความโลภโมโทสันแทน แต่เพราะเธอเลือกตั้งการ์ดเป็นอริกับกิเลสนี่เอง เจติยาจึงถูกทดสอบโดยกสิณเป็นระยะๆ ว่า เธอจะอดทนยืนหยัดต่อปรารถนาลึกๆ หรือกิเลสที่กำลังเรียกร้องอยู่ในจิตใจได้นานเพียงไร ไม่ว่าจะเป็นการที่กสิณพยายามเอาชีวิตของคนรอบข้าง เพื่อนสนิท น้องชาย ไปจนถึงมารดาของเธอมาเป็นเดิมพัน รวมทั้งล่อลวงสามีพระเอกอย่าง “ลาภิณ” ให้ถูกอำนาจมืดครอบงำจนลืมความรักที่มีต่อเจติยาไปชั่วคราว บทเรียนเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากการให้คำตอบกับเราๆ ว่า แท้ที่จริง กิเลสไม่เคยห่างหายไปจากชีวิตของคนเราหรอก และกิเลสก็จะคอยทดสอบเราอยู่ตลอดเวลาว่า มนุษย์จะสามารถเอาชนะปรารถนาที่อยู่ลึกในใจของตนได้หรือไม่ เมื่อมาถึงบทสรุปของเรื่อง ในขณะที่พิมพ์อรที่เชื่อมั่นมาตลอดว่า เธอคือเจ้านายผู้สามารถควบคุมให้กสิณทำโน่นนี่ได้ตามใจปรารถนาของตนเอง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เธอกลับได้เรียนรู้ว่า กิเลสไม่เคยอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์ หากแต่เป็นมนุษย์ที่สามารถตกเป็นทาสของกิเลสต่างหาก เหมือนกับที่พิมพ์อรได้พูดกับอยุทธ์ผู้เป็นน้องชายว่า “ใช่...พี่รู้แล้วว่าถูกหลอกมาตลอด กสิณไม่ใช่ทาสของพี่และคอยหาผลประโยชน์จากพี่ แต่พี่ก็จะใช้งานกสิณต่อไปเพื่อสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาให้ได้ ต่อให้ฉันต้องขายวิญญาณให้ปีศาจ แต่ถ้ามันช่วยคุณพ่อได้ ฉันก็จะทำ” ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ครอบครองเหรียญอีกสองคนคือเจติยากับอยุทธ์ ต่างก็ค้นพบว่า แม้ปรารถนาลึกๆ ของตนต้องการขอพรเพื่อช่วยยืดชีวิตของบุพการีออกไปทั้งคู่ แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีใครหรอกที่จะฝ่าฝืนอายุขัยของตนเองไปได้ เหมือนกับบรรดาศพทั้งหลายที่ทั้งสองคนคอยดูแลตกแต่งศพแล้วศพเล่า เมื่อเข้าใจสัจธรรมชีวิตเยี่ยงนี้ แม้กสิณจะบีบบังคับให้เจติยาและอยุทธ์ร่วมสร้างกล่องรากบุญใบใหม่ขึ้นมาได้ แต่พรที่อยุทธ์ขอเป็นข้อแรกจากกล่องใบใหม่ก็คือ ให้กล่องรากบุญทำลายตัวเองและทำลายพลังของกสิณให้สิ้นซากไป แม้บทเรียนของเหรียญและปีศาจกสิณจะบอกกับเราว่า กิเลสไม่เคยห่างหายไปจากจิตใจของมนุษย์ได้หรอก แต่หากมีจังหวะสักช่วงชีวิตที่เราจะบอกตนเองว่า ถึงกิเลสจะไม่เคยหายไป แต่แค่เพียงเราไม่พยายามเพิ่มพูนความปรารถนาให้มากเกินไปกว่านี้ อย่างน้อยเหรียญพลังของกิเลสก็ยังมีโอกาสจะถูกชำระให้สะอาดขึ้นได้บ้างเช่นกัน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 160 อย่าลืมฉัน : กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง

คนหลายคนอาจจะสงสัยว่า บนเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของสังคมไทยจวบจนทุกวันนี้นั้น กราฟวิธีคิดของคนไทยจะเลือกเดินเป็นเส้นตรงไปข้างหน้า หรือจะมีเส้นกราฟที่ดำเนินไปในทิศทางใด หนึ่งในคำตอบต่อข้อสงสัยดังกล่าว อาจจะลองฉายภาพดูได้จากโลกของละครโทรทัศน์ร่วมสมัยนั่นเอง ก็คงคล้ายๆ กับการขับเคลื่อนไปของชีวิตตัวละครอย่าง “เขมชาติ” และ “สุริยาวดี” ที่ให้คำตอบกับความข้างต้นว่า ใจหนึ่งสังคมเศรษฐกิจก็คงไม่ต่างจากกราฟชีวิตของตัวละครทั้งสองที่เดินมุ่งไปวันข้างหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีกด้านของทั้งคู่กลับมีปมบางอย่างให้ต้องหวนย้อนกลับสู่อดีต เข้าทำนองที่ว่า “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง” เรื่องราวของเขมชาติและสุริยาวดี (หรือ “หนูเล็ก”) นั้น เริ่มต้นจากการเป็นรักแรกของกันและกันตั้งแต่เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตไปข้างหน้าร่วมกับสุริยาวดี เขมชาติจึงมุมานะทำงานอย่างหนัก และมอบแหวนรูปดอกฟอร์เก็ตมีน็อตไว้ให้หญิงคนรัก เพื่อเป็นตัวแทนของความรักที่ไม่มีวันลืมหรือพรากจากกัน แต่เพราะครอบครัวของสุริยาวดีประสบปัญหาทางการเงิน เธอจึงจำใจต้องแต่งงานกับนายธนาคารใหญ่อย่าง “เจ้าสัวชวลิต” เพื่อปลดหนี้ และหลังจากนั้นเธอก็เลือกที่จะหายไปจากชีวิตของเขมชาติโดยที่ไม่ยอมบอกลา นำความเจ็บปวดมาให้เขมชาติที่เมื่อรู้ภายหลังว่า หญิงคนรักของตนยอมแต่งงานกับมหาเศรษฐีวัยคราวพ่อเพื่อแลกกับเงิน เขาจึงตั้งหน้าตั้งตาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาบนความคับแค้น   แต่แล้วชะตาก็ทำให้ทั้งคู่ได้โคจรมาพบกันอีกครั้ง เมื่อสุริยาวดีกลายมาเป็นเลขานุการของเขมชาติ และด้วยความ “เจ็บใจนักเพราะรักมากไป” ที่ฝังมาแต่ในอดีต เขมชาติจึงวางแผนแก้แค้นสุริยาวดี ในขณะที่ลึกๆ อีกด้านหนึ่ง เขาก็ยังมีเยื่อใยต่อหญิงผู้เป็นรักครั้งแรกอยู่เช่นกัน บนเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างเขมชาติและสุริยาวดีนี้ จะว่าไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากเส้นทางการเคลื่อนไปของกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไทย ที่ด้านหนึ่งก็มุ่งจะก่อร่างสร้างสั่งสมทุนทางเศรษฐกิจให้เติบโตก้าวหน้าขึ้น เหมือนกับตัวละครเขมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวจนมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี แต่อีกด้านหนึ่ง ภายใต้การสั่งสมทุนดังกล่าว เขาก็ยังมีเงาความเจ็บปวดจากอดีตตามมาหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่โดยทั่วไปผู้หญิงมักถูกมองว่าเป็นเพศที่ “เกลียดตัวเองที่ลืมช้า จดจำอะไรบ้าบอ” แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ผู้ชายอย่างเขมชาติก็เข้าประเภทคนที่ “ลืมช้า” ไม่ยิ่งหย่อนกัน เพราะฉะนั้น แม้กราฟชีวิตทางเศรษฐกิจสังคมของเขมชาติจะพุ่งเป็นเส้นตรงไปข้างหน้า มีฐานะมั่นคงมั่งคั่ง พร้อมๆ กับมีการสั่งสมทุนเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตอย่างไม่สิ้นไม่สุด แต่ในอีกด้านหนึ่ง ปมบาดแผลลึกๆ จากอดีต ก็ทำให้เส้นกราฟดังกล่าวมีลักษณะอิหลักอิเหลื่อกับความทรงจำแบบ “forget me not” อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญ กลุ่มคนที่มีบาดแผลฝังลึกจากอดีตเยี่ยงนี้ ก็มักจะห่อหุ้มตนเองเอาไว้ด้วย “ทิฐิ” ที่เข้ามาบดบังตา เมื่อทิฐิเข้าครอบงำ ไม่เพียงแต่ลืมอดีตไม่ได้ ทุกอย่างที่เขมชาติเห็นจึงเป็นสิ่งที่เขาได้แต่คิดเอาเอง แต่หาใช่เกิดจากข้อเท็จจริงที่มีหลักฐานพิสูจน์เชิงประจักษ์รองรับไม่ เริ่มตั้งแต่การคิดเอาเองว่าสุริยาวดีเป็นคนโลภและอยากมีอยากได้ จึงเลือกไปแต่งงานกับท่านเจ้าสัวอายุคราวพ่อ สุริยาวดีเป็นหญิงหลายใจ แม้เจ้าสัวเสียชีวิตไปแล้ว เธอก็เที่ยวหันไปคบชายคนนั้นคนนี้สลับกันไป จนถึงกับมโนไปเองว่า สุริยาวดีคงลืมความรักครั้งเก่าซึ่งตรงข้ามกับตัวเขาเองที่ไม่เคยลืมรักครั้งนั้นไปได้เลย ด้วยการคิดเอาเองแบบนี้ ผนวกกับทิฐิแบบบุรุษเพศที่ค้ำคอเขมชาติอยู่นั้น เมื่อสุริยาวดีปรากฏตัวอีกครั้ง ซึ่งก็อาจเป็นด้วยว่า เธอเองก็ไม่เคยลืมเขาไปได้เลย ทำให้เขมชาติวางแผนแก้แค้นหญิงคนรักโดยไม่สนใจที่จะสืบค้นความจริงว่า เบื้องลึกเบื้องหลังการจากไปของสุริยาวดีเป็นมาด้วยเหตุผลกลใด ผมลองถามเพื่อนรอบข้างหลายคนว่า เมื่อพูดถึงคำว่า “อย่าลืมฉัน” แล้ว คำว่า “ฉัน” ในที่นี้น่าจะหมายถึงตัวละครใด บางคนก็บอกว่า “ฉัน” น่าจะหมายถึงเขมชาติที่ลึกๆ แล้ว ดอกไม้ฟอร์เก็ตมีน็อตก็คือเครื่องหมายแทนใจที่ผูกพัน และพยายามสื่อสารกับสุริยาวดีไม่ให้เธอลืมความรักที่มีต่อเขา ในขณะที่มีเพื่อนบางคนก็บอกว่า “ฉัน” คงหมายถึงสุริยาวดีมากกว่า เพราะการกลับมาของเธออีกครั้ง ก็เพื่อทวงถามเขมชาติว่า ในหัวใจของเขาได้ลืมเลือนเธอไปแล้วหรือยัง อย่างไรก็ตาม หากเราเพ่งพินิจพิจารณาดีๆ แล้ว ในท่ามกลางตัวละครหญิงชายที่ไม่เคยลืมปมบาดแผลจากอดีต แถมยังสาดทิฐิใส่กันและกันอยู่นั้น ยังมีตัวละครอีกสองคนอย่าง “เกนหลง” และ “เอื้อ” ที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อันใด หากแต่ถูกผูกพ่วงเข้ามาอยู่ในเกมทิฐิและการแก้แค้นไปด้วย ตั้งแต่ฉากเขมชาติรับสุริยาวดีเข้ามาเป็นเลขานุการ ไปจนถึงฉากเล่นล่อเอาเถิดวิ่งไล่จับกันของตัวละครที่สวิตเซอร์แลนด์ หรือแม้แต่ฉากหมั้นของเขมชาติและเกนหลงที่เผยความจริงลึกๆ อันเนื่องมาแต่ปมในอดีต ฉากเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ทิฐิจะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับกระทบต่อคนรอบข้างอย่างเกนหลงและเอื้อที่ไม่รู้เห็นอันใดกับบาดแผลในใจของพวกเขาเลย เพราะฉะนั้น แม้การหลอกลวงจะเป็นเรื่องที่เขากระทำต่อคนรักเก่า แต่เขมชาติก็จง “อย่าลืมฉัน” ผู้ที่อยู่รอบข้างอีกหลายคน ซึ่งคงไม่ต่างจากที่เกนหลงบอกกับเขมชาติในภายหลังที่เขามาสารภาพความจริงทุกอย่างว่า “คุณไม่รู้ใจตัวเองจนทำให้คนอื่นต้องเสียใจแบบนี้ไม่ได้ ถ้าคุณยังไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง ชาตินี้คุณจะซื่อสัตย์กับคนอื่นได้ยังไง...” หากเราใช้ทฤษฎีที่อธิบายว่า โลกของละครไม่เคยและไม่มีวันแยกขาดจากโลกความจริงไปได้นั้น ตัวละครอย่างเขมชาติและสุริยาวดีก็คงบอกเป็นนัยว่า สังคมไทยทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ “กลับตัวก็ไม่ได้ และจะเดินต่อไปก็คงไม่รอด” เท่านั้น หากอีกด้านหนึ่งบนความขัดแย้งและอาการอิหลักอิเหลื่อดังกล่าว ก็ยังมีตัวละครอีกหลายคนที่แม้จะอยู่นอกเกม แต่ก็มักถูกดึงเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งไม่ต่างกัน ก็คงไม่ต่างจากความขัดแย้งซึ่งฉีกสังคมไทยออกเป็นฝักเป็นฝ่ายอยู่ในขณะนี้ ที่ทิฐิและผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจสองกลุ่ม ก็อาจจะทำให้ตัวละครแบบเกนหลงและเอื้อต้องมาส่งเสียงเตือนสติว่า “อย่าลืมฉัน” ที่ยังมีเลือดมีเนื้อมีความรู้สึกอยู่ตรงนี้อีกหลายๆ คน   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 133 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว : ความรู้กับอำนาจ (แบบผู้หญิงๆ)

  คุณยายทาฮิร่ามาอีกแล้วจ้า... มาแต่ละครั้งคุณยายก็มักจะนำพาทั้งความสนุกสนาน เวทมนตร์วิเศษ และเจ้าแมวชิกเก้นสมุนคู่ใจแนบพกติดตัวมาด้วยเสมอ จาก “สาวน้อยในตะเกียงแก้ว” มาจนถึงเวอร์ชั่นล่าสุด “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” คุณยายทาฮิร่าก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กันอย่างสนุกสนานเช่นเคย คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า แล้วทำไม “แม่มด” อย่างคุณยายทาฮิร่าจึงถูกสร้างให้เป็นภาพของผู้หญิงที่มีมนต์วิเศษและมีอำนาจที่จะเสกโน่นเสกนี่ได้มากมายมหาศาลเช่นนั้น คำตอบแบบนี้คงต้องย้อนกลับไปในโลกอารยธรรมตะวันตกเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงราวศตวรรษที่ 14-15 ในยุโรป ที่นักประวัติศาสตร์หลายๆ คนจะเรียกขานยุคสมัยดังกล่าวว่าเป็นยุคมืดหรือยุค “Dark Age” ที่เรียกกันว่า “ยุคมืด” เช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าว คริสตจักรกำลังเรืองอำนาจในยุโรป เพราะฉะนั้น สัจจะและความรู้ใด ๆ ก็ตามที่เวียนว่ายอยู่ในสังคมตะวันตก จึงเป็นความรู้ที่ผลิตผ่านแหล่งอำนาจของศาสนจักรเพียงสถานเดียว ในขณะเดียวกัน หากผู้ใดก็ตามที่ริหาญกล้าจะต่อกรหรือตั้งคำถามกับสัจจะและความรู้ในพระคัมภีร์แล้วล่ะก็ ผู้นั้นก็จะถูกนิยามว่าเป็นพวกนอกรีตที่ต้องขจัดออกไป  และในท่ามกลางกลุ่มนอกรีตดังกล่าว ก็มีการรวมตัวกันของบรรดาผู้หญิงจำนวนมาก ที่ตั้งลัทธิต่อต้านคริสตจักรและผลิตความรู้ที่แหกกฎออกไปจากสัจจะดั้งเดิม ผู้หญิงกลุ่มนี้เองที่ถูกตีความว่าเป็นพวกแม่มด อันเป็นบ่อเกิดของขบวนการ “witch hunt” หรือขบวนการล่าแม่มด ที่จะตามล่าพวกเธอมาลงโทษและเผาไฟให้ตายไปทั้งเป็น ความรู้ของขบวนการแม่มดแบบนี้ ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์และต้องรื้อถอนเสียให้สิ้นซากไปจากโลกตะวันตกในยุคอดีตกาล อย่างไรก็ดี แม้บรรดาแม่มดจะได้ถูกกวาดล้างกันขนานใหญ่ไปแล้วตั้งแต่ยุคมืด แต่ก็มิได้แปลว่า ในปัจจุบัน อำนาจและอิทธิฤทธิ์ของคุณๆ แม่มดเหล่านี้จะได้สูญสลายหายไปหมด เพราะอย่างน้อย การกลับมาอาละวาดเป็นครั้งเป็นคราวของคุณยายทาฮิร่าและแม่มดร่วมก๊วน ก็บอกผู้ชมเป็นนัยๆ ว่า ความรู้และอำนาจของแม่มดนั้น ยังมีให้เห็นอยู่ เพียงแต่หลบเร้นและรอคอยจังหวะจะสำแดงพลังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมากับเวอร์ชั่นของ “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” ด้วยแล้ว คุณยายทาฮิร่าไม่ได้โผล่มาคนเดียว เธอได้พกพาเอาคุณยายแม่มดบาบาร่า (คู่ปรับเก่า) กับบรรดาคุณหลานๆ ในเจนเนอเรชั่นรุ่นหลังอย่างแนนนี่และดารกามาร่วมวงไพบูลย์เสวนาประชาคม สลับกับโยกย้ายส่ายสะโพกร่ายมนตราคาถากันไป เมื่อคุณยายเธอส่งคุณหลานๆ มาใช้ชีวิตยังโลกมนุษย์ เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า แนนนี่หรือดารกา ใครคนใดคนหนึ่งอาจจะเป็นอสูรร้ายที่เกิดมาเพื่อกวาดล้างทำลายดินแดนแม่มด คุณหลานทั้งสองคนนั้นก็ต้องเริ่มเข้ารีตเรียนรู้วิถีชีวิตแบบที่มนุษย์ทั่วๆ ไปเขาทำกัน และที่ขาดเสียมิได้ก็คือ เนื่องจากความรู้และอำนาจแบบแม่มดได้ถูกตีตราไว้ตั้งแต่หลายศตวรรษก่อนว่า เป็นอำนาจด้านมืดที่ไม่ชอบธรรม ดังนั้น ทั้งแนนนี่และดารกาจึงต้องมีภารกิจแบบตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟันและออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย เพื่อซึมซับเอาความรู้ตามตำราทางโลกแบบที่มนุษย์คนอื่นๆ เขาเรียนกัน รวมทั้งแนนนี่เองก็ต้องทำพันธะสัญญากับคุณหมอภวัตพระเอกหนุ่มว่า เธอจะต้องไม่ไปเที่ยวใช้ความรู้และอำนาจแบบแม่มดไปทำร้ายใครต่อใคร หรือแม้แต่ใช้อำนาจดังกล่าวแบบไม่มีที่มาที่ไปโดยไม่จำเป็น แล้วทำไมคุณหมอภวัตจึงต้องจับน้องแนนนี่มาทำพันธะสัญญากันเช่นนี้ด้วย??? คำตอบที่ละครให้ไว้ก็คือ เพราะความรู้แบบแม่มด ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือความรู้แบบผู้หญิงๆ นั้นมีความพิเศษหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นความรู้ที่ทำให้ผู้หญิงมีอำนาจเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของสังคมโลก เริ่มตั้งแต่แม่มดผู้หญิงเหล่านี้สามารถหายตัว ปรากฏตัว ขี่ไม้กวาดเหาะเหินเดินอากาศได้ เสกให้บรรดาน้องแมวน้องเสือพูดภาษามนุษย์อย่างเราๆ ได้ หรือเสกสิ่งของต่างๆ ให้เป็นโน่นเป็นนี่ได้หมด อิทธิฤทธิ์และความรู้ของแม่มดแบบนี้เอง ที่ทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้มีอำนาจที่ไม่แตกต่างไปจากอำนาจของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างโลกและมวลสรรพชีวิต และเมื่อมีอำนาจที่ท้าทายความเชื่อสูงสุดอย่างพระเจ้าได้เช่นนั้น ความรู้ของแม่มดจึงต้องถูกจัดวินัย หรือแม้แต่กักขังไว้ใน “ตะเกียงแก้ว” เพราะเป็นความรู้ “ด้านมืด” ที่ยากแก่การควบคุมเป็นอย่างยิ่ง ผิดกับความรู้แบบคุณหมอภวัตที่เป็นองค์ความรู้ “ด้านสว่าง” ที่มีเหตุผลและจริยธรรมทางวิชาชีพ รวมทั้งมีเป้าหมายในการใช้บำบัดรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ กระนั้นก็ตาม แม้อำนาจแบบแม่มดจะถูกตีตราไว้ว่าเป็นความรู้ด้านมืด แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ปัญหาของความรู้นั้นๆ จะเป็นแบบ “มืด” หรือ “สว่าง” อย่างใด กลับไม่ได้ผิดหรือถูกที่ตัวขององค์ความรู้นั้นเองหรอก ตรงกันข้ามอำนาจของความรู้จะ “มืด” หรือ “สว่าง” ได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ใช้ และใช้ความรู้นั้นด้วยวิธีการใดมากกว่า แน่นอนว่า ด้านหนึ่งเราก็ได้เห็นการสาธิตพลังอำนาจแห่งอวิชชาที่เหนือการควบคุม แบบเดียวกับที่ดารกาได้สำแดงฤทธิ์เดชของอสูรสาวเที่ยวไล่เข่นฆ่าใครต่อใครในท้องเรื่อง แต่กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ทั้งคุณยายทาฮิร่าและหลานแนนนี่กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า ความรู้ด้าน “มืด” ของแม่มดที่หากมีคุณธรรมพ่วงเข้ามา ก็สามารถกลายเป็นความรู้ที่สร้างสรรค์และกอบกู้โลกมนุษย์จากอสูรร้ายได้เช่นกัน จะเป็นความรู้ในระบบหรือนอกระบบ หรือจะเป็นความรู้แบบศาสนาดั้งเดิม แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หรือแบบคุณยายแม่มดทาฮิร่า ความรู้เหล่านี้จะเปล่งรัศมีได้ก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้ใช้มากกว่า หากเป็นพวกอวิชชามหานิยมแล้วล่ะก็ จับใส่ “ตะเกียงแก้ว” ขังไว้ ก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านจนปั่นป่วนทั้งบ้านทั้งเมืองนั่นแล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 รอยมาร : เพราะมารมี บารมีจึงเกิด

  นั่งปั่นต้นฉบับฉลาดซื้อเล่มนี้ด้วยใจระทึกยิ่ง เพราะ “มวลน้ำมหาศาล” กำลังรุกคืบคลานเข้ามาสู่ชั้นในของพระนครหลวง มวลน้ำที่ท่วมบ่าเข้ามามากมายทุกทิศทุกทางเช่นนี้ ไม่เพียงแต่นำพาความเสียหายมาสู่บ้านเรือนเรือกสวนไร่นาเป็นวงกว้างใหญ่เท่านั้น แต่ยังซัดพาเอาความฝันและความมั่นใจของคนในสยามประเทศให้ดิ่งลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้มวลน้ำจะเป็นวิกฤติใหญ่ที่คนไทยทั้งประเทศต้องฝ่าไปด้วยกัน แต่ว่ากันว่าทุกครั้งที่ “มาร” มี “บารมี” หรือความเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตก็จะอุบัติขึ้นตาม เฉกเช่นเดียวกับน้องบู้บี้ หรือคุณหนูบี สไบนาง แห่งละครเรื่อง “รอยมาร” ที่เพิ่งจะเข้าใจสัจธรรมชีวิตของเธอได้ ก็ต้องภายหลังจากที่ “มวลน้ำ” แห่งปัญหาได้กลายเป็น “มาร” เข้ามาถาโถมชีวิตและดับความฝันในเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเดียว ไม่มีตัวละครคนไหนใน “รอยมาร” ที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาแต่อย่างใด เริ่มต้นจากนายมาร์คหน้าหนวดหรืออุปมา หนุ่มลูกครึ่งไทย-อาหรับที่เพราะความผิดหวังในรักครั้งแรกกับวิมาดา ทำให้เขาฝังจมอยู่กับอดีต และบอกกับตัวเองตลอดมาว่า ในชีวิตนี้คงจะไม่สามารถมีรักครั้งใหม่ได้อีกแล้ว หรือเมธาวี พี่สาวของสไบนาง ที่ด้านหนึ่งก็เป็นคนทะเยอทะยานต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิต แต่เพราะเธอถูกชันษาลักพาตัวไปในคืนก่อนเข้าพิธีวิวาห์ ความหวังและความดิ้นรนทะยานอยากของเธอก็เป็นอันต้องดับล่มสลายไป แต่ที่ดูจะบอบช้ำระกำใจมากที่สุดยิ่งกว่าน้ำหลากเข้าถาโถม ก็เห็นจะเป็นน้องบู้บี้นางเอกของเรื่อง ที่เพราะพี่สาวหายตัวไปก่อนวันแต่งงาน เธอจึงถูกจับมัดมือชกเข้าพิธีกับนายมาร์คแทน ทั้งๆ ที่เธอกับเขาก็พ่อแง่แม่งอน เป็นขมิ้นที่เจอกับปูนกันตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน ด้วยเหตุอันเกิดมาแต่เพียงปัญหาของคนรุ่นก่อน ไล่ตั้งแต่ความเจ้าคิดเจ้าแค้นของคุณลุงบารมี ความละโมบโลภมากและเล่นพนันจนหมดเนื้อหมดตัวของคุณลุงประมุข รวมไปถึงความต้องการรักษาชื่อเสียงเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูลของคุณหญิงย่ารุจา สถานการณ์ในชีวิตของน้องบู้บี้จึงต้องผกผันหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เธอวาดฝันอยากเรียนต่อต่างประเทศและกลับมาทำงานที่ใจรัก ก็ต้องมาแบกรับปัญหาที่ผู้หลักผู้ใหญ่ผูกบ่วงพันธนาการให้เธอต้องมาเข้าพิธีสมรสกับคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้าเขาเอาเสียเลย ก็เหมือนกับประโยคที่น้องบู้บี้ได้พูดตัดพ้ออย่างแสบสันต์กับคุณหญิงรุจาผู้เป็นย่าว่า “…ก็เพราะสังคมของเรามีชื่อเสียงเกียรติยศที่ต้องรักษา แล้วอนาคตของบีล่ะ ใครเคยเห็นบ้าง เคยห่วงบีบ้าง ทุกคนคิดเอาแต่ได้ ค่าอนาคตค่าความฝันของบี ใครหน้าไหนจะมาชดใช้ให้บีคะ...ความหวังความฝันของบี บีสร้างมาเองคนเดียว แต่วันนี้หลายคนช่วยกันทำลายมันจนหมดสิ้น...” ด้วยเหตุฉะนี้ ไม่ว่าจะด้วยความโกรธแค้น ความโลภ หรือชื่อเสียงเกียรติยศของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่รอบตัว จึงไม่ต่างไปจากการผันมวลน้ำแห่งปัญหาให้ออกจากหน้าบ้านของตนเอง และโถมใส่ชีวิตคนที่มีอำนาจน้อยอย่างน้องบู้บี้ และดับสลายความฝันของเธอให้จมอยู่นอกคันกั้นน้ำนั่นเอง แต่ที่น่าแปลกก็คือ ยิ่งบรรดาผู้ใหญ่เพียรสร้าง “รอยมาร” ให้กับชีวิตของน้องบู้บี้มากเท่าไร ก็ไม่ได้ช่วยแก้คลายปมปัญหาที่ค้างคาใจของพวกเขาเหล่านั้นได้เลย เริ่มตั้งแต่ลุงบารมีที่เต็มไปด้วยความแค้น แต่หลังจากดับฝันหลานสาวไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ลดบรรเทาความแค้นลงแต่อย่างใด และก็ยังจงใจวางแผนกลั่นแกล้งประมุขจนสิ้นเนื้อประดาตัว และตรอมใจตายในที่สุด เช่นเดียวกับลุงประมุขเอง ก็ไม่ได้ยุติความโลภของตน และยังพยายามใช้ปมประเด็นเรื่องชาติกำเนิดของน้องบู้บี้มาเป็นแต้มต่อรองผลประโยชน์ของตนอยู่ตลอดเวลา อาจจะมีก็แต่คุณหญิงรุจา ที่มโนธรรมบางส่วนของเธอ ทำให้สำเหนียกขึ้นได้ว่า เรื่องชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลกับความสุขและความฝันของหลานสาวนั้น เอามาวัดเทียบค่ากันแทบไม่ได้เลย แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่สายเกินไปแล้วก็ตาม และสำหรับน้องบู้บี้แล้ว แม้ชีวิตและความฝันของเธอจะถูกสลักตรึงด้วยรอยแห่งมาร แต่ก็อย่างที่คำพระท่านว่าเอาไว้ “ถ้ามารไม่มี บารมีก็ย่อมไม่บังเกิด” เพราะฉะนั้น หลังจากสวมวิญญาณแบบปางผจญมารที่มาจากรอบทิศ บวกกับมารผจญจากพี่สาวต่างมารดาอย่างเมธาวี และวิมาดาอดีตคนรักเก่าของมาร์ค น้องบู้บี้ก็เริ่มจะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ว่า ความฝันอาจไม่ได้สวยงามหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แม้เธออาจจะไม่ได้ไปเรียนต่อจนจบการศึกษาแบบที่วาดฝันไว้ แต่น้องบู้บี้ก็พบว่า ถ้าเธอรักใครสักคนอย่างนายมาร์คหน้าหนวด ก็จงเลือกใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาไปเถิด ทั้งนี้เพราะตัวเลือกในชีวิตของคนที่มี “อำนาจน้อย” แถมยังต้องอยู่ท่ามกลางความแก่งแย่งชิงชังหรือสนใจแต่เกียรติยศที่ค้ำคออยู่นั้น เป็นตัวเลือกที่มีอยู่ไม่มากเท่าใดนัก ดูละครเรื่อง “รอยมาร” จบลง เราก็คงเห็นสัจธรรมแบบน้องบู้บี้ขึ้นมาเหมือนกันว่า วิกฤติมวลน้ำหรือปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมมากมายในสังคมไทยแบบระลอกแล้วระลอกเล่านั้น คงไม่ใช่มวลปัญหาที่เกิดมาแต่คนแบบน้องบู้บี้ที่มี “อำนาจน้อย” แต่อย่างใด แต่วิกฤติปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดมาจากคนไม่กี่คนที่เป็นบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่แบบคุณลุงบารมีหรือคุณลุงประมุข ที่มักคิดคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองก่อน โดย “ไม่สนใจค่าอนาคตหรือค่าความฝันของคนอื่น” แต่ทว่าเคราะห์กรรมที่สืบเนื่องมาจากลุงๆ ป้าๆ เหล่านี้ ก็มักจะส่งผลต่อคนจำนวนมากที่น้ำไม่เพียงท่วมบ้านเรือนเรือกสวนไร่นาเท่านั้น หากแต่น้ำยังท่วมปากพวกเขาอีก ผมเริ่มจะสงสัยเหมือนกันว่า หลังจากน้ำลดแล้วตอต่างๆ เริ่มผุดออกมาให้เห็น คนไทยจะสนใจกลับไปสาวหาสาเหตุแห่งปัญหาเพื่อหาทางป้องกัน หรือเราจะยอมปล่อยให้ปัญหาค้างคากันอยู่ต่อไป ถ้าเป็นแบบหลังนี้ สงสัยว่าเราจะต้องเตรียมถุงบิ๊กแบ๊ก ถุงยังชีพ หรือปั้นอีเอ็มบอลอีกจำนวนมหาศาล เพื่อเตรียมฝ่าวิกฤติครั้งหน้าไปด้วยกันอีก มวลน้ำคงมีวันผ่านพ้นไปแน่ แต่บารมีจะเกิดในใจคนไทยแบบน้องบู้บี้กันบ้างมั้ยหนอ???

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 รอยไหม : ทั้งรักทั้งแค้นแน่นผืนผ้า

  เมื่อหลายปีก่อน ฮอลลีวู้ดเคยสร้างภาพยนตร์เล็ก ๆ เรื่องหนึ่ง แต่เนื้อหาดูน่าสนใจมากทีเดียว ในชื่อเรื่อง “How to Make an American Quilt” เหตุผลที่ผมว่าเนื้อหาของหนังเรื่องนี้น่าสนใจ ก็เป็นเพราะว่าหนังพูดถึงชีวิตของผู้หญิงหกคนที่มาร่วมกันถักทอและตัดเย็บลวดลายต่างๆ ลงบนผืนผ้านวมหรือที่เรียกว่า “quilt” ในภาษาอังกฤษ แต่ที่สำคัญ เธอเหล่านั้นไม่ใช่ทอแค่ผืนผ้าที่มาใช้ห่มร่างกาย หากแต่ยังใช้ลวดลายบนผืนผ้าเป็นสัญลักษณ์สะท้อนชีวิตและความทรงจำต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตของตนลงไปด้วย เมื่อเราย้อนกลับมาดูในจอโทรทัศน์ของไทยกันบ้าง ผ้านวมที่ใช้กันในสังคมเมืองหนาวนั้นอาจจะดูไม่ใช่วัฒนธรรมการตัดเย็บแบบไทยๆ หรือไม่เหมาะจะเป็นสัญลักษณ์สะท้อนชีวิตผู้หญิงไทยเท่าใดนัก บ้านเราเป็นเมืองร้อน ดังนั้น หากผู้หญิงสักคนจะเลือกสัญลักษณ์มาถักทอชีวิตและความทรงจำของตนเองแล้ว ก็คงต้องทำผ่านลวดลายที่อยู่บนผืนผ้าไหมที่ทอผ่านกี่และฟืมพื้นบ้านกันแทน แบบเดียวกับที่เราได้เห็นได้สัมผัสผ่านละครโทรทัศน์เรื่อง “รอยไหม” นั่นเอง เพื่อนของผมหลายคนมาคุยให้ฟังว่า ถ้าพูดถึงละครเรื่อง “รอยไหม” แล้ว สิ่งแรกๆ ที่จะนึกถึงกันก่อนเลย ก็เห็นจะเป็นตัวละครอย่างผีนังเม้ย ที่ดูน่าเกลียด น่ากลัว และชวนขนหัวลุกทุกครั้งที่เธอขยับกายมาปรากฏตัวที่หน้าจอ ผู้ชมหลายคนดูจะลุ้นระทึกทุกครั้งที่ผีนังเม้ยออกมาอาละวาด จนถึงขนาดมีผู้ชมหลายคนมารวมตัวกับบนสื่อออนไลน์ร่วมสมัครเป็นแฟนคลับผีนังเม้ยกันเป็นวงกว้าง แต่ทว่า นอกจากผีนังเม้ยที่เป็นจุดขายของละครแล้ว การสร้างตัวละครทุกตัวที่อู้คำเมืองกันชนิดไม่เกรงใจหูคนดูที่อยู่ในภาคอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาคเหนือ กับการสร้างให้ตัวละครหลักสองคนในเรื่องถักทอชีวิตและความทรงจำของตนลงบนผืนผ้าไหม(แบบเดียวกับที่ผู้หญิงอเมริกันทอผืนผ้านวมห่มกาย) นั้น ก็เป็นเสน่ห์และความโดดเด่นของละคร “รอยไหม” ด้วยเช่นกัน เริ่มต้นจากผู้หญิงอย่างเรริน อาจารย์สาขาผ้าทอในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ในอดีตชาติของเธอคือเจ้านางมณีรินผู้มีความสามารถด้านการทอผ้า และกลับมาเกิดในปางภพปัจจุบันเป็นผู้ที่รักในงานศิลป์ภูษาผ้าทอเป็นชีวิตจิตใจ กับผู้หญิงอีกนางหนึ่งคือนางร้ายอย่างหม่อมบัวเงิน ที่แม้จะมีความสามารถด้านการทอผ้าไม่ยิ่งหย่อนพ่ายแพ้มณีริน แต่ด้วยพิษรักแรงหึงและความอิจฉาริษยา เธอก็เลยสั่งสมความแค้นมายังเรรินที่กลับมาเกิดในชาติภพปัจจุบัน ชีวิตของผู้หญิงสองคนที่ควั่นเกลียวเข้ามาเกี่ยวสัมพันธ์บนกี่ทอผ้าและลายเส้นบนรอยผืนไหม แถมยังสะท้อนลวดลายความขัดแย้งในชีวิตของเธอทั้งสองคนนั้น ดูจะมาจากเงื่อนเหตุปัจจัยที่แตกต่างกันสองด้าน แต่ทว่า เหตุปัจจัยดังกล่าวนั้นก็เป็นพันธนาการที่ร้อยรัดผืนผ้าชีวิตของผู้หญิงทั้งสอง หรือแม้แต่กักขังผู้หญิงอีกหลายๆ คนในชีวิตจริงเอาไว้ไม่แพ้กัน แล้วเหตุปัจจัยอันใดเล่าที่รัดร้อยผู้หญิงเอาไว้บนเส้นรอยไหม? นักจิตวิเคราะห์ชื่อก้องโลกอย่างคุณปู่ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า ปมปัญหาที่ผูกมัดอารมณ์ความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์เราเอาไว้ ก็คือสองด้านของสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” กับ “ความแค้น” หรือแบบที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า ปมแบบทั้ง “รัก” ทั้ง “แค้น” แน่นอุรา ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นกรงขังชะตากรรมชีวิตของผู้หญิงจำนวนมากเอาไว้ด้วยเช่นกัน เรริน หรือที่ชาติก่อนก็คือเจ้านางมณีริน เธอก็คือตัวแทนของผู้หญิงที่ถูกฝังตรึงไว้ด้วย “ความรัก” ที่ข้ามภพข้ามชาติมากับเจ้าศิริวงศ์ชายคนรัก แม้ความตายจะพลัดพรากทั้งคู่จากกันในอดีตปางบรรพ์ แต่เพราะจิตปฏิพัทธ์รักผูกพัน เธอจึงเกิดมาพบกับเขาในภพชาติใหม่ เพื่อสานต่อทอผืนผ้าไหมที่ชาติก่อนเคยทอค้างไว้จนขาดใจตายคากี่ทอผ้า เพราะฉะนั้น ในขณะที่ความรักอาจมีด้านที่สวยสดงดงาม แบบที่ศิริวงศ์และมณีรินเคยดีดครวญพิณเปี๊ยะร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความรักก็เป็นประหนึ่งกรงขังที่ผู้หญิงอย่างเรรินถูกตรึงเอาไว้เบื้องหลังรอยไหมที่ซ่อนซุกอยู่ในผืนผ้าแห่งชีวิต และหากใครก็ตามที่ไม่เห็นคุณค่าในความรักของเธอ เรรินก็พร้อมจะตัดสะบั้นความสัมพันธ์กับเขา แบบที่เธอเองก็ได้ตัดเยื่อใยกับธนินทร์ คู่หมั้นหนุ่มนักโฆษณาที่เห็นคุณค่าของผ้าทอเป็นเพียงสินค้าทางการตลาดที่ผลิตขึ้นมาก็ต้องขายทำโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมออกไป ในทางกลับกัน สำหรับผู้หญิงอย่างบัวเงินอดีตหม่อมของเจ้าศิริวัฒนา เธอก็คือตัวละครสัญลักษณ์แทนผู้หญิงที่ถูกขังไว้ด้วย “ความแค้น” ที่ตรึงแน่นอยู่ในอก ยิ่งเมื่อเธอได้รู้ว่ามณีรินถูกหมั้นหมายให้มาเป็นชายาของเจ้าศิริวัฒนาชายคนรักด้วยแล้ว บัวเงินก็ยิ่งบ่มเพาะความเคียดแค้น ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ดำคาถาใดๆ เธอก็ใช้วิธีการเลี้ยงผีของนังเม้ยสาวใช้มาหลอกหลอนเจ้านางมณีรินศัตรูหัวใจในทุกๆ ชาติภพ และยิ่งเมื่อมิจฉาทิฐิเข้าบดบังตา บัวเงินก็ทำได้ถึงขนาดวางยาพิษเจ้าหลวง หรือประหัตประหารทุกคนที่ขวางทางเป็นอุปสรรคความรักของเธอ ดังนั้น แม้แต่ผืนผ้าไหมที่ใช้ห่มพระธาตุเพื่อบูชาพระศาสนา บัวเงินจึงมิได้ทอขึ้นมาเพื่อเป้าหมายแห่งพุทธบูชา หากแต่ทำเพื่อเอาชนะเจ้านางมณีรินในทุกวิถีทาง ทั้ง “ความรัก” และ “ความแค้น” จึงมิใช่อื่นใด หรือไม่ต่างอันใดจากสองสิ่งที่สลักขังฝังตรึงชีวิตของผู้หญิงเอาไว้บนริ้วรอยผืนผ้าไหม ขึ้นอยู่กับว่าสตรีแต่นางเหล่านั้นจะเลือกเอา “รัก” หรือ “แค้น” มาถักทอเป็นชีวิตของพวกเธอทั้งในชาติภพอดีตและในชาติปางปัจจุบัน ก็เหมือนกับฉากเปิดเรื่องละคร “รอยไหม” นั่นเอง ที่ฉายภาพมือของผู้หญิงที่สอดกระสวยใส่เส้นไหมเพื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าอันงดงาม แต่จะมีใครบ้างหรือไม่ที่จะตั้งคำถามว่า บนผ้าไหมลายวิจิตรจากกี่ทอ จะมีรอย “ความรัก” หรือ “ความชัง” ที่หลบหลืบอยู่เป็นฉากหลังเส้นใยชีวิตของผู้หญิงแต่ละคน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 162 กระแสต่างแดน

เจ้าสาวเซลฟี่ โซเชียลมีเดียอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีจำนวนคนศัลยกรรมเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ที่ออสเตรเลีย เทรนด์ฮิตในหมู่สาวๆ ออสซี่ ที่กำลังเตรียมตัวสละโสด ณ วันนี้ คือการถ่ายรูปมือที่สวมแหวนแต่งงานลงมา “แบ่งปัน” ออนไลน์ ให้เพื่อนๆ ได้ร่วมแสดงความชื่นชมยินดี ก็ไม่มีอะไรมาก ... เพื่อให้ “มือ” ของพวกเธอในรูปดูสวยที่สุด ว่าที่เจ้าสาวเหล่านี้จึงพากันไปทำศัลยกรรมมือ ด้วยการฉีดสารฟิลเลอร์เพิ่มความเต่งตึง ให้รอยเส้นเลือดที่ปูดโปนหรือรอยแดงบริเวณหลังมือดูลดลง คุณหมอศัลยกรรมท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าช่วงนี้มีคนไข้ถ่ายรูปมือตัวเองมาให้ดูมากขึ้น เพื่อที่จะอธิบายกับหมอว่ามันไม่สวยอย่างไร และอยากให้ซ่อมตรงไหนบ้างโดยละเอียด กระบวนการทำให้สมบูรณ์แบบเพื่อถ่ายรูปนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แต่มันอาจส่งผลต่อจิตใจของเรานานกว่าที่คิด ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปรียบเทียบร่างกายตัวเองกับรูปถ่ายนั้นมันสามารถทำให้คนเราจิตตกได้ และผลการสำรวจเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ระบุว่าผู้หญิงออสซี่ส่วนใหญ่ผิดหวังจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม เพราะคาดหวังสูงเกินไป   ค่าเทอมแพงแห่งแดนกิมจิ ช่วงเปิดเทอมที่เกาหลี ถือเป็นช่วงปวดใจของบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัย เพราะค่าเล่าเรียนที่นั่นจัดว่าไม่ธรรมดา แพงเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เลยทีเดียว แม้รัฐบาลจะจัดเงินกู้เพื่อการศึกษาให้ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องหาเพิ่ม ช่วงปิดเทอมจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการตั้งหน้าตั้งตาหาเงินมาจ่ายค่าเทอม ที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายนนั่นเอง ข่าวบอกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนที่จบมัธยมจะสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และนักศึกษามหาวิทยาลัย 7 ใน 10 คน จะกู้เงินเรียน มูลหนี้เฉลี่ยอยู่ที่คนละประมาณ 13,900 เหรียญ(ประมาณ 444,000 บาท) และพวกเขาจะใช้เวลาประมาณ 4 ปีในการจ่ายเงินคืน โดยนักศึกษาเกือบครึ่งระบุว่ายินดีทำงานอะไรก็ได้หลังเรียนจบเพื่อหาเงินมาให้หนี้ให้หมดโดยเร็ว เหตุที่ค่าเล่าเรียนแพงก็เพราะการลงทุนส่วนใหญ่เป็นของทางมหาวิทยาลัยเอง เนื่องจากประเทศเกาหลีจัดสรรงบประมาณเพียงร้อยละ 2.6 ของดัชนีมวลรวมให้กับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา แม้รัฐบาลจะพยายามจำกัดการขึ้นค่าเล่าเรียน แต่ก็แทบไม่ได้ผลอะไร ปีที่แล้วนักศึกษาที่นั่นยังคงจ่ายค่าเล่าเรียนคนละประมาณ 208,500 บาทต่อหนึ่งภาคเรียน ภาระนี้ยิ่งใหญ่มิใช่น้อย กระทรวงศึกษาธิการก็ยืนยันว่า สาเหตุอันดับหนึ่งของการฆ่าตัวตายในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยคือเรื่องค่าเล่าเรียนนั่นเอง   เครื่องดื่มสร้างชาติ หลายคนรู้แล้วว่าอิตาลีคือต้นตำรับเอสเปรสโซ่ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่านอร์เวย์นั้นมีเครื่องดื่ม “ประจำชาติ” เป็นกาแฟดำร้อนๆ เหมือนกัน นอร์เวย์มีอัตราการบริโภคกาแฟเป็นอันดับ 3 ของโลก ปีละเกือบ 10 กิโลกรัมต่อคน(อันดับ 1 คือฟินแลนด์ ที่ 12 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกอยู่ที่คนละ 1.3 กิโลกรัมต่อปี) ที่นี่เขานิยมดื่มเป็นกาแฟดำร้อนๆ เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มประจำบ้าน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มต้นมาอย่างไร ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจคือกาแฟนั้นเข้ามาแทนที่อัลกอฮอล์ ในช่วงที่มีการห้ามดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ระหว่างปี 1916 ถึง 1927 อัลฟ์ เครเมอร์ ประธานสมาคมกาแฟแห่งยุโรป ให้ข้อมูลว่าในช่วงเวลาดังกล่าวผู้คนติดเหล้ากันงอมแงม รัฐบาลจึงประกาศห้ามการต้มเหล้าเด็ดขาด แล้วก็ตัดสินใจว่าจะต้องหาเครื่องดื่มอย่างอื่นมาทดแทน กาแฟดูเหมือนจะเป็นทางออก ในยุคนั้นถ้าใครเข้าโบสถ์ก็จะต้องได้รับการชักจูงจากบาทหลวงให้เลิกเหล้าแล้วหันมาดื่มกาแฟ เครื่องดื่มชนิดใหม่นี้จึงกลายเป็นเครื่องดื่มสามัญประจำบ้านของคนนอร์เวย์ตั้งแต่นั้นมา แต่เดี๋ยวก่อน ถึงแม้นอร์เวย์จะจริงจังกับการดื่มกาแฟ ประเทศนี้กลับไม่มีร้านกาแฟใหญ่ๆ ระดับนานาชาติมากมายเหมือนบ้านเรา เพราะที่นั่นค่าแรงสูงและกฎหมายการจ้างงานค่อนข้างเข้มงวด ทำให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาทำธุรกิจได้ยาก   รายงานความหิว รายงานเรื่อง Hunger in America 2014 อาจทำให้เราได้รู้อีกแง่มุมหนึ่งของอเมริกันชน Feeding America ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารกับผู้มีรายได้น้อย ได้ทำการสำรวจดังกล่าวทุกๆ 4 ปี เพื่อรวบรวมปัญหาต่างๆ ของครัวเรือนที่ขอรับความช่วยเหลือจากธนาคารอาหารซึ่งเป็นตัวกลางในการรับบริจาคผัก ผลไม้สด จากเกษตรกรแล้วนำมาแจกจ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อย ปัจจุบัน เครือข่าย Feeding America มีผู้คนที่อยู่ในความดูแลประมาณ 5.1 ล้านคน ปีนี้เขาพบว่า ร้อยละ 20 ของครัวเรือนอเมริกันที่อยู่ในโครงการจะมีสมาชิกอย่างน้อย 1 คนที่เป็นทหารผ่านศึก และมีอย่างน้อยร้อยละ 4 ที่สมาชิกในครอบครัวเป็นทหารที่ยังประจำการอยู่ด้วย กว่าร้อยละ 50 ของคนที่มาร่วมโครงการ มีสมาชิกในครอบครัวที่ทำงานเต็มเวลา ภาพผู้คนที่มาต่อคิวรับอาหารทั้งที่ยังอยู่ในชุดฟอร์มทำงานก็มีให้เห็นบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าร้อยละ 32 ของครอบครัวเหล่านี้ มีสมาชิกที่เป็นโรคเบาหวาน ในขณะที่ร้อยละ 57 มีสมาชิกที่มีความดันเลือดสูงด้วย ในภาพรวมแล้วปีนี้ กว่าร้อยละ 15 ของผู้คนในโครงการ มีปัญหาด้านอาหารและสุขภาพ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น เขาพบว่า 3 ใน 4 ของครอบครัวที่เข้ารับความช่วยเหลือจากธนาคารอาหาร เปลี่ยนมาซื้ออาหารที่ราคาถูกลงและมีคุณค่าทางโภชนาการลดลง เพราะมีเงินไม่พอซื้ออาหารที่ดีกว่านั้นมารับประทานได้   ใครๆ ก็กินได้ เทศกาลไหว้พระจันทร์เวียนมาอีกครั้ง เรามาติดตามนโยบายรัดเข็มขัดสกัดคอรัปชั่นประเทศจีนกันหน่อย นอกจากจะลดการติดสินบนกับข้าราชการแล้ว นโยบายนี้ยังมีผลพลอยได้ที่ทำให้คนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าถึงของดีราคาถูกด้วย ฤดูการไหว้พระจันทร์ปีนี้จะมีขนมไหว้พระจันทร์ที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมด้วย ปีนี้อุตสาหกรรมอาหารของจีน ซึ่งพบกับยอดขายลดฮวบหลังนโยบายส่งเสริมการประหยัดของรัฐบาล ก็หันมาตั้งเป้าหมายใหม่ที่ตลาดระดับกลางแทน เพื่อให้มีลูกค้ามากขึ้น คราวนี้เขาจึงพากันทำออกมาให้เลือกมากขึ้น บางเจ้ามีให้เลือกถึง 42 ไส้ และที่สำคัญจุดขายคราวนี้คือขนมที่ดีต่อสุขภาพ น้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ ยังไม่นับสูตรสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือสูตรที่ทานแล้วรำลึกอดีต ผู้ประกอบการบอกว่านี่เป็นปรากฏการณ์พิเศษ ทั้งๆ ที่ราคาวัตถุดิบและค่าแรงสูงขึ้น แต่ราคาขายปลีกนั้นกลับต่ำลง เขาจึงเลยมั่นใจว่าปีนี้จะต้องขายดีแน่นอน เพราะไม่ว่าจะต้องประหยัดแค่ไหน แต่ธรรมเนียมก็ยังคงต้องเป็นเช่นเดิม แถมยังเป็นของดี ราคาถูกอีกด้วย ลืมบอกไปว่า สนนราคาของขนมไหว้พระจันทร์ในร้านใหญ่ๆ ที่เมืองจีนปีนี้ อยู่ที่กล่องละ 199 – 399 หยวน (ประมาณ 1,000 – 2,000 บาท) บางเจ้าจัดให้ถึง 8 ชิ้นต่อกล่องด้วย

อ่านเพิ่มเติม >