ฉบับที่ 188 กระแสต่างแดน

Shonky 2016ได้เวลาประกาศผลรางวัลผลิตภัณฑ์/บริการยอดแย่ประจำปี 2016 โดย CHOICE นิตยสารผู้บริโภคของออสเตรเลียกันแล้ว มาดูกันว่ามีใครติดบัญชีดำบ้าง• นม Camel Milk Victoria ติดโผเพราะคำกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง(และผิดกฎหมาย) คนออสซี่กัดฟันซื้อนมยี่ห้อนี้ในราคาลิตรละ 21 เหรียญ(ประมาณ 560 บาท) เพราะเป็นนมที่เชฟชื่อดังและรายการ Master Chef แนะนำ ... ใครจะไม่อยากจ่ายเพิ่มให้กับนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่านมชนิดอื่นๆ ดื่มแล้วระบบภูมิคุ้มกันจะแข็งแรงขึ้น และยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบาหวาน วัณโรค ฯลฯ• มันฝรั่งทอดพริงเกิลส์ Pringles ที่ “ลดราคา” ลงเมื่อเดือนมิถุนายน แต่ CHOICE พบว่าความจริงแล้วน้าหนวดเขาขึ้นราคาจากเดิมร้อยละ 9 ด้วยวิธีลดขนาดกระป๋องและขนาดชิ้นมันฝรั่งลง แต่ก็ชดเชยด้วยการเพิ่มปริมาณไขมันอิ่มตัวให้ถึงร้อยละ 60 เชียวนะ น้าหนวดบอกว่าไม่ได้ขึ้นราคามา 4 ปีแล้ว ... แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคของขนมขบเคี้ยวและขนมหวานเขาเพิ่มขึ้นแค่ร้อยละ 1.3 เองนะคุณน้า• เครื่องดื่มไมโล ที่ประทับตราความเป็นมิตรต่อสุขภาพ (Healthy Star Rating) ไว้ที่ 4.5 ดาวโดยใช้การคำนวณแบบสุดล้ำในสามโลก ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบร้อยละ 46 ได้คะแนนดีขนาดนั้นได้อย่างไร เนสเล่เขาคำนวณจากการชงไมโลด้วยนมพร่องมันเนยยังไงล่ะ ความจริงแล้วมีเพียงร้อยละ 13 ของผู้บริโภคออสซี่ที่ใช้นมพร่องมันเนยชงไมโล ร้อยละ 55 นิยมชงกับนมสดธรรมดา ซึ่งเครื่องดื่มที่เตรียมแบบนี้จะได้เรตแค่ 2.5 ดาวเท่านั้น• Samsung Note 7 ... ซึ่งทุกท่านคงทราบว่าบริษัทได้ประกาศหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวลงตลาดออสเตรเลียไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50,000 เครื่อง ปีที่แล้วซัมซุงก็ประกาศเรียกคืนเครื่องซักผ้าฝาบนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ไปกว่า 144,000 เครื่องด้วยเช่นกัน หลังจากพยายามปกปิดปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นหลายครั้ง• บัตรเครดิต American Express โฆษณาว่าไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ CHOICE ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ร้านค้าจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทบัตรเครดิตเสมอ และ Amex ก็เป็นเจ้าที่คิดค่าธรรมเนียมสูงกว่า Master หรือ VISA ถึงสองเท่าด้วย ถ้าร้านไม่สามารถเรียกเก็บจากผู้ซื้อได้เขาก็อาจจะเพิ่มราคาสินค้าในร้าน คราวนี้ก็ซื้อของแพงขึ้นกันหมดทั้งลูกค้าที่จ่ายเงินสดและที่ใช้บัตรเครดิตเจ้าอื่น• เว็บไซต์ www.commoncents.com.au ของบริษัทรับจำนำ Cash Converters ที่ให้คำปรึกษาเรื่องการเงินและการออม ได้รางวัลนักบุญจอมปลอมจาก CHOICE ไปเลย เพราะนอกจาก “คำแนะนำดีๆ เรื่องการใช้เงิน” แล้วคุณยังจะได้เป็นลูกหนี้ของ Cash Converters ด้วยค่าแรกเข้าร้อยละ 20 บวกค่าธรรมเนียมร้อยละ 4 ต่อเดือน เอาเป็นว่าถ้ากู้เขามา 2,000 เหรียญ เป็นเวลา 1 ปี คุณต้องจ่ายคืนถึง 3,360 เหรียญ เท่ากับคุณจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 68 … คุณพระ!• อากาศอัดกระป๋อง Green and Clean ที่เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องมลพิษในอากาศ อากาศบริสุทธิ์ในกระป๋องนี้ขายในราคาโหลละ 246 เหรียญ (ประมาณ 6,600 บาท) แต่เราต้องสูดอากาศที่ว่านี้มากแค่ไหน คนทั่วไปในขณะพักจะต้องการอากาศประมาณ 5 ถึง 8 ลิตร ต่อนาที แล้วอากาศอัดแค่หนึ่งกระป๋องจะช่วยอะไรได้ ... โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่หายใจวันละ 20,160 ครั้ง ลองคิดเล่นๆ หากหนึ่งกระป๋องใช้ได้ 255 ลมหายใจ (ตามโฆษณา) เราจะต้องใช้กี่กระป๋อง ... ผลลัพธ์อาจทำให้คุณหายใจไม่ออก• The Medical Weightloss Institute ขายฝัน เอ้ย! ขายโปรแกรมที่อ้างว่าช่วยให้ลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย “สถาบัน” นี้ใช้วิธีตรวจเลือดก่อนการรักษาด้วยฮอร์โมนและการควบคุมอาหาร และเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ลูกค้ารายหนึ่งลดน้ำหนักไป 2 กิโลกรัมในเดือนแรก เธอจ่ายไป 4,400 เหรียญ (โปรโมชั่นลด 50%) สำหรับยาที่ทานแล้วคลื่นไส้ การให้คำปรึกษาสัปดาห์ละครั้ง และเมนูอาหาร 2 หน้ากระดาษอีก รวมจ่ายไป 5,420 เหรียญสำหรับโปรแกรม 35 สัปดาห์ แต่เมื่อเธอขอพบแพทย์เพราะทานยาแล้วคลื่นไส้ สถาบันบอกให้เธอไปพบแพทย์ประจำของเธอเอง ... ใกล้ชิดจริงๆ• ผลิตภัณฑ์ Vanish Preen Powerpowder ประกาศตนว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะปฏิวัติการทำความสะอาดพรมด้วยความสามารถในการกำจัดคราบที่ดีขึ้นถึง 5 เท่า แต่การทดสอบของ CHOICE พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ราคาขวดละ 14.70 เหรียญ (395 บาท) กลับมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจากไวน์ น้ำมัน ดิน ซอส และกาแฟ น้อยกว่าน้ำเปล่าด้วยซ้ำ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 133 เครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์

  มีข่าวแว่วมาว่าราคาตั๋วชมภาพยนตร์ จะมีปรับขึ้นกันอีกครั้ง (จากครั้งก่อนที่เพิ่งจะปรับกันไปไม่นาน) คนที่ชอบความบันเทิงแนวนี้อาจจะกำลังมองหาทางเลือกใหม่ ฉลาดซื้อ จึงนำผลการทดสอบเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ทั้งหมด 14 รุ่น จาก 8 ยี่ห้อ ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ได้ทำไว้มาประกอบการพิจารณา เผื่อว่าสมาชิกของเราจะหันมาจัดฉายภาพยนตร์กันเองที่บ้าน นอกจากจะประหยัดกว่าแล้ว (ทำ) กินไปดูไป ก็ย่อมได้ ไม่ต้องเสียค่าเดินทางหรือค่าซื้อของขณะรอหนังฉายอีกด้วย เครื่องเล่นที่เรานำผลการทดสอบมาเสนอนี้มีราคาโดยประมาณตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท โชคยังเข้าข้างผู้บริโภคอย่างเราอยู่บ้าง เพราะเครื่องเล่นบลูเรย์ที่ได้คะแนนอันดับต้นๆในการทดสอบครั้งนี้ราคาอยู่ที่ไม่เกิน 8,000 บาท เราลองไปดูรายละเอียดว่าแต่ละรุ่นมีจุดเด่น/ด้อยด้านไหนบ้าง   Samsung BD-D5700คะแนนรวม     4.5ราคา 5,500 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   3.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   5 LG BD660คะแนนรวม     4.5ราคา 5,990 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   5   Samsung BD-D6700คะแนนรวม     4.5ราคา 5,990 บาท ภาพสวยคมชัด    4.5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   3.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  3ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   3.5 LG BD670คะแนนรวม     4.5ราคา 7,990 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4.5การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   3.5   OPPO BDP-93คะแนนรวม     4.5ราคา 19,900 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4.5การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   4การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   2    Panasonic DMP-BD75คะแนนรวม     4ราคา 4,990 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   5   Sony BDP-S380คะแนนรวม     4ราคา 4,990 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   5 Panasonic DMP- BDT110คะแนนรวม     4ราคา   7, 000 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  -ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   5     LG BD630 คะแนนรวม     4ราคา 12,000 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4.5การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   5   Denon DBP-1611UDคะแนนรวม     4ราคา 15,900 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   4.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   2.5    Marantz UD5005คะแนนรวม     4ราคา 19,900 บาท ภาพสวยคมชัด    5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   4การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   4การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  5ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   3   Pioneer BDP-430คะแนนรวม     3.5ราคา 13,990 บาท ภาพสวยคมชัด    4.5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   3.5การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  3.5การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  3ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   4.5    Pioneer BDP-LX54คะแนนรวม     3.5ราคา 19,990 บาท ภาพสวยคมชัด    4.5ระบบการทำงานเข้าใจง่าย   3.5การสั่งการผ่านตัวเครื่อง   2.5การสั่งการผ่าน รีโมทคอนโทรล  4การบันทึกไฟล์ในรูปแบบ AVCHD  3ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน   4     เครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ Samsung BD-D5700 LG BD660 Samsung BD-D6700 LG BD670 OPPO BDP-93 Panasonic DMP-BD75 Sony BDP-S380 Panasonic DMP-BDT110 LG BD630 Denon DBP-1611UD Marantz UD5005 Pioneer BDP-430 Pioneer BDP-LX54 ราคา 5,500 5,990 5,990 7,990 19,900 4,990 4,990 7,000 12,000 15,900 19,900 13,990 19,990 ระบบภาพ NTSC NTSC/PAL NTSC NTSC NTSC/PAL NTSC/PAL NTSC NTSC NTSC NTSC/PAL NTSC/PAL NTSC NTSC/PAL ความละเอียดสูงสุด 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p 1080p หน่วยความจำในตัวเครื่อง (GB) - - 1 - 2 - - - - 1 1 - - น้ำหนัก (กิโลกรัม) 1.65 3.5 1.85 1.75 4.76 1.43 1.54 1.42 1.59 4.2 4.39 2.5 3.3 เวลาในการโหลดแผ่น DVD (วินาที) 15 44 11 13 14 12 16 18 15 14 14 15 41 เวลาในการโหลดแผ่นบลูเรย์  ภาพยนตร์ เรื่อง Pirates of the Caribbean 15 17 15 17 18 13 19 13 17 18 20 31 29 พลังงานที่ใช้ขณะเปิดเครื่อง (วัตต์) 6.8 7.2 13.3 9.9 16.9 5.5 6.4 5.1 6.3 13.9 13.5 9.5 10.3 พลังงานที่ใช้ขณะเปิดเครื่องและเล่นแผ่นภาพยนตร์ 8.9 10.8 14.8 14.8 18.4 7.7 8.1 6.9 10.6 17.3 16.4 12.3 13.2 Feature ต่างๆ                           วิดีโอ สตรีมมิ่ง / / / / / / / / / / / / - ดูวิดีโอจาก YouTube / / / / - - / / / - - - - เปลี่ยน DVD ธรรมดา เป็น DVD1080p ได้ / / / / / / / / / / / / / มี screen saver ป้องกันจอทีวี PLASMA / / / / / / / / / / / - - ระบบ 3D-Ready - / / / / - - / - / / / / ฟังก์ชั่น Deep Color / - / - / / / / - / / / / ฟังก์ชั่น QuickStart - - - - - / / / - - - - - Dolby TrueHD / Dolby Digital Plus / / / / / / / / / / / / / DTS-HD Master Audio / / / / / / / / / / / / / DTS-HD High Resolution / - / - / / / / - / - / /

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 129 เครื่องเสียงฉบับพกพา

  ฉลาดซื้อฉบับนี้เรามีผลทดสอบเครื่องเสียงฉบับพกพา มาฝากสมาชิกให้ได้เตรียมตัวกันไว้ น้ำท่วมครั้งหน้า (ถ้าเรายังโชคดี ได้เจออีก) ผู้ประสบภัยฯ อย่างเราจะได้มีกิจกรรมไว้ชิล  หลังจากออกไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัย (มากกว่า) ในตอนกลางวันแล้ว ตกค่ำเราก็หามุมเงียบในศูนย์พักพิงฯ มานั่งฟังเพลงเพราะๆ ที่เราเลือกไว้เอง ดีกว่าเปิดโทรทัศน์ดูข่าวกึ่งดราม่าให้จิตตกโดยไม่จำเป็น ผลทดสอบเครื่องเล่น MP3 ครั้งนี้เราได้มาจากการทดสอบเปรียบเทียบ ที่องค์กรทดสอบสากล (International Consumer Research & Testing) ทำไว้ คราวนี้เรามีมาให้ดูกัน 16 รุ่น 6 ยี่ห้อ ได้แก่   Samsung / Apple / Philips / Sony / Creative และ Sandisk ต้องบอกไว้ก่อนว่าทุกรุ่นได้คะแนนคุณภาพเสียงในระดับ 5 ดาวเท่ากันหมด เมื่อวัดจากการฟังผ่านหูฟังคุณภาพสูง แต่คะแนนที่เรานำเสนอเป็นคะแนนจากการฟังผ่านหูฟังที่ให้มาพร้อมกับเครื่อง ผลที่ได้จึงแตกต่างกัน คุณภาพเสียง ความอึดของแบตเตอรี่ ความสะดวกในการใช้งาน ความทนทาน ของแต่ละรุ่นจะเป็นอย่างไร ติดตามได้จากผลทดสอบในหน้าถัดไป *(ราคาที่แจ้งไว้เป็นราคาที่สำรวจในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2554  ก่อนตัดสินใจซื้อกรุณาตรวจสอบราคาอีกครั้ง)     Apple iPod Touch 8 GB    4.5ราคา 7,900 บาทคุณภาพเสียง   4แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    3ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      ไม่มี    Samsung Galaxy Player 5.0 YP-G70 4.5ราคา 7,900 บาทคุณภาพเสียง   3.5แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    2ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   5วิทยุ FM      4   Philips GoGear Ariaz 8 GB  4ราคา 3,390 บาทคุณภาพเสียง   4.5แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    3.5ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   3.5วิทยุ FM      3    Philips GoGear Muse 8 GB  4ราคา 5,990 บาทคุณภาพเสียง   4.5แบตเตอรี่    3ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    3ทนทาน     3.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      3.5      Apple iPod Nano 8 GB  4ราคา 5,400 บาทคุณภาพเสียง   4แบตเตอรี่    4ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    4.5ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   3.5วิทยุ FM      ไม่มี     Sony NWZ-E464   4ราคา 3,990 บาทคุณภาพเสียง   3แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    4ทนทาน     4 เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      3  Creative ZEN Touch2  3.5ราคา 6,990 บาทคุณภาพเสียง   3.5แบตเตอรี่    2ใช้งานง่าย    3.5พกพาสะดวก    2.5ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      ไม่มี  Sony NWZ-E454 8 GB  3.5ราคา 3,990 บาทคุณภาพเสียง   3แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    4ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      2.5    Sony NWZ-E354 8 GB  3.5ราคา 3,490 บาทคุณภาพเสียง   3 แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    4ทนทาน     3.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      3    Philips GoGear RaGa 4 GB  3.5ราคา 2,390 บาทคุณภาพเสียง   3แบตเตอรี่    4ใช้งานง่าย    3.5พกพาสะดวก    4ทนทาน     3.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   2.5วิทยุ FM      3   Apple iPod Shuffle 2 GB  3ราคา 2,200 บาทคุณภาพเสียง   4แบตเตอรี่    3ใช้งานง่าย    2พกพาสะดวก    5ทนทาน     3.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   2วิทยุ FM      ไม่มี   Sandisk Sans Fuze+ 8 GB  3ราคา 3,190 บาทคุณภาพเสียง   3 แบตเตอรี่    5ใช้งานง่าย    3พกพาสะดวก    4ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      2.5 Philips GoGear Vibe 8 GB    3ราคา 2,990 บาทคุณภาพเสียง   3แบตเตอรี่    4ใช้งานง่าย    4พกพาสะดวก    4ทนทาน     4.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   3.5วิทยุ FM      2   Philips GoGear Cam 8 GB  3ราคา 4,990 บาทคุณภาพเสียง   3แบตเตอรี่    2ใช้งานง่าย    3.5พกพาสะดวก    3.5ทนทาน     3.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   3.5วิทยุ FM      3.5     Creative ZEN Style M100  3ราคา 1,690 บาทคุณภาพเสียง   2แบตเตอรี่    4ใช้งานง่าย    3พกพาสะดวก    4ทนทาน      5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   3.5วิทยุ FM      ไม่มี     Creative Zen X-Fi Style 8 GB 3ราคา 4,490 บาทคุณภาพเสียง   2แบตเตอรี่    3.5ใช้งานง่าย    3.5พกพาสะดวก    4ทนทาน     3.5เล่นไฟล์ได้หลากหลาย   4วิทยุ FM      3.5

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 123 เครื่องเล่นบลูเรย์ ดิสก์

  เมื่อเทคโนโลยีใหม่ทำให้เราสามารถดูหนังแผ่นที่ภาพชัดแจ๋ว เสียงทั้งใสกริ๊กทั้งกระหึ่มได้ด้วยแผ่นบลูเรย์ดิสก์ที่เริ่มมีออกมาจำหน่ายมากขึ้น (แม้จะในราคาที่ยังแพงอยู่บ้าง) อาจจะมีสมาชิกของเราอยากลงทุนเปลี่ยนห้องนั่งเล่นที่บ้านเป็นโรงภาพยนตร์ย่อมๆเอาไว้ดูกันทั้งครอบครัว เป็นทางเลือกในยุคตั๋วหนังแพง อาหารแพง และน้ำมันแพงกันบ้าง ฉลาดซื้อ ฉบับนี้เลยขอนำเสนอผลทดสอบเครื่องเล่นบลูเรย์ดิสก์ ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ International Consumer Research & Testing ได้ทำไว้ รุ่นที่เรานำผลทดสอบมาฝากนั้นเลือกมาจากรุ่นที่ได้คะแนนอันดับต้นๆ ของการทดสอบ และเป็นรุ่นที่มีขายในเมืองไทย ที่สนนราคาประมาณ 5,000 ถึง 20,000 บาท ทั้งหมดได้คะแนนรวม 4 ดาว และได้คะแนนภาพสวยคมชัด 5 ดาวเท่าๆกัน จะแตกต่างกันเล็กน้อยในคะแนนด้านอื่นๆ ดูรายละเอียดได้ในหน้าถัดไป     LG BD550   4ราคา 3,990 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  3ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4.5   Samsung BD-C5500  4ราคา 4,990 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4   LG BD560   4ราคา 4,990 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  3.5ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4.5   Samsung BD-C5300  4ราคา 5,400 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4   Phillips BDP7500S2  4ราคา 11,990 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   3ประหยัดไฟ   4.5รีโมทคอนโทรล   5   LG BD570   4ราคา 12,990 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4.5   Samsung BD-C6500  4ราคา 15,900 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4   Sony BDP-S470   4ราคา 15,990 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   3ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4   Samsung BD-C6900  4ราคา 17,700 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4.5ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4   NAD T557   4ราคา 19,400 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4ใช้งานง่าย   4ประหยัดไฟ   3.5รีโมทคอนโทรล   5   LG BX-580   4ราคา 19,900 บาท ภาพสวย   5ฟังก์ชั่นหลากหลาย  4.5ใช้งานง่าย   3.5ประหยัดไฟ   5รีโมทคอนโทรล   4.5   หมายเหตุ กรุณาตรวจสอบราคาอีกครั้งก่อนตัดสินใจ     LG BD550 Samsung BD-C5500 LG BD560 Samsung BD-C5300 Philips BDP8000 LG BD570 Samsung BD-C6500 Sony BDP-S470 Samsung BD-C6900 NAD T 557 LG BX580 ระบบภาพ NTSC NTSC/PAL PAL NTSC/PAL NTSC/PAL PAL NTSC/PAL NTSC/PAL NTSC/PAL NTSC/PAL PAL Wireless ในตัว X X X X / / / X / X / หน่วยความจำในเครื่อง GB - 1 - - 2 - 1 - 1 - - ระบบ 3D-Ready X X X X / X X / / X / เวลาโหลดDVD   (วินาที) 16 17 19 18 19 20 19 20 20 15 20 เวลาโหลดแผ่น Blu-ray  (วินาที) 13 13 14 12 15 14 13 17 11 15 15 เวลา eject (วินาที) 6 6 6 6 6 6 6 8 7 9 8 รีโมทคอนโทรลตั้งโปรแกรมได้ X X X X X X X X X X / รีโมทคอนโทรลใช้กับโทรทัศน์ยี่ห้ออื่นได้ / / / / X / / / / X / ระบบป้องกันความเสียหายของจอพลาสมา ไม่ระบุ / ไม่ระบุ / / ไม่ระบุ / / / / / น้ำหนัก (กิโลกรัม) 2 1.7 2 1.7 2.8 2 1.7 2 1.8 3.39 2.2   ทุกรุ่น- สามารถเล่นแผ่นบลูเรย์ แผ่นบลูเรย์ BD-R และบลูเรย์ BD-RE แผ่นดีวีดี-R ดีวีดี+R  ดีวีดี+RW และซีดีภาพยนตร์ ซีดีเพลงและไฟล์เอ็มพี3 ได้ - มีระบบเสียง Dolby HD และ Dolby Digital Plus- มีฟังก์ชั่น BD Live ไว้ให้คุณอัพเดท content ของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ เมื่อเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 106 ผลทดสอบ เอ็มพี 4 ปี 2009

“ปัจจุบันมีคนกว่า 100 ล้านคนทั่วโลกฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นพกพาเป็นประจำทุกวัน”กลับมาอีกครั้งกับผลทดสอบเครื่องเล่นเอ็มพี 3 และ 4 ที่องค์กรทดสอบสินค้าระหว่างประเทศ หรือ ICRT ได้ทำการทดสอบไว้ โดยตัวอย่างที่ส่งเข้าทดสอบนั้นเป็นรุ่นที่เก็บตัวอย่างจากประเทศสมาชิกในยุโรป คราวนี้เอาใจผู้รักเสียงเพลงกันอีกครั้งด้วย เครื่องเสียงพกพาทั้งหมด 24 รุ่น ที่ราคาระหว่าง 1,600 - 14,800 บาท โดยมีประเด็นที่ทดสอบหลักๆ ดังนี้  คุณภาพเสียง ความสะดวกในการใช้งาน ความสะดวกในการพกพา ความทนทาน แบตเตอรี่ การโหลดเพลงจากคอมพิวเตอร์ จากการทดสอบ เราพบว่า เราสามารถมีเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่เสียงดี ใช้สะดวก ทนทาน แถมฟังเพลงได้นาน ด้วยงบประมาณไม่เกิน 6,000 บาท  ถ้าสิ่งที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุดคือคุณภาพเสียง ในกลุ่มที่เราทดสอบก็มีเครื่องเล่นที่มีคุณภาพเสียงในระดับดี (4 ดาว) อยู่ถึง 7 รุ่นให้ได้เลือกกัน ตั้งแต่ราคา 2,800 – 14,800 บาท  ในงบประมาณไม่เกิน 3,000 บาท มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น (Apple iPod Shuffle) เท่านั้น ที่มีคุณภาพเสียง 4 ดาว ส่วนแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นจุดด้อยในด้านต่างๆ อย่างไร ดูรายละเอียดได้จากตารางในหน้าถัดไป ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ผู้ขายได้แจ้งไว้ในอินเตอร์เน็ต กรุณาตรวจสอบราคาที่ร้านอีกครั้ง ดาวโหลดตางรางผลการทดสอบ MP4 ++ เสียงเพลงสีเขียวนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Edinburgh ได้คิดค้นและผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอร์รี่ในเครื่องเล่น MP3 และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเจ้าวงจรอิเล็กทรอนิกส์สุดสร้างสรรค์และมากคุณประโยชน์ที่ชื่อว่า “EnCore” ชิ้นนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เร็วขึ้น โดยใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งการที่มันช่วยยืดอายุให้กับแบตเตอร์รี่ของเรา เท่ากับเป็นการช่วยลดการเปลี่ยนแบตเตอร์รี่บ่อยๆ ช่วยลดการใช้พลังงาน ซึ่งดีกับสิ่งแวดล้อม ตอนนี้เจ้า “EnCore” ยังอยู่ในขั้นพัฒนา ฉลาดซื้อขอเอาใจช่วยเหล่านักวิทยาศาสตร์ให้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบนี้เสร็จสมบูรณ์ออกมาให้เราได้ใช้กันไวๆ ดังไป ... ไม่อนุญาตคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เสนอให้มีการกำหนดความดังของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา สืบเนื่องจากข้อมูลการสำรวจที่พบว่า 1 ใน 10 ของคนที่ฟังเพลงจากเครื่องเล่นพกพาผ่านหูฟัง อาจมีปัญหาทางการได้ยิน นักวิทยาศาสตร์พบว่าการฟังเพลงผ่านหูฟังด้วยเสียงดังๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 5 ปี มีโอกาสเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้หูได้รับอันตราย ข้อเสนอนี้กำหนดให้มีการควบคุมความดังของเสียงจากจุดกำเนิดเสียง ซึ่งก็คือตัวปรับเพิ่ม-ลดเสียงของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ทั้งเครื่องเล่น MP3 และโทรศัพท์มือถือที่มีฟังก์ชั่นการฟังเพลง โดยคณะกรรมาธิการฯ เสนอว่าไม่ควรเกิน 80 เดซิเบล และไม่ควรฟังเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักชอบปรับเสียงวอลลุ่มให้ดังเข้าไว้ โดยเฉพาะเวลาที่เดินอยู่บนถนนหรือนั่งรถเมล์ อาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการฟังเพลงเสียงดังๆ ผ่านหูฟัง อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะแสดงออก ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นก็อาจสายเกินเยียวยาแล้วปัจจุบันมีคนกว่า 100 ล้านคนทั่วโลกฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นพกพาเป็นประจำทุกวัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 144 Skyscanner บินลัดฟ้าข้ามหาราคาที่พึงพอใจ

  ฉบับนี้มาบินลัดฟ้าท่องเที่ยวกันทั่วโลกดีกว่าค่ะ ใครที่ชอบเดินทางไปโน่นมานี่ โดยใช้บริการเครื่องบินโดยสารสายการบินต่างๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยว ทำกิจกรรมของบริษัท ติดต่อธุรกิจ แม้กระทั่งเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ไม่มากก็น้อยที่เคยใช้บริการซื้อตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ในรูปแบบออนไลน์  เพราะสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบราคา และเลือกเวลาการเดินทางได้ด้วยตนเอง   ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการที่กล่าวมาทั้งหมด ผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านที่ชอบใช้บริการบนเว็บไซต์ ลองเปลี่ยนมาใช้แอพพลิเคชั่น Skyscanner บนโซเชียลมีเดียกันดูบ้าง เพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่นลงบนมือถือ ที่รองรับได้หลากหลายประเภท ได้แก่ ไอโฟน(iphone) ไอแพด(ipad)  แอนดรอยด์ (Android)  แบล็คเบอร์รี่ (Blackberry) นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นสำหรับวินโดวส์ (Windows 8) ที่ผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดมาไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ได้เลย หรือถ้าไม่ถนัดแอพพลิเคชั่น ก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้ที่ http://th.skyscanner.com  ในเวอร์ชั่นภาษาไทย   แอพพลิเคชั่นนี้ มีประโยชน์ในการใช้ค้นหาและเปรียบเทียบตั๋วเครื่องบินจากสายการบินทั่วโลก ที่มีมากกว่า 1,000 สายการบิน  รองรับภาษาต่างๆ ได้ถึง 28 ภาษา และสามารถเปลี่ยนสกุลเงินได้กว่า 61 สกุลเงิน ซึ่งช่วยให้นักเดินทางสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถระบุวันที่ที่ต้องการเดินทาง ประเภทที่นั่ง เมืองหรือประเทศที่ต้องการเดินทางไป   โปรแกรมจะช่วยประมวลผลราคาและช่วงเวลาในการเดินทางของสายการบินต่างๆ จากนั้นราคาทั้งหมดที่ใช้ในการเดินทางก็จะถูกสรุปออกมาพร้อมกับสายการบินต่างๆ  เพื่อให้เลือกได้ตามความพึงพอใจ เมื่อได้สายการบิน ราคา ช่วงเวลาเดินทางที่ต้องการทั้งหมดแล้ว แอพพลิเคชั่น Skyscanner จะส่งต่อหน้าเว็บไปยังเว็บไซต์ของสายการบินนั้นๆ หรือเว็บไซต์ตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ผู้ใช้บริการติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบินได้โดยตรง ตามราคาที่แจ้งมานั้น โดยที่ไม่ต้องเสียค่าบริการผ่าน Skyscanner แต่อย่างใด หรือถ้ายังไม่แน่ใจ คลิกที่ปุ่ม Call โทรหาสายการบินนั้นได้ทันที   แต่ถ้าผู้อ่านยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่แน่ชัด ก็สามารถค้นหาเมืองในประเทศต่างๆ ว่ามีที่ใดบ้าง ในราคาตั๋วเครื่องบินเท่าไร ได้ที่ปุ่ม Explore  และทำขั้นตอนเพื่อใช้บริการตามเดิม หลังจากเลือกตั๋วเครื่องบินที่ต้องการได้แล้ว แอพพลิเคชั่น Skyscanner จะเก็บข้อมูลการค้นหาไว้ เพื่อสะดวกในการเรียกใช้ในครั้งต่อไป นอกจากค้นหาตั๋วเครื่องบินแล้ว แอพพลิเคชั่นนี้ยังช่วยค้นหาโรงแรม รีสอร์ท บังกะโล ที่พักต่างๆ รถเช่า ได้อีกด้วย และถ้าต้องการแบ่งปันรายละเอียดเที่ยวบินที่น่าสนใจให้กับเพื่อน ขวามือด้านบน จะมีปุ่มเพื่อแบ่งปันข้อมูลไปยัง E-Mail  Facebook หรือ Twitter ได้เลย   Skyscanner ใช้งานฟรีค่ะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 177 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนพฤศจิกายน 2558 “สีย้อมผ้า” ห้ามใช้สารก่อมะเร็งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ หรือ สมอ. ออกมายืนยันแล้วว่า ในปีหน้าจะมีการประกาศมาตฐารบังคับ (มอก.) กับผลิตภัณฑ์ สีย้อมผ้า เนื่องจากที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมากว่าสีย้อมผ้าที่วางขายในประเทศไทยมีการใช้สาร “อโรมาติกส์” ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหลายๆ ประเทศในแถบยุโรปได้มีการประกาศยกเลิกใช้สารดังกล่าวแล้ว เพราะหากผู้บริโภคสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสารดังกล่าวอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ ที่ยังมีผิวบอบบาง นอกจากนี้ยังเตรียมกำหนดมาตรฐานบังคับกับผลิตภัณฑ์สีประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สีน้ำมัน และ สีเคลือบแอลคีด ในด้านความปลอดภัยที่จะกำหนดคุณลักษณะเรื่องปริมาณโลหะหนัก อย่าง ตะกั่ว แคดเมียม ไม่ให้เกิน 100 พีพีเอ็ม เพราะสารโลหะหนักถือเป็นสารอันตรายที่มีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของสมอง ซึ่งที่ผ่านมานิตยสารฉลาดซื้อเองก็เคยลงผลสำรวจว่า ยังพบการใช้สีน้ำมันที่มีส่วนประกอบของโลหะหนัก ทาอยู่ตามอาคารต่างๆ เครื่องเล่นสนาม และของเล่นเด็ก ซึ่งโลหะหนักจะพบได้ในสีที่มีเฉดสีสดๆ เช่น สีแดง สีเหลือง สีส้ม ซึ่งสีที่ทาไปนานๆ อาจจะมีการหลุดร่อนออกมา หากเด็กๆ มีการสัมผัสหรือนำเข้าปากก็จะเป็นอันตราย   เพิ่มโทษคนขายเครื่องสำอางอันตรายในช่วงที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยจากการใช้เครื่องสำอางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย ส่งผลเสียต่อผู้ใช้ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง ทำให้ผู้ใช้เสียโฉม อย.พยายามจัดการปัญหาดังกล่าวมาตลอด โดยล่าสุดได้มีการปรับปรุง พระราชบัญญัติเครื่องสําอาง ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ทำผิด พระราชบัญญัติเครื่องสําอาง พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา โดยในส่วนของการคุ้มครองผู้บริโภค มีการกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจากการใช่เครื่องสำอาง และต้องมีมาตรการเรียกคืนเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยจากท้องตลาด และกำหนดให้มีด่านตรวจสอบเครื่องสำอางที่นำเข้ามาขายในประเทศ ที่สำคัญคือการเพิ่มบทลงโทษกับผู้กระทำผิด จากเดิมที่ผู้ขายผู้ผลิตเครื่องสำอางที่ผสมสารต้องห้ามจะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพิ่มเป็นจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังให้อำนาจ อย. ในการกำกับดูแลเรื่องการโฆษณาเอาไว้ด้วย จากเดิมที่ต้องอ้างอิงกับ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ทำให้การตรวจสอบและจัดการปัญหาน่าจะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น “คปภ.” จับมือ “ศาลยุติธรรม” พัฒนาระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จับมือร่วมทำงานกับ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาทด้านประกันภัยด้วยวิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยและวิธีอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะทำให้ปัญหาถูกแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ต้องนำไปเรื่องไปสู่ศาล ซึ่งใช้เวลานาน ถือเป็นผลดีกับทั้งผู้ซื้อประกันและบริษัทประกัน ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยมีบริการอยู่มากมาย ซึ่ง คปภ. เองก็คาดการณ์ไว้ว่าในอนาคตข้างหน้าน่าจะมีปัญหาร้องเรียนจากผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น การนำระบบไกล่เกลี่ยมาใช้ในการระงับข้อพิพาทระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกันภัยจะทำให้สามารถยุติข้อพิพาทได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณของคดีที่จะเข้าสู่ศาล โดยในแต่ละปีมีเรื่องฟ้องร้องด้านประกันภัยมาที่ คปภ. ประมาณ 12,000 เรื่อง โดยสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเสร็จสิ้นประมาณ 95% ในปี 2559 คปภ. จะทำงานในเชิงรุกในเรื่องของการระงับข้อพิพาทให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น มีกฎกติกาที่ชัดเจนและจะผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้รับประกันภัยกับผู้เอาประกันภัยให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ กินหลากหลายลดเสี่ยงมะเร็งลำไส้ หลังจากที่องค์การอนามัยโลกออกมาให้ข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูปและเนื้อแดงเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเมื่อถูกนำมาเผยแพร่ในประเทศไทยก็ได้สร้างความตกใจให้กับผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย รศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า ผู้บริโภคไม่ควรตื่นตระหนกกับข้อมูลดังกล่าว เนื่องจากเนื้อสัตว์ถือเป็นอาหารที่เราทานกันเป็นปกติ เนื้อสัตว์มีโปรตีนซึ่งให้ประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกายของเรา ซึ่งผลวิจัยที่นำมาออกมาเผยแพร่นั้นเป็นผลวิจัยที่ได้จากห้องทดลอง แต่ในความเป็นจริงมนุษย์เราไม่ได้บริโภคเพียงแค่เนื้อสัตว์อย่างเดียว ข้อมูลที่ออกมาจึงเป็นเหมือนคำเตือนเพื่อสร้างความตระหนักในการบริโภคมากกว่าที่เป็นไปในลักษณะของการห้ามการบริโภคแบบเด็ดขาด รศ.ดร.วิสิฐ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งมีหลายประการ ไม่ใช่แค่การกินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วจะเกิดโรคขึ้น โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ เท่าที่มีหลักฐานคือ การบริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์ หรือกากใยน้อย ซึ่งตามปกติต้องบริโภคให้ได้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม นอกจากนี้เราควรกินอาหารแต่พอดี ไม่เยอะหรือน้อยเกินไป  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีกิจกรรมเคลื่อนไหวไม่ให้ลำไส้อยู่นิ่งๆ และต้องขับถ่ายให้เป็นปกติ ไม่ให้ลำไส้สะสมสารพิษ ทั้งหมดที่กล่าวมาคือสิ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ ประกันสังคมเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคมปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนแล้ว ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับใหม่ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นมีครอบคลุมหลายด้าน เช่น  กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย มีการเพิ่มค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตนในกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ จากเดิมที่มีสิทธิได้รับเฉพาะค่าตรวจวินิจฉัยโรค ค่าบำบัดทางการแพทย์ ค่ากินอยู่ และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ค่ายา และค่าเวชภัณฑ์ ค่ารถพยาบาล หรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย กรณีคลอดบุตร และ สงเคราะห์บุตร เพิ่มสิทธิให้ได้รับค่าคลอดบุตรไม่จำกัดจำนวนครั้ง  พร้อมได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงาน 90 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง สำหรับผู้ประกันตนหญิง จากเดิมที่มีสิทธิได้รับไม่เกิน 2 ครั้ง เงินสงเคราะห์การหยุดงาน 90 วัน กรณีสงเคราะห์บุตร ได้เพิ่มเป็นคราวละไม่เกิน 3 คน จากเดิมที่ได้รับคราวละไม่เกิน 2 คน สำหรับกรณีว่างงาน ก็มีการเพิ่มความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ กรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากเหตุสุดวิสัยโดยยังไม่มีการเลิกจ้าง เช่น กรณีสถานประกอบการถูกน้ำท่วม จากเดิมที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเมื่อถูกเลิกจ้างหรือลาออกเท่านั้น ยังมีสิทธิประโยชน์อีกหลายด้านที่เพิ่มขึ้นในพ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับใหม่ ผู้ประกันตนสามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 149 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมิถุนายน 2556 นมโรงเรียนไม่ปลอดภัย พบผลการตรวจที่น่าตกใจ เมื่อนมโรงเรียนที่แจกให้เด็กนักเรียนดื่มตามโรงเรียน ยังมีความเสี่ยงของเชื้อแบคทีเรียที่เกินค่ามาตรฐาน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ทำการตรวจสอบตัวอย่างนมโรงเรียนทั้งชนิดพาสเจอร์ไรส์ และยูเอชที ที่ผลิตจากโรงนมขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก และกลุ่มสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ระหว่างปี พ.ศ.2553 - 2555 จำนวน 450 ตัวอย่าง พบว่ามีตัวอย่างที่ไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 42 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 9.3 เมื่อจำแนกตามรายการตรวจวิเคราะห์พบตัวอย่างไม่ได้มาตรฐานด้านจุลินทรีย์ พบปริมาณแบคทีเรียเกินมาตรฐานมากที่สุด นอกจากนี้ยังพบ เชื้อบาซีรัส ซีเรียส เชื้ออีโคไล และเชื้อโคลิฟอร์ม โดยพบนมพาสเจอร์ไรส์ไม่ได้มาตรฐานมากกว่านมยูเอชที นอกจากนี้ยังพบปัญหาเรื่องคุณค่าทางโภชนาการไม่ได้มาตรฐาน คือมีโปรตีนต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ที่ร้อยละ 3.8 ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ โดยทางกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าสาเหตุที่นมโรงเรียนพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์นั้นมาจาก ความไม่ได้มาตรฐานในการผลิต ไปจนถึงขั้นตอนการขนส่งและเก็บรักษาที่ไม่มีคุณภาพในการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม     หลอกลวง 100% ยาลดสัดส่วนเฉพาะจุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกโรงเตือนสาวๆ ที่คิดจะทานยาที่โฆษณาสรรพคุณว่าช่วยลดสัดส่วนเฉพาะจุด ว่ายาดังกล่าวอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง อย.ไม่เคยมีการรับรอง และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมียาลดสัดส่วนเฉพาะจุด อย.ได้ออกตรวจและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ขายยาในลักษณะดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีการโฆษณาขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยเบื้องต้นเข้าข่ายความผิดหลายประการ ทั้งการผลิตยา หรือ นำเข้ายา โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ขออนุญาตในการขึ้นทะเบียนยา ขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต โฆษณาเกินจริง และโฆษณาโอ้อวด โดยจะรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดทั้งผู้ขาย และแหล่งที่ผลิต ตาม พ.ร.บ.ยา 2522 ยาดังกล่าวนอกจากจะไม่มีผลตามที่โฆษณาอวดอ้างแล้ว ยังอาจก่อผลเสียต่อร่างกาย เพราะจากการตรวจสอบของ อย. เชื่อว่าน่าจะเป็นยาประเภทอาหารเสริม ประเภทแอลคานิทีน ที่เพิ่มการเผาผลาญ และมักพบว่ามีการแอบเติมยาที่ อย.ถอนทะเบียน โดยเฉพาะสารไซบูทรามีน ซึ่งมีผลข้างเคียงทั้งทำให้ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต   ขยะเครื่องใช้ไฟฟ้า (กำลังจะ) ล้นประเทศ!!! มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก โครงการพัฒนาแนวทางการประเมินปริมาณซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ ของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งได้มีการคาดการณ์ว่าในช่วงปี พ.ศ.2555-2559 หากไม่มีการดำเนินการกำจัดขยะอันตรายอย่างถูกต้อง ประเทศไทยเราจะมีซากขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ล้นประเทศ โดยสัดส่วนของขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภทที่คาดการไว้มีดังนี้  โทรทัศน์ 12 ล้านเครื่อง กล้องถ่ายภาพ/วิดีโอ 4 ล้านเครื่อง อุปกรณ์เล่นภาพ/เสียงขนาดพกพา 17 ล้านเครื่อง เครื่องพิมพ์/โทรสาร 7 ล้านเครื่อง โทรศัพท์มือถือ/โทรศัพท์บ้าน 48 ล้านเครื่อง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 11 ล้านเครื่อง เครื่องปรับอากาศ 3 ล้านเครื่อง และตู้เย็น 4 ล้านเครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี อย่างที่จะเกิดขึ้นเร็วนี้คือเรื่องของ ทีวีดิจิตอล ที่อาจทำให้หลายครอบครัวต้องเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่เพื่อรองรับการส่งสัญญาณทีวีแบบใหม่ ขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ถ้าหากไม่ได้รับการจัดการที่ดีจะก่อให้เกิดอันตรายกับทั้งคนและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งหาวิธีจัดการขยะอันตรายเหล่านี้อย่างถูกวิธี ด้านผู้บริโภคเองก็ต้องมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหานี้ด้วยเช่นกัน เริ่มตั้งการลดปริมาณการใช้ แยกขยะ และไม่นำขยะอันตรายไปทิ้งในที่ที่ไม่ได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสม   เดินหน้ายกเลิกการใช้แร่ใยหิน ทั้งๆ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่องให้สังคมไทยเป็นสังคมไร้แร่ใยหิน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2554 ตาม มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ปี 2553 แต่จนถึงขณะนี้บ้านเราก็ยังไม่มีกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้การใช้แร่ใยหินอย่างจริงจังสักที ล่าสุดในงานแถลงข่าวเรื่อง “สังคมไทยต้องไร้แร่ใยหิน” นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้แจ้งว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมยกเลิกการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กระเบื้องแผ่นเรียบ 2.กระเบื้องยางปูพื้น 3.ผ้าเบรกและคลัตช์ 4.ท่อซีเมนต์ใยหิน และ 5.กระเบื้องมุงหลังคา หลังจากได้ไปดำเนินการจัดทำแผนและกรอบเวลายกเลิกการนำเข้าผลิตและจำหน่ายแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบเพื่อสรุปเสนอเป็นแผนขอความเห็นชอบจาก ครม. โดยจะมีการนำเสนอเข้า ครม. พิจารณา ให้ไทยยกเลิก 5 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ทำจากแร่ใยหินภายใน 5 ปี โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแร่ใยหินอย่างผ้าเบรกและคลัตช์ที่มีกรอบระยะเวลาในการยกเลิก 5 ปี จะดำเนินการเฉพาะส่วนของรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลขนาดเล็กก่อน เนื่องจากในรถบรรทุกยังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ส่วนท่อซีเมนต์ใยหินจะให้ยกเลิกเฉพาะท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 400 มม.เพราะท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 มม.ขึ้นไป กรมชลประทานมีหนังสือถึง ก.อุตสาหกรรม ว่าขอให้มีการขยายเวลาในการยกเลิก เนื่องจากติดขัดเรื่องความพร้อมในการผลิต ส่วนอีก 3 ผลิตภัณฑ์ที่เหลือจะเสนอให้ยกเลิกภายใน 5 ปี   องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน กระตุ้น กสทช. ทำงาน ก่อนเกิดปัญหา “ซิมดับ” คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือเครือข่ายทรูมูฟ รู้กันหรือยังว่า วันที่ 15 กันยายนที่จะถึงนี้ สัญญาสัมปทานการใช้คลื่นความถี่ที่ทางผู้ให้บริการทำไว้กับทาง กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จะหมดลง ซึ่งหมายความว่าต้องเกิดการเปลี่ยนเรื่องการใช้งานของผู้ใช้บริการ อาจจะต้องมีการโอนย้ายผู้ให้บริการ หรือที่เลวร้ายที่สุดคือ อาจไม่สามารถใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของเครือข่ายดังกล่าวได้ หรือพูดง่ายๆ คือเกิดปัญหา “ซิมดับ” คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน เป็นห่วงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้อย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็ดูเหมือนจะยังหาทางออกให้ผู้บริโภคไม่ได้ คณะกรรมการองค์การอิสระฯ จึงได้ทำหนังสือเรียกร้องให้ทาง กสทช. เร่งดำเนินการแก้ปัญหาโดยด่วน โดยข้อเรียกร้องในการแก้ปัญหาประกอบด้วย 1.ตั้งคณะทำงานประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz และกำหนดวันในการจัดการประมูลคลื่นใหม่โดยเร่งด่วน 2.ควบคุมกำกับ ไม่ให้บริษัทผู้ให้บริการทั้งสองรายคือ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนี้ยังคงทำสัญญาให้บริการอยู่ ต้องไม่ทำสัญญาให้บริการเกินวันที่ 15 กันยายน 2556 3.เร่งรัดให้บริษัทผู้ให้บริการทั้งสองราย แจ้งให้เจ้าของเลขหมายทุกรายทราบถึงการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานโดยทันที และมีบริการให้ผู้บริโภคติดต่อสอบถามฟรี รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการโอนย้ายเครือข่ายให้เต็มตามศักยภาพ คือ 3 แสน เลขหมายต่อวัน พร้อมทั้งคืนเงินคงเหลือในระบบให้กับผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ทาง กสทช. เองทราบเรื่องการหมดสัมปทานมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับไม่ยอมจัดการปัญหา คือการจัดประมูลสัมปทานใหม่ กลับนิ่งเฉยจนใกล้วันหมดอายุ จนกำลังจะกลายเป็นปัญหาของผู้บริโภคซึ่งแทบจะยังไม่รู้ข้อมูลใดๆ เลยว่าสัญญาณมือถือที่ใช้อยู่กำลังจะหยุดลง ซึ่งความจริงผู้บริโภคมีสิทธิ์ที่จะรับทราบข้อมูลดังกล่าว เพื่อผู้บริโภคจะได้มีโอกาสเลือกที่จะยังคงอยู่ในระบบ ย้ายค่าย หรือทวงถามค่าชดเชยที่ผู้บริโภคควรได้รับ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 กระแสในประเทศ

 ประมวลเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2554 1 ตุลาคม 2554ใช้เครื่องสำอางให้ปลอดภัย ต้องมี “เลขที่ใบรับแจ้ง”สาวๆ ที่ใช้เครื่องสำอางเป็นประจำต้องอ่านข่าวนี้ รู้กันหรือยังว่า? เครื่องสำอางได้กลายเป็นสินค้าควบคุมตามประกาศของ อย. แล้วเรียบร้อย หลังจากที่มีข่าวคราวการตรวจจับเครื่องสำอางปลอมและไม่ได้คุณภาพออกมาอยู่เรื่อยๆ การกำหนดให้เครื่องสำอางเป็นสินค้าควบคุมน่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีในการช่วยให้สาวๆ ปลอดภัยจากเครื่องสำอางที่ไม่ได้คุณภาพ เพราะฉะนั้นจากนี้ไปผู้ผลิต ผู้นำเข้าเครื่องสำอางจะต้องแจ้งข้อมูลเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์กับทาง อย. ตั้งแต่ชื่อหรือประเภทเครื่องสำอาง สารที่เป็นส่วนผสม ชื่อ – ที่อยู่ผู้ผลิตและนำเข้า จากนั้นจึงจะได้ใบรับแจ้งซึ่งจะมี “เลขที่ใบรับแจ้ง” เป็นหลักฐานว่าเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการจดแจ้งแล้วเรียบร้อย โดย อย. ได้ออกประกาศบังคับให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต้องแสดง “เลขที่ใบรับแจ้ง” บนฉลาก ซึ่งผู้ที่ใช้เครื่องสำอางสามารถนำเลขที่ใบรับแจ้งไปสืบค้นข้อมูลเครื่องสำอางก่อนตัดสินใจซื้อ หรือหากพบเครื่องสำอางที่น่าสงสัย ใช้แล้วมีผลข้างเคียง ก็สามารถใช้เลขที่ใบรับแจ้งในการตรวจสอบกับทาง อย. หรือสาธารณสุขจังหวัดได้ หรือตรวจสอบด้วยตัวเอง www.fda.moph.go.th ซึ่งนอกจาก เลขที่ใบรับแจ้งแล้ว ยังสามารถใช้ ชื่อทางการค้า ชื่อผู้ประกอบการ และชื่อเครื่องสำอาง ในการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน พวกเครื่องสำอางที่หิ้วมาเอง หรือเหมาสายการบิน อันนี้ต้องบอกว่า ผิดกฎหมายไทยนะจ๊ะ------------   11 ตุลาคม 2554กินขนมปังระวังสารกันบูด!!! เรื่องน่าตกใจสำหรับคนชอบทานขนมปัง เมื่อผลทดสอบโดยกลุ่มศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ และสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เบเกอรี่จากทั่วประเทศจำนวน 837 ตัวอย่าง เพื่อทดสอบหาสารกันบูด ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่ามีถึง 658 ตัวอย่าง ที่พบว่ามีการใส่สารกันบูด สารกันบูดที่ทดสอบมีด้วยกัน 3 ชนิด คือ กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก และกรดโปรปิโอนิก ซึ่งผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ที่นำมาทดสอบก็มีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ขนมปังแถว แซนด์วิช เบอร์เกอร์ พิซซ่า ขนมปังสอดไส้ เค้ก แครกเกอร์ ขนมปังกรอบ เวเฟอร์ ขนมปังแท่ง พัฟ พาย ครัวซองท์ โดนัท คุกกี้ และเอแคร์ ซึ่งสารกันบูดที่พบมีทั้งที่พบแบบ 1 ชนิดต่อ 1 ตัวอย่าง และแบบที่พบ 2 หรือ 3 ชนิดต่อ 1 ตัวอย่าง โดยจากผลทดสอบพบว่ามีมากกว่า 100 ตัวอย่าง ที่มีปริมาณสารกันบูดเกินกว่ามาตรฐาน แม้ปริมาณของสารกันบูดที่พบในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ยังไม่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่อันตราย แต่ในชีวิตประจำวันเรายังมีโอกาสได้รับสารกันบูดจากการทานอาหารอื่นๆ ซึ่งจากการพบการใช้วัตถุกันเสียมากกว่า 1 ชนิด หน่วยงานภาครัฐจึงควรทบทวนข้อกำหนดการใช้วัตถุกันเสียทั้งปริมาณที่อนุญาตให้ใช้ และชนิดวัตถุกันเสียที่อนุญาตให้ใช้ เนื่องจากกรดเบนโซอิกและซอร์บิกไม่ใช่วัตถุกันเสียที่ให้ใช้กับผลิตภัณฑ์ขนมอบโดยตรง นอกจากนี้เรื่องการควบคุมการผลิตของเบเกอรี่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะของเบเกอรี่ที่ทำขายหน้าร้านส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องแจ้ง อย.---------------------   19 ตุลาคม 2554น้ำท่วมต้องช่วยกัน ค่าโทรศัพท์-ค่าเน็ตงดเก็บช่วงน้ำท่วมสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ฝากถึงประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์บ้านและอินเตอร์เน็ตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม มีสิทธิ์ที่จะขอระงับการใช้บริการชั่วคราวได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย น.พ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. กล่าวว่า ผู้บริโภคที่ใช้บริการโทรคมนาคมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต มีสิทธิ์ในการขอระงับบริการชั่วคราวได้ เนื่องจาก ตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรฐานของสัญญา ให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2543 ข้อ 25 ได้ระบุว่า ผู้ใช้บริการมีสิทธิในการระงับการใช้บริการโทรคมนาคมชั่วคราวได้ โดยบริษัทจะกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำสุดหรือสูงสุดที่ยินยอมให้ระงับการใช้บริการชั่วคราวและผู้ให้บริการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ใช้บริการไม่ได้ นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้บริโภคขอระงับบริการชั่วคราวแล้ว เมื่อครบกำหนดการขอระงับใช้บริการ บริษัทต้องเปิดบริการให้ผู้บริโภคทันทีโดยผู้ให้บริการ จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ใช้บริการไม่ได้ -------------------- มั่นใจน้ำดื่มปลอดภัยหลังน้ำท่วมในช่วงที่เกิดภาวะน้ำท่วม มีแหล่งน้ำและโรงงานผลิตน้ำดื่มหลายแห่งที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้เตรียมพร้อมแผนฟื้นฟูสถานประกอบการผลิตน้ำดื่ม และน้ำแข็งที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้ หลังจากที่ต้องอยู่ในสภาพน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ ที่มาพร้อมกับน้ำ นอกจากนี้ยังอาจปนเปื้อนอยู่ในเครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตน้ำดื่มและน้ำแข็ง ซึ่งหากดำเนินการผลิตโดยไม่ได้ตรวจสอบแก้ไข เชื้อโรคต่างๆ ก็อาจปนเปื้อนไปสู่ผู้บริโภค โดยในการช่วยเหลือฟื้นฟูครั้งนี้ อย. จะประสานความร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในการให้คำแนะนำในการฟื้นฟูสถานประกอบการ อาทิ การทำความสะอาดอาคารสถานที่ เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิตแก่ผู้ประกอบการ ขณะที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะให้บริการตรวจสอบคุณภาพความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์แก่ผู้ประกอบการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค การันตีเรื่องความสะอาด ก่อนหน้านี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำแข็ง และน้ำประปา จากศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วมและบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ประสบอุกทกภัยในจังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี ราชบุรี และนครปฐม รวม 78 ตัวอย่าง พบมีที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณภาพรวม 28 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่จะพบเป็นเชื้อที่ก่อโรค โดยตัวอย่างที่พบมากที่สุดคือ น้ำแข็ง สำหรับข้อแนะนำในการเลือกบริโภคน้ำดื่มและน้ำแข็ง ควรเลือกบริโภคน้ำดื่มที่บรรจุในภาชนะที่สะอาด ปิดสนิท ไม่รั่วซึม ไม่มีร่องรอยการเปิดใช้ ลักษณะของน้ำที่บรรจุอยู่ต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอน ไม่มีกลิ่น และรสที่ผิดปกติ ส่วนการเลือกบริโภคน้ำแข็ง ควรเลือกน้ำแข็งบรรจุถุงที่มีการแสดงข้อความบนฉลากอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะเครื่องหมาย อย. แต่ถ้าเป็นน้ำแข็งที่ตักแบ่งขายตามร้านค้าทั่วไป ควรสังเกตสถานที่เก็บและภาชนะบรรจุ ต้องไม่มีการใส่น้ำแข็งปนกับอาหารประเภทอื่น และก้อนน้ำแข็งต้องมีความใส สะอาด -------------------------------------   อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 2554 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. มอบรางวัล “อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2554” ให้กับผู้ประกอบการผู้ผลิตสินค้าด้านอาหาร ด้านยา ด้านเครื่องสำอาง ด้านเครื่องมือแพทย์ และด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้าน โดยหลักเกณฑ์ผู้ที่ได้รับรางวัลต้องเป็นผู้ประกอบที่ผลิตสินค้าจำหน่ายในประเทศไทย และดำเนินกิจการมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี มีการรักษาคุณภาพและพัฒนามาตรฐานการผลิตของผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ท้องตลาด และที่สำคัญคือต้องไม่เคยถูกดำเนินคดี ถูกปรับ หรือถูกตักเตือนจาก อย. ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีระบบการดูแลผู้บริโภคและมีการรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นเรื่องของการมีคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบการที่ดี สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รางวัลในแต่ละประเภทมีดังนี้ ด้านอาหาร จำนวน 11 ราย ได้แก่ 1. บริษัท จอมธนา 2. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด 3. บริษัท ใบชาโชคจำเริญ จำกัด 4. บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด 5. บริษัท แฟชั่นฟู้ด จำกัด 6. บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมอาหาร จำกัด 7. บริษัท ศิริวานิช (เอส แอนด์ ดับเบิ้ลยู) จำกัด 8. บริษัท สุรพลฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) 9. บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) 10. บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ 11. ห้างหุ้นส่วนจำกัด อิสริยะผล ด้านยา จำนวน 9 ราย ได้แก่ 1. บริษัท ขายยาเพ็ญภาค จำกัด 2. บริษัท ขาวละออเภสัช จำกัด 3. บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์  คอสเมติค จำกัด 4. บริษัท ไบโอแลป จำกัด 5. บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด 6. บริษัท ฟาร์ม่า อินโนวา จำกัด 7. บริษัท สีลมการแพทย์  จำกัด 8. บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด และ 9. บริษัท อาร์เอ็กซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ด้านเครื่องสำอาง จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1. บริษัท คอลเกต – ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด 2. บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด 3. บริษัท แพน ราชเทวี กร๊ป จำกัด 4. บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด และ 5. บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด ด้านเครื่องมือแพทย์ จำนวน 4 ราย ได้แก่ 1. บริษัท ชัวร์เท็กซ์ จำกัด 2. บริษัท เยเนอรัล ฮอสปิตัล ดปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท สยาม เซมเพอร์เมด จำกัด และ 4. บริษัท เอ็ม.อี. เมดิเทค จำกัด ด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1. บริษัท เชอร์วู้ด เคมิคอล จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท ลัดดา จำกัด และ 3. บริษัท ไอ.พี. แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด -----------------------

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 97 กระแสในประเทศ

สุมาลี พะสิม ประมวลเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ 255211 ก.พ. 52 5 ปีผ่านไป ยังพบสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางเพียบ นิยายเรื่องยาวของเครื่องสำอางผิดกฎหมายยังไม่จบ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยังตรวจวิเคราะห์พบเครื่องสำอางผิดกฎหมายเพียบตลอดช่วงปี 2547-2551 โดยสารห้ามใช้ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ ปรอทแอมโมเนีย รองลงมา คือ สารไฮโดรควิโนนรวมกับกรดเรทิโนอิก และพบตัวอย่างที่มีสารไฮโดรควิโนนหรือพบกรดเรทิโนอิกอย่างเดียว รองลงมาตามลำดับ อย่างไรก็ตามขณะนี้มีกฎหมายใหม่ด้านเครื่องสำอางของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายเครื่องสำอางอาเซียน กำหนดให้เครื่องสำอางทุกชนิดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ดังนั้นผู้ประกอบการต้องแจ้งและจัดทำแฟ้มข้อมูลของผลิตภัณฑ์ต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือสำนักงานสาธารณสุขหวัด (สสจ.) ก่อนผลิตหรือนำเข้า ซึ่งจะช่วยให้การติดตาม กำกับดูแลและแก้ปัญหาการใช้สารห้ามใช้ในเครื่องสำอางได้อย่างครอบคลุม สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการชุดทดสอบเครื่องสำอางนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 0-2951-0000 ต่อ 99499, 99926 หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ รุมค้านประกาศสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายจากกรณีคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี 13 ชนิด ประกอบด้วย สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และ หนอนตายยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข และมี ผลบังคับใช้แล้วนั้น นพ.ประพจน์ เภตรากาศ รองอธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกล่าวว่า การบังคับใช้ประกาศฉบับดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมหาศาลแน่นอน เพราะพืชทั้ง 13 ชนิด เป็นพืชสมุนไพรไทยพื้นบ้านที่เป็นวิถีชีวิตของคนไทยมานาน หากมีการกำหนดเป็นวัตถุอันตรายแล้ว ถ้ามีครอบครอง หรือครอบครองไว้เพื่อจำหน่ายจะต้องมีการจดแจ้งหรือขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งส่วนนี้จะมีผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะชาวบ้านที่ปลูกหรือขายพืชเหล่านี้ ตามตลาดสดต่างๆ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมขนาดย่อม เช่น วิสาหกิจชุมชน ที่นำพืชสมุนไพรไทยมาดัดแปลงทำเป็นยาสมุนไพรด้วย 13 ก.พ. 2552 ก.สาธารณสุขขอให้ถอนประกาศพืช 13 ชนิดออกจากวัตถุอันตรายจากการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศให้สมุนไพรไทย 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งจัดโดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยมีตัวแทนจากหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมมากมายนั้น ต่างก็เห็นด้วยให้ถอนสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดออกจากการเป็นวัตถุอันตราย นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า “จากการรับฟังความเห็นต่างเห็นตรงกันว่า ควรมีการถอนประกาศที่ให้สมุนไพรไทย 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย เนื่องจากมีผลกระทบ โดยเฉพาะการสร้างความกังวลในการใช้และบริโภคสมุนไพรดังกล่าว ทั้งในรูปแบบอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แม้ว่าการออกประกาศฉบับนี้ทำไปเพื่อเจตนาคุ้มครองผู้บริโภค แต่ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า น่าจะใช้วิธีอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า เช่น การส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้สมุนไพรในการควบคุมแมลงและศัตรูพืช การจัดตั้งกองทุนที่จัดเก็บภาษีจากการนำเข้าสารฆ่าแมลงเพื่อนำมาใช้ในการลดผลกระทบจากการใช้สารยาฆ่าแมลงรวมทั้งดูแลสุขภาพประชาชน ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จะสรุปความเห็นจากที่ประชุมนี้เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประสานไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรมในการหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป” ขณะที่ นางสาวทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ทางเครือข่ายภาคประชาชน และเครือข่ายเกษตรกรรม จะเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการธรรมาภิบาล วุฒิสภา ซึ่งมีนางรสนา โตสิตระกูล สว.กทม. เป็นประธาน เพื่อให้มีการตรวจสอบวิธีการกระบวนการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกประกาศฉบับนี้ว่ามีความไม่ชอบพากลหรือไม่ เพราะสันนิษฐานว่าจะมีผลประโยชน์จากบริษัทผลิตสารเคมีกำจัดศัตรูข้ามชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งการที่กระทรวงอุตสาหกรรมออกมาชี้แจงเหตุผลโดยระบุว่าเกิดผิดพลาดนั้นไม่เพียงพอ ควรจะมีหน่วยงานอื่นเข้าไปตรวจสอบและหาผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย กรมวิชาการเกษตรยอมถอนประกาศพืช 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตราย กรมวิชาการเกษตรยอมถอนประกาศพืช 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย ขอปรับเนื้อหาใหม่ รับทำสังคมสับสน ยันหวังดี ป้องกันเกษตรกรถูกหลอกใช้สารสกัดปราบศัตรูพืชไม่มีคุณภาพ ส.ส.ปชป.เรียกร้องให้ยกเลิก เผย"อภิสิทธิ์-สุเทพ"หนุนให้ทบทวน นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร แถลงว่า “ผมจะทำหนังสือไปถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อขอให้ถอนประกาศฉบับนี้ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อความบางส่วน อาทิ เพิ่มเติมชื่อสารนำหน้าชื่อพืชสมุนไพร พร้อมระบุว่าใช้สำหรับการผลิตสารปราบศัตรูพืชไว้ด้านหลัง เพื่อให้สังคมเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น และจะถอนร่างประกาศของกรมฯ ที่ระบุถึงรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้ มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกันด้วย" 16 ก.พ. 52สปสช.เสนอ ครม.ขยายสิทธิครอบคลุมคนไร้สัญชาตินพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสปสช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประชาชนประชาชนที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้และอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานซึ่งมีอยู่ประมาณ 370,000 คน ให้มีหลักประกันสุขภาพ โดยจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวครอบคลุมบุคคลกลุ่มดังกล่าว โดยเริ่มในงบเหมาจ่ายรายหัวที่ได้รับ ปี 2552 ในอัตรา 2,202 บาทต่อประชากร ซึ่งเป็นไปตามตามจำนวนที่มีการขึ้นทะเบียนจริง ที่ผ่านมา รพ.ในถิ่นทุรกันดารโดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ตาก แม่ฮ่องสอน ต้องรับภาระด้านงบประมาณคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือตามมนุษยธรรม โดยก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพยังพอมีงบประมาณช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยมาดูแล แต่ปัจจุบันสิทธิด้านการรักษาครอบคลุมคนไทยทุกคน คนที่รอการพิสูจน์สัญชาติจึงไม่มีงบใดๆ มาช่วยเหลือ และหากไม่ดูแลคนกลุ่มนี้ ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด หรือเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ทำให้สถานพยาบาลต้องรับภาระหนักขึ้นในการดูแล 26 ก.พ.52 เครื่องสำอางทำให้ขาวไม่มีสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษเรื่อง “ขาวอันตราย ...ขาวอย่างปลอดภัย” โดย รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประธานวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ผลิตผู้ขายที่นำผงไข่มุก ไข่ปลาคาร์เวีย หรือน้ำลายหอยทาก ทั้งที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้โดยตรง โดยอ้างว่าเพื่อบำรุงผิวพรรณนั้น ขอยืนยันว่า ทางการแพทย์ ไม่พบว่ามีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณแต่อย่างใด รวมถึงสารกลูตาไธโอนที่เป็นยารักษาโรคมะเร็ง แต่นิยมนำมาทำให้ผิวขาว ก็ยังไม่พบว่ามีการวิจัยทางการแพทย์ในมนุษย์ยืนยันสรรพคุณดังกล่าวเช่นกัน จึงไม่สามารถตอบได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ดีหรือไม่ดี ในส่วนของทองคำ พบว่า มีงานวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการสมานผิว ลดการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงรักษาโรคปวดข้อ แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ อนุภาพของเงินกับทองที่มีขนาดเล็กมาก อาจเข้าไปสะสมตามผิวหนังและอวัยวะต่างๆของร่างกายทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ส่วนที่มีการโฆษณามากๆ อีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ โดยมีครีมที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์สำหรับทา เพื่อให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะสเต็มเซลล์จะใช้วิธีฉีดเท่านั้น อีกทั้งการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์รับรองแต่เพียงการใช้เพื่อการรักษาโรคทางโลหิตวิทยาเท่านั้น ดังนั้นเครื่องสำอางที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์นั้นไม่เป็นความจริง อย่างมากก็แค่มีสารในน้ำเลี้ยงสเต็มเซลล์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า เรื่องสเต็มเซลล์อาจเป็นคำตอบของการรักษาในอนาคต วิธีที่ทำให้ผิวขาวทำได้แต่ก็คงไม่ขาวเกินกรรมพันธุ์ของแต่ละคน วิธีการคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นการกางร่ม ใส่แว่นดำ รวมถึงการใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเหมาะสม และมีการใช้ที่ถูกวิธี ผู้บริโภคยื่น 12,000 รายชื่อ เสนอ กม.องค์การอิสระผู้บริโภคต่อประธานรัฐสภา19 กุมภาพันธ์ 2552 เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคฟันธง...ร่างกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคของรัฐบาลไม่ อิสระจริง เดินหน้า ยื่น 12,000 รายชื่อเสนอกฎหมายฉบับของประชาชนต่อประธานรัฐสภาและรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อนำไปพิจารณาผลักดันให้เป็นกฎหมายของประชาชนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค จากภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กลุ่มคนคอนโด ชมรมเพื่อนโรคไต ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เครือข่ายผู้เดือดร้อนจากปัญหาที่อยู่อาศัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค รวมจำนวน 120 คน ได้เดินทางมาเข้าพบนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อยื่นรายชื่อของประชาชนจำนวน 12,208 รายชื่อเพื่อเสนอ (ร่าง) พ.ร.บ.องค์การอิสระผู้บริโภค พ.ศ.....ฉบับของภาคประชาชนเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการที่รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ฉบับปี 2540 จนถึงฉบับปัจจุบันในมาตรา 61 ที่ได้บัญญัติให้มีองค์การคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานของรัฐในการตรา และการบังคับใช้กฎหมายและกฎ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การอิสระนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้มี (ร่าง) พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐบาลอยู่อีก 1 ฉบับ ซึ่งนำเสนอโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคได้จัดประชุมพิจารณาสาระกฎหมายของรัฐบาลเปรียบเทียบกับร่างฉบับประชาชนไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายประเด็นที่แตกต่างกัน เช่น ร่างกฎหมายของรัฐบาลไม่ได้ให้คณะกรรมการองค์การอิสระทำงานอย่างเต็มที่เต็มเวลา แต่เน้นความสำคัญไปที่ผู้อำนวยการสำนักงานที่จะเป็นผู้ชงเรื่องส่งขึ้นไปให้ คณะกรรมการพิจารณา ซึ่งรูปแบบเช่นนี้ไม่ต่างจากโครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยังไม่สามารถทำงานเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในปัญหาที่หลากหลายได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ร่างกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคของภาคประชาชนนั้นจะให้ความสำคัญกับคณะกรรมการองค์การอิสระฯ โดยให้ทำงานในลักษณะเต็มเวลา และให้มีเลขาธิการสำนักงาน ทำหน้าที่เป็นเพียงเลขานุการของคณะกรรมการและบริหารกิจการในสำนักงานเท่านั้น ส่วนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในฉบับของภาคประชาชนนั้นจะเขียนอย่างชัดเจน ที่จะให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดองค์กรผู้บริโภคขึ้นอย่างน้อยในทุกจังหวัด และที่สำคัญคือการสนับสนุนการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งการฟ้องแทนผู้บริโภคเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งร่างของรัฐบาลไม่มีในส่วนนี้ หรือการไม่เขียนอย่างชัดเจนว่า งบที่รัฐบาลจะส่งเสริมสนับสนุนเพื่อการดำเนินการขององค์การอิสระนั้นจะเป็นจำนวนเท่าไร แต่กลับปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของรัฐบาล ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่จะทำให้องค์การอิสระผู้บริโภคไม่อิสระอย่างแท้จริง เพราะถูกควบคุมกำกับด้วยงบประมาณ ในขณะที่ร่างกฎหมายของประชาชนนั้นจะกำหนดชัดเจนว่ารัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณ ไม่น้อยกว่า 5 บาทต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศต่อปี หรือตกปีละ 300-400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับการกระจายงบของรัฐบาลตามโครงการต่างๆ ในปัจจุบันนอกจากนั้นนางสาวสารี คาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ประชาชนผู้บริโภคมีที่ปรึกษา เป็นจุดให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ มีการทำงานเชิงรุกไม่ตามแก้ปัญหา เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้บริโภคในการให้ความเห็นต่อการดำเนินการทั้งที่เป็นประโยชน์และเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค อย่างเช่น การออกประกาศวัตถุอันตรายที่เป็นสมุนไพร 13 รายการ การออกกฎกระทรวงยกเว้นยาและเครื่องมือแพทย์ที่ผลิตและใช้โดยผู้ประกอบวิชาชีพไม่เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 โดยไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภคว่าคิดเห็นอย่างไรไม่น่าจะกระทำได้“พวกเราเล็งเห็นว่าหากปล่อยให้ร่างกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคของรัฐบาลถูกนำมาบังคับใช้ในอนาคต เราก็อาจเห็นคณะกรรมการองค์การอิสระผู้บริโภค เป็นเพียงแค่คณะอนุกรรมการชุดหนึ่งเท่านั้นของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคจึงได้ช่วยกันรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเข้าชื่อ เสนอกฎหมายที่เป็นร่างของประชาชน โดยสามารถรวบรวมรายชื่อได้ทั้งหมด 12,208 รายชื่อ ซึ่งได้ยื่นให้ท่านประธานรัฐสภาและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกที่ดูแลรับผิดชอบ งานด้านคุ้มครองผู้บริโภคได้นำไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณากฎหมายต่อไป และหวังว่าร่างกฎหมายองค์การอิสระของภาคประชาชนจะถูกบังคับใช้ในรัฐบาลสมัย นี้” นางสาวสารีกล่าว เครือข่ายผู้บริโภค ร้อง กทช.สะสางปัญหา 107 บาท12 กุมภาพันธ์ 2552 เครือข่ายผู้บริโภค 7 ภูมิภาค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเข้ายื่นหนังสือต่อ กทช.ให้ออกคำสั่งยกเลิกเงื่อนไขวันหมดอายุบัตรเติมเงิน และขอให้บังคับไม่ให้เรียกเก็บค่าต่อสัญญาณ 107 บาท จี้ให้ยกเลิกใบอนุญาตผู้ประการที่เรียกเก็บ 107 บาทด้วยเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 200 คน นำโดยนางปฐมมน กันหา เครือข่ายผู้บริโภคภาคกลาง เดินขบวนจาก สถานีรถไฟฟ้า อารีย์ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เพื่อ ยื่นหนังสือเสนอให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บังคับใช้ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 โดยยกเลิกบทเฉพาะกาล ข้อ 36 วรรคสุดท้าย เพราะเครือข่ายผู้บริโภคเห็นว่าเป็นช่องโหว่ที่ถูกนำมาอ้างว่าสัญญาใหญ่ยัง อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กทช.พร้อมทั้งขอให้ทาง กทช.มีคำสั่งที่ชัดเจนให้ผู้ประกอบการยกเลิกเงื่อนไขวันหมดอายุของระบบบัตรเติมเงิน และยกเลิกการเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณ ส่วนผู้ประกอบการที่เอาเปรียบผู้บริโภค และละเมิดสิทธิโดยการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการต่อบุคคลอื่น ขอให้ยกเลิกใบอนุญาต หรือกำหนดมาตรการการลงโทษขั้นเด็ดขาด รวมทั้งขอให้ กทช.เร่งดำเนินการคงสิทธิเลขหมาย โดยควบคุมการเรียกเก็บค่าบริการให้เกิดความเป็นธรรม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 ดื่มเพื่อตาย

วันหนึ่งของเดือนมีนาคม 2558 ผู้เขียนได้มีโอกาสชมข่าว Midday delivery ของช่อง 3 แฟมิลี ซึ่งมีรูปแบบการเล่าข่าวที่น่าสนใจ เพราะพิธีกรมีความคล่องตัวในการพูดและสอดแทรกความรู้ด้านภาษาอังกฤษและจีนตลอดเวลา ตอนหนึ่งของข่าวได้กล่าวถึงผู้เคราะห์ร้ายในต่างประเทศที่ดื่มเครื่องดื่มให้พลังงาน (Energy drink) ซึ่งมีเหล้าผสมอยู่แล้วมีอาการหัวใจวายจนเกือบตาย ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์กับคาเฟอีนในกาแฟโบราณใส่น้ำแข็ง ซึ่งมีผู้หวังดีซื้อให้ดื่มระหว่างการเล่นแบดมินตัน โดยที่ผู้เขียนลืมไปว่ากาแฟโบราณที่ขายส่วนใหญ่นั้น ใช้ผงกาแฟชงน้ำร้อนในลักษณะที่ได้กาแฟที่มีความเข้มข้นสูง คาเฟอีนจึงมีมาก ดังนั้นเมื่อดื่มกาแฟขณะเล่นแบดมินตัน ซึ่งต้องใช้พลังงานสูง หมายความว่าหัวใจต้องสูบฉีดโลหิตอย่างแรง คาเฟอีนที่ได้จากการดื่มกาแฟจึงไปเสริมการเต้นของหัวใจของผู้เขียนให้สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็น จนรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากทรวงอก สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ นั่งพักเลิกเล่นแบดในวันนั้นไปเลย เพราะมิเช่นคงไม่ได้มานั่งเขียนบทความนี้แน่นอน เรื่องของเครื่องดื่มให้พลังงานนั้นเป็นประเด็นลำดับต้น ๆ ที่องค์กรเอกชนบางองค์กรสนใจในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคเมื่อราว 30 ปีก่อน กาลเวลาผ่านไปปัญหาไม่ได้ถูกแก้สักเท่าไร แต่เรื่องราวนั้นค่อนข้างเงียบไป เพราะประเด็นที่องค์กรเอกชนต่อต้านคือ การใช้ฝาจุกชิงโชคมาเป็นการโฆษณานั้นดูจางไป เพราะผู้ประกอบการหันไปหารับประทานจนร่ำรวยจากการขายในต่างประเทศที่ไม่มีการต่อต้านการดื่มสินค้านี้ อย่างไรก็ดีกรรมกรที่ทำงานในบ้านเรานั้น ต่างก็กระดกเครื่องดื่มให้พลังงานทุกเช้าก่อนเริ่มงาน โดยให้เหตุผลว่าทำให้มีแรงและกระชุ่มกระชวยทำงานได้ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร จึงลองซื้อมาดื่มดู ก็พบว่ากินโอวเลี้ยงดูจะต้องจริตของผู้เขียนมากกว่า จึงได้แต่คิดว่า กรรมใครกรรมมัน เพราะกรรมกรบางคน ถึงจะดื่มไม่เกินวันละสองขวดตามคำแนะนำก็ตาม แต่ก็ดื่มหลายยี่ห้อในวันเดียวกัน เลยได้เกินสองขวดโดยไม่เจตนา ครั้นมาพบข่าวที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มให้พลังงานผสมเหล้าในต่างประเทศเข้า จึงลองเข้าไปดูใน YouTube ว่ามีคลิปเรื่องประมาณนี้ด้วยหรือ ปรากฏว่าเพียบเลย โดยส่วนใหญ่เป็นคลิปห้ามปรามการดื่มเครื่องดื่มแบบที่ว่ากับเหล้า หรือดื่มเครื่องดื่มแบบที่มีการผสมเหล้าเข้าไปในกระป๋องเลย เนื่องจากก่ออันตรายต่อหัวใจ   คลิปแรกเป็นข่าวจากสหรัฐอเมริกาชื่อ Dangers of Alcoholic Energy Drinks ซึ่งมีเนื้อข่าวย่อ ๆ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ของ อย. เริ่มกังวลการวางขายเครื่องดื่มให้พลังงาน(energy drink) ชนิดที่มีการผสมเหล้า(ซึ่งบางยี่ห้อเลวร้ายมากเพราะมีแอลกอฮอล์ถึงร้อยละ 12) ปะปนไปกับเครื่องดื่มให้พลังงานแบบเดิม จึงทำให้นักเรียนและนักศึกษามีโอกาสได้จิบแอลกอฮอล์ขณะนั่งเรียนหนังสือ นักข่าวได้เสนอว่าควรแยกการวางขายบนชั้นในร้านสะดวกซื้อให้ชัดเจน คลิปที่น่าสนใจซึ่งขอแนะนำให้เข้าชมเพราะเป็นต้นเรื่องของข่าวใน Midday delivery เผื่อมีใครจะสามารถจะสื่อสารข้อมูลนี้แก่คนไทยที่อาจมีการดื่มในลักษณะนี้แล้วคือ The Hidden Dangers Of Energy Drinks ซึ่งเอาขึ้น YouTube เมื่อ 29 ตุลาคม 2014 มีใจความย่อๆ ว่า ซาร่าและสเตฟานีได้เฉลิมฉลองการสอบเสร็จโดยไม่ได้คิดว่า เครื่องดื่มที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของ อย. ออสเตรเลีย (ซึ่งในคลิปบอกว่าเป็น premixed alcoholic energy drink) ที่พวกเขากำลังดื่มจะฆ่าพวกเขา เพราะไม่นานหลังจากที่ดื่มไปไม่กี่กระป๋อง (แต่คงเกิน 2 กระป๋องตามที่ฉลากระบุว่าไม่ควรเกิน) ซาร่าก็ตายอย่างน่าอนาถ ในขณะที่สเตฟานีโชคดีไม่เป็นไร นักข่าวของคลิปนี้ได้พาไปดูกระบวนการขายสินค้าชนิดนี้และสำรวจสิ่งที่เป็นส่วนผสม พร้อมการไปสัมภาษณ์นักวิชาการและแพทย์ถึงปัญหาที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มนี้เกินที่กำหนด ซึ่งมีสมมุติฐานหนึ่งที่น่าสนใจคือ องค์ประกอบของเครื่องดื่มประเภทนี้อาจไปเพิ่มเกล็ดเลือดทำให้เลือดข้นขึ้น จนเกิดการอุดตันในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ นักข่าวได้ลองทำการศึกษาเล็ก ๆ โดยให้มีการเจาะเลือดอาสาสมัครที่ดื่มเครื่องดื่มนี้แล้ววัดความหนืดของเลือดที่เจาะออกมาก็พบแนวโน้มว่าน่าจะสนับสนุนสมมุติฐาน คลิปต่อไปคือ Energy Drinks and Alcohol ซึ่งเป็นการเตือนผู้บริโภค (โดยเฉพาะวัยรุ่น) จากหน่วยงานราชการของอังกฤษมีใจความว่า การผสมเครื่องดื่มให้พลังงานกับเหล้านั้นอาจทำให้บางคนคิดว่าจะเมาน้อยลง แต่อัลกอฮอล์ยังออกฤทธิ์และก่อให้เกิดอุบัติเหตุในการขับขี่รถยนต์ จึงไม่ควรผสมเครื่องดื่มสองชนิดเข้าด้วยกัน (มีเครื่องดื่มในไทยบางชนิดที่ผสมสารชีวเคมีเช่น กลูตาไทโอน แล้วโฆษณาว่าทำให้ตื่นเช้าไม่เมาค้าง ซึ่งปัจจุบันทราบกันดีว่า กลูตาไทโอนถูกย่อยหมดในทางเดินอาหาร ไม่สามารถไปถึงตับเพื่อช่วยในการทำลายแอลกอฮอล์ได้....ผู้เขียน) คลิปที่น่าสนใจมากเพราะกล่าวตรง ๆ ว่า premixed alcoholic energy drink ควรถูกยกเลิกคือ  Why Mixing Alcohol And Caffeine Is So Bad  ในคลิปนี้กล่าวถึงการขายเครื่องดื่มให้พลังงานในบาร์เหล้า ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องผสมเหล้าในเครื่องดื่มนี้แน่ แม้ว่ามันจะวางขายแยกกัน โดยผู้ดื่มมักคิดว่า การทำเช่นนี้ทำให้ได้พลังงานพร้อมจะเมาได้จนสุดฤทธิ์สุดเดช ในคลิปยังกล่าวว่า มีรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการพบว่า การดื่มเครื่องดื่มแบบนี้ทำให้โอกาสเกิดอาการใจสั่นไม่เป็นจังหวะถึง 6 เท่าและมือไม้สั่น หงุดหงิดฉุนเฉียว นอนไม่หลับ ถึง 4 เท่า ของคนปรกติที่ดวดเหล้าอย่างเดียว จากการสัมภาษณ์คนโง่เหล่านี้พบว่า เขาคิดว่าตนเองควรเมาน้อยลงจึงเทน้ำทองแดงลงคอมากขึ้น ที่สำคัญคาเฟอีนนั้นได้ทำให้ผู้ดื่มเมาฟุบช้ากว่าปรกติ จึงหยุดดื่มช้ากว่าเดิม ทำให้สามารถเพิ่มความเข้มข้นแอลกอฮอล์ในเลือดได้สูงขึ้น ส่วนคลิปสุดท้ายที่จะแนะนำให้ดูนั้น เหมาะสำหรับคนที่กินเงินเดือนที่ได้จากภาษีของคนไทยหลายกลุ่มช่วยกันดู เผื่อว่าจะมีอะไรสะกิดสมองให้คิดทำประโยชน์แก่ผู้จ่ายภาษีบ้าง คลิปนั้นชื่อ 16x9 - A Dangerous Mix: Energy drinks and booze ซึ่งเอาขึ้น YouTube เมื่อ 30 เมษายน 2012 และมีความยาวถึง 23.54 นาที คลิปนี้มีลักษณะที่เรียกว่าเป็น all in one คือ ดูคลิปนี้แล้วได้ทุกอย่างที่เป็นปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดจากการดื่มเครื่องผสมดังกล่าว ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลจากการสัมภาษณ์ เหยื่อผู้รอดตายจากการดื่มเครื่องดื่มผสมนี้ แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่จาก อย. ของแคนาดา สิ่งที่น่ากระทำเป็นอย่างยิ่งคือ น่าจะให้บริษัทรับพากษ์หนังที่เรารู้จักกันดีจากหนังแผ่นต่างๆ ช่วยพากษ์คลิปนี้ (เพราะมี subtitle ซึ่งถึงแม้จะไม่ค่อยตรงนักก็ตามให้ดู) แล้วหน่วยงานที่เอาภาษีบาปไปใช้ในการคงอยู่ของหน่วยงานทำการเผยแพร่ในรูปซีดีแจกฟรีแก่โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อใช้ในการให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนในยามที่เรากำลังปฏิรูปการศึกษาใหม่ เพื่อให้เด็กได้รู้ในสิ่งที่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ได้แต่... อะไรก็ไม่รู้.....ที่ไร้ประโยชน์จนเด็กบางคนเอาตัวไม่รอดดังเช่นทุกวันนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 170 หน้าร้อนแล้ว ดื่มอะไรดี

ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลมสีดำอาจไม่สบายใจนัก เพราะมีนักข่าวชื่อ Rachef Arthur รายงานใน www.beveragedaily.com เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2015 ว่า อาจารย์ของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินในสหรัฐอเมริกาชื่อ Keeve Nachman ออกมาให้ข่าวถึงความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากการดื่มน้ำอัดลมสีดำ พร้อมตั้งความหวังว่าหน่วยงานรัฐควรลดความเสี่ยงโดยการพิจารณากฎหมายลดการที่ผู้บริโภคได้รับสาร 4-methylimidazole ในน้ำอัดลมที่ใช้สีคาราเมลชนิดที่ 3 และชนิดที่ 4 จากข่าวดังกล่าวทำให้บริษัทขายน้ำดำยี่ห้อหนึ่งรีบออกมาตอบโต้ว่า ข้อมูลดังกล่าวนั้นล้าสมัยแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่มีการพูดถึงมานานและก็จบไปแล้ว น้ำอัดลมสีดำนั้นไม่ปาราชิกแน่ ทั้งนี้เพราะสินค้าของบริษัทนั้นได้มาตรฐานระดับโลกตลอดเวลา ในรายงานวิจัยเรื่อง Caramel Color in Soft Drinks and Exposure to 4-Methylimidazole: A Quantitative Risk Assessment ของ Tyler J. S. Smith และคณะ จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกิน (มี Keeve Nachman ซึ่งเป็นผู้ให้ข่าวแก่สาธารณะข้างต้นร่วมเป็นผู้นิพนธ์ด้วย) ตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ชื่อ PLOS One  เมื่อวันที่ February 18, 2015  มีข้อมูลที่ได้จากการทำวิจัยว่า ผู้บริโภคในรัฐแคลิฟอร์เนียได้รับสารพิษ 4-methylimidazole นี้จากเครื่องดื่มน้ำดำในปริมาณซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพราะพบว่า ประชาชนในรัฐดังกล่าวได้รับสารพิษนี้เกิน 29 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งตามข้อบัญญัติของกฎหมายชื่อ California’s Proposition 65 law นั้น กำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำให้ประชาชนได้รับ 4-methylimidazole เกินกว่า 29 ไมโครกรัมต่อวัน (ซึ่งทำให้ความเสี่ยงของผู้บริโภคต่อการเป็นมะเร็งเกินกว่า 1 คนต่อ 100,000 คน) นั้นต้องติดฉลากเพื่อเตือนอันตราย เว็บของบริษัทขายสีคาราเมลเว็บหนึ่งกล่าวว่า สีคาราเมลนั้นเป็นสีที่ถูกใช้มากที่สุดในโลก เพราะเครื่องดื่มที่มีการดื่มมากที่สุดในโลกนั้นมีสีดำ จึงต้องใช้สีคาลาเมลแต่งสีให้น้ำนั้นดำตามมาตรฐานของสินค้านั้นๆ ตามข้อบัญญัติเกี่ยวกับสารเจือปนในอาหารของสหรัฐอเมริกานั้น สีคาราเมลเป็นของเหลวหรือของแข็งสีน้ำตาลเข้มซึ่งมักได้จากการให้ความร้อน(ที่ควบคุมอุณหภูมิได้)แก่น้ำเชื่อมทำจากน้ำตาลเด็กโตรส (อีกชื่อของกลูโคส)ที่ได้จากข้าวโพด แล้วได้คาราเมลที่อยู่ตัวและไม่เหนียวเกินไป ที่น่าสนใจคือ ในการผลิตนั้นยังมีการใช้ กรด ด่างหรือเกลือบางชนิดช่วยเร่งให้สารตั้งต้นเปลี่ยนเป็นสีคาราเมล สีคาราเมลถูกจัดให้เป็นสารเจือปนในอาหารที่ปลอดภัยมากในระดับ GRAS (generally recognized as safe) ทั้งนี้เพราะเป็นสารเจือปน 1 ใน 700 ชนิดที่ถูกจัดว่ามีความเป็นธรรมชาติ (เหมือนกับ คำแสด(annatto) เบต้าแคโรทีน และน้ำจากหัวบีท เป็นต้น) ที่ใช้กันมานานก่อนที่รัฐบัญญัติ U.S. Food Drug and Cosmetic Act มีผลในวันที่ 1 มกราคม 1958 ซึ่งหมายความว่า สารเหล่านี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบความเป็นพิษด้วยสัตว์ทดลอง เนื่องจากคนที่กินมันตั้งแต่ก่อนปี 1958 นั้นได้เป็นเสมือนเป็นสัตว์ทดลองไปเรียบร้อยแล้ว สีคาราเมลที่มีการขายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารนั้นแบ่งเป็น 4 ชนิดคือ ชนิดที่ 1 (มีรหัสของอียูว่า E150a บนฉลากอาหาร) ได้จากการให้ความร้อนแก่คาร์โบไฮเดรตโดยอาจมีการใช้กรดหรือด่างที่มีการยอมให้ใช้ได้ในอาหารเป็นตัวช่วย แต่ไม่มีการใช้เกลือแอมโมเนียหรือเกลือซัลไฟต์ในการผลิต สีที่ได้นั้นมีประจุไฟฟ้าเป็นกลางหรือลบนิดหน่อย สีคาราเมลชนิดที่ 2 (มีรหัสเขียน E150b บนฉลากอาหาร) หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า caustic sulfite caramel ดูตามชื่อแล้วท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า ได้จากการให้ความร้อนแก่คาร์โบไฮเดรตโดยมีการเติมเกลือซัลไฟต์ลงไป สีที่ได้นั้นมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ สีคาราเมลชนิดที่ 3 (มีรหัสเขียน E150c หรือ ammonia caramel colors) ได้จากการให้ความร้อนแก่คาร์โบไฮเดรตโดยผสมหรือไม่ผสมกรดหรือด่างลงไปแต่ที่ผสมแน่ๆ คือ เกลือแอมโมเนีย ได้สีคาราเมลที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก สีคาราเมลชนิดที่ 4 (มีรหัสเขียนE150d หรือ sulfite ammonia caramel colors) จากชื่อของสีท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า ในการเตรียมนั้นมีการใช้ทั้งเกลือแอมโมเนียและเกลือซัลไฟต์ ทำให้ได้สีที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ สีคาราเมลชนิดนี้แหละที่มีการผลิตให้ผู้บริโภคกินมากที่สุด เพราะเป็นสีที่มีความเสถียรที่สุดและหนืดน้อยที่สุด สิ่งที่เป็นปัญหาของสีคาราเมล ซึ่งรู้กันมานานพอควรแล้วคือ ในการผลิตสีชนิดที่ 3 และ 4 ซึ่งมีการใช้เกลือแอมโมเนียนั้น ก่อให้เกิดสารปนเปื้อนชนิดหนึ่งคือ 4-methylimidazole หน่วยงาน National Toxicology Program (NTP) ของสหรัฐอเมริกาได้จัดให้สาร 4-methylimidazole เป็น "possibly carcinogenic to humans" ซึ่งหมายความว่า มีข้อมูลการก่อมะเร็งแล้วในสัตว์ทดลอง แต่ยังขาดข้อมูลระบาดวิทยาในคน โดยผลการศึกษาในการประเมินความเป็นพิษของ 4-methylimidazole ในหนู rat ซึ่งใช้เวลา 2 ปีนั้น ยังสรุปไม่ได้ถึงอันตรายในการก่อมะเร็ง แต่ข้อมูลจากศึกษาในหนู mouse ซึ่งใช้เวลา 2 ปีเช่นกันนั้นพบว่า สารนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีมีนักวิทยาศาสตร์บางคนได้ตั้งประเด็นว่า ผลการศึกษานั้นไม่น่าเชื่อถือเพราะการประเมินความเสี่ยงของสารเจือปนในอาหารนั้น มักใช้ปริมาณสารมากเกินกว่าที่มนุษย์จะได้รับจริงเช่น เป็นพันเท่าขึ้นไปของปริมาณที่จะมีการใช้ในอาหาร การโต้แย้งในลักษณะนี้กลายเป็นความเคยชินแล้วสำหรับนักพิษวิทยา เพราะผู้โต้แย้ง (ซึ่งมักมีผลประโยชน์ทับซ้อน) มักทำเป็นลืมไปว่า จำนวนประชากรในโลกตอนนี้มีกว่า 7000 ล้านคน ในขณะที่การศึกษาความเป็นพิษของสารเคมีทั่วไปนั้นใช้หนูทดลอง(ซึ่งมีสุขภาพดีและกินดีอยู่ดี)เพียงพันกว่าตัวถึงสองพันตัว  เพื่อรับบทบาทเป็นตัวแทนของมนุษย์กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดซึ่งไวต่อการเป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ปริมาณสารในปริมาณที่สูงมากเพื่อให้ได้เห็นศักยภาพความเป็นพิษของสาร ซึ่งถ้าผลการทดลองไม่พบความเป็นพิษก็จะทำให้สบายใจได้ว่า ประชากรทั้งแข็งแรงและอ่อนแอไม่ต้องเสี่ยงมากนักต่อการเป็นมะเร็งเนื่องจากกินสารที่ถูกทดสอบ สำหรับผลการศึกษาที่ Keeve Nachman แถลงข่าวนั้นเป็นผลจากการวิเคราะห์ความเข้มข้นของ 4-methylimidazole ในน้ำอัดลม และนำไปคำนวณความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในผู้บริโภค ซึ่งพบว่าความเสี่ยงสูงกว่าที่ยอมรับได้คือ คำนวณได้ว่า ในผู้บริโภคล้านคนมีมากกว่าหนึ่งคนที่จะเป็นมะเร็งเนื่องจากการบริโภคสินค้าดังกล่าว ท่านผู้อ่านสามารถตามไปดูบทความวิจัยชื่อดังกล่าวได้โดยอาศัยอากู๋เกิ้ลช่วยพาไป ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตกล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาสรุปผลจากงานวิจัยของ Tyler J. S. Smith และคณะว่า ความเสี่ยงที่คำนวณได้ว่าการดื่มน้ำอัดลมที่ถูกศึกษาแล้วจะเป็นมะเร็งนั้น ผู้บริโภคต้องดื่มน้ำอัดลมถึง 1,000 กระป๋องต่อวัน ถึงจะได้ 4-methylimidazole ถึงระดับที่ก่อปัญหาได้ (ซึ่งคงไม่มีคนบ้าคนไหนดื่มได้) ซึ่งการสรุปนี้ว่าไปก็ถูกในแง่การเอาใจผู้ประกอบการแต่ผิดในแง่ที่ อย.มะกันอาจลืมคิดไปว่า แม้ว่าพลโลกส่วนใหญ่จะมีร่างกายแข็งแรงกำจัดสารพิษทิ้งได้ไม่ยาก แต่ก็มีส่วนน้อยที่อาจมีระบบกำจัดสารพิษในร่างกายไม่ดีอยู่บ้าง ที่น่าสนใจคือ ในปี 2011 รัฐบัญญัติ California’s Safe Drinking Water and Toxic Enforcement Act (Proposition 65) ได้เพิ่มสาร 4-methylimidazole เป็นสารก่อมะเร็งในบัญชีสารก่อมะเร็งเรียบร้อยโรงเรียนมะกันไปแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มโรงงานผู้ผลิตน้ำอัดลมน้ำดำจำใจต้องประกาศว่า จะลดความเข้มข้นของ 4-methylimidazole ในผลิตภัณฑ์ของตน (ซึ่งน่าจะหมายความว่าใช้สีน้อยลง) ข้อมูลที่นำเสนอนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องการก่อความกังวลให้แก่ผู้นิยมบริโภคน้ำอัดลมสีดำของบ้านเรา ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคคงไม่มีโอกาสทราบว่า สีคาราเมลที่ใช้ในเมืองไทยนั้นเป็นสีคาราเมลชนิดใด เมื่อไม่รู้และไม่มีทางรู้ก็อย่ากังวลไปเลย หาวิธีลดความเสี่ยงเอาเอง แบบว่าเมื่อผู้เขียนกระหายต้องการน้ำตาลหลังออกแรงก็ดื่มเฉพาะน้ำอัดลมชนิดน้ำใสเท่านั้น จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากกลิ่นและรสสังเคราะห์เท่านั้น (ความรู้ด้านพิษวิทยาสอนให้รู้ว่า เมื่อมีอะไรเข้าปากเรา ความเสี่ยงย่อมเกิดขึ้นทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่เท่านั้น)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 โฆษณา อันตรายหลบใน

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตรศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ : สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยามหิดลnukks@mahidol.ac.th โฆษณาเครื่องสำอางสำหรับทาผิวสาวยี่ห้อหนึ่งได้กระตุ้นให้ผู้เขียนต้องเขียนบทความนี้ ความจริงมันก็เป็นโฆษณาที่เหมือนโฆษณาเครื่องสำอางทั่วไป (คือ ไม่บอกความจริงทั้งหมด) โดยให้สาวหน้าตาพาไปวัดตอนสายๆ ได้บอกผู้ชมว่า สาร SPF นั้นป้องกันแสง UVB ได้เท่านั้นนะ ส่วน UVA นั้น สาร SPF ส่วนใหญ่ปกป้องไม่ได้ จึงทำให้คนที่ทาเครื่องสำอางป้องกันอันตรายจากแดดนั้น ยังไง ๆ ก็คล้ำแน่ ดังนั้นเครื่องสำอางยี่ห้อดังกล่าวจึงใส่สารอื่นลงไปด้วยป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB เล การใช้ครีมกันแดดซึ่งมี SPF สูงกว่า 15 นั้น เป็นคำแนะนำของแพทย์โรคผิวหนัง ที่เตือนคนทั่วไปให้ระวังเมื่อออกแดด แต่แพทย์คงไม่ได้หวังให้สาวไทยผิวขาวเป็นจิ้งจกเผือก เพราะวันใดที่สาวที่ผิวขาวลืมทาครีมออกไปกลางแดด โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังก็จะเพิ่มขึ้น เพราะตำแหน่งของประเทศไทยนั้นรับแสง UVB มากกว่าประเทศแถบอบอุ่นและแถบหนาว ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การโฆษณานั้นมีนิยามมากมาย มนุษย์คนหนึ่งนิยามว่า "การโฆษณา หมายถึง การสื่อสารในรูปแบบใดๆ ซึ่งเจตนาที่จะกระตุ้นผู้ที่มีศักยภาพในการซื้อ และการส่งเสริมในด้านการจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมถึงการสร้างประชามติ การกระทำการเพื่อก่อให้เกิดการสนับสนุนทางการเมือง การขายความคิดหรือการเสนอความคิดเห็น หรือสาเหตุต่างๆ และการกระทำเพื่อให้ประชาชนเห็นคล้อยตามหรือปฏิบัติไปในทางที่ผู้โฆษณาประสงค์" จะเห็นว่าการโฆษณานั้นไม่ได้พูดถึง ความเสียหายของผู้ที่บริโภคสินค้านั้นๆ เลย เสมือนกับว่า เมื่อถูกโน้มน้าวให้ควักกระเป๋าแล้วก็ตัวใครตัวมัน คนทำโฆษณาก็ได้เงิน คนขายสินค้าก็ได้เงิน ส่วนผู้บริโภคนั้นถ้าเป็นไรไป ก็ตามหาหน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภคมาช่วยเอาเอง ที่สำคัญก็คือ มันเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า การโฆษณานั้นเป็นการที่บ้านเมืองอนุญาตให้ใครก็ไม่รู้มาพูดในสิ่งซึ่งอาจเป็นการโกหกโดยสิ้นเชิงในที่สาธารณะได้ โดยไม่ผิดกฏหมาย เช่น การออกมาพูดในโทรทัศน์ว่า ดื่มกินสินค้าชนิดหนึ่งแล้วอึง่าย ทั้งที่ความจริงไม่เคยกินเลย สวนกาแฟมาตลอดประเด็นสำคัญคือ ผู้ร่วมในการทำโฆษณาคงไม่เคยอารธนาศีลข้อ 4 แน่นอน ดังนั้นในฉลาดซื้อฉบับนี้ ผู้เขียนจึงขอออกนอกเรื่องที่เกี่ยวกับอาหารมาเป็นเรื่องเครื่องสำอางบ้าง เพราะสินค้านี้อยู่ภายใต้การดูแลของ อย เช่นกัน แต่ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องจับผิดโฆษณาเท่าไร เพราะแค่จับน้ำดื่มบรรจุขวดผิดมาตรฐาน อย ก็ดูจะหมดแรงแล้ว เด็กไทยเรียนรู้มานานแล้วว่า ถ้าได้ออกไปเล่นกลางแดดตอนเช้าๆ บ้างจะแข็งแรง ไม่เป็นโรคกระดูกอ่อน เพราะได้แสงแดดในตอนเช้าถึงสายกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดีได้ วิตามินดีเป็น วิตามินที่เกี่ยวกับการสะสมแคลเซียมที่กระดูกทำให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง ในแสงแดดมีแสงหลายระดับคลื่นประกอบอยู่ ระดับที่เรียกว่าแสงอัลตราไวโอเลตเป็นแสงที่มีความสำคัญมากต่อการสร้างไวตามินดี ข้อมูลจากวิกิพีเดียกล่าวว่า รังสีเหนือม่วง หรือ รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) หรือ รังสียูวี (UV) เป็นช่วงหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่มองเห็น มีความยาวคลื่นในช่วงต่ำกว่า 400 นาโนเมตร มันได้ชื่อดังกล่าวเนื่องจากสเปกตรัมของมันประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นที่มนุษย์มองเห็นเป็นสีม่วง รังสีอัลตราไวโอเลตแบ่งเป็น UVA UVB และ UVC (แต่ไม่มี UBC นะครับเพราประเภทหลังเป็นอันตรายต่อสุขภาพเนื่องจากทำให้คนนอนน้อย) UVA มีพลังงานต่ำที่สุด แต่ทะลุลงมาถึงพื้นโลกได้ตลอดวัน แสง UVA นี้แน่มาก ทะลุกระจกได้ราว 70% ดังนั้นถ้าต้องการป้องกันไม่ให้ผิวคล้ำมาก ต้องใช้ผ้าม่านบังแดด อย่างไรก็ดีรังสีนี้ไม่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด เพียงแต่ทำให้คล้ำพอสวยงาม จึงมีฝรั่งหัวใสผลิตหลอดไฟปล่อยแสง UVA สำหรับใช้ปิ้งให้สาวฝรั่งที่ผิวขาวเป็นจิ้งจกมีผิวคล้ำขึ้น ซึ่งสาวไทยไม่ชอบนั่นเอง ส่วนปรากฏการณ์ผิวดำตับเป็ดนั้นเกิดเนื่องจาก UVB ที่ทะลุชั้นผิวหนังน้อยกว่า ทำให้เกิดความร้อนและไหม้ เพราะรังสี UVB เป็นต้นเหตุที่ให้คนมีสีผิวดำเพราะกระตุ้นให้มีการสร้างรงควัตถุที่เรียกว่า เมลานิน อย่างไรก็ดีรังสีนี้มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้มีการสร้างวิตามินดีในร่างกายจากอนุพันธ์ของโคเลสเตอรอลได้ถ้ารับรังสีนี้นานพอควร รายละเอียดมีเยอะมากในเน็ทต่าง ๆ เช่น http://www.westonaprice.org/basicnutrition/vitamindmiracle.html ระยะเวลาในการที่ร่างกายเรารับแสงเพื่อสังเคราะห์วิตามินดีนั้นขึ้นกับตำแหน่งบนพื้นโลก เช่น ประเทศไทยไม่ควรนานนักเพราะ UVB มีเยอะและออกมาแต่เช้า แต่ถ้าไปอยู่แถบประเทศที่เกินเส้นรุ้งที่ 30 องศาไปทั้งเหนือและใต้จะมีรังสี UVB น้อยกว่าและมาในเวลาที่สายกว่าเช่น สิบโมงเช้าถึงบ่ายสองโมง ซึ่งเป็นเวลาที่แสงแดดบ้านเรากำลังร้อนมากสามารถเผาคนไทยให้สุกได้กลางถนนทีเดียว ที่เป็นเช่นเป็นผลเนื่องจากมุมหักเหแสงที่ตกกระทบพื้นโลกที่ตำแหน่งต่างกัน ดังนั้นคนที่อยู่ในแถบมีรังสี UVB น้อยจึงมักมีผิวขาวเพื่อให้รับแสงได้มาก ส่วนคนในพื้นที่มี UVB มากจึงต้องมีสีผิวคล้ำเพื่อป้องกันไม่ให้รับมากไปจนเกิดอันตราย เพราะทั้งรังสี UVA และ UVB นั้นเป็นสาเหตุของการเป็นมะเร็งผิวหนังถ้าสัมผัสนานเกินไป ประการสำคัญคือ รังสี UVA นั้นทะลุลงไปในชั้นผิวหนังได้ลึกกว่า เลยถูกสงสัยว่าทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังชนิดที่เรียกว่า non-melanoma skin cancers โดยสรุปแล้ว ถ้าจะให้ปลอดภัยกับเด็กๆ ควรให้สัมผัสแสงแดดไม่เกินเก้าโมงเช้าและหลังบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความร้อนของแดดพอทนได้ แต่ที่สำคัญคือ ควรหัดให้เด็กใส่แว่นดำกลางแดด ไม่ใช่เพื่อสวยเท่ แต่เพื่อป้องกันอันตรายจากแสง UV ทั้งสองที่อาจทำให้ตาเป็นโรคต้อได้เมื่ออายุมากขึ้น สำหรับ UVC นั้นเป็นตัวแสบ เพราะพลังงานสูงมาก ถ้าโดนผิวก็จะแสบร้อน แต่มนุษย์ยังโชคดีที่รังสีนี้ถูกดูดซับไว้ได้ด้วยชั้นโอโซนในบรรยากาศโลก แต่อีกไม่นานมนุษย์ก็อาจโชคเลวได้ เพราะตอนนี้ชั้นโอโซนเริ่มเป็นรูเนื่องจากถูกสาร Chlorofluorocarbon (CFC) ที่ใช้เป็นก๊าซอัดในกระป๋องที่ต้องการฉีดพ่นอะไรก็ตามที่ต้องการพ่น หรือที่ใช้เป็นตัวทำให้เกิดความเย็นในเครื่องปรับอากาศตกยุค ลอยขึ้นไปถึงชั้นโอโซนและทำลายโอโซนจนเกิดช่องในชั้นบรรยายกาศของแถวขั้วโลกแล้ว UVC นี้เราสามารถผลิตได้โดยใช้หลอดไฟพิเศษ วัตถุประสงค์เพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคในห้องผ่าตัด เนื่องจากรังสีนี้มีพลังทำลายได้ถึงหน่วยพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นจึงมีการประยุกต์นำหลอดไฟประเภทนี้มาใช้ในกระบวนการฆ่าเชื้อในน้ำดื่มบรรจุขวดด้วย กรณีนี้มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่งคือ หลอดฆ่าเชื้อประเภทนี้มีอายุใช้งาน ซึ่งเมื่อใช้นานไป แม้หลอดยังติดอยู่แต่ฆ่าเชื้อไม่ได้แล้วเพราะพลังงานต่ำลง ซึ่งปรากฏว่าโรงงานผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดแบบห้องแถวมักไม่สนใจ เนื่องจากมันยังติดอยู่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วหลอดชนิดนี้ต้องเปลี่ยนเมื่อใช้ครบตามชั่วโมงที่โรงงานผลิตกำหนดมา ไม่ใช่ใช้จนโรงงานเจ๊ง ที่ได้กล่าวเรื่องแสง UV มานี้เพื่อจะเข้าเรื่องเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องสำอางในโทรทัศน์ที่ พูดถูกแต่อันตราย ทั้งนี้เพราะบริษัทผลิตเครื่องสำอางจับไต๋ผู้ชายไทยได้ว่า ชอบผู้หญิงที่เรียกว่า ชีชีแปะแป๊ะ (ซึ่งน่าจะแปลว่า อวบๆ ขาวๆ) แม้รักแร้ยังต้องทาให้ขาวเนียน จึงจะมีโอกาสหาสามีได้เครื่องสำอางสำหรับผิวหนังจึงต้องผสมสารทำให้ผิวขาวที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป คำว่า SPF นั้นย่อมาจาก Sun Protecting Factor หรือเรียกง่ายๆ ว่า ค่าป้องกันแสงแดด โดยถ้าเราเคยตากแดดในระดับหนึ่งแล้วผิวไหม้ใน 15 นาที แต่ถ้าทาครีมที่มี SPF 6 ผิวก็จะไหม้ช้าลง 6 เท่าคือ ไหม้หลังจากตากแดดในระดับเดียวกัน 90 นาที ถ้า SPF 8 ก็จะไหม้ที่ 120 นาที หรือ 2 ชั่วโมง ยังมีหลายๆ คนเข้าใจผิดว่าการใช้ค่า SPF สูงๆ จะทำให้ตากแดดได้นานขึ้น ซึ่งไม่จริง เพราะค่า SPF ที่สูงขึ้น ไม่ได้แปรผันตามความทนแดดเลย ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 นั้น สามารถป้องกันรังสียูวีบีได้ 93% ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับค่า SPF30 จะป้องกันได้เพียง 96% เท่านั้น ดังนั้น ค่า SPF ที่สูงขึ้น ก็ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเท่าไหร่ แถมสิ่งที่ตามมาก็คือ ราคาและความเหนียวเหนอะหนะเพิ่มมากขึ้น หากไม่จำเป็นก็ใช้ SPF ที่พอเหมาะ เพื่อไม่ให้ผิวหนังของเราต้องแบกรับภาระของสารเคมีที่มากเกินไป ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ถ้าสาวๆ ใช้เครื่องสำอางเพื่อพยายามทำให้ผิวของตนเองขาวมากที่สุดเท่าที่ขาวได้ คุณๆ ต้องป้องกันแสงแดดให้ดี เพราะผิวคุณแทบไม่มีภูมิคุ้มกันแสง UV ที่อาจทำอันตรายให้คุณเป็นมะเร็งได้เลย คุณต้องทำเหมือนคนที่มีอาการความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องกินยาลดความดันตลอดชาติ ดังนั้นเมื่อคุณมีผิวขาวเพื่อประกันความสามารถจะยั่วยวนหนุ่ม คุณก็ต้องมีสตางค์ที่ต้องซื้อเครื่องสำอางมาปกป้องผิวตลอดไป หรือไม่ก็ต้องใส่เสื้อปกปิดผิว แม้อากาศจะร้อนมากในเดือนเมษายน แต่ถ้าคุณเป็นสตรีที่มีผิวคล้ำ แม้จะดำตับเป็ดก็ตาม คุณค่อนข้างจะปลอดภัยจากมะเร็งผิวหนังเพราะ พ่อแม่ให้พันธุกรรมสร้างเม็ดสีปกป้องผิวเป็นของขวัญชีวิต เพื่อปกป้องคุณจากการเป็นมะเร็งผิวหนัง รู้อย่างนี้แล้ว จะไปซื้อเครื่องสำอางมาลดเกราะคุ้มกันผิวตามที่เขาโฆษณา ก็สุดแต่ใจจะไขว่คว้า หามะเร็งผิวหนัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางอย่างไรดี

ผู้ที่ชื่นชอบการแต่งหน้าเป็นประจำ สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากคือสิว ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเราล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด จนทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน สำหรับบางคนแม้จะล้างสะอาดหน้าแล้วก็ยังเป็นสิวหรือมีผื่นเล็กๆ ขึ้นอยู่เสมอ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเราเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเรา ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาวให้หน้าเหี่ยวก่อนวัยได้ แล้วอย่างนี้เราควรมีวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางอย่างไร ให้สะอาดและเหมาะสมกับผิวหน้าตัวเองเริ่มจากเช็คสภาพผิวหน้าของตัวเองก่อน ก่อนที่เราจะเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง เราควรรู้ว่าสภาพผิวหน้าของเราเป็นแบบไหน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้1. ผิวธรรมดา (Normal Skin) คือ ผิวที่มีความสมดุล ไม่แห้งหรือมันเกินไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผิวที่มีสุขภาพดี2. ผิวแห้ง (Dry Skin) คือ ผิวที่มีความมันน้อยกว่าปกติ เนื่องจากขาดกรดไขมันที่จำเป็นในการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้รู้สึกหยาบกร้านและดูหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายที่สุด3. ผิวมัน (Oily Skin) คือ ผิวที่มีการผลิตความมันในปริมานมากเกินไป จะมีลักษณะมัน เงาและสามารถมองเห็นรูขุมขนได้ชัดเจน4. ผิวผสม (Combination Skin) คือ ผิวที่แห้งและมันบริเวณทีโซน (T-zone) ตรงหน้าผากและจมูก เริ่มทำความรู้จักผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางปัจจุบันผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง หรือ Cleansing ตามท้องตลาดมีหลายประเภท เพราะผู้ผลิตมักออกแบบมาให้เหมาะสำหรับผู้มีสภาพผิวที่แตกต่างกัน  ซึ่งเราสามารถจำแนกออกมาเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้1. Cleansing water คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางแบบน้ำ ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (oil-free) ทำให้ไม่มีความเหนอะหนะ เหมาะสำหรับคนผิวมัน และผู้ที่แต่งหน้าอ่อนๆ2. Cleansing milk คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางเนื้อเหลวกึ่งข้น ซึ่งมีน้ำและน้ำมันเป็นส่วนประกอบ โดยบางยี่ห้ออาจมีน้ำนมผสมอยู่ด้วย เหมาะสำหรับคนผิวธรรมดา – แห้ง 3. Cleansing Cream และ Balm คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชนิดครีม ส่วนใหญ่จะมี Mineral Oil, Beeswax เป็นส่วนประกอบ เหมาะสำหรับคนผิวธรรมดา – แห้งมาก แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้ล้างหน้าเป็นประจำ เพราะอาจทำให้อุดตันรูขุมขนได้ 4. Cleansing Oil คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางที่มีลักษณะเป็นน้ำมัน และมี Mineral oil เป็นส่วนประกอบทำให้ล้าง make up ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อล้างแล้วจะทำให้หน้ามีความชุ่มชื่น ไม่แห้งตึง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายเพราะสามารถอุดตันรูขุมขนได้ดี5. Eye remover หรือ Dual Phase Cleansing คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางเฉพาะรอบดวงตาและริมฝีปาก โดยมีส่วนประกอบหลักคือน้ำและน้ำมัน หากมองภายนอกจะเห็นว่าแยกเป็น 2 ชั้น เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวทั้งนี้สำหรับบางคนที่นำ Baby oil มาล้างเครื่องสำอาง พบว่าส่วนผสมหลักคือ mineral oil ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน เพราะสามารถทำให้หน้ามันมากขึ้น และอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้แนะวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางนอกจากเราจะเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ สารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งสามารถทำให้เราแพ้หรือเกิดอาการระคายเคืองได้ ดังนั้นวิธีเบื้องต้นในการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางคือ- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะสามารถทำลายสมดุลของใบหน้า และทำให้ผิวแห้งตึงหรืออักเสบได้ - หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีน้ำหอม เพราะสามารถทำให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองผิวได้มากที่สุด- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีสารกันบูด เพราะสามารถทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 ใช้เครื่องสำอางยี่ห้อเดิมไม่เปลี่ยนเลย จะดีจริงหรือ

ฉลาดซื้อเคยเสนอเรื่องผู้ชายกับเครื่องสำอาง เพราะเชื่อว่าไม่ว่าใครจะชายหรือหญิงอย่างน้อยๆ ก่อนออกจากบ้านก็ต้องผ่านเครื่องสำอางกันไม่ต่ำกว่าคนละ 1 ชนิด อย่างไรก็ตามแม้เครื่องสำอางจะช่วยในการทำความสะอาด ส่งเสริมความงามหรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะภายนอกได้ แต่ก็สามารถทำให้เราแพ้เครื่องสำอางจนต้องหาทางรักษากันให้วุ่นวาย ซึ่งอาการแพ้ต่างๆ ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเราซื้อเครื่องสำอางชนิดใหม่มาใช้เท่านั้น เพราะเครื่องสำอางชนิดเดิมที่เราคุ้นเคยก็อาจทำให้เราแพ้ได้เช่นกันเราแพ้เครื่องสำอางได้อย่างไรสำหรับเครื่องสำอางที่เราไม่เคยใช้ คนอื่นอาจจะรีวิวสินค้าว่าเขาไม่แพ้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่แพ้เหมือนเขา เพราะแต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ยิ่งบางคนที่มีประวัติผิวแพ้ง่ายอยู่แล้ว อาการแพ้เครื่องสำอางก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเข้าไปอีก โดยเฉพาะการแพ้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารให้ความหอม (fragrances) และสารกันเสีย (parabens) หรือในบางประเภทก็ผสมสีที่อาจไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นเราจึงควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนนำมาใช้จริงด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ทาทิ้งไว้ในบริเวณบอบบางอย่างใต้ท้องแขนประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง เพื่อทดสอบว่าเรามีอาการระคายเคืองหรือไม่ และไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อบ่อยๆ ดังที่ พญ.เยาวเรศ นาคแจ้ง แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญพิเศษสถาบันโรคผิวหนัง ได้คำแนะนำไว้ในบทความผื่นเพราะเครื่องสำอางว่า เมื่อใช้ยี่ห้อใดแล้วผิวหน้าสบายดี ก็ไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ เพราะการเปลี่ยนยี่ห้อ ก็คือการเปลี่ยนชนิดของสารกันบูดและสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นหอม ซึ่งทั้งสองชนิดนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามสำหรับเครื่องสำอางยี่ห้อเดิมที่เราใช้ไปนานๆ แล้วค่อยพบอาการแพ้ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะเครื่องสำอางนั้นอาจหมดอายุแล้ว หรือมีการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น ทั้งนี้หากเรามั่นใจว่าเครื่องสำอางไม่ได้เสื่อมสภาพ หรือใช้งานถูกต้องแต่ก็ยังแพ้อยู่ สาเหตุอาจจะมาจากส่วนผสมที่เปลี่ยนไปก็ได้ ดังที่ นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ แพทย์ผิวหนังโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เครื่องสำอางยี่ห้อเดียวกัน ชนิดเดียวกันเมื่อเปลี่ยนขวดใหม่อาจเกิดปัญหาได้ เพราะผู้ผลิตอาจเปลี่ยนสูตร หรือคุณภาพของส่วนผสมอาจไม่เหมือนเดิมสังเกตอย่างไรว่าเราแพ้เครื่องสำอางเข้าแล้วนอกจากจะแพ้เครื่องสำอางต่างชนิดกันแล้ว อาการเริ่มแพ้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะแพ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ หรือบางคนอาจจะเริ่มแพ้หลังจากใช้ไปแล้วช่วงระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามลักษณะอาการแพ้เครื่องสำอางที่เห็นได้ชัดเจนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ1. การระคายเคืองจากการสัมผัส (Irritant Contact Dermatitis)เป็นอาการที่พบได้ง่ายโดยเกิดจากการเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับร่างกาย มักมีอาการยุบยิบบนผิวหนังที่สัมผัส หรือแสบร้อน คัน หรือเป็นผื่นแดง หากมีอาการมากขึ้นก็อาจกลายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบได้ ควรระวังการใช้ในบริเวณผิวหนังมีความบางมากๆ เช่น หนังตา ขอบตา หรือบางกรณีอาจเกิดเป็นลมพิษ ที่มีอาการบวมแดงร่วมกับอาการคันและเป็นผื่น 2. การแพ้จากการสัมผัส (Allergic Contact Dermatitis)เป็นอาการแพ้ของผู้ที่แพ้สารเคมีเฉพาะที่อยู่ในเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพราะขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคน โดยส่วนมากจะเริ่มต้นด้วยอาการคัน และอาจเป็นผื่นคัน บวม ผิวแตก หรือถึงกับผิวเปื่อยตามมาเลยก็ได้แนวทางป้องกันอาการแพ้เครื่องสำอางเพราะคนเราแพ้เครื่องสำอางได้จากหลายสาเหตุ จึงควรหมั่นป้องกันปัจจัยต่างๆ ที่อาจทำให้เราแพ้เครื่องสำอางได้เช่น อายุของเครื่องสำอาง การใช้เครื่องสำอางที่ไม่ถูกวิธี หรือปัจจัยจากสภาพผิวที่แตกต่างกัน ทำให้บางคนอาจจะไปเลือกใช้เวชสำอาง (เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมยาเข้าไปด้วย) หรือการเลือกใช้เครื่องสำอางในกลุ่ม Hypo allergic หรือเครื่องสำอางที่มีโอกาสแพ้น้อย แต่เครื่องสำอางกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถยืนยันว่าจะไม่แพ้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่ลดโอกาสในการแพ้ลงเท่านั้น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 แพ้ความหอม

รู้ไหมว่า กลิ่นหอมในเครื่องสำอาง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้โดยไม่รู้ตัว น้ำหอม หรือ perfume นั้นเกิดจากการรวมตัวกันของ ‘น้ำมัน’ และ ‘แอลกอฮอล์’ ผสมกลิ่น(หัวน้ำหอม)ซึ่งสกัดมาจากดอกไม้และพืชพันธุ์ในธรรมชาติ หรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากสารเคมี กลายเป็นสารละลายหอมระเหย ที่นำมาฉีดพ่นโดยตรงกับผิวกายหรือผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสร้างกลิ่นหอม ธรรมดาน้ำหอมที่กลิ่นได้มาจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ หรือ Essential Oil จะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่าน้ำหอมที่กลิ่นได้มาจากสารเคมีสังเคราะห์ หรือ Fragrance เนื่องจากกลิ่นที่สังเคราะห์เพียง 1 กลิ่นจะประกอบไปด้วยสารเคมีจำนวนหลายร้อยตัว การสังเคราะห์โดยสารเคมีให้กลิ่น (สารอะโรมาติก : Aromatic Chemical Compounds) นี้เป็นวิธีที่นิยมมากในการทำหัวน้ำหอมสังเคราะห์ เนื่องจากปัจจุบันนี้น้ำมันหอมที่ผลิตจากธรรมชาติหาได้ยากและมีราคาแพงมาก อีกทั้งยังมีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นน้ำหอมที่ขายตามท้องตลาด ทั้งน้ำหอมแบรนด์เนมชื่อดัง หรือน้ำหอมที่เลียนกลิ่นแบรนด์เนม (Imitate Perfume), น้ำหอมซีซี (น้ำหอมแบ่งขาย น้ำหอม cc), น้ำหอมกลิ่นผลไม้ ดอกไม้, น้ำหอมกลิ่นฉีดผ้า กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม สบู่ เครื่องสำอาง ส่วนใหญ่ต่างก็ทำจากสารเคมีสังเคราะห์ทั้งสิ้น เว้นแต่ที่ระบุว่าเป็น น้ำมันหอมระเหย ที่ผลิตจากส่วนต่างๆ ของพืชจริงๆ   ดังนั้นภายใต้ชื่อน้ำหอมเพียงสั้นๆ คำเดียว อาจหมายถึงสารเคมีนับร้อยตัวมาผสมกันอยู่ และกลิ่นหอมเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยาต่างๆ มากมายในร่างกายของเรา ก่อให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ ปวดศีรษะ เกิดผื่นภูมิแพ้และคันที่ผิวหนัง จากผลการทดสอบการด้วยวิธี Patch test ที่ทำการทดลองโดย North American Contact Dermatitis Group (NACDG) ในปี 1998-2000 พบว่า น้ำหอมเป็นส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดการแพ้มากที่สุด[1] อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญ[2] ยังได้ออกมาระบุว่า 1 ใน 3 คนที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคติดต่อเรื้อรังอย่าง "โรคภูมิแพ้" นอกจากนี้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ที่ให้กลิ่นหอมยังนำมาซึ่งโรคผิวหนังในร่มผ้า เช่น "โรคกลากเกลื้อน" อีกด้วย เนื่องจากโมเลกุลในผลิตภัณฑ์ที่ให้กลิ่นหอม ไปกระตุ้นอาการระคายเคืองให้เกิดขึ้นกับผิวหนัง จึงก่อให้เกิดอาการคันและเม็ดผื่นแดงตลอดจนผิวแห้งลอก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคผิวหนังดังกล่าว ที่สำคัญบางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า กำลังแพ้ภัยกลิ่นหอมอยู่ เพราะคนทั่วไปมักเข้าใจว่าการจามหรือโรคทางระบบหายใจบอกถึงอาการแพ้น้ำหอม แต่ความจริงแล้วการแพ้นั้นมีหลากหลายจนเราอาจคิดไม่ถึงว่าเกิดจากน้ำหอม 1. คันตามผิวหนัง มักเกิดบริเวณที่แต้มน้ำหอม เช่น กกหู ต้นคอ ข้อพับ ป้องกันได้ด้วย การทดลองแต้มน้ำหอมในบริเวณท้องแขนทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนซื้อ 2. ใบหน้าเป็นสิวเกิดจากสารเคมีหรือส่วนประกอบใน น้ำหอมเข้าไปอุดตันรูขุมขนทำให้ อักเสบ มักพบเมื่อใช้น้ำหอมหรือเครื่องสำอางประมาณ 1 เดือนขึ้นไป วิธีแก้คือหยุดใช้ทันทีและเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมแทน 3. ผื่นแพ้ ในกรณีของคนที่มีอาหารแพ้มากอาจพบลักษณะตุ่มน้ำใส หรือเป็นหนอง อาการนี้พบได้ไม่บ่อยนัก 4. รอยด่างดำบริเวณที่แต้มน้ำหอม รอยนี้จะเกิดขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เพราะน้ำหอมจะดูด ซับรังสีอัลตร้าไวโอเลตจนเกิดรอยด่างดำลักษณะคล้ายฝ้า รักษาให้หายได้โดยใช้ยาทา 5. ระคายเคืองตาและเยื่อบุจมูก เกิดจากการฉีดสเปรย์น้ำหอม วิธีแก้คือให้ฉีดน้ำหอมใน ต่ำกว่าระดับไหล่และห่างจากตัวประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อป้องกันการระคายเคือง แล้วยังไม่ทำให้เกิดรอยด่างบนเสื้อผ้า แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ใช้การแต้มน้ำหอมตรงจุดชีพจร ข้อพับ ไหปลาร้า หลังอาบน้ำใหม่ๆ แทนการฉีดสเปรย์ วิธีนี้ทำให้กลิ่นติดทนนานขึ้นด้วย 6. SICK HOUSE SYNDROME โรคนี้เกิดจากมลภาวะภายในบ้าน เช่น ฝุ่นละออง สีทาบ้าน กลิ่นบุหรี่ แม้กระทั่งกลิ่นน้ำหอมจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างน้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยารีดผ้า หรือแม้แต่กระดาษชำระที่มีกลิ่นหอม ทำให้ปวดศีรษะเรื้อรัง และในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อปอดได้ ดังนั้นหากไม่ปรารถนาจะทุกข์ทรมานจากอาการแพ้ต่างๆ เหล่านี้ อาจต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นประเภทปราศจากน้ำหอม หรือ Fragrance Free หรือผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอมน้อยๆ โดยดูที่ฉลากที่บอกส่วนผสม ดูลำดับของน้ำหอมควรจะอยู่ท้ายที่สุด ซึ่งหมายความว่ามีส่วนผสมน้ำหอมน้อยที่สุดนั่นเอง [1] พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ ศัลยแพทย์ความงามและแก้ไขโครงหน้า เลเซอร์ศัลยกรรม Bangkok Beauty Clinic ที่มา : เดลินิวส์ 8 พฤศจิกายน 2556 [2] น้ำหอมที่คุณใช้..เป็นพิษหรือเปล่า?. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.thaipost.net/x-cite/020512/56190.

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 วิธีเลือกเครื่องสำอางสำหรับผู้สูงวัย

  ผิวหนังของผู้สูงวัย มักจะแห้ง มีริ้วรอย ความชุ่มชื้นน้อย ผิงหนังมักจะบาง เพราะเซลล์ผิวหนังมีการเจริญเติบโตลดน้อยลง และมักจะซีดลง อันเนื่องมาจากการสร้างเม็ดสีของผิวหนังทำงานลดลง และบ่อยครั้งที่พบว่าสีผิวมักจะไม่สม่ำเสมอ   คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องสำอาง1) เริ่มต้นจากพื้นฐานสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิวหนังผู้สูงวัยคือ ต้องมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้นผิวในปริมาณสูง และควรจะใช้ควบคู่กับครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง สารมอยส์เจอร์สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยทันที จำเป็นต้องบำรุงผิวหน้าเป็นลำดับแรก ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามักจะแห้งมากกว่าส่วนอื่น ริ้วรอยรอบดวงตาจะเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความชราของผิวหนังเจ้าของ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาจะมีองค์ประกอบที่ปกป้องผิวหนังรอบตาได้ดีกว่าผิวหน้าทั่วไป มักจะมีองค์ประกอบที่มีมอยส์เจอร์สูงกว่าและมีสารอีมูเลียน (Emollients) ที่มันกว่าเพื่อเคลือบปกป้องไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นนั่นเอง ทุกครั้งที่อาบน้ำล้างหน้า แนะนำให้บำรุงด้วยครีมมอยส์เจอร์รอบผิวหน้าและดวงตาทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนนอน แนะนำให้ทาครีมบำรุงทุกครั้ง   ภายหลังจากบำรุงผิวหน้าและรอบดวงตาด้วยมอยส์เจอร์แล้ว ควรปกป้องผิวหน้าด้วยครีมกันแดดให้ทั่วผิวหน้าก่อนที่จะแต่งแต้มด้วยครีมรองพื้น ครีมกันแดดจะประกอบไปด้วยสารกรองรังสียูวีเอและยูวีบี       รังสียูวีเอจะสามารถทะลุผิวหนังชั้นล่างได้ ทำให้ผิวหนังคนเราเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ส่วนรังสียูวีบีมีผลทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมและดำคล้ำ ในวัยสูงอายุจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านในระหว่างวัน เพื่อปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วก่อนวัย   2) การเลือกครีมรองพื้น ครีมรองพื้นมีองค์ประกอบของแป้งที่เป็นเม็ดสีละเอียด ทำหน้าที่เคลือบผิวหน้าเพื่อช่วยให้ผิวหน้าแลดูเนียนละเอียด ช่วยปกปิดริ้วรอยและแผลเป็นหรือหลุมลึกของสิวได้ดี การเลือกชนิดของครีมรองพื้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีมหรือโลชั่นชนิดน้ำมัน ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นน้ำ เพราะเมืองไทยอากาศร้อนชื้น เวลาเหงื่อออก จะทำให้รองพื้นชนิดน้ำแตก ดูคล้ายผิวหน้าแตกลาย ไม่น่าดู และหมดสวย ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวหน้าของเรามากที่สุด ที่สำคัญคือควรทารองพื้นเพียงบางเบาและเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรทาหนา เพราะจะยิ่งไปเน้นริ้วรอยให้เห็นชัดเจนมากขึ้น   3) การแต่งแต้มแก้มให้เป็นสีชมพู ผิวหน้าวัยสูงอายุมักจะแลดูซีดเซียว แห้ง และไม่สดใส ดังนั้นการเติมสีสันให้ผิวแก้มเป็นสีชมพู จะช่วยได้มาก เพิ่มชีวิตชีวา แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นครีมเพราะมีองค์ประกอบของอีมูเลียน (Emollients) หรือน้ำมันบำรุงผิวอีกด้วย ช่วยให้ผิวแก้มชุ่มชื้นและติดทนนานมากขึ้น อย่าลืมว่าควรเลือกสีให้บางเบาเพื่อให้แลดูเป็นธรรมชาติ   4) การเลือกสีอายเชโด้ควรเลือกสีอายเชโด้ให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าของ แต่ที่สำคัญคือบางเบา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แต่งเป็นงิ้ว เพราะจะค้านกับวัยและแลดูแก่กว่าวัยทันที ก่อนทาสีอายเชโด้ แนะนำให้ใช้ครีมรองพื้นเฉพาะของเปลือกตาป้ายบางๆ นอกจากจะบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยให้สีอายเชโด้ติดทนนานได้ตลอดวันอีกด้วย   5) การเลือกลิปสติก ผิวหนังริมฝีปากของผู้สูงอายุ มักจะแห้งและบางครั้งมีหนังลอก การทาลิปสติกมักไม่ค่อยติดหรือหลุดลอกได้ง่าย วิธีแก้ปัญหา ควรหมั่นบำรุงผิวริมฝีปากด้วยครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เวลาหลับ สารมอยส์เจอร์ในครีมบำรุงจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งและไม่มีหนังลอก ลิปสติกที่ทาไว้จะติดโดยไม่หลุดลอกง่าย สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เมื่อทาลิปสติก แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมมีองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยมากมาย ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ในคนที่มีผิวบอบบางและแพ้สารเคมีง่าย การใช้ลิปสติกไม่ควรใช้นานเกิน 1-2 ปี เพราะองค์ประกอบในลิปสติกส่วนใหญ่เป็นไขมัน เมื่อเก็บไว้นานจะเหม็นหืน หากมีกลิ่นหืน ควรทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียดาย เพราะถ้าใช้ต่อ จะทำให้แพ้และริมฝีปากลอกได้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้หญิงควรจำไว้คือ ลิปสติคส์ควรใช้เฉพาะคน ไม่ควรแบ่งเพื่อนใช้หรือใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จากคนหนึ่งสู่อีกคนได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 เครื่องดื่มสุขภาพ ดื่มแล้วสวย สาวและฉลาด ?

ปัจจุบันนับเป็นยุคที่ผู้คนในสังคมตื่นตัวกับการดูแลสุขภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ นักเรียนต้องกวดวิชาทุกวัน ผู้ใหญ่ต้องเร่งรีบทำงานไขว่คว้าหาเงิน ทำให้กลัวว่าจะดูแลตัวเองไม่เพียงพอ จึงเป็นช่องว่างให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความสวยความงามเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มสุขภาพทั้งหลายเลยโผล่ออกมาอวดโฉมมากมาย  ชาเขียวแช่เย็นเมื่อเข้าร้านอาหาร ชาเขียวแช่เย็นจะเป็นเครื่องดื่มที่ถูกนำเสนอแทนน้ำเปล่า ทำให้เจ้าของสินค้าหรือผู้ผลิตรวยแล้วรวยอีก จนสามารถให้รางวัลเปิดฝาขวดและได้เงินล้านใน 2 ปีที่ผ่านไป ผู้บริโภคหลายครอบครัวถึงขนาดซื้อกันเป็นแพคใหญ่ๆ นำกลับไปบริโภคเป็นประจำทั้งเช้า-เย็นเพราะเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดื่มแล้วชะลอความแก่ได้ ดื่มแล้วผิวสวย แต่คงรู้แล้วว่าดื่มแล้วไม่เห็นสวยขึ้นแต่กลับน้ำหนักขึ้นอีกต่างหาก? ส่วนเจ้าของสินค้นกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว!  เครื่องดื่มชาเขียวแช่เย็นเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายมากกว่า เพราะถูกแต่งแต้มด้วยรสหวานและกลิ่นหอม ดื่มมากๆ จะเป็นการสะสมน้ำตาลในเลือดและยังมีคาเฟอีนไม่แตกต่างจากน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังทั่วไป ความจริงชาเขียวมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 4 ชนิดที่มีคุณค่าต่อร่างกายทุกส่วนรวมทั้งผิวพรรณ เนื่องจากสารทั้งสี่ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ผ่านขบวนการกลั่นกรองทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้วว่าดีจริง มีการค้นพบว่าสารสกัดชาเขียวสามารถต้านมะเร็ง ต้านเชื้อโรคในลำไส้ใหญ่ได้ ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษทั้งหลาย แต่เนื่องจากสารสำคัญในชาเขียวมีน้อยมากและไวต่อความร้อน ดังนั้นการจะดื่มให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรที่จะดื่มชาเข้มข้นเช่นเดียวกับกาแฟเอสเปรสโซ่ ไม่ควรเติมน้ำตาลหรือนมสดหรือนมผง เพราะจะไปทำลายสารสำคัญ เครื่องดื่มคอลลาเจนเปปไทด์ กำลังฮอตมากพบทั้งในทีวีและทางอินเตอร์เน็ต มีโฆษณาว่าให้ดื่มทุกวันแล้วจะทั้งสวย หล่อ และฉลาด ความจริงคือ คอลลาเจนนับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย มีคุณสมบัติที่สำคัญคือไม่ละลายน้ำ แต่อุ้มน้ำได้มาก มีความแข็งแรงโดยทำงานร่วมกับอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อวัยวะส่วนต่างๆ รวมทั้งผิวหนัง เมื่ออายุคนเรามากขึ้น คุณสมบัติของคอลลาเจนจะเสื่อมลงทำให้ประสิทธิภาพการอุ้มน้ำไม่ดี จะเห็นได้ชัดจากการที่ผิวหนังแห้ง เหี่ยว หย่อนคล้อย กระดูกเสื่อม เส้นเอ็นตามร่างกายและข้อต่อทั้งหลายตึงและอักเสบ นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสกัดเอาคอลลาเจนจากสัตว์ใหญ่ เช่น หนังหมู หนังปลา กระดูกลูกวัวและกระดูกปลา หากนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์จะไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากโมเลกุลของคอลลาเจนมีขนาดใหญ่มาก ไม่ละลายน้ำและไม่สามารถซึมผ่านกระเพาะอาหารหรือผิวหนังคนได้ จึงได้นำคอลลาเจนจากสัตว์มาสลายด้วยขบวนการทางเคมีเพื่อให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลงมากๆ คือ คอลลาเจนเปปไทด์ ซึ่งละลายน้ำได้ดีและสามารถซึมเข้าผ่านกระเพาะอาหารและผิวหนังได้เร็ว นักวิทยาศาสตร์หลายคณะเชื่อว่าการที่ร่างกายคนเราได้รับอาหารเสริมคือคอลลาเจนเปปไทด์ทุกวันในปริมาณมากเพียงพอ จะช่วยทดแทนคอลลาเจนธรรมชาติที่เสื่อมได้ และยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ได้อีกด้วย แต่ก็ยังไม่รายงานพิสูจน์ถึงข้อบ่งชี้ดังกล่าว เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์จัดเป็นสารอาหารจำพวกโปรตีนเทียบเท่ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องดื่มชนิดนี้จึงน่าจะเหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนป่วยหลังพักฟื้นที่ต้องการโปรตีนสูงมากกว่า ซอยเปปไทด์ ตัวนี้ได้จากการนำน้ำนมถั่วเหลืองไปย่อยด้วยเอนไซม์ย่อยโปรตีนบางชนิด เพื่อให้ได้โปรตีนถั่วเหลืองที่มีโมเลกุลเล็กลง จะได้ถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากกระเพาะอาหาร โปรตีนจากถั่วเหลืองนับเป็นแหล่งอาหารเสริมที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับว่าถั่วเหลืองให้คุณค่าทางโปรตีนที่สมบูรณ์เทียบได้กับโปรตีนจากสัตว์ นอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวจำนวนมาก มีรายงานการวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ สามารถช่วยยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลภายในร่างกายได้ และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลจากลำไส้ได้ดี มีผลทำให้ค่าแอลดีแอล (LDL)และไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดลดลง จึงมีคุณค่าต่อผู้ที่มีความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและผู้ที่ต้องการห่างไกลจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำนมถั่วเหลืองยังประกอบไปด้วยสารไฟโตร์เอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงจากพืช สามารถทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดน้อยลงในหญิงวัยทองได้บ้าง การดื่มเป็นประจำ จะช่วยให้หญิงวัยทองมีผิวพรรณชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งตึง แต่ไม่ได้มีผลต่อความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใด มีข้อควรระวังสำหรับการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองหรือซอยเปปไทด์สำหรับเด็ก เนื่องจากในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วยสารสำคัญบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการจับแร่ธาตุและโลหะหนัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ฯ ดังนั้นการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำในเด็กอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนในวัยสูงอายุ แร่ธาตุหรือโลหะหนักที่มีมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ การบริโภคน้ำนมถั่วเหลืองเป็นประจำ จะช่วยลดปริมาณส่วนเกินลงได้เพื่อป้องกันไม่ให้แร่ธาตุหรือโลหะหนักส่วนเกินไปเกาะตามผนังหลอดเลือด หรือเกาะตามข้อต่อของกระดูกส่วนต่างๆ ได้ Smart Drink คือกลุ่มเครื่องดื่มที่ผู้ขายต้องการประชาสัมพันธ์ว่า ดื่มแล้วจะเพิ่มความฉลาดและเก่งสำหรับวัยนักเรียนนักศึกษา เครื่องดื่มยี่ห้อดังในทีวี ซึ่งโฆษณาว่าเป็นเปปไทด์ต้นกำเนิดจากนมถั่วเหลือง (Original Soy Peptides) ความจริงก็คือน้ำนมถั่วเหลืองธรรมดา และให้คุณค่าของโปรตีนถั่วเหลืองที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ใช่ดื่มแล้วทำให้นักเรียนนักศึกษามีไอคิวสูงขึ้น ท่องหนังสือได้มากขึ้น หรือเรียนเก่งขึ้นแต่อย่างไร นับเป็นการตลาดที่มุ่งหวังเจาะตลาดวัยนักเรียนนักศึกษาที่สังคมยุคใหม่เน้นให้ต้องทั้งสวย หล่อ และ ฉลาด อาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับวัยนี้และทุกวัย ควรมุ่งเน้นไปที่ปลาทะเลซึ่งมีสารโอเมก้า-3 บำรุงเซลสมองโดยตรง เช่น ปลาทู ราคาถูกและอร่อย หาซื้อง่าย เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลายที่มีต้นกำเนิดจากประเทศไทย ก็จัดอยู่ในหมวด Smart Drink นี้เช่นกัน ซึ่งมีองค์ประกอบเพียงเกลือแร่ น้ำตาลซูโครส และคาเฟอีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ขายดีมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ Beauty Drink and Health Drink เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วช่วยให้สวยเร็วขึ้น บำรุงร่างกายได้รวดเร็ว ทดแทนความเครียดและความวุ่นวายในหน้าที่การงานได้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่คอลลาเจนเปปไทด์ เจลลาตินเปปไทด์ และหรือมีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี ลองกลับไปอ่านทบทวนประโยชน์ของคอลลาเจนที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะพบว่ายังไม่ข้อพิสูจน์บ่งชี้ใดๆ ว่าเป็นเรื่องจริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 93 -หมึกแดงหลีกไป...หมึกดำมาแว๊วววว

ภก.ภาณุโชติ ทองยังnuchote@hotmail.comสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ในฉลาดซื้อฉบับก่อนๆ ผมได้เล่าว่าแผนกของผม ได้ออกรณรงค์ตรวจสอบเครื่องสำอางในท้องตลาด เพื่อเฝ้าระวังว่ามีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ อาศัยดูละครเรื่องคมแฝกบ่อยๆ (ฮา) จึงได้วางแผนออกปฎิบัติการ กระจายกำลังแบบป่าล้อมตลาด เพื่อครอบคลุมเป้าหมายพื้นที่เทศบาล เน้นกลุ่มหลัก คือร้านเสริมสวย และได้เก็บครีมทาหน้าขาวจากร้านต่างๆ มาตรวจสอบจนทราบผล และได้เล่าไปแล้ว มาตรการต่อจากนั้น ก็มีการวางแผนส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปแจ้งผลโดยตรงกับทางร้าน เพื่อสอบถามแหล่งที่มาของครีมที่พบสารอันตรายปนเปื้อน โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสำนักงานเทศบาลเมืองฯ รับเป็นเถ้าแก่คนกลางในการนัดเจรจา และเพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการ จึงได้เน้นการสร้างความเข้าใจและชักชวนผู้ประกอบการเข้ามาเป็นพวกเฝ้าระวังให้กับรัฐ แทนที่จะเป็นพวกที่ต้องคอยหลบหนีเนื่องจากกระทำผิด และเนื่องจากว่าผมมีพรสวรรค์ทั้งการพูดเกลี้ยกล่อม และการสอดรู้สอดเห็นจึงได้รับบทบาทดังกล่าว (ฮา) จากการพูดคุย ผมเลยได้ข้อมูลแปลกๆ มาเล่าสู่กันฟัง หนูรู้แต่หนูก็ใช้ผู้ประกอบการรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า “ครีมที่ตรวจเจอน่ะ หนูไม่ได้ใช้กับลูกค้าหรอกค่ะ เพราะปกติแล้วหนูจะใช้เครื่องสำอางดีๆ ที่ปลอดภัยมียี่ห้อกับลูกค้า เพราะหนูกลัวลูกค้าได้รับอันตราย แต่ตลับนี้ หนูซื้อมาใช้เองค่ะ เพราะหนูใช้แค่ไม่กี่ครั้ง หน้ามันข๊าวขาวทันใจดีแท้ค่ะ แถมก็ไม่เห็นด่างแบบในรูปของ อย.เลย แต่เพื่อความชัวร์ หนูก็ใช้ห่างๆ นะคะ“ โถ หนูครับ จะไม่ให้มันขาวเด้งแบบตื่นตาตื่นใจได้ยังไง ก็มันเจอทั้งสารไฮโดรควิโนน (ที่ทำให้หน้าด่างถาวร) และสารปรอทแอมโมเนีย (ที่ทำให้ไตพัง) คราวนี้พออธิบายถึงอันตรายให้ว่า ของพวกนี้มันไม่ใช่ทาปุ๊บหน้าพังปั๊บ แต่มันจะด่างถาวรแบบไม่คาดฝัน กลับคืนมาขาวไม่ได้ และยังจะมีผลต่อไตด้วย คราวนี้น้องเธอเลยชักแหยงๆ บอกว่า “พี่ขา หนูน่ะดูแต่รูปหน้าด่างที่ อย.ทำโฆษณา แต่ใช้ก็ยังไม่ด่างสักที หนูก็เลยคิดว่าไม่เท่าไหร่ คราวนี้ไม่เอาแล้วค่ะ อ้อ....หนูฝากพี่ไปบอก อย.ด้วย ทำสื่อให้ แรงๆ ไปเลย อย่ามาเน้นแค่หน้าด่าง บอกแรงๆ ไปเลยว่า ไตพัง ลูกพิการอะไรทำนองนี้ล่ะค่ะ” หมึกแดงหลีกไป...หมึกดำมาแว๊ววววอีกรายให้ข้อมูลว่า ตอนนี้มีการแอบใช้น้ำยาหมึกดำเพื่อเสริมความงาม โดยน้ำยาชนิดนี้หากใช้เพื่อให้หน้าขาวต้องทาให้ทั่วใบหน้า ราคาทาครั้งละ 5,000 บาท แต่ถ้าจะให้ขาวทั้งตัวหัวจนเท้า จะเสียครั้งละ 10,000 บาท โดยความขาวสวยดังฝันนั้นจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นต้องมาทาใหม่ (อะไรมันจะขาวแพงขนาดนี้) “แต่พี่รู้มั้ยคะ น้ำยามันคงกัดได้แรงนะ หนูสังเกตเห็นตามแขนของคนที่ทา มีรอยเล็บเป็นทางๆ ทีแรกหนูนึกว่าเขาโดนหมาแมวตะกุย ที่ไหนได้ เขาบอกว่า ไม่ใช่เล็บหมาหรอกค่ะ เล็บดิฉันเอง ก็มันคันก็เลยต้องเกา” ผมเดาเอาว่าน้ำยาชนิดนี้มันคงเป็นน้ำกรดอ่อนๆ น่ะครับ การเอาน้ำกรดมาทา มันก็อันตรายพอสมควร จับพลัดจับผลูไม่ดี เป็นแผลติดเชื้อจะยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้คนอยากสวยเหล่านี้ ชาติที่แล้วเคยไปทำกรรมเวรอะไรไว้ ชาตินี้จึงต้องมาหาเรื่องเสี่ยงและทรมานเข้าตัวแบบนี้ เรื่องเครื่องสำอางที่อันตรายมันมีอะไรใหม่ๆ แผลงๆ ออกมาเรื่อยๆ นะครับ ตราบที่คนเรายังรักสวยรักงาม ยังไงใครมีข้อมูลอะไร ก็ช่วยๆ กันบอกต่อๆ เพื่อช่วยกันเฝ้าระวังด้วยนะครับ อานิสงค์ที่ทำจะได้ช่วยให้ชาติหน้าเกิดมางามยิ่งขึ้นกว่าชาตินี้ครับผม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 เครื่องสำอางเด็กหมดอายุ

การร้องเรียนกรณีห้างสรรพสินค้าวางจำหน่ายสินค้าที่หมดอายุแล้ว ยังคงมีเข้ามาเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ใช้สำหรับการบริโภค แต่สำหรับกรณีนี้กลับเป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ซึ่งมีไว้ให้เด็กเล่นอีกต่างหาก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณดวงใจ เธอซื้อชุดแต่งหน้าสำหรับเด็กยี่ห้อ บาร์บี้ (Barbie) จากแผนกของเล่นเด็กที่ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล สาขาเวตส์เกต ในราคาลด 50% จากราคาเต็มเกือบสองพัน ลดแล้วเหลือเพียงเก้าร้อยกว่าบาท  ซึ่งก่อนซื้อเธอได้สอบถามพนักงานว่า สินค้าดังกล่าวมีตำหนิอะไรหรือไม่จึงนำมาลดราคา แต่พนักงานก็ไม่ได้แจ้งว่ามีปัญหาแต่อย่างใด เธอเห็นว่าสินค้าก็มีสภาพดีจริง จึงให้พนักงานนำสินค้าดังกล่าวไปห่อของขวัญ เพื่อนำมามอบเป็นของขวัญให้ลูกสาว อย่างไรก็ตามเมื่อนำกลับไปบ้าน เธอก็สังเกตเห็นฉลากที่ระบุวันผลิตและหมดอายุไว้ว่า สินค้านี้ผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2555 หรือ 4 ปีที่แล้วและหมดอายุไปเมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เธอจึงต้องการร้องเรียนให้ทางห้างสรรพสินค้าแสดงความรับผิดชอบที่นำของหมดอายุมาจำหน่าย โดยส่งกล่องเครื่องสำอางดังกล่าวมาให้ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ช่วยตรวจสอบอีกครั้งด้วย แนวทางการแก้ไขปัญหาภายหลังได้รับเรื่องร้องเรียน ศูนย์ฯ ได้ตรวจสอบเบื้องต้นและพบว่า สินค้าดังกล่าวมีการโฆษณาและแนะนำให้ใช้ในการแต่งหน้าเด็ก ซึ่งสามารถเข้าข่ายเครื่องสำอาง แต่ไม่มีฉลากที่ระบุว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีการควบคุมของสำนักงานคณะ กรรมการอาหารและยา (อย.) มีเพียงฉลากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) กำกับไว้ที่ข้างกล่องเท่านั้น นอกจากนี้ฉลากภาษาไทยกำกับไว้ว่า เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 – 12 ปี ก็ไม่ตรงกับฉลากภาษาอังกฤษที่ระบุไว้บนกล่องว่า เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป และมีคำเตือนกำกับไว้สำหรับผู้เล่นอายุต่ำกว่า 3 ปี เช่น ควรมีผู้ปกครองดูแล ศูนย์ฯ จึงทำหนังสือถึง 1. คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้มีการตรวจสอบของเล่นดังกล่าว ว่าเป็นของเล่นที่เข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางหรือไม่ ซึ่งหากบ่งชี้ได้ว่าเข้าข่ายเป็นเครื่องสำอาง จะต้องมีการดำเนินการจดแจ้งกับ อย.ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 และหากไม่ขออนุญาตมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท 2. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อให้มีการตรวจสอบฉลากสินค้าภาษาไทยที่ระบุวันหมดอายุ ไม่ตรงกับข้างกล่อง เพราะถือว่าเป็นการทำผิด พ.ร.บ. ว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งในกรณีการขายสินค้าที่หมดอายุนั้น สคบ. มีอำนาจในการสั่งปรับผู้ผลิตและบริษัทผู้นำได้ไม่เกิน 50,000 บาท รวมทั้งผู้จัดจำหน่ายไม่เกิน 20,000 บาท3. ห้างสรรพสินค้าดังกล่าว เพื่อให้มีการตรวจสอบสินค้าประเภทเดียวกันที่นำมาจัดจำหน่ายว่า ยังมีกล่องไหนที่หมดอายุอีกหรือไม่4. ผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าหมดอายุ ทั้งนี้สำหรับผลการดำเนินการจะเป็นอย่างไร ทางศูนย์ฯ จะติดตามความคืบหน้าต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >