ฉบับที่ 202 คิดหน้าคิดหลังกับ “โคคิวเท็น”

ผู้เขียนมีอาการปวดกล้ามเนื้อที่น่องค่อนข้างบ่อยในระยะ 5-6 ปีมานี้ พยายามหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือถึงสาเหตุก็หาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เพราะมักอธิบายแบบกว้างๆ ตรงกับอาการบ้างไม่ตรงบ้าง จึงเข้าใจเอาเองในขั้นต้นว่า เป็นไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นหรือเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาปรับความดันโลหิต ชนิดที่มีผลต่อการทำงานของแคลเซียมที่กล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะอาการนี้เกิดหลังเริ่มกินยา ผู้เขียนจึงลองเพิ่มการกินอาหารที่มีแร่ธาตุมากขึ้นโดยเฉพาะ แคลเซียมและแมกนีเซียม นอกจากกินอาหารที่มีแร่ธาตุมากขึ้นแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดหนึ่งที่มีผู้แนะนำและหยิบยื่นให้ลองกินฟรี โดยใช้พื้นความรู้ว่า ตะคริวนั้นอาจเกิดเนื่องจากการออกกำลังกายประจำวันของผู้เขียน สินค้านั้นคือ โคคิวเท็น ซึ่งเป็นสารชีวเคมีที่ผู้เขียนไม่ค่อยศรัทธาว่ากินแล้วได้ผล เพราะข้อมูลจากงานวิจัยที่เคยอ่านและจากตำราที่เคยเรียนชวนให้มีความสงสัยว่า โคคิวเท็นที่กินเข้าไปนั้นสามารถเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเพื่อทำงานได้จริงหรือไม่อะไรคือ โคคิวเท็นโคคิวเท็นนั้นเป็นสารชีวเคมีที่เราสร้างขึ้นมาใช้เอง(จากองค์ประกอบต่างๆ ในอาหาร จึงไม่น่าเรียกว่า วิตามิน) โดยหน้าที่หลักของโคคิวเท็นคือ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเคลื่อนย้ายอิเล็คตรอนในระบบการสร้างสารให้พลังงานสูงในเซลล์เรียกว่า เอทีพี (ATP ย่อมาจาก adenosine triphosphate) ซึ่งเมื่อใดที่เซลล์ของร่างกายต้องการสร้างสารชีวเคมีใดๆ พลังงานที่ใช้สร้างจะมาจากการสลายสารเอทีพีมีผู้ตั้งคำถามว่า เราต้องการโคคิวเท็นสักเท่าไร ร่างกายจึงจะปรกติสุข คำตอบนั้นควรเป็นในลักษณะว่า ความต้องการสารชีวเคมีใดๆ ของร่างกายแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน ปัจจัยหนึ่งคือ สภาวะแวดล้อมของแต่ละคน ซึ่งมีการดำเนินชีวิตต่างกันไป เช่น มนุษย์เงินเดือนนั่งทำงานในห้องปรับอากาศ ย่อมต้องการสารเอทีพีเพื่อให้พลังงานต่างไปจากนักกีฬาอาชีพที่ต้องออกแรงให้ได้เหงื่อทุกวัน ดังนั้นปริมาณโคคิวเท็นที่กล้ามเนื้อของคนที่มีกิจกรรมในแต่ละวันที่ต่างกันก็น่าจะต่างกันไปด้วยแต่คำถามซึ่งเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับโคคิวเท็นคือ สารชีวเคมีนี้มีสัมฤทธิผลต่อร่างกายในการสร้างเอทีพีแก่ร่างกายมนุษย์หรือไม่เมื่อกินเข้าไป ผู้เขียนพบข้อมูลจากเว็บในอินเทอร์เน็ตของหน่วยงานที่คิดว่าเชื่อถือได้แน่คือ NIH หรือ National Institute of Health ของสหรัฐอเมริกาซึ่งกล่าวว่า โคคิวเท็นนั้นดูจะมีประโยชน์ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ แม้ว่ายังไม่มีผลสรุปที่ชัดเจนนักในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม NIH ไม่ได้กล่าวถึงประโยชน์ของโคคิวเท็นในคนที่มีสุขภาพปรกติแต่อย่างใดนอกจากเรื่องของประโยชน์ของโคคิวเท็นแล้ว NIH ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารชีวเคมีนี้ว่า ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพในคนที่เป็นชิ้นเป็นอันมักกล่าวว่า โคคิวเท็นนั้นมีผลข้างเคียงที่ผู้(จำต้อง) บริโภคต้องทนบางประการ โดยมีรายงานว่า ผู้บริโภคบางคนนอนไม่หลับ ระดับเอ็นซัมบางชนิดในตับสูงขึ้น มีผื่นแดงที่ผิวหนัง คลื่นไส้ ปวดตอนบนของหน้าท้องเวียนหัว แพ้แสง ปวดหัว มีอาการกรดไหลย้อน และอ่อนเพลีย อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ NIH เตือนว่า สตรีมีครรภ์ไม่ควรกินโคคิวเท็นตลอดไปจนถึงช่วงกำลังให้นมลูก และที่สำคัญห้ามลืมคือ ใครก็ตามที่ต้องกินยาชื่อ วอร์ฟาริน ซึ่งใช้บำบัดอาการเลือดข้นนั้น ถ้ากินโคคิวเท็นเข้าไปยานี้จะมีฤทธิ์ลดลงจนไม่เกิดผลเหตุที่โคคิวเท็นเป็นประเด็นที่น่าสนใจในปัจจุบันเพราะ ราคาแพง อีกทั้งมีข้อมูลว่า กินเข้าไปแล้วดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเพื่อนำไปใช้งานค่อนข้างยาก ดังที่นายแพทย์ Julian Whitaker กล่าวไว้ในบทความชื่อ Choosing the right CoQ10 Supplement ว่า การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้จำเป็นต้องกินในรูปแบบที่พอดูดซึมได้บ้างคือ Ubiquinol (อ่าน ยู-บิ-ควิ-นอล) ไม่ใช่ ubiquinone (อ่าน ยู-บิ-ควิ-โนน) ซึ่งถูกดูดซึมยากมาก บทความนี้หาอ่านได้ที่ www.drwhitaker.com/choosing-the-right-coq10-supplement โคคิวเท็นนั้นในความเป็นจริงมีพี่น้องหลายตัว เพราะเป็นสารชีวเคมีหนึ่งในตระกูลที่เรียกว่า โคเอ็นซัมคิว(Coenzyme Q) คำว่า เท็นหรือสิบ นั้นเป็นการระบุ จำนวนของหน่วย isoprenyl ซึ่งเป็นหน่วยไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบกันเป็นหางของโมเลกุลของสารชีวเคมีชนิดนี้ด้วยจำนวนที่มีมากถึง 10 หน่วยของ isoprenyl ของโคคิวเท็นนั้น ได้ส่งผลทำให้สารชีวเคมีนี้มีความสามารถในการละลายน้ำค่อนข้างน้อย จึงทำให้โคคิวเท็นกระจายตัวในลำไส้เล็ก ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นน้ำเพื่อการถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายยากมาก จำเป็นต้องทำให้โคคิวเท็นอยู่รูปที่ผ่านเข้าสู่เซลล์ของลำไส้เล็กด้วยกรรมวิธีขั้นสูง ดังนั้นราคาของโคคิวเท็นจึงต่างกันไปตามยี่ห้อที่ใช้เทคนิคเฉพาะตัวที่ต่างคิดค้นเอง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตได้ให้ความรู้โดยรวมว่า การดูดซึมของโคคิวเท็นนั้นอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2-3 เท่านั้น  เมื่อศึกษาในหนูทดลอง รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาในมนุษย์ (ซึ่งก็ดูไม่ต่างไปจากการศึกษาในหนู) นั้นสามารถหาอ่านได้จากบทความชื่อ Coenzyme Q10: Absorption, tissue uptake, metabolism and pharmacokinetics. ตีพิมพ์ในวารสาร Free Radical Research หน้าที่ 445–453 ของชุดที่ 40(5) ฉบับประจำเดือนพฤษภาคม ปี 2006 สำหรับพฤติกรรมของโคคิวเท็นนอกเหนือจากการทำงานในไมโตคอนเดรียแล้ว โคคิวเท็นเป็นสารต้านการออกซิเดชั่นที่ช่วยทำให้การทำงานของเซลล์เป็นไปอย่างที่ควรเป็น มีรายงานว่าโคคิวเท็นนั้นช่วยทำให้สารต้านออกซิเดชั่นอื่นเช่น วิตามินอีที่ถูกใช้งานแล้วในการกำจัดอนุมูลอิสระในเซลล์กลับฟื้นคืนมาทำงานได้เหมือนเดิม ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโคคิวเท็นคือ การใช้ในคนทั้งที่เป็นโรคเกิดจากความบกพร่องทางพันธุกรรมทำให้มีโคคิวเท็นในระดับต่ำ และในคนที่มีความต้องการสูงแต่ได้ไม่พอจากกินจากอาหาร เพราะแม้ว่าโคคิวเท็นมีในปลา เนื้อสัตว์และธัญพืช แต่ก็มีอยู่ในระดับที่จัดว่าต่ำ จึงทำให้หลังกินอาหารดังกล่าวแล้วอาจไม่สามารถเติมในส่วนที่พร่องไปของร่างกายNIH กล่าวว่า การเสริมโคคิวเท็นนั้นน่าจะมีประโยชน์บ้างในคนไข้ที่เกี่ยวกับโรคหัวใจและเส้นเลือด อาการเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อที่เกิดจากผลของยาบางชนิด ความผิดปรกติในระบบสืบพันธุ์ และอีกหลายอาการ อย่างไรก็ดีงานวิจัยในเรื่องดังกล่าวนี้ยังไม่ชัดเจนพอ จนยากที่จะสรุปผลที่แท้จริงปัจจุบันมีรายงานเกี่ยวกับโคคิวเท็นที่สรุปว่า โคคิวเท็นมีประโยชน์ต่อคนไข้อาการหัวใจผิดปรกติ โดยคนไข้มักดีขึ้น(แต่คงไม่เท่าเมื่อมีสภาพปรกติก่อนป่วย) โดยรายงานนี้เป็นการศึกษาแบบ meta-analysis หรือการวิเคราะห์อภิมาน ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับผลของการศึกษาอื่นที่อยู่ในกรอบงานเดียวกันว่ามีผลไปในทางเดียวกันหรือไม่ โดยงานวิจัยในช่วงปี 2007-2009 ให้ผลออกมาว่า สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับหัวใจเมื่อได้รับโคคิวเท็นพร้อมกับสารอาหารอื่นๆ แล้วดูว่าจะมีอาการดีกว่าผู้ที่ถูกผ่าตัดเช่นเดียวกันแต่ไม่ได้รับสารนี้ ส่วนการกินโคคิวเท็นในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงนั้น ดูแล้วผลไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิมนักหากแต่มีประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ มีผู้พยายามใช้โคคิวเท็นแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ซึ่งพบว่า ในผู้ชายนั้นคุณภาพของอสุจิดูดีขึ้น(เข้าใจว่าเป็นการเทียบกันในกลุ่มผู้ที่บ่มิไก๊ด้วยกัน) แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่าดีขึ้นนั้นช่วยในการแก้ปัญหามีบุตรยากหรือไม่ ดังนั้นในปัจจุบัน (2017) NIH ได้มีการให้ทุนเพื่อศึกษาผลของโคคิวเท็นต่อการบำบัดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้าของผู้ได้รับยาสตาติน ภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีสูงอายุ และผลในการบำบัดมะเร็งเต้านม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 กระแสต่างประเทศ

เร็วทันใจคุณภาพของบริการโทรคมนาคมในฟิลิปปินส์นั้นถือว่าแย่มาก คนของเขาเป็นกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่นี่กลับต่ำที่สุดในโซนเอเชียแปซิฟิก(ประมาณ 5.5 Mbps) ว่ากันว่าสาเหตุที่ช้า ค่าบริการแพง และการบริการไม่ได้คุณภาพนั้นก็เพราะมีผู้ประกอบการเพียง 2 รายได้แก่ PLDT และ Globe Telecom ซึ่งมีเสาสัญญาณรวมกัน 15,000 แห่ง คนฟิลิปปินส์จึงมีเฮ เมื่อได้ข่าวว่า China Telecom จากประเทศจีนจะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ ข่าวบอกว่าประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ ออกปากเชิญบริษัทนี้ด้วยตัวเองเมื่อตอนที่ไปเยือนประเทศจีนในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเขายังออกคำสั่งให้หน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต  ดำเนินการ ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วันเอาเป็นว่า China Telecom จะเริ่มให้บริการได้เลยในไตรมาสแรกของปี 2018 ... เร็วดีไหมล่ะ อย่างนี้ก็ได้เหรออินเดียประกาศห้ามใช้ยาเส้นหรือยาสูบแบบเคี้ยวมาตั้งแต่ปี 2013 เพราะถือเป็นความผิดตามกฎหมายความปลอดภัยและมาตรฐานอาหารที่ระบุว่า อาหารจะต้องไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย(เช่น ยาสูบ และนิโคติน)แต่ละปีอินเดียมีผู้ชาย 85,000 คน ผู้หญิง 34,000 คนเสียชีวิตจากมะเร็งช่องปากและคอหอย ร้อยละ 90 ของกรณีเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการใช้ยาสูบแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจ เพราะยาเส้นที่ว่านี้ยังคงหาซื้อได้ง่ายในขนาดพอคำตามแผงข้างถนนในราคาซองละ 2 ถึง 5 บาท แถมยังมีให้เลือกหลายสูตร หลายรสชาติ ทั้งๆ ที่มีการห้ามผลิตและห้ามขาย ธุรกิจนี้กลับทำรายได้มหาศาล ค่าย Manikchand ที่ผู้ก่อตั้งเพิ่งจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งช่องปาก มีรายได้ปีละประมาณ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และนี่ไม่ใช่ผู้เล่นรายเดียวเสียด้วย รวมกันเราแย่ศาลสูงสุดของนิวซีแลนด์ยืนยันไม่อนุญาตให้สองยักษ์ใหญ่วงการสื่อควบรวมกิจการกัน เพราะสัดส่วนการถือครองสื่อขนาดนั้นจะมีผลต่อคุณภาพความเป็นประชาธิปไตยของประเทศNZME(เจ้าของหนังสือพิมพ์ New Zealand Herald สถานีวิทยุและหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสองฉบับ) อ้างว่าต้องการควบรวมกิจการกับ Fairfax Media(เจ้าของ Stuff เว็บไซต์ที่มีคนอ่านมากที่สุด และหนังสือพิมพ์รายวันอีกสามฉบับ) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับ facebook และ Google News รวมถึงบรรดา “ข่าวหลอกให้คลิก” ที่มีอยู่ทั่วไปในหน้าเว็บรวมๆ แล้วสองค่ายนี้เป็นเจ้าของสื่อประมาณร้อยละ 90 ศาลท่านยืนยันว่าอนุญาตไม่ได้จริงๆ เพราะมันจะทำให้การถ่วงดุลระหว่างสื่อใหญ่สองเจ้าหายไป NZME และ Fairfax มีผู้อ่านรวมกัน 3.7 ล้านคน ในขณะที่นิวซีแลนด์มีประชากร 4.7 ล้านคน  มาเฟียไส้กรอกบริษัทผู้ผลิตไส้กรอก 4 รายในเยอรมนีรวมตัวกันฟ้องต่อศาลขอไม่จ่ายค่าปรับที่สำนักงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเรียกเก็บ 22.6 ล้านยูโร (ประมาณ 870 ล้านบาท)สำนักงานฯ ได้ข่าวว่ามีการฮั้วราคาผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในระหว่างผู้ผลิตเพื่อที่จะขายให้กับบรรดาร้านค้าปลีกในราคาที่สูงเกินจริง และพบว่า “กลุ่มแอตแลนติก” (เรียกตามชื่อโรงแรมที่นัดคุยกัน) ร่วมกันโก่งราคาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์มาตั้งแต่ช่วงปี 80  ปี 2014 สำนักงานฯ สั่งปรับบริษัท 22 แห่ง และบุคคล 33 คน รวมเป็นเงิน 338 ล้านยูโร  (ประมาณ 13,000  ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีเพียง 11 บริษัทที่ยอมจ่ายค่าปรับแต่โดยดี อีกเจ็ดบริษัทรอดไปได้โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย(บริษัทแม่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าปรับของ บริษัทลูก หากบริษัทลูกเลิกกิจการไปแล้ว) รัฐจึงขาดรายได้ไป 240 ล้านยูโร อีกสี่บริษัทยังยื้ออยู่จนถึงวันนี้ หากศาลตัดสินว่าผิดจริงกลุ่มนี้จะโดนค่าปรับหนักกว่าเดิม   ไม่รับคนนอกปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 34  สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่  ต้องการให้มีผู้มาเยือนไม่ต่ำกว่าปีละ 40 ล้านคนภายใน 2020 ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก  เมื่อมีคนมาเยอะขึ้น ธุรกิจการให้เช่าห้อง/บ้านผ่านแอปพลิเคชันจึงเข้ามาตอบโจทย์ การให้เช่าแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้หากแจ้งต่อหน่วยงานรัฐ มันสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นมากกว่าการให้เช่าแบบเดิมๆ เกือบห้าเท่า ดูแล้วน่าจะพอใจกันทุกฝ่ายแต่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหลายแห่งในย่านฮิต เช่น บริเวณรอบอ่าวโตเกียว ได้เรียกร้องให้ทางอาคารออกกฎห้ามผู้อยู่อาศัยปล่อยเช่าห้องให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและความเป็นระเบียบ หน่วยงานท้องถิ่นระบุว่ามีคอนโดฯ จำนวนมากมาแจ้งขอเปลี่ยนกฎ จนต้องตั้งโต๊ะรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ  นิติบุคคลอาคารก็ต้องเข้าไปดูเว็บไซต์จองที่พักเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่า ห้องที่อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองไม่ถูกนำไปเสนอขาย 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 ความร่วมมือกับความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน

วันที่ 6 – 7 ธันวาคมที่ผ่านมา มีงานใหญ่ที่รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจัดขึ้นทุกสองปี นั่นคือ งานสัมมนาระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 13 ที่ครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวความคิด “ลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ยั่งยืน” ภายในงานมีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ที่อยากจะมาบอกกล่าวกันในวันนี้ คือ ห้องย่อยที่ 3 ยานพาหนะปลอดภัย ในหัวข้อหลัก “ทิศทางและบทเรียนการจัดการปัญหารถรับส่งนักเรียนในระดับพื้นที่” การเสวนาในวันนั้นเป็นการนำเสนอรูปแบบและวิธีการจัดการปัญหารถรับส่งนักเรียนจากหลายภาคส่วน เพื่อหาข้อสรุปที่นำไปสู่การสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องการจัดการความปลอดภัยและมาตรฐานรถที่จะนำมารับส่งนักเรียน เพราะที่ผ่านมาทุกคนต่างรับรู้และเห็นถึงปัญหารถรับส่งนักเรียนกันอย่างดีแล้วว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานเดียว เหตุเพราะปัญหารถรับส่งนักเรียนนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าแค่เรื่องสภาพรถ ที่ส่วนใหญ่เป็นรถที่ไม่ปลอดภัย และไม่เหมาะในการนำมาวิ่งให้บริการรถรับส่งนักเรียน ซึ่งพอจะสรุปได้เป็นสี่ประเด็นหลัก ดังนี้ ประการที่หนึ่ง ระบบขนส่งสาธารณะที่ล้มเหลว ซึ่งรองรับได้แค่กรุงเทพมหานครและตัวเมืองชั้นในของจังหวัดใหญ่เท่านั้น ทำให้การเดินทางไปโรงเรียนของเด็กมีความยากลำบากเพิ่มขึ้น ประการที่สอง นโยบายการศึกษาที่ยุบโรงเรียนเล็กไปรวมกันหรือการให้โรงเรียนระดับท้องถิ่นเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนดังส่งผลเกิดค่านิยมในการเรียนโรงเรียนใหญ่ที่จะทำให้เด็กมีการศึกษาที่ดีขึ้น ทำให้เด็กต้องเดินทางไกลขึ้นจากเดิมเพื่อไปเรียนให้ได้ ประการที่สาม ทัศนคติของครูอาจารย์ที่ยังไม่เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีระบบจัดการรถรับส่งนักเรียนและคิดว่าเป็นภาระที่เพิ่มเติมนอกเหนือจากงานที่มีอยู่ และประการที่สี่ ความไม่ใส่ใจในความเสี่ยงที่ไม่ปลอดภัยของเด็กนักเรียน การไม่มีทางเลือกที่เพียงพอในการนำพาเด็กไปสู่โรงเรียนด้วยความปลอดภัย และความไม่พร้อมทางฐานะการเงินที่จะจัดหารถที่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลานเพื่อไปโรงเรียนได้ ขณะที่เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคกำลังพยายามช่วยเหลือและจัดการรถรับส่งนักเรียนให้ปลอดภัย ด้วยการทำข้อมูลในระดับพื้นที่และสร้างระบบการจัดการ โดยการขับเคลื่อนให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นจุดจัดการ ด้วยการมีส่วนร่วมของครู นักเรียน ผู้ปกครอง คนขับรถรับส่งนักเรียน องค์กรผู้บริโภค และหน่วยงานท้องถิ่นในการร่วมกันสนับสนุนและจัดการระบบรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัยขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการในระยะแรกไปแล้วในพื้นที่ 32 จังหวัด จังหวัดละ 1 โรงเรียน แต่หน่วยงานหลักด้านนโยบายอย่างกรมการขนส่งทางบกและกระทรวงศึกษาธิการ กลับยังไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในการแสดงออกว่าจะร่วมมือกันจัดการปัญหารถรับส่งนักเรียนที่มีอยู่อย่างไร ที่ผ่านมามีเพียงกรมการขนส่งทางบกที่ได้ออกมาตรการกำกับดูแลรถรับส่งนักเรียน โดยกำหนดให้ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง(รย.2) หรือรถที่มีป้ายทะเบียนพื้นสีขาวตัวหนังสือสีฟ้า นำมาจดทะเบียนเป็นรถรับส่งนักเรียนได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ยังมีรถรับส่งนักเรียนที่วิ่งรับส่งทั่วประเทศอีกจำนวนมากที่ไม่ใช่รถตามที่กฎหมายอนุญาตให้นำมาจดทะเบียนเป็นรถรับส่งนักเรียน ยังไม่รวมถึงมาตรการบังคับข้ออื่นๆ ที่ผู้ประกอบการรถรับส่งนักเรียนไม่สนใจทำตาม ส่งผลให้กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้ ซ้ำยังเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะหากเจ้าหน้าที่เข้มงวดกวดขันบังคับตามกฎหมาย รถรับส่งนักเรียนที่ผิดกฎหมายหลายคันจะต้องหยุดวิ่ง ผลคือเด็กจำนวนมากจะไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้ มันก็จะคล้ายๆ จับเด็กเป็นตัวประกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าทำอะไร… ส่วนกระทรวงศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีหน้าที่ดูแลโรงเรียนและเด็กนักเรียนทั่วประเทศ ยังคงนิ่งสงบและไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในการออกมาตรการดูแลในส่วนนี้ ทั้งที่บางโรงเรียนในสังกัดต้องการคำสั่งในการจัดการรถรับส่งนักเรียน เพราะเห็นว่าการจะทำภารกิจใดๆ ที่นอกเหนือจากงานที่มีอยู่ต้องมีคำสั่ง หากไม่มีคำสั่งก็จะไม่ทำ เพราะไม่มีการบังคับจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่จากบทสรุปของ ห้องย่อยยานพาหนะประเด็นรถรับส่งนักเรียน ในเวทีงานสัมมนาระดับชาตินั้น แม้จะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดว่า การจัดการที่ถูกต้องเหมาะสมจะต้องทำกันแบบไหน แต่อย่างน้อยประเด็นการให้โรงเรียนเป็นจุดจัดการที่ทุกฝ่ายร่วมสนับสนุนเพื่อให้เกิดระบบรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัยก็เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เห็นชอบร่วมกัน รวมถึงประเด็นสำคัญที่ถือว่าเป็นก้าวแรกของการมีส่วนร่วมที่ดีและเป็นสัญญาประชาคมจาก คุณโรจนะ กฤตเจริญ ที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการรับข้อเสนอแนวทางการมีส่วนร่วมไปเสนอผู้บริหาร เพื่อเป็นเจ้าภาพตั้งคณะทำงานจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรฐานการจัดการรถรับส่งนักเรียนให้มีความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะเหมือนเห็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ แต่เราต้องมีความหวัง และพร้อมที่จะติดตามผลการจัดตั้งคณะทำงานนี้ และร่วมกันผลักดันมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อให้รถรับส่งนักเรียนมีมาตรฐานความปลอดภัย ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อลูกหลานของเราทุกคน… 

อ่านเพิ่มเติม >

ปีใหม่นี้ เลือกอะไรเป็นของฝาก!

นิตยสารฉลาดซื้อ ร่วมมือกับศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการซื้อของฝากจากการท่องเที่ยวของคนกรุงเทพมหานคร โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,271 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน 2560  ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่างผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่าผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการซื้อของฝากจากการท่องเที่ยวของคนกรุงเทพมหานคร การซื้อของฝากให้กับญาติสนิท มิตรสหาย และของฝากประเภทใดที่มีความนิยมในการเลือกซื้อ ซึ่งมีการแบ่งแยกตามแต่ละภาคของประเทศไทย รวมไปถึงการตรวจสอบฉลากเรื่องของวันหมดอายุ สถานที่ผลิต ซึ่งผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการซื้อของฝากจากการท่องเที่ยวของคนกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าจะซื้อของฝากจากการท่องเที่ยว อันดับหนึ่งคือ ขนม ของทานเล่น ร้อยละ 26.6 อันดับที่สองคืออาหารแห้ง ร้อยละ 26.0 อันดับที่สามคือของชำร่วย พวงกุญแจ ฯลฯ ร้อยละ 24.4 อันดับที่สี่คือเครื่องแต่งกาย ร้อยละ 23.0 และอันดับที่ห้าคือผักสด ผลไม้สด ร้อยละ 20.9ของฝากจากภาคเหนือ อันดับแรกคือน้ำพริกหนุ่ม ร้อยละ 36.1 อันดับที่สองคือแคบหมู ร้อยละ 29.7 อันดับที่สามคือหมูยอ ร้อยละ 25.0 อันดับที่สี่คือไส้อั่ว ร้อยละ 24.6 และอันดับที่ห้าคือใบชา ร้อยละ 18.3ของฝากจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันดับแรกคือแหนมเนือง ร้อยละ 34.7 อันดับที่สองคือหมูยอ ร้อยละ 29.4 อันดับที่สามคือกุนเชียง ร้อยละ 26.9 อันดับที่สี่คือแหนม ร้อยละ 19.7 และอันดับที่ห้าคือน้ำพริก ร้อยละ 18.3ของฝากจากภาคตะวันออก อันดับแรกคือขนมเปี๊ยะ ร้อยละ 29.1 อันดับที่สองคือข้าวหลาม ร้อยละ 27.5 อันดับที่สามคืออาหารทะเลแห้ง ร้อยละ 26.3 อันดับที่สี่คือผลไม้อบแห้ง ร้อยละ 21.6 และอันดับที่ห้าคือน้ำปลา ร้อยละ 17.5ของฝากจากภาคกลาง อันดับแรกคือขนมเค้ก ร้อยละ 27.3 อันดับที่สองคือสายไหม ร้อยละ 27.1อันดับที่สามคือโมจิ ร้อยละ 26.8 อันดับที่สี่คือกะหรี่พัฟ ร้อยละ 22.0 และอันดับที่ห้าคือขนมเปี๊ยะ ร้อยละ 21.9ของฝากจากภาคตะวันตก อันดับแรกคือทองหยิบทองหยอด ร้อยละ 27.7 อันดับที่สองคือขนมหม้อแกง ร้อยละ 27.6 อันดับที่สามคือขนมชั้น ร้อยละ 25.3 อันดับที่สี่คือขนมปังสัปปะรด ร้อยละ 23.4 และอันดับที่ห้าคือมะขามสามรส ร้อยละ 19.7ของฝากจากภาคใต้ อันดับแรกคือปลาหมึกแห้ง ร้อยละ 32.5 อันดับที่สองคือกะปิ ร้อยละ 29.3 อันดับที่สามคือกุ้งแห้ง ร้อยละ 24.2 อันดับที่สี่คือน้ำพริก ร้อยละ 22.3 และอันดับที่ห้าคือเครื่องแกง ร้อยละ 21.3กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีการตรวจดูวันเดือนปีที่หมดอายุ ร้อยละ 44.8 รองลงมาไม่มีการตรวจดู ร้อยละ 35.4 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 19.8 และมีการตรวจดูสถานที่ผลิต ร้อยละ 44.8 รองลงมาไม่มีการตรวจดู ร้อยละ 34.2 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 21.0และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ไม่เคยได้รับของฝากที่หมดอายุจากบุคคลอื่น ร้อยละ 54.8 รองลงมาไม่แน่ใจ ร้อยละ 28.8 และเคยได้รับของฝากที่หมดอายุจากบุคคลอื่น ร้อยละ 16.4นางสาวสารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวเสริมเรื่องการเลือกซื้อสินค้าของฝากว่า ฉลากเป็นสิ่งจำเป็นและผู้บริโภคไม่ควรละเลยที่จะตรวจสอบข้อมูลที่แสดงบนฉลากก่อนการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากฉลากเป็นหนึ่งในสิทธิของผู้บริโภคที่ว่าด้วยการได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณาคุณภาพที่ถูกต้อง และเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ดังนั้นก่อนการซื้อทุกครั้ง ควรปฏิบัติดังนี้1) ให้พิจารณาว่ามีฉลากหรือไม่ หากเป็นสินค้าที่ไม่มีฉลาก ควรหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตามหากของฝากประเภทอาหารหลายๆ ชนิดเป็นอาหารประเภทที่ผลิตขายเฉพาะหน้าร้านของตัวเอง กฎหมายอนุญาตให้ไม่ต้องแสดงฉลาก ดังนั้นก่อนซื้อผู้บริโภคควรสอบถามข้อมูลสำคัญอย่าง วันที่ผลิตและวันหมดอายุ การเก็บหรือการดูแลรักษา ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหรือไม่ เพื่อไม่ให้อาหารบูดเสียเร็ว 2) ถ้าหากมีการแสดงฉลาก ให้พิจารณาการแสดงรายละเอียดบนฉลากว่า เป็นภาษาไทย และ ถูกต้อง ครบถ้วน หรือไม่ ทั้งนี้หากฉลากไม่เป็นภาษาไทยควรหลีกเลี่ยงหากพบผู้ประกอบการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ผู้ประกอบการอาจมีความผิดได้สองกรณี ดังนี้ กรณีแรก หากมีฉลากเพื่อลวงหรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ หรือลักษณะพิเศษอย่างอื่น หรือในเรื่องสถานที่และประเทศที่ผลิตจะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 25 (2) ของ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ 2522 เรื่อง ผลิต นำเข้าเพื่อจำหน่าย หรือจำหน่าย อาหารปลอม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปีและปรับตั้งแต่ห้าพันถึงหนึ่งแสนบาทกรณีที่สอง หากไม่แสดงฉลากหรือแสดงฉลากไม่ถูกต้องครบถ้วน จะมีความผิดตามมาตรา 6 (10) ของ พ.ร.บ.อาหารฯ  ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน สามหมื่นบาท  หากซื้อสินค้ามาแล้วพบความผิดปกติหรือได้รับอันตรายจากการบริโภคสามารถใช้สิทธิร้องเรียนได้โดยตรงกับผู้ผลิต/ ผู้จัดจำหน่ายตามที่อยู่ที่ระบุไว้บนฉลากหรือตามสถานที่ที่ซื้อสินค้ามานอกจากนี้ก่อนเลือกซื้อของกินเป็นของฝาก นอกจากพิจารณาเรื่องฉลากเป็นสำคัญแล้ว ยังต้องดูเรื่องอื่นๆ ควบคู่กัน เพื่อให้ได้ของฝากที่สะอาดปลอดภัยต่อการบริโภค ไม่ว่าจะเป็น 1) สถานที่ขายหรือสถานที่เก็บรักษาต้องสะอาด ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสิ่งไม่พึงประสงค์ เช่น แมลง สารเคมี และอาหารควรถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทของอาหาร2) สภาพภาชนะบรรจุต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ฉีกขาด ไม่มีร่องรอยที่อาจทำให้เกิดการรั่วซึมของสิ่งปนเปื้อน3) ลักษณะของอาหารต้องอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อน ไม่มีร่อยรอยของการเกิดเชื้อราหรือเชื่อจุลินทรีย์ หรืออยู่ในสภาพอื่นๆ ที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในการบริโภคที่ผ่านมาเคยมีข้อมูลผลทดสอบเรื่องความไม่ปลอดภัยของของฝากกลุ่มอาหารอยู่บ้าง เช่น เมื่อปี 2559 ว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มตรวจน้ำพริกพร้อมบริโภค เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้าสับ น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก แจ่วบอง เป็นต้น ที่จำหน่ายตามตลาดสด ตลาดนัด ศูนย์โอทอป ศูนย์ของฝากทั่วประเทศ พบว่าจากทั้งหมด 1,071 ตัวอย่าง พบว่า ไม่ผ่านมาตรฐาน 164 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 15 ส่วนใหญ่พบปัญหาเรื่องการใช้วัตถุกันเสียเกินปริมาณที่อนุญาต การปนเปื้อนจุลินทรีย์และเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ เช่น เชื้อบาซีลัส ซีเรียส และ เชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟิงเจน รวมทั้งในกรณีของ ปลาหมึกแห้ง ที่มูลนิธิฯ เคยสุ่มวิเคราะห์ตัวอย่างปลาหมึกแห้ง เมื่อปี 2553 พบการปนเปื้อนโลหะหนักทั้ง 8 ตัวอย่างที่สุ่มทดสอบ ทั้ง แคดเมียม ตะกั่ว และ ปรอท โดยเฉพาะ แคดเมียม ที่พบเกินค่ามาตรฐาน 4 จาก 8 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบส่วนในกลุ่ม ขนมปัง ขนมอบ ขนมเค้ก ก็มักมีความเสี่ยงในเรื่องของสารกันบูด ส่วนอาหารจำพวกแหนมเนือง มีความเสี่ยงของเชื้อโรคอาหารเป็นพิษที่อาจปนเปื้อนมาพร้อมผักสดที่ล้างทำความสะอาดไม่ดีพอ เช่นเดียวกับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์หรือแปรรูปจากเนื้อสัตว์ หากรับประทานโดยที่อาหารไม่ผ่านการปรุงให้สุก หรือผลิตโดยไม่ได้มาตรฐานก็อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคอาหารเป็นพิษได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 201 กระแสต่างแดน

ดังก็โดนกิจการของ Red Balloon เว็บไซต์ขายประสบการณ์ตื่นเต้นเร้าใจกำลังไปได้สวย  ใครๆ ก็อยากจะลองเหินฟ้าดิ่งพสุธา นั่งบอลลูน ตระเวนชิมไวน์ หรือเรียนทำอาหารแปลกๆ ผู้ก่อตั้งเว็บนี้ก็กลายเป็นคนดังในสังคมออสซี่ เพราะเธอเป็นหนึ่งในผู้ตัดสินประจำรายการ Shark Tank เกมโชว์ปั้นธุรกิจหน้าใหม่  นาโอมิ ซิมสัน ดังยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อบริษัทของเธอถูกคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งปรับเป็นเงิน 43,200 เหรียญ(ประมาณ 1.07 ล้านบาท) เพราะคิดค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเดบิตและเครดิตเกินกำหนดกับลูกค้าไป 4 รายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม และ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เธอให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เจตนาของบริษัท ทีมงานของเธอแค่พลาดรายละเอียดเรื่องนี้ไปเท่านั้น กฎหมายห้ามคิดค่าธรรมเนียมเกินควรนี้บังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่มาได้ประมาณหนึ่งปีแล้ว ส่วนธุรกิจรายย่อยนั้นเริ่มบังคับเมื่อเดือนกันยายน คณะกรรมการฯ บอกว่าผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยไม่สามารถผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรให้กับผู้บริโภคเกินกำหนดได้กลับเองได้บรรดาครูและผู้บริหารโรงเรียนในอิตาลีต่างพากันโล่งออกเมื่อได้ข่าวว่าจะมีการแก้กฎหมายให้นักเรียนอายุต่ำกว่า 14 ปีสามารถกลับบ้านโดยไม่มีผู้ใหญ่มารับได้   สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการแก้กฎหมายที่ว่าคือการที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาออกมาเรียกร้องให้พ่อแม่ผู้ปกครองไปรับลูกที่โรงเรียนเพราะ “มันเป็นกฎหมาย และทุกคนต้องปฏิบัติตาม” ถ้าไม่ว่างก็ต้องจัดให้ปู่ย่าตายายไปรับแทน(สื่ออิตาลีแอบไปขุดคุ้ยมาได้ว่าตัวเธอเองไม่เคยว่างไปรับหลานสาวที่โรงเรียนเหมือนกัน)  คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะต้องมีการจัดเวรยามเพิ่มเติมหลังเลิกเรียน การเตรียมตัวถูกฟ้องร้องกรณีที่เกิดอันตรายกับเด็กในระหว่างที่เดินทางกลับบ้านในที่สุดข้อเสนอที่ออกมาคือการให้ทางเลือกแก่ผู้ปกครอง หากเชื่อมั่นในบุตรหลานและต้องการให้เด็กกลับบ้านด้วยตนเองก็สามารถเซ็นใบอนุญาตให้กับทางโรงเรียนไว้ได้เลยดีเซลหมดสิทธิเห็นเงียบๆ แต่เยอรมนีก็มลพิษเพียบนะคะ ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมยื่นฟ้องเยอรมนีในวันที่ 7 ธันวาคม โทษฐานที่ไม่ดูแลคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงของอียูและหากศาลยุโรปเห็นว่ามีความผิดจริง ก็จะต้องจ่ายค่าปรับมิใช่น้อยการตัดสินใจนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลท้องถิ่นบางรัฐในเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐบาลเดิน เวิร์ทเทมเบิร์กที่ชื่อว่าเมืองชตุทท์การ์ท เป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าไนโตรเจนไดออกไซด์ในอากาศเกินกำหนดถึงสองเท่า กำลังจะออกประกาศห้ามรถดีเซลเข้าเขตเมืองภายในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า ตามคำตัดสินของศาลท้องถิ่น Environmental Action Germany ผู้ยืนฟ้องรัฐบาเดิน เวิร์ทเทมเบิร์ก ระบุว่าการห้ามรถดีเซลนี้เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะข้อเสนอของบรรดาค่ายรถ(เช่น เดมเลอร์ และปอร์เช่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองนี้เช่นกัน) เรื่องการอัปเดตซอฟต์แวร์นั้นไม่ช่วยอะไรตามแผนนี้ รถที่จะวิ่งในเขตตัวเมืองได้จะต้องมีสติกเกอร์สีน้ำเงิน ซึ่งจะออกให้เป็นการรับรองรถที่ผ่านมาตรฐานยูโร- 6 เท่านั้น  ข่าวบอกว่ามิวนิคก็เล็งจะแบนรถดีเซลในเมืองเช่นกันต้องไม่หวั่นไหวเหตุการณ์แผ่นดินไหวทางใต้ของเกาหลีเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนไม่น้อย เพราะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ที่น่าตกใจกว่าคือผลการสำรวจของเทศบาลกรุงโซลที่ออกมาหลังจากนั้น เทศบาลกรุงโซลพบว่ามีเพียงร้อยละ 30 ของอาคารบ้านช่องในโซลเท่านั้นที่สามารถต้านทานความแรงของแผ่นดินไหวได้   ถ้าแยกเป็นอาคารที่อยู่อาศัยแล้วจะพบว่ามีร้อยละ 46 ที่ถูกออกแบบมารองรับความสั่นสะเทือน ในกรณีของบ้านเดี่ยวแล้วมีเพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น   ส่วนอาคารสำนักงานนั้นดีขึ้นมาอีกนิดเพราะมีถึงร้อยละ 63 ที่พร้อมรับแผ่นดินไหว ในขณะที่ตัวเลขของโรงเรียนอยู่ที่ร้อยละ 33.5     เกาหลีใต้เริ่มจริงจังเรื่องการก่อสร้างอาคารเพื่อรองรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาตั้งแต่ปี 2012 และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้กำหนดให้อาคารทุกชนิดที่สูงเกินสองชั้นและมีพื้นที่รวมกันมากกว่า 500 ตารางเมตร ต้องออกแบบให้รองรับการสั่นสะเทือนด้วยภาระคนโสด มหกรรมจับจ่ายเงินของคนโสดในประเทศจีนเมื่อนวันที่ 11เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทำให้เกิดการไหลสะพัดของเงินมากเป็นประวัติการณ์ แต่ละชั่วโมงร้านค้าออนไลน์มีรายได้ถึง 1 พันล้านเหรียญ ด้านผู้ซื้อก็เบิกบานกันทั่วหน้าเพราะได้สั่งซื้อสินค้า(ที่เชื่อว่าเป็น) ราคาโปรฯ มาครอบครอง แต่สิ่งที่มาพร้อมกันกับมหกรรมช้อปกระจายคือ ขยะจำนวนมหาศาล ลองจินตนาการถึงแพคเก็จจำนวน 331 ล้านกล่อง บวกด้วยถุง เทปกาว และเชือก สถิติปีก่อนระบุว่า “วันคนโสด” ปีที่แล้วทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติถึง 52,000 ตัน(ในขั้นตอนการผลิต บรรจุหีบห่อ และขนส่งนั่นเอง)  ผู้ประกอบการอย่างเจดี เถาเป่า หรืออาลีบาบา ต่างก็เคยแสดงท่าทีว่าจะรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้แพคเก็จที่ย่อยสลายเร็ว ใช้กล่องพลาสติกแทนกล่องกระดาษ หรือแม้แต่การออกแบบกล่องที่ไม่ต้องใช้เทปใสปิดทับ    แต่องค์กรสิ่งแวดล้อมที่นั่นยืนยันว่าความพยายามนี้ยังไม่เด่นชัดนัก ปีหน้าเราอาจได้เห็นนวัตกรรมเด็ดๆ ในการจัดส่งสินค้าแดนมังกรในวัน “โสดต้องซื้อ” ก็ได้  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ออกกำลังกายกับแอพพลิเคชั่นนับก้าวเดิน

ข่าวการวิ่งรับบริจาคของ “ตูน บอดี้สแลม” ถูกจับตามองจากประชาชนทั้งประเทศ อีกทั้งการชักชวนให้ออกกำลังกายโดยการวิ่งก็เริ่มเป็นกระแสที่โด่งดังอีกครั้ง และกระแสดังกล่าวได้เป็นแรงกระตุ้นจนทำให้มีผู้คนหลายฝ่ายหันมาให้ความสนใจกับการวิ่งออกกำลังกายกันมากขึ้น  การวิ่งถือว่าเป็นการออกกำลังกายวิธีหนึ่ง ซึ่งส่งผลดีในหลายด้าน ได้แก่ ช่วยเบิร์นไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย เพิ่มกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแกร่ง สร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเครียด ลดความวิตกกังวล และเป็นวิธีที่ช่วยฝึกฝนสมาธิอีกวิธีหนึ่ง หลายคนที่กำลังอยากจะออกกำลังกายโดยการวิ่ง แต่ร่างกายไม่พร้อมอาจหันมาให้ความสนใจในเรื่องการเดินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงได้เช่นกัน เพราะการเดินก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการออกกำลัง ลองเริ่มต้นจากการใช้แอพพลิเคชั่นที่ช่วยคำนวณการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นจุดเริ่มต้น โดยขอแนะนำแอพพลิเคชั่น “Moves” และแอพพลิเคชั่น “StepsApp” ซึ่งแอพพลิเคชั่นทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันในการใช้งาน นั่นคือ ช่วยในการนับก้าวเดินในแต่ละวัน แต่มีรายละเอียดที่ความแตกต่างกันบางส่วน แอพพลิเคชั่น “Moves” นอกจากจะช่วยนับก้าวเดินในแต่ละวันแล้ว ยังสามารถช่วยนับก้าวขณะวิ่งได้ด้วย และเป็นแอพพลิเคชั่นที่สามารถบอกระยะทางเป็นเส้นทางการเดินทางในแต่ละวันได้ว่า เริ่มการใช้แอพพลิชั่นจากสถานที่ใดในช่วงเวลาใด ใช้เส้นทางใด และเดินทั้งหมดกี่ก้าว กี่กิโลเมตร หรือช่วงเวลาใดเดินทางด้วยรถ ซึ่งผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถเปิดดูเส้นทางที่มีลักษณะเป็นแผนที่ย้อนหลังได้ และยังสามารถคำนวณการเบิร์นแคลอรี่ สำหรับแอพพลิเคชั่น “StepsApp” มีความแตกต่างกับแอพพลิเคชั่น “Moves” โดย “StepsApp” จะสามารถตั้งเป้าหมายที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นต้องการให้เป็นไปในแต่ละวัน ตั้งแต่จำนวนก้าวในการเดิน จำนวนปริมาณการเบิร์นแคลอรี่ ระยะทางเป็นกิโลเมตร และการระบุเวลาในการเดินทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถเก็บเป็นสถิติเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกันได้ ถ้ามีการตั้งเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ภายในหน้าแอพพลิเคชั่น “StepsApp” จะมีสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นเดินเพื่อออกกำลังกายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ทั้งแอพพลิเคชั่น “Moves” และแอพพลิเคชั่น “StepsApp” มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งการเลือกดาวน์โหลดลงมาใช้งานบนสมาร์ทโฟน ก็ต้องขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของผู้ใช้ว่าต้องการเลือกแบบใด เพราะการเลือกแอพพลิเคชั่นใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้เป็นหลักแต่ถ้าชอบทั้งคู่ ก็ดาวน์โหลดเก็บไว้ทั้ง “Moves” และ “StepsApp” เลยล่ะกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนพฤศจิกายน 2560กลุ่มผู้ซื้อรถมาสด้าแล้วเจอปัญหา ร้อง สคบ. จี้บริษัทแสดงความรับผิดชอบ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์มาสด้า 2 ดีเซล Sky Active รุ่นปีผลิต 2015-2016 รวมรุ่นย่อย ของบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 22 ราย ซึ่งซื้อรถยนต์ดังกล่าวในช่วงปี 2558-2559 พร้อมด้วย นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เดินทางมาร่วมยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อเรียกร้องให้ผู้ประกอบการแสดงความรับผิดชอบกรณีพบว่ารถยนต์ที่ซื้อมาใช้งานอาการผิดปกติจนมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยจากปัญหาความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ ได้แก่ อาการผิดปกติของระบบไฟแจ้งเตือน อาการรั่วซึมของโช้คด้านหลัง และอาการเครื่องยนต์สั่น เร่งความเร็วไม่ขึ้น โดยอาการจะปรากฏครั้งแรกในช่วงเลขไมล์ 20,000 – 70,000 กม. และคงอาการลักษณะนี้จนปัจจุบันนายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายจากการใช้รถยนต์มาสด้า 2 รุ่นสกายแอคทีฟ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้นำรถของตนเข้าศูนย์หลายครั้ง คิดเป็น 2 เท่าของระยะตรวจเช็คตามรอบปกติ เริ่มจากปัญหาโช้ครั่วที่พบหลังใช้รถ 2-3 เดือนแรก จนถึงปัญหาความผิดปกติของระบบไฟแจ้งเตือนและตัวเลขแสดงระยะทางที่ผิดพลาด ล่าสุดพบปัญหาเครื่องยนต์ดีเซลมีอาการสั่น และเร่งความเร็วไม่ขึ้นช่วง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงต่อชีวิตทางกลุ่มผู้ร้องและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อยากให้ทางศูนย์มาสด้าออกมาชี้แจงถึงวิธีการแก้ไขปัญหาให้รถยนต์กลับมามีสภาพปกติที่ควรเป็น และขอให้ สคบ.มีคำสั่งให้ผู้ประกอบการทดสอบรถยนต์ที่เกิดปัญหาภายใน 7 วัน ตามอำนาจกฎหมาย และขอให้มีคำสั่งระงับการจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า 2 ในรุ่นที่มีการร้องเรียนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะทราบผลการพิสูจน์ ซึ่งหากพบว่าสินค้าชำรุดบกพร่องจนอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตจริง ก็ขอให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีคำสั่งให้บริษัทรับผิดชอบรับซื้อรถยนต์คืนทั้งหมดย้อมสีเนื้อหมูหลอกขายเป็นเนื้อวัวพ่อค้าร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เข้าแจ้งความกับตำรวจ หลังพบว่าเนื้อวัวที่ซื้อมาเมื่อนำไปล้างน้ำทำความสะอาด สีลอกและซีดลง แถมไม่มีกลิ่นของเนื้อวัว พ่อค้ารายดังกล่าวสงสัยว่าแม่ค้าจะเอาเปรียบผู้บริโภคด้วยการนำเนื้อหมูมาย้อมสีโกหกว่าเป็นเนื้อวัวหลอกขายผู้บริโภค ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบร้านค้าดังกล่าว พร้อมทั้งควบคุมตัวแม่ค้ามาสอบปากคำ ท้ายที่สุดแม่ค้าก็รับสารภาพว่าได้เอาสีผสมอาหารย้อมเนื้อหมูให้มีสีแดงคล้ายเนื้อวัวจริง แล้วติดป้ายหลอกขายว่าเป็นเนื้อวัวในราคากิโลกรัมละ 235 บาท เพื่อให้ขายได้กำไรมากขึ้นจากเนื้อหมูที่มีราคากิโลกรัมละ 120 บาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหากับแม่ค้าคนดังกล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงและขายสินค้าหลอกลวงประชาชน ถูกเปรียบเทียบปรับไป 1,000 บาท พร้อมต้องชดใช้ค่าเสียหายคืนให้กับพ่อค้าร้านอาหารตามสั่งที่ถูกหลอก นวดปลอดภัย เลือกร้านที่มีใบอนุญาติถูกต้องกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แนะนำให้ผู้ที่ต้องการรับบริการนวดต้องประเมินร่างกายตนเองเบื้องต้นก่อนรับบริการทุกครั้ง หากพบว่าร่างกายของตนมีอาการเจ็บปวด ต้องการนวดเพื่อรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ อย่างการนวดจับเส้น ขอให้เลือกรับบริการจากสถานพยาบาลการแพทย์แผนไทย ซึ่งผู้ให้บริการนวดจะต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพด้านเวชกรรมไทย ด้านนวดไทย หรือด้านการแพทย์แผนไทยประยุกต์ จากสภาการแพทย์แผนไทยเท่านั้นโดยสามารถสังเกตสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายจากหลักฐาน 3 ประการ ได้แก่ 1. มีการแสดงเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก ให้เห็นได้ชัดเจนที่ด้านหน้าสถานพยาบาล 2. มีการแสดงใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลให้เห็นชัดเจนที่จุดบริการ และ 3. มีการแสดงป้ายชื่อ-สกุล รูปถ่าย พร้อมกับเลขที่ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพของแพทย์ติดหน้าห้องตรวจ ซึ่งต้องตรงกับตัวจริงที่ให้บริการขณะนั้นแต่หากต้องการนวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ หรือ ผ่อนคลาย ให้เลือกรับบริการจากสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ประเภท สปา นวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการจาก สบส. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งผู้ให้บริการนวดจะต้องได้รับประกาศนียบัตรตามหลักสูตรที่ สบส. ให้การรับรอง และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพถูกต้องตามกฎหมาย และสังเกตหลักฐาน 3 ประการ ได้แก่ 1. มีการแสดงสติกเกอร์มาตรฐาน สบส. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ตามประเภทกิจการ ให้เห็นชัดเจนที่จุดบริการ 2. มีการแสดงใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และ 3. มีการแสดงใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอาหารเสริมคังหลินอวดอ้างสรรพคุณหลอกเงินชาวบ้านคณะกรรมการอาหารและยา และ กลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค โรงพยาบาลวาริชภูมิ จ.สกลนคร ร่วมกับสถานีตำรวจภูธรวาริชภูมิ ดำเนินการเอาผิดกลุ่มบุคคลที่ทำการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อ คังหลิน (KungLin) ที่ใช้หยอดหู หยอดตา โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนและทีมวิจัยสมุนไพรของศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นำสินค้ามาแนะนำ โดยขอให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสายให้ชาวบ้านที่มีปัญหาเรื่อง หู ตา คอ จมูก เบาหวาน ภูมิแพ้ ความดัน และชาวบ้านที่ต้องการตรวจโรค ลงทะเบียนตรวจวินิจฉัยโรคฟรีแต่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในราคา 3,600 บาท หลังจากตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบว่า ฉลากระบุผู้จำหน่ายคือ บริษัท กรีนนิซ เทคโนโลยี จำกัด จ.นครราชสีมา แต่ไม่พบข้อมูลชื่อ ที่อยู่ ผู้ผลิต ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิต และหมดอายุ เมื่อเจ้าหน้าที่ขอดูเอกสารเกี่ยวกับโครงการ ก็ไม่สามารถนำมาแสดงได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา และเก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุดรธานีต่อไป ทั้งนี้ อย.ฝากเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อวดอ้างเรื่องการรักษาโรค เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างในกรณีนี้หากนำไปใช้หยอดหู หยอดตา สุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน อาจเป็นอันตรายต่อหูและดวงตาของผู้ที่ใช้ถอนทะเบียนยา “ฟีนิลบิวตาโซน” 70 รายการ เหตุอันตรายถึงชีวิตในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้มีการเผยแพร่ คําสั่งกระทรวงสาธารณสุข ที่ 1435/2560 เรื่อง เพิกถอนทะเบียนตำรับยา ที่มีตัวยาฟีนิลบิวตาโซน (Phenylbutazone) เป็นส่วนประกอบ หลังพบข้อมูลทางวิชาการว่า ยาฟีนิลบิวตาโซน เป็นสาเหตุของการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง เนื่องจากอาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางจากภาวะไขกระดูกฝ่อ (aplastic anaemia) และเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (agranulocytosis) ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2530 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคําแนะนําของคณะกรรมการยาในการประชุมครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560 จึงมีคําสั่งเพิกถอนทะเบียนตํารับยาสําหรับมนุษย์ที่มีตัวยาฟีนิลบิวตาโซนเป็นส่วนประกอบ จํานวน 70 ตํารับ ตามบัญชีแนบท้ายประกาศ โดยสามารถดูรายละเอียดประกาศฉบับนี้ได้ที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/277/62.PDF

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ฟ้องคดีแบบกลุ่ม

ข่าวการยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มมีให้เห็นเป็นระยะ นับตั้งแต่คดีแรกเรื่องความเสียหายของประชาชนจากเหมืองทอง กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ฟอร์ด กลุ่มผู้ใช้กระทะโคเรียคิงส์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ทุกคดีที่ฟ้องทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการการไต่สวนอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือไม่ การฟ้องคดีแบบกลุ่ม ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องได้รับอนุญาตจากศาล โดยสามารถดำเนินคดีละเมิดที่เกี่ยวข้องกับการผิดสัญญา คดีเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค แรงงาน หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ การแข่งขันทางการค้า โดยผู้เสียหายมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน การดำเนินคดีแบบกลุ่ม เป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่บรรดาผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากการกระทำเดียวกัน มีประโยชน์มากเพราะช่วยให้เข้าถึงความเป็นธรรมในการฟ้องคดีอย่างทั่วถึง คุ้มครองผู้เสียหายทุกคนถึงแม้จะไม่ได้ร่วมฟ้องคดี ลดภาระของผู้บริโภค การสนับสนุนกันของผู้บริโภคในการดำเนินคดี ลดโอกาสในการมีคำพิพากษาต่างกัน เกิดมาตรฐานในการพิจารณาคดี จากเดิมการฟ้องคดีเป็นกลไกตั้งรับที่สำคัญในการได้รับการชดเชยเยียวยา การฟ้องคดีก็ถูกคาดหวังว่าจะช่วยป้องปรามการกระทำที่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการเข็ดหลาบ ไม่กล้าดำเนินการที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภคอีกต่อไป การฟ้องคดีแบบกลุ่มจึงมีความหมายมากในการป้องกันปัญหาสำหรับผู้บริโภค เพราะหากได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดี จะกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่ส่วนอื่นๆ พึงต้องระวัง สร้างความตื่นตัวผู้ประกอบการให้ตระหนักถึงการผลิตสินค้าและบริการที่จะต้องมีมาตรฐานและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญการดำเนินคดีที่ผ่านมาทั้งคดีปกครองที่มีข้อจำกัดเรื่องการบังคับคดี มาตรฐานการพิจารณาคดีผู้บริโภคที่แตกต่างกันในการพิจารณาคดีที่มีความเสียหายแบบเดียวกันของผู้บริโภค ความจำกัดของคำพิพากษาเชิงลงโทษ ความร่วมรับผิดของนิติบุคคล ระยะเวลาในการดำเนินคดี ภาระค่าใช้จ่ายของผู้ฟ้องคดี รวมถึงภาระในการพิสูจน์ความเสียหาย ทำให้ความคาดหวังที่มีต่อการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ต้องไม่หนีห่างจากการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ในส่วนการดำเนินคดีผู้บริโภค ปฏิบัติการให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ฉบับนี้นอกจากนี้ บทเรียนการฟ้องคดีของมูลนิธิมามากกว่า 10 ปี ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องมีความคาดหวังและจินตนาการต่อกระบวนการยุติธรรม เช่น มาตรฐานการอนุญาตฎีกา การเลื่อนคดีต้องแจ้งให้คู่ความได้รับทราบและคู่ความไม่จำเป็นต้องไปศาล ขั้นตอนต่างๆ มีพองามไม่เนิ่นนาน ทัศนคติต่อผู้บริโภคหรือประชาชนที่ฟ้องคดี ต้องไม่ถูกมองว่าเป็นผู้สร้างภาระให้ศาลยุติธรรม ยึดหลักการและทัศนคติต่อการคุ้มครองผู้บริโภค มีความเป็นมิตรต่อผู้บริโภค ประชาชนที่ฟ้องคดี ที่สำคัญหากสามารถทำได้ การให้กำลังใจต่อผู้ฟ้องคดี มีคำถามบางคำถามที่ไม่ควรใช้ เช่น คุณใช้สินค้าไปแล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะได้เงินคืนเต็มจำนวน ฟ้องแล้วไม่ใช่จะชนะนะ ใช้เงินเยอะนะรู้มั้ย และผู้บริโภคไม่ได้อะไร คำถามเหล่านี้จะให้ทนายความพูดตอบโต้ ก็ยาก เพราะทุกคนก็ทราบความจริงว่าเรื่องนี้เหมือนกับการไปพบแพทย์ การโต้แย้งแพทย์ไม่ต่างจากการโต้แย้งศาล เพราะกลัวการรักษาไม่ดีหรือแพ้คดี หากลดข้อจำกัดเหล่านี้ต่อประชาชน ผู้บริโภคได้จริง จะทำให้ประเทศนี้ยึดศาลยุติธรรมเป็นที่พึ่ง เมื่อเกิดข้อขัดแย้งในสังคม เช่นเดียวกับในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมากในการใช้การฟ้องคดีแบบกลุ่มเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 สั่งของแท้ แต่ได้ของปลอม

ไม่ว่าใครก็ต้องการของดีราคาไม่แพง ทำให้หลายครั้งเราตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่หลอกลวงด้วยถ้อยคำโฆษณาและสินค้าราคาถูกกว่าปกติ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณสุนีย์ตัดสินใจสั่งซื้อสร้อยไข่มุก Loperla Masami Jewelry Opera Set จากช่องทรูวิชชั่น ในราคา 5,990 บาท แต่โฆษณาลดเหลือ 5,690 บาท เนื่องจากคุณสุนีย์เห็นโฆษณาว่าเป็นไข่มุกเลี้ยงแท้ 100% พร้อมรายละเอียดต่างๆ ของสินค้าที่น่าสนใจ เช่น ขนาดเม็ดมุก  7 มม., มีจำนวนเม็ดไข่มุก 135 เม็ด, จี้ห้อย เป็นนิกเกิล ประดับคริสตัส และความยาวสร้อย 95.5 ซม. (รวมจี้และตะขอ)อย่างไรก็ตามหลังได้รับสินค้ากลับพบว่า สร้อยมีไข่มุกเพียง 127 เม็ด และความยาวน้อยกว่าที่โฆษณา ประมาณ 2 นิ้ว  เธอจึงแจ้งให้บริษัทเปลี่ยนสินค้าในวันเดียวกัน ต่อมาเมื่อบริษัทนำสินค้ามาเปลี่ยนให้ก็ยังพบปัญหาว่าไข่มุกมีขนาดเม็ดเล็กกว่าเส้นแรก เธอจึงแจ้งให้บริษัทเปลี่ยนสินค้าอีกครั้ง ซึ่งหลังได้รับการเปลี่ยนสินค้ารอบนี้ เธอได้ทดสอบไข่มุกด้วยการลนไฟ โดยหากเป็นไข่มุกเทียมจะเกิดการไหม้หลอมและหลุดลอก เเต่ถ้าเป็นไข่มุกเเท้ จะเป็นคราบเขม่าดำที่เกิดจากความร้อนซึ่งเช็ดออกได้หลังการทดสอบสินค้าเธอก็พบว่าผิวไข่มุกไหม้และลอกล่อน รวมทั้งเมื่อนำไข่มุกมาถูกัน ก็เกิดอาการลื่นออกจากกัน ต่างจากไข่มุกแท้ที่จะมีลักษณะฝืด ทำให้คุณสุนีย์แจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อขอคืนสินค้าและขอเงินคืนทั้งหมด ซึ่งบริษัทฯ แจ้งว่าจะขอทดสอบไข่มุกในห้องปฏิบัติการก่อน โดยใช้เวลาในการทดสอบ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามหลังผ่านไปหลายเดือนก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เธอจึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ แจ้งให้ผู้ร้องส่งรายละเอียดการโฆษณาสินค้ามาให้เพิ่มเติม พร้อมทำหนังสือนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัท ซึ่งผู้ร้องต้องการให้บริษัทเยียวยาความเสียหาย ดังนี้ 1. ให้ประกาศโฆษณาขอโทษ ด้วยวิธีการเช่นเดียวกับที่ประกาศโฆษณาจำหน่ายสินค้า เป็นเวลา 1 ปี  และให้เรียกคืนสินค้าและคืนเงินให้ลูกค้าทุกรายที่ซื้อสินค้าดังกล่าว หรือ 2. หากไม่สามารถดำเนินการตามข้อ 1 ได้ ให้ชดเชยเยียวยาความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาทให้แก่ผู้ร้อง อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้ขอเลื่อนการเจรจาออกไป แต่ส่งหนังสือชี้แจงกลับมาว่าบริษัทกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากผู้ผลิตในประเทศไต้หวัน ซึ่งอาจเกิดจากเหตุขัดข้องในการจัดส่งสินค้าที่ผิดไป โดยผู้ผลิตยินยอมส่งคืนสินค้าที่ถูกต้องให้ภายในระยะเวลา 30 วัน และได้ร่วมมือกับ บริษัท ทรู จีเอส จำกัด ในการประสานงานติดต่อผู้ซื้อทุกราย เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงสินค้าที่ถูกต้อง ภายใน 15 วันทำการ หรือรับคืนเงินเต็มจำนวนทันที สำหรับผู้ซื้อที่ไม่ประสงค์รอสินค้าด้านผู้ร้องพอใจกับข้อเสนอดังกล่าว แต่ต้องการให้บริษัทรับผิดชอบเพิ่มเติม ด้วยการโฆษณาการคืนสินค้าให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับทราบ ไม่ใช่คืนสินค้าเฉพาะรายอย่างเงียบๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีการคืนสินค้ากันจริงหรือไม่ ซึ่งผลการดำเนินการจะเป็นอย่างไรต่อไป ยังคงต้องติดตาม

อ่านเพิ่มเติม >