ฉบับที่ 201 ซื้อยาสมุนไพรออนไลน์ ปลอดภัยแค่ไหน

สินค้าออนไลน์มีมากมายหลายประเภท แต่หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมากก็หนีไม่พ้นอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ อย่างไรก็ตามการซื้อสินค้าเหล่านี้ผ่านโลกออนไลน์ จะมีความปลอดภัยจริงหรือคุณดวงใจโทรศัพท์มาปรึกษาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า น้องสาวของเธอมีอาการเท้าบวมและไม่ยอมไปโรงพยาบาล แต่ซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรยี่ห้อ นราห์ (NARAH) ผ่านอินเทอร์เน็ตมาเพื่อรักษาอาการแทน ซึ่งเมื่อได้รับสินค้า เธอได้นำเลขที่สารบบอาหาร 13 หลักที่ระบุไว้บนฉลากคือ 50-1-02254-1-0009 ไปตรวจสอบผ่านการสืบค้นข้อมูลผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์ของ อย. ก็ไม่มีพบรายละเอียดใดๆ เธอจึงไม่มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความปลอดภัย นอกจากนี้สินค้ายังมีการโฆษณาแสดงสรรพคุณที่ดูเกินจริงอีกด้วย เช่น เป็นสมุนไพรเพื่อลด ควบคุมและป้องกันโรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันและโรคหัวใจได้ คุณดวงใจจึงส่งผลิตภัณฑ์และรายละเอียดต่างๆ มาให้ศูนย์ฯ ช่วยตรวจสอบแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยแถลงข่าวเตือนประชาชนในการซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านอินเทอร์เน็ตว่า อาจเสี่ยงได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน หรือมีส่วนผสมของสารอันตราย เพราะมักมีการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงและแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคแล้ว ผู้ที่ขายยาผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออาหารเสริมที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย จึงขอความร่วมมือผู้บริโภคไม่สนับสนุนผู้กระทำผิดกฎหมาย และช่วยแจ้งเบาะแสหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในลักษณะนี้ที่สายด่วน อย. 1556และสำหรับในกรณีนี้ ศูนย์ฯ ได้ช่วยผู้ร้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าว ด้วยการทำหนังสือถึง อย. เพื่อขอให้มีการตรวจสอบ ซึ่งภายหลังทาง อย. ก็ได้แจ้งผลการดำเนินการมาว่า ผู้ขอจดทะเบียนเลขระบบอาหารของสมุนไพรนราห์ ได้ขอยกเลิกเลขทะเบียนสารระบบอาหารไปแล้ว เนื่องจากมีผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามาหลายราย ซึ่งขณะนี้ อย. กำลังสืบเรื่องและเตรียมส่งต่อให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ดำเนินคดีและแจ้งระงับการโฆษณาการขายสินค้าดังกล่าว โดยหากดำเนินการเสร็จเรียบร้อย จะทำหนังสือตอบกลับมายังมูลนิธิฯ อีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ห้องจริงไม่เหมือนในตัวอย่าง

การตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากใบโฆษณา หรือจากห้องตัวอย่างอาจสร้างความผิดหวังได้ หากพบว่าห้องจริงที่ได้มานั้น ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้เมื่อปี 2556 คุณภารดรได้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดในโครงการ ออริจินส์ บางมด-พระราม 2  ซึ่งเขาได้ชำระค่าทำสัญญาไป 27,000 บาท และผ่อนดาวน์เดือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 21 งวด รวมเป็นเงิน 139,200 บาท และยังชำระเกินไปอีก 2 งวดจำนวน 10,000 บาท ต่อมาในปี 2558 ทางโครงการฯ ได้ส่งจดหมายแจ้งให้คุณภารดรทำการยื่นขอสินเชื่อและเข้าไปตรวจดูห้องชุด ซึ่งปรากฏว่าห้องที่ทางโครงการจะส่งมอบให้มีการออกแบบแตกต่างไปจากในใบโฆษณาสินค้าหลายประการ เขาจึงไม่พอใจและต้องการยกเลิกสัญญา จึงส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำปรึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ แนะนำผู้ร้องว่า การยกเลิกสัญญาเนื่องจากห้องชุดที่ได้ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้สามารถทำได้ โดยตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจขายห้องชุดเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ข้อ 8.6 ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินทั้งหมดคืนจากผู้ขายได้ หากผู้ขายไม่ได้ทำตามแบบที่นำแสดงขายหรือห้องตัวอย่างไว้ โดยศูนย์ฯ ช่วยผู้ร้องร่างหนังสือบอกเลิกสัญญาไปที่บริษัท ทั้งนี้ภายหลังได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยเพิ่มเติมที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งทางบริษัทยินยอมคืนเงินที่ผู้ร้องชำระไป จำนวนกว่าเก้าหมื่นบาท ด้านผู้ร้องก็ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวและขอยุติการร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ก่อนซื้อเครื่องสำอาง อย่าลืมดูฉลาก

สาวๆ หลายคนที่ชื่นชอบการแต่งหน้า อาจเคยเผลอซื้อเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งบางคนอาจโชคดีไม่เกิดอาการแพ้ใดๆ แต่ไม่ใช่กับผู้ร้องรายนี้ คุณปาริชาตร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ว่า เธอซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากร้าน  K'Saranon Beauty and Herb  ที่ตั้งอยู่หลังตึกการบินไทยมาใช้ ซึ่งหลังใช้แล้วเกิดอาการคัน แพ้ แสบปาก และเมื่อตรวจสอบสินค้าดูอีกครั้งก็พบว่ากล่องก็ไม่มีฉลากภาษาไทย เธอจึงกลับไปที่ร้านเพื่อขอคืนสินค้า แต่แม่ค้าไม่ยินยอม โดยอ้างว่าเป็นของแท้และไม่คืนเงินให้ อย่างไรก็ตามจะให้เปลี่ยนเป็นสินค้าอื่นภายในร้านแทนด้านคุณปาริชาตไม่มั่นใจว่าสินค้าอื่นๆ จะได้มาตรฐานหรือเปล่า จึงไม่ต้องการแลกสินค้าและถ่ายรูปร้านค้าไว้ ทำให้แม่ค้าแจ้งว่าจะไม่ขายสินค้ายี่ห้อดังกล่าวแล้ว และจะคืนเงินให้ 60% แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด เธอจึงส่งเรื่องมายังศูนย์ฯ เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ช่วยผู้ร้องด้วยการทำหนังสือถึง อย. เพื่อให้มีการเข้าไปตรวจสอบร้านค้าดังกล่าว ซึ่งภายหลังการดำเนินการ อย. ได้แจ้งกลับมาว่า สถานที่จำหน่ายเครื่องสำอางตามที่ผู้ร้องได้แจ้งมานั้นปิดทำการไปแล้ว โดยได้มีการเข้าตรวจสอบหลายครั้งก็ไม่พบว่าร้านเปิดทำการอีกเลย ทำให้ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ อย่างไรก็ตามทาง อย. จะติดตามผลต่อไป และหากพบว่าทางร้านกระทำผิดจริงหรือจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานก็จะสั่งระงับการขายทันที ทั้งนี้สำหรับผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องสำอาง ควรตรวจสอบฉลากภาษาไทยก่อนซื้อทุกครั้ง โดยอย่างน้อยฉลากต้องระบุข้อความดังนี้ (1) ชื่อเครื่องสำอาง (2) ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง (3) ส่วนประกอบ (4) วิธีใช้ (5) ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต/นำเข้า (6) ปริมาณสุทธิ (7) เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต (8) เดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุ รวมทั้งต้องมีเลขที่จดแจ้ง 10 หลัก ซึ่งเราสามารถนำเลขดังกล่าวเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์สืบค้นข้อมูลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของ อย. หรือ http://164.115.28.102/FDA_SEARCH_CENTER/PRODUCT/FRM_SEARCH_CMT.aspx เพื่อดูว่าเป็นเครื่องสำอางที่ได้รับการอนุญาตให้ขายจริงหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าชื่อจดแจ้งข้างกล่องกับในเว็บไซต์ไม่ตรงกันก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเครื่องสำอางดังกล่าวอาจไม่ปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 เร่งผมยาว ได้จริงหรือ

ใครที่กำลังขาดความมั่นใจจากความสั้นเต่อของเส้นผม มักมองหาสารพัดวิธีเพื่อช่วยเร่งให้ผมยาวขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการใช้ผลิตภัณฑ์เร่งผมยาวอย่างแชมพู สเปรย์หรือเซรั่ม แต่วิธีเหล่านี้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน เราลองไปหาคำตอบกันมารู้จักเส้นผมของเรากันสักนิดเส้นผม เป็นส่วนที่เจริญเติบโตจากต่อมรากผม มีโปรตีนเคราติน(Keratin) เป็นส่วนประกอบหลัก แต่ถือว่าเป็นส่วนของเซลล์ที่ตายแล้ว จึงทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บหรือมีเลือดเมื่อหลุดร่วงหรือถูกตัดออก ซึ่งตามปกติเส้นผมจะหลุดร่วงประมาณ 100 เส้น/วัน และมีวงจรการเจริญเติบโตเป็นระยะที่แน่นอน คือ เมื่อเส้นผมงอกไปจนยาวได้ประมาณหนึ่งแล้ว ต่อมผมก็จะหยุดสร้างเส้นผมเพื่อให้เกิดการหลุดร่วง จากนั้นก็จะมีผมงอกใหม่ขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้จำนวนเส้นผมตามปกติบนศีรษะของเราจะมีประมาณ 100,000-150,000 เส้น ผมยาวขึ้นได้ อย่างไรอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า เส้นผมมีวงจรการเจริญเติบโตเป็นระยะที่แน่นอน แตกต่างจากการงอกของเล็บ ซึ่งแบ่งออกป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะเจริญเติบโต(Anagen) เป็นช่วงที่เส้นผมมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สังเกตได้ว่าผมยาวขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอัตราการเจริญของเส้นผมประมาณ 1/2 นิ้ว/เดือน 2. ระยะหยุดเจริญเติบโต(Catagen) เป็นช่วงที่เส้นจะหยุดการเจริญเติบโตและหลุดร่วงไป และ 3. ระยะหลุดร่วง (Telogen) เป็นช่วงเวลาพักตัวของเส้นผม ซึ่งหลังจากนี้จะเกิดการสร้างรากผมใหม่และเข้าสู่ระยะที่หนึ่งอีกครั้งอย่างไรก็ตามวงจรการงอกของเส้นผมทั้ง 3 ระยะนี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งหนังศีรษะ ผมเส้นหนึ่งอาจอยู่ในระยะเจริญเติบโตในขณะที่บริเวณผมด้านข้างอยู่ในระยะหยุดการเจริญเติบโต ทำให้เรายังรู้สึกว่าผมยังดูยาวหรือหนาแน่นเต็มศีรษะอยู่ นอกจากนี้กระบวนการเติบโตเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น พันธุกรรม อายุหรือโรคประจำตัว ส่งผลให้แต่ละคนมีความยาวของเส้นผมที่แตกต่างกันไปแล้วเราสามารถเร่งผมยาวได้ จริงหรือแม้การเจริญเติบโตของเส้นผมจะมีวงจรที่แน่นอน และมีระยะเวลาการเจริญเติบโตที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน แต่หลายคนยังต้องการที่จะเร่งกระบวนการดังกล่าว ด้วยการใช้แชมพู สเปรย์หรือเซรั่มต่างๆ ซึ่งหากเราลองตรวจสอบหน้าที่หลักของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ดูจริงๆ ก็จะพบว่า แชมพูมีหน้าที่หลักในการชำระล้างสิ่งสกปรกบนหนังศีรษะ จึงอาจช่วยชำระล้างความมันที่อุดตันที่รากผมและทำให้เส้นผมเจริญเติบโตได้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถส่งผลให้เส้นผมยาวไปมากกว่าอัตราการเจริญเติบโตตามปกติของมันได้ ส่วนสเปรย์หรือเซรั่มต่างๆ ที่มักโฆษณาว่ามีส่วนประกอบของอาหารผมนั้น พบว่าสามารถช่วยทำให้ผมแข็งแรงขึ้นได้ เพราะช่วยปิดเกล็ดผมที่ถูกทำร้ายจากความร้อน จึงอาจทำให้ดูเหมือนผมสุขภาพดีและหนาขึ้น แต่ก็ไม่สามารถส่งผลให้เส้นผมยาวไปมากกว่าอัตราการเจริญเติบโตตามปกติของมันได้เช่นกันแนะวิธีดูแลเส้นผมเพื่อให้เส้นผมมีการเจริญเติบโตตามวงจรปกติของมัน เราควรมีการดูแลเส้นผมอย่างถูกวิธี ดังนี้1. การสระผม แน่นอนว่าจำนวนครั้งการสระผมไม่ได้ส่งผลต่อความยาวของเส้นผม แต่ส่งผลต่อความสะอาดของหนังศีรษะ ซึ่งทำให้รูขุมขนไม่อุตตันและผมงอกได้ตามปกติ ระยะเวลาในการสระจึงขึ้นกับลักษณะการใช้ชีวิตของเรา และเลือกใช้แชมพูที่เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ เช่น ถ้าหนังศีรษะมันอาจจะสระผมบ่อยได้ แต่ถ้าหนังศีรษะแห้งหรือผมแห้งมาก การสระผมบ่อยมากเกินไปอาจจะไม่เหมาะ รวมทั้งหลังการสระผมทุกครั้ง เราควรบำรุงผมให้มีความนุ่มลื่นขึ้นด้วยครีมนวดผม เพื่อป้องกันเส้นผมพันกัน ซึ่งยากต่อการจัดแต่งทรงภายหลัง2. เลี่ยงความร้อนและการใช้สารเคมี เพราะจะทำให้เกล็ดผมเปิด และเส้นผมขาดหรือแตกปลายได้ง่าย 3. รับประทานอาหารให้เหมาะสม เช่น อาหารที่มีโปรตีน เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของเส้นผม หรือวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในยีสต์และโยเกิร์ต 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ไทยแลนด์ 4.0 หรือจะสู้ไทยลวง 4.0

ตอนนี้ ไทยแลนด์ 4.0 กำลังฮิต แต่ผมว่าที่มาแรงกว่า คือ ไทยลวง 4.0 เพราะเป็นการลวงผู้บริโภคอย่างได้ผล โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ไม่ค่อยเท่าทันคนลวง จะเผลอเป็นเหยื่อได้ง่าย มาลองดูกันว่าคนใกล้ตัวเราเคยเจอแบบนี้บ้างหรือเปล่า1. บูชาสาธุ : เทคนิคนี้ ผู้ขายสินค้าหลอกลวงจะอ้างอิงความเชื่อและศรัทธาของคนไทย พยายามทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนดูศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเทคนิคแพรวพราว บางทีเจ้าของผลิตภัณฑ์จะยกยาหรือพระขรรค์ขึ้นเหนือหัว อ้างว่าเคารพครูบาอาจารย์ บางทีก็ท้าสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เล่นแบบนี้  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ สุดท้ายก็ระทวยทรัพย์ไปจากกระเป๋าเพราะค่ายกครูยาแบบนี้ราคาไม่ถูก ส่วนใหญ่ก็หมดเป็นร้อยเป็นพัน บางรายหมดไปเกือบหมื่นก็มี2. อ้างอิงไปทั่ว : เทคนิคนี้จะใช้การอ้างอิงกับผู้ป่วยรายอื่น และแน่นอนจะต้องบอกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ดี เคยมีผู้ป่วยรายก่อนๆ นำไปรับประทานแล้วหาย อ้างว่าอัมพฤกษ์ อัมพาต ยังลุกขึ้นมาเดินได้ บางครั้งอ้างถึงขนาดว่าตาบอดยังกลับมามองเห็นได้  แต่ส่วนใหญ่ที่ว่าหายๆ พอขอดูตัวเป็นๆ กลับหายหัวไปหมด3. หวาดกลัวยาเคมี : เทคนิคนี้จะจับกระแสที่คนกลัวยาแผนปัจจุบัน อยากได้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ผู้ขายจะโน้มน้าวว่า ยาแผนปัจจุบันคือสารเคมี ควรหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตนจำหน่ายดีกว่า เพราะเป็นของจากธรรมชาติล้วนๆ (แต่คงลืมนึกไปว่า กว่าจะสกัดมาขายอย่างนี้  ก็ใช้สารเคมีสกัดมาเหมือนกัน) สุดท้ายเหยื่อก็เคลิ้มไปเรียบร้อย4. ส่งทุกที่ไปรษณีย์ไทย : เทคนิคนี้ ผู้ขายจะหาพื้นที่สื่อในโลกโซเชียล โฆษณาสรรพคุณมหัศจรรย์จนตะลึง และให้สั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์ ซึ่งรวดเร็วถูกใจเหยื่อที่ใจร้อนอยากหายไวๆ แค่นี้ก็ขายได้แล้ว ไหนๆ ก็เจอไทยลวง 4.0  แล้ว ขอเสนอ คาถาปราบลวง 4.0 สู้กันซึ่งๆ หน้าไปเลย1. สู้บูชาสู้สาธุ : ค่ายกครูตามความเชื่อของคนไทยต้องไม่แพง ในชนบทเขายกกันไม่กี่บาท ถ้ายกเป็นร้อยเป็นพันน่ะ มันไม่ใช่ยกครูแล้ว มันทำท่าจะยกเค้าซะมากกว่า ถ้าแพง อย่าเพิ่งรีบเชื่อ2. สู้อ้างอิงไปทั่ว : ลองช่วยกันแอบดูว่า พวกคนขายที่อ้างอิงว่าผลิตภัณฑ์ของตนดีแบบมหัศจรรย์นั้น เวลาเจ็บป่วย เขาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายรักษาตนเองหรือไม่ หรือแอบไปรักษาตัวที่ไหน เท่าที่เจอมา ส่วนใหญ่เวลาเจ็บป่วยก็หอบสังขารไปโรงพยาบาลกันทั้งนั้น ท่องไว้เลยว่า ถ้าผลิตภัณฑ์ดีจริง ทางโรงพยาบาลต้องเอาไว้ใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยแล้ว ไม่ใช่ให้มาแอบขายโฆษณาโอเวอร์ๆ แบบนี้3. อย่าหวาดกลัวยาเคมี : ตั้งสติให้ดีครับ ยาเคมีกว่าจะออกมาใช้กับมนุษย์ได้ เขาต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยจนมั่นใจ แต่ยาก็เหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ บางคนอาจมีการแพ้ หรือมีผลข้างเคียงได้ บุคลากรสาธารณสุขเขามีหน้าที่ดูแลตรงนี้อยู่แล้ว  ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มาหลอกขายราคาแพงๆ นั้น กว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์ มันก็ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่หยิบมาจากธรรมชาติมากินได้ทันที4. ส่งทุกที่แต่ส่งมาจากที่ไหน :  ปกติกฎหมายจะกำหนดให้ยาต้องจำหน่ายในสถานที่ที่ต้องได้รับอนุญาต เพื่อให้มีหลักแหล่งแน่นอน ตรวจสอบได้ ของที่ส่งมาแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้า ชื่อผู้และสถานที่ส่งก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เราจะยอมเอาสุขภาพเราไปเสี่ยงหรือยังไงผู้บริโภคยุค 4.0 ตั้งสติกันให้ดีนะครับ ไม่ชอบมาพากลใช้คาถาปราบลวง 4.0 สู้กันเลย โชคดีนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะทำให้เป็นโรคความจำเสื่อมจริงหรือ

หลายคนไม่กล้าฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพราะกลัวว่าจะเกิดโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ เนื่องจากมีเว็บไซต์ของการแพทย์ทางเลือกหลายเว็บไซต์จากต่างประเทศกล่าวถึงผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทำให้ผู้สูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่ยอมเป็นไข้หวัดใหญ่ดีกว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่คืออะไรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่ใช้ฉีดปีละครั้ง และต้องฉีดทุกปี วัคซีนนี้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่กระทบต่อทางเดินหายใจส่วนบนเป็นหลัก ซึ่งมีอาการไข้ ไอ บวม และอาจเกิดอาการปอดอักเสบหรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า ปอดบวม  ทุกปีวัคซีนนี้ต้องคัดเชื้อที่คิดว่าจะเกิดการระบาดในปีนั้น และสามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดได้ประมาณร้อยละ 70 เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีมากกว่า 200 สายพันธุ์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก่อให้เกิดอัลไซเมอร์จริงหรือ สมาคมอัลไซเมอร์แห่งอเมริกา แถลงว่า ความเข้าใจเรื่องวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่(หรือสารเคมีในวัคซีน) ก่อความเสี่ยงในการเกิดอัลไซเมอร์นั้น เป็นความหลงเชื่อที่ผิด และไม่เป็นความจริง เหตุที่เชื่อนั้นเพราะ วัคซีนจะมีสารปรอทซึ่งเป็นสารกันเสื่อมของวัคซีนบางชนิด(วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นการฉีดแค่ครั้งเดียว จึงไม่ต้องใช้สารนี้)  หน่วยงานควบคุมและป้องกันโรค ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปริมาณของปรอทนั้นมีปริมาณน้อย และไม่มีอันตรายมากไปกว่าการบวมและแดงเล็กน้อยเมื่อฉีดวัคซีนงานวิจัยกลับบอกผลตรงกันข้ามจากการทบทวนงานวิจัยในหลายๆ ที่ พบว่า งานวิจัยในวารสาร Canadian Medical Journal ปีค.ศ. 2001 มีการวิจัยในประชากร 4, ราย  392 รายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ มีความเสี่ยงลดลงสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เช่นเดียวกับผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก หรือโปลิโอ  งานวิจัยนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ หรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มการเกิดอัลไซเมอร์มากกว่ารายงานอีกเรื่องในวารสาร JAMA ค.ศ. 2004 พบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีสำหรับผู้สูงอายุ สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงในการตายจากสาเหตุต่างๆ ทุกประเภท  ซึ่งในวารสาร Pubmed ได้นำบทคัดย่อไปเผยแพร่ในวารสารงานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ การศึกษาล่าสุดในไต้หวัน ปีค.ศ. 2016 เป็นการศึกษาในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง จำนวน 11,943 ราย ในจำนวนนี้ มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ร้อยละ 48 และที่เหลืออีก 6,192 ราย ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่  พบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีการลดลงของการเกิดโรคความจำเสื่อมโดยสรุป ความเชื่อเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ นั้น ไม่พบหลักฐานทางวิชาการที่สนับสนุนความเชื่อดังกล่าว  ในทางตรงข้าม กลับพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กลับมีความเสี่ยงและการเกิดโรคความจำเสื่อมและอัลไซเมอร์ลดลง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 นายจ้างเรียกค่ารักษาพยาบาลคืนจากผู้ทำละเมิดลูกจ้าง “ไม่ได้”

สวัสดีครับ ครั้งนี้มาคุยกันเรื่องของสิทธินายจ้าง ลูกจ้างกันนะครับ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกท่าน ซึ่งบางท่านอาจจะเป็นทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เช่นเดียวกับที่ท่านอาจเป็นทั้งผู้บริโภคที่ซื้อและขายสินค้าในคนเดียวกัน โดยมีคดีเรื่องหนึ่งน่าสนใจมาก เป็นเรื่องของนายจ้างคนหนึ่งซึ่งมีลูกจ้างไปขับรถตักยกสินค้าประมาท โดยขับรถตักยกสินค้าเพื่อยกเยื่อกระดาษอัดลงจากรถยนต์บรรทุก โดยไม่ตรวจสอบก่อนว่าเยื่อกระดาษอยู่ในตำแหน่งที่อาจหล่นได้หรือไม่ เป็นเหตุให้เยื่อกระดาษหล่นจากรถยนต์บรรทุกมาทับลูกจ้างอีกคนตาย หลังเกิดเหตุ นายจ้างก็รับผิดชอบต่อครอบครัวของผู้ประสบเหตุ จ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าโลงศพ และค่าฉีดยาศพ พร้อมค่าขนศพมายังภูมิลำเนาลูกจ้างผู้ตาย รวมเป็นเงินกว่าแสนบาท   และต่อมา นายจ้างและครอบครัวของลูกจ้างที่ตาย ลูกจ้างที่ขับรถตักยก ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแต่ไม่ยอมชดใช้เงินให้นายจ้าง นายจ้างจึงมาฟ้องคดีต่อศาล  ซึ่งฝั่งจำเลยที่เป็นครอบครัวของลูกจ้างที่ตายก็สู้ว่าผู้ตายเป็นลูกจ้างของโจทก์ประสบเหตุขณะทำงานให้โจทก์ ผู้ตายเข้ารับการรักษาและโดยความยินยอมของโจทก์ โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำศพ ขอให้ยกฟ้อง ท้ายที่สุด ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า การที่นายจ้างจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเงินทดแทนแก่ลูกจ้าง กรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการทำงานให้แก่นายจ้าง กฎหมายไม่ได้ให้สิทธิแก่นายจ้างเรียกเอาเงินทดแทนที่จ่ายไปนั้นคืนจากผู้ทำละเมิดต่อลูกจ้าง เพราะไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นนายจ้างจึงไม่อาจอ้างการรับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่นายจ้างจ่ายไปคืนได้คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7630/2554          การรับช่วงสิทธิจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอำนาจของกฎหมาย จึงต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้รับช่วงสิทธิได้ การที่โจทก์จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเงินทดแทนแก่ลูกจ้างตามกฎหมายแรงงานอันเป็นกฎหมายพิเศษซึ่งใช้บังคับระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยเฉพาะ มิใช่การจ่ายค่าสินไหมทดแทนความเสียหายและกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิแก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเรียกเอาเงินทดแทนที่จ่ายไปนั้นคืนจากผู้ทำละเมิดต่อลูกจ้างโจทก์ได้แต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจอ้างการรับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์จ่ายไปคืนจากจำเลยที่ 7 ได้ โดยสรุปคือ การจ่ายเงินของนายจ้างกรณีตามคดีนี้ เป็นการจ่ายเงินทดแทนตามกฎหมายแรงงานอันเป็นกฎหมายพิเศษที่ใช้บังคับกรณีลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายจากการทำงานให้นายจ้างโดยเฉพาะ ไม่ใช่การจ่ายค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย และกฎหมายก็ไม่ได้ให้สิทธินายจ้างเรียกเอาเงินที่จ่ายทดแทนไปนั้นจากผู้ทำละเมิดต่อลูกจ้างโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้นนายจ้างซึ่งเป็นโจทก์จึงไม่อาจอ้างการรับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายไปคืนได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 เพลิงบุญ : ความเมตตาหากไร้ซึ่งปัญญากำกับ

“เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก” สัจธรรมความคิดนี้น่าจะถูกต้องอยู่ แต่ทว่า ความเมตตาที่มีต่อโลกนั้น ก็ต้องมีเงื่อนไขและขอบเขตในการปฏิบัติด้วยเช่นกัน นิทานโบราณเรื่อง “ม้าอารี” เคยเล่าเตือนสติผู้คนจากรุ่นสู่รุ่นมาว่า ม้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในเพิงหลบแดดหลบฝน เพราะเจ้าของสร้างให้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู ในขณะที่วัวอีกตัวหนึ่งกลับถูกทอดทิ้งไว้ตามยถากรรม จนวันหนึ่งฝนตกหนัก วัวก็ขอเข้ามาปันแบ่งชายคาเพิงพัก ม้าผู้อารีก็ใจดี ค่อยๆ เขยิบให้จมูกวัวพ้นจากฝน แต่เมื่อวัวหายใจคล่องขึ้น ก็เริ่มต่อรองให้ม้าเขยิบออกไปอีกทีละนิดๆ จนในที่สุด ม้าที่แสนใจดีก็ต้องกระเด็นออกไปยืนกลางแดดและตากฝนอยู่นอกเพิงพัก นิทานเรื่อง “ม้าอารี” สอนให้รู้ว่า ความเมตตาอารีแม้นจะมีได้ แต่ก็ใช้ไม่ได้กับคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน และยิ่งหากคนที่เมตตาไร้ซึ่งปัญญามากำกับด้วยแล้ว คนผู้นั้นก็อาจมีอันต้องระเห็จออกไปจากเพิงพักอันอบอุ่นในที่สุด และคนที่กำลังเล่นบทบาทแบบ “ม้าอารี” เยี่ยงนี้ ก็คงหนีไม่พ้นตัวละครอย่าง “พิมาลา” แห่งเรื่อง “เพลิงบุญ” ที่เอื้ออารีต่อเพื่อนรักอย่าง “ใจเริง” แบบมากล้น จนในท้ายที่สุด เธอก็แทบจะถูกอัปเปหิออกไปจากเพิงพักที่สร้างไว้กับสามีอันเป็นที่รักอย่าง “ฤกษ์”  ปรมาจารย์เจ้าตำรับทฤษฎีจิตวิเคราะห์อย่างซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยอธิบายว่า ในห้วงแห่งจิตมนุษย์นั้นไซร้ จะมีการต่อสู้ชักเย่อกันไปมาระหว่างระบบระเบียบศีลธรรมของสังคมกับปรารถนาดิบๆ ที่หลบเร้นอยู่ในซอกลึกๆ ของจิตใจ หรือที่ฟรอยด์เรียกว่า เป็นการต่อสู้กันระหว่าง “superego” กับ “id” ในจิตมนุษย์นั่นเอง ภาพการชิงดำของสองส่วนในจิตแบบนี้ ก็สะท้อนอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่เป็นเพื่อนรักกันแต่ก็แตกต่างกันสุดขั้วอย่างพิมาลากับใจเริง ในด้านของพิมาลา ผู้เป็นตัวแทนของ “แม่พระ” หรือระเบียบศีลธรรมอันดีงามแห่งมวลมนุษยชาตินั้น ในขณะที่วัยเด็กของเธอเคยได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวของใจเริงที่ช่วยปลดหนี้ของครอบครัวซึ่งเกือบจะล้มละลาย “บุญคุณ” ครั้งนั้นก็ได้กลายมาเป็นดั่ง “หนี้บุญคุณ” ที่พิมาลาต้องจ่ายคืนแบบไม่สิ้นไม่สุด ตรงกันข้ามกับใจเริง ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ทะยานอยาก หรือเป็น “ปรารถนาดิบๆ” ที่อยู่ในหลืบเร้นในจิตของมนุษย์ เธอก็สามารถทำทุกอย่างโดยไม่ใส่ใจว่า นั่นจะละเมิดหลักศีลธรรมหรือไม่ อย่างไร เฉกเช่นประโยคที่เธอกล่าวว่า “เริงทำก็เพราะความอยู่รอด แล้วเริงก็รอดจริงๆ แสดงว่าเริงทำในสิ่งที่ถูกต้อง…” ชีวิตของผู้หญิงสองคนที่ผูกเกลียวเอาไว้ด้วย “บุญ” ที่กลายมาเป็น “เพลิง” เผาผลาญตัวละคร เริ่มต้นขึ้นเมื่อฤกษ์เข้ามายืนอยู่ตรงกลางระหว่างตัวแทนของคุณค่าศีลธรรมอย่างพิมาลา กับผู้หญิงที่เป็นภาพแทนของแรงขับดิบๆ ในจิตอย่างใจเริง แม้จุดเริ่มต้นใจเริงจะคบหากับฤกษ์ชายหนุ่มที่แย่งมาจากพิมาลา แต่เมื่อเธอได้มาพบกับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หนุ่มผู้มั่งคั่งอย่าง “เทิดพันธ์” ใจเริงก็เปลี่ยนใจหันไปหาชายหนุ่มคนใหม่ และทิ้งฤกษ์ไปโดยไม่สนใจว่าเขาจะเจ็บปวดเพียงใด จนฤกษ์ได้เลือกตัดสินใจกลับมาลงเอยกับความรักอีกครั้งกับพิมาลา แต่ในเมื่อชีวิตคนล้วนไม่แน่นอน มีขาขึ้นก็ต้องมีขาลงสลับกัน ในขณะที่พิมาลากับฤกษ์ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตคู่และชีวิตการทำงาน แต่ชีวิตของใจเริงกับเทิดพันธ์กลับดิ่งลงเหว พร้อมๆ กับธุรกิจของเทิดพันธ์ที่เกิดล้มละลาย ผู้หญิงที่จมไม่ลงแบบใจเริงก็พร้อมจะเทเขาทิ้งแบบไร้เยื่อขาดใยเช่นกัน  และด้วยความริษยาที่มีต่อกราฟชีวิตของเพื่อนซึ่งดีวันดีคืน ใจเริงก็ใช้ “หนี้บุญคุณ” ซึ่งผูกไว้แต่อดีต มาทวงขอความช่วยเหลือจากพิมาลา อันกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นบทเรียนแบบ “ม้าอารี” ที่เพื่อนรักใช้มารยามา “หักเหลี่ยมโหด” เพื่อเขี่ยเจ้าของชายคากระเด็นออกไปจากเพิงพักในที่สุด เพราะเพื่อนรักเป็นประหนึ่ง “ม้าอารี” ใจเริงก็วางหมากกลค่อยๆ ยื่นจมูกเข้าไปในชายคาบ้านทีละนิดๆ ตั้งแต่เสแสร้งว่าเธอเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไร้พิษสงใดๆ ขนานไปกับการหว่านเสน่ห์ใส่ฤกษ์ให้เขาตบะแตก หรือแม้แต่จัดฉากภาพบาดตาที่เธอกับฤกษ์กำลังนัวเนียกันอยู่บนเตียง ปฏิบัติการทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มุ่งเป้าที่จะผลักให้ “ม้าอารี” อย่างพิมาลาออกไปยืนกรำแดดกรำฝนอยู่นอกชายคานั่นเอง สำหรับใจเริงแล้ว แม้ใครต่อใครจะมองว่าเธอผิด และทุกคนก็ฉลาดพอจะรู้ทันการใช้เล่ห์มารยามาทำร้ายเพื่อนรักอยู่โดยตลอด แต่ที่น่าชวนฉงนยิ่งก็คือ พิมาลาผู้เป็นคู่กรณีนั้นกลับแสนซื่อโลกสวยเสมือน “ขี่ม้าชมทุ่งลาเวนเดอร์” ในความฝันอันงดงามตลอดเวลา แม้ผู้หวังดีจะหมั่นเตือนสติ แต่เธอก็คอยแก้ต่างด้วยวลีที่ว่า “แต่พิมกับเริงคบกันมาตั้งแต่เด็ก เริงไม่น่าจะคิดร้ายกับพิมขนาดนั้นหรอก” จนผ่านไปเกินค่อนเรื่องแล้วนั่นแหละ ที่พิมาลาจึง “ถึงบางอ้อ” เปลี่ยนมา “คิดใหม่ทำใหม่” และเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “พิมที่แสนดีก็ยังอยู่ แต่พิมที่โง่หลงเชื่อว่าเพื่อนที่เราดีด้วยจะดีตอบ...ตายไปแล้ว” แม้สำหรับผู้ชายอย่างฤกษ์ที่นอกใจภรรยาผู้โลกสวย หรือผู้หญิงตัวแทนแห่ง “ปรารถนาดิบๆ” แบบใจเริง จะถูกมองว่าผิดเต็มประตูก็จริง แต่ตัวละคร “ม้าอารี” ที่โลกสวยและศีลธรรมล้นเกินแบบพิมาลานั้น ก็มิต่างจากจำเลยอีกคนที่เป็นมูลเหตุให้ชีวิตคู่ของเธอเองต้องพังครืนลงมา คงเหมือนกับที่ “คุณฤทธิ์” พ่อของฤกษ์ที่กล่าวกับพิมาลาว่า “ทั้งสามคนมีจุดผิดพลาดร่วมกัน ไม่ต้องโยนให้คนอื่น และก็ไม่ต้องแบกรับเอาไว้คนเดียว” เพราะเผลอๆ แล้ว ความเมตตาหากไร้ซึ่งปัญญากำกับ ก็ถือเป็นอันตรายต่อการดำเนินชีวิตเสียยิ่งกว่าตัวแปรใดๆ  หากจะถามว่าข้อคิดของละครผู้หญิงสองคนแย่งชิงผู้ชายกันอย่างเรื่อง “เพลิงบุญ” ให้อะไรกับคนดูนั้น ก็คงเป็นอุทาหรณ์ที่คุณฤทธิ์เตือนสติพิมาลาและผู้ชมไปพร้อมๆ กันว่า “การทำความดีไม่ใช่สักแต่ว่าหลับหูหลับตาทำ แต่เราก็ต้องทำด้วยปัญญา...ให้ในสิ่งที่สมควร ในเวลาอันสมควร แก่ผู้ที่สมควร”  “บุญ” เป็นสิ่งที่เราพึงทำอยู่เสมอก็จริง แต่หาก “บุญ” เป็นดุจดั่ง “เพลิง” ที่เผาผลาญ เพราะคนทำบุญไม่ใช้ปัญญาขบคิดให้แตกฉานด้วยแล้ว ก็ไม่ต่างจาก “ม้าอารี” ที่ชักศึกเข้าบ้าน จนเบียดขับให้ตนต้องไปยืนกรำแดดกรำฝนอยู่นอกเพิงพักนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์

ปัจจุบัน ร้อยละ 30 ของเด็กมีพัฒนาการไม่สมวัย ส่วนหนึ่งเพราะ   เด็กทารก เด็ก ใช้สื่อ ดูสื่อ ได้รับสื่อทางอ้อม มากถึง 4 ชม.ต่อวันจากการประชุมเวทีสื่อสาธารณะ เรื่อง “แนวทางการกำหนดช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับเด็กในการใช้สื่ออออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนและแทบเลต”  ซึ่งจัดโดย คณะอนุกรรมการส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2560 มีเรื่องที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ เด็กแรกเกิดถึงอายุสองปี ไม่สามารถแปลงภาพและเสียงที่พบเห็นและได้ยินจากสื่อหน้าจอ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท มาเป็นความรู้ที่จะใช้กับโลกแห่งความเป็นจริงได้ด้วยตนเอง เด็ก แรกเกิดถึงอายุ 2 ปี เป็นวัยที่สมองมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการ ทุกด้าน อย่างรวดเร็ว เด็กวัยนี้จะต้องเรียนรู้โดยการสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวภายใต้การสอนการบอก การแยกแยะ สิ่งถูกผิด การคุ้มครองอันตรายโดยผู้เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีพัฒนาการที่ดี ทั้งด้านกล้ามเนื้อ ภาษา สติปัญญา และด้านอารมณ์สังคม แต่ไม่ใช่จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการศึกษาวิจัย ของนายแพทย์วีระศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนกลุ่มแพทย์สามสถาบันพบว่า เด็กได้รับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่อายุ 1 เดือนครึ่ง และที่อายุ 1 ปีได้รับถึงร้อยละ 99.7 และได้รับเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 5 ชั่วโมงต่อวัน ที่อายุ 18เดือน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่เป็นทีวี แต่แนวโน้มจะมีการดูรายการทีวี รายการเพลง การ์ตูนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และแทบเล็ต เพิ่มมากขึ้น เด็กได้รับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในบ้านในช่วงเย็น ระหว่างทานอาหาร ในห้องนอน ในเวลาก่อนนอนเป็นจำนวนมากการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ดังนี้1. พฤติกรรมก้าวร้าว การศึกษาพบชัดเจนว่าเด็กที่ได้รับสื่อที่มีความรุนแรงความก้าวร้าวนำไปสู่พฤติกรรมความก้าวร้าว2. พฤติกรรมซนสมาธิสั้น มีการศึกษาที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่าเด็กที่ใช้สื่อเป็นระยะเวลายาวนานมีความสัมพันธ์กับภาวะซนและสมาธิสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสื่อที่มีความก้าวร้าวรุนแรง 3. การศึกษาของนายแพทย์วีระศักดิ์พบว่าเด็กที่ได้รับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่อายุ 6 - 18 เดือน มีพฤติกรรมการแยกตัวการดื้อต่อต้านมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการได้รับสื่อสำหรับผู้ใหญ่4.พฤติกรรมด้านภาษา สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นสื่อการศึกษาดีสามารถช่วยส่งเสริม พัฒนาการ ด้านภาษา และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้ ที่ถูกออกแบบมา การพูดการใช้ภาษาที่ชัดเจนให้เด็กมีส่วนร่วม จะสามารถพัฒนาทางด้านภาษาให้แก่เด็กได้ แต่ต้องถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ไปไม่ใช่รายการบันเทิงทั่วไป หากเด็กดูรายการบันเทิงทั่วไปและใช้เวลายาวนานต่อวัน กลับมีผลให้พัฒนาการทางภาษาล่าช้า 5. พัฒนาการด้านการใช้สมองระดับสูงในการแก้ไขปัญหา คิดสร้างสรรค์ พบชัดเจนว่าเด็กที่ใช้สื่อเป็นระยะเวลายาวนานมทำให้ความสามารถระดับสูงล่าช้ากว่าเด็กที่ใช้สื่อในระยะเวลาที่น้อยกว่า แพทย์หญิงมธุรดา  สุวรรณโพธิ์  ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่าผลกระทบต่อพัฒนาการสมองของเด็ก 5 ประการได้แก่  พัฒนาการการพูดช้าลง  สมาธิสั้น กระทบต่อการนอน พฤติกรรมก้าวร้าว  และอ้วน เมื่อเด็กโตเข้าสู่ปฐมวัยและวัยเรียน  ค.ศ.2011 มีการศึกษาปฏิกิริยาของการตอบสนองของเด็กทารกกับตุ๊กตาเปรียบเทียบกับเกมในแทบเล็ต  ผลพบว่าของเล่นทั้งสองอย่างทำให้เด็กมีความสุขพอๆกัน  แต่เด็กทารกมีการติดใจในเกมมากกว่าตุ๊กตา  ดังนั้นการหยิบยื่นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เด็กจึงต้องมีเงื่อนไขและข้อจำกัด  และต้องไม่ให้สื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นตัวทดแทนเวลาของครอบครัวพ่อแม่หลายๆ ท่านเห็นว่าการปล่อยลูกเล่นเกมที่บ้านปลอดภัยกว่าการให้ลูกออกไปเล่นนอกบ้านไปเจอความเสี่ยงต่างๆ  แน่นอนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆมีข้อดีเสมอ เช่น อีบุ๊ค  หรือแอปพลิเคชัน ต่างๆ ที่ช่วยการอ่าน  ภาษา แต่พ่อแม่ควรพิจารณาช่วงอายุที่เหมาะสม กล่าวคือยิ่งลูกอายุเข้าใกล้วัยเรียนหรือใกล้จะเข้าโรงเรียนยิ่งดี  นอกจากนี่พ่อแม่เป็นผู้เลือกเนื้อหาและอยู่ร่วมกับเด็กเสมอในขณะลูกใช้อุปกรณ์ การศึกษาของเด็กอายุ 2 ปีพบว่าระยะเวลาของการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ต่อสัปดาห์ มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของค่า BMI การให้เด็กได้ดูสื่อโฆษณาอาหาร และการดูสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในระหว่างมื้ออาหาร เป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์นี้ ในส่วนของการนอน การศึกษาพบว่า เด็กทารกที่ได้ดูสื่อหน้าจอในช่วงเย็น จะมีระยะเวลาของการนอนหลับในช่วงกลางคืนที่สั้นลง ซึ่งเป็นได้จาก เนื้อหาของสื่อที่กระตุ้นความตื่นเต้น และจากรังสีสีฟ้าที่ผ่านทางหน้าจอ กดการหลั่งสารเมลาโทนินนายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีกฎหมายคุ้มตรองเด็กด้านสื่อออนไลน์ เราควบคุมแต่สื่อผิดกฎหมาย สื่อไม่ผิดกฎหมายแต่ไม่เหมาะสมกับเด็กสามารถจะถูกผลิตออกไปได้ การส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กในเรื่องนี้ต้องทำทั้งการส่งเสริมคนที่สร้างโปรแกรมที่ดีสำหรับเด็กและการควบคุมโปรแกรมอันตรายหรือไม่เหมาะสมกับเด็กให้ไม่สามารถเข้าถึงตัวเด็กได้ เรื่องนี้ต้องเอาจริงเอาจัง มุ่งที่การคุ้มครองเด็กไม่สับสนกับเสรีภาพผู้ใหญ่ ครอบครัวและชุมชนต้องมีส่วนร่วมข้อสรุป1.หน่วยงานเทคโนโลยีดิจิตอล ผู้ประกอบการ ตำรวจ การแพทย์ การศึกษา การพัฒนาเด็ก   ต้องทำข้อตกลงความร่วมมือกันในการพัฒนาระบบการคุ้มครองเด็ก ให้เท่าทันกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการกระตุ้นการใช้งานของสังคม โดยมุ่งไปที่การคุ้มครองเด็กให้ชัดเจน ไม่สับสนกับเสรีภาพผู้ใหญ่ ครอบครัวและชุมชนต้องมีส่วนร่วม2. สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์3. สำหรับเด็กอายุมากกว่า 2 -5 ขวบ หากผู้ดูแลเด็กต้องการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ต้องใช้เป็นเครื่องมือประกอบ การสอนการเล่นของผู้ดูแลเด็กเอง หรืออย่างน้อยต้องนั่งดูด้วยกัน ใช้เฉพาะโปรแกรมที่มีคุณภาพ ไม่ใช้โดยเปิดทิ้งไว้ให้เด็กดูด้วยตนเอง และใช้ไม่เกิน 1 ชม ต่อวัน โดยมีการพักเป็นระยะ และไม่เปิด สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในระหว่างกินอาหาร และก่อนนอนให้กับเด็ก4. หน่วยงานทางการแพทย์ การศึกษา การพัฒนาเด็ก เทคโนโลยีดิจิตอล ผู้ประกอบการ   ต้องร่วมกันให้ความรู้ในเรื่องการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างเหมาะสมแก่ผู้ดูแลเด็กตั้งแต่หลังคลอด ให้ความรู้ในเรื่องการพัฒนาการของสมอง ใน 2 ขวบแรก และความสำคัญในการกระตุ้นพัฒนาการ โดยการเล่น อย่างใกล้ชิดกับผู้ดูแลเด็ก รวมทั้งช่วยเหลือในการวางแผนการใช้สื่อในครอบครัวอย่างเหมาะสม 5. รัฐและผู้ประกอบการต้องร่วมกันส่งเสริมคนที่สร้างโปรแกรมที่ดีสำหรับเด็กและควบคุมโปรแกรมอันตรายหรือไม่เหมาะสมกับเด็กให้ไม่สามารถเข้าถึงตัวเด็กได้ 6. รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงทุนกับการเพิ่มของเล่น พื้นที่เล่น ส่งเสริมกิจกรรมการเล่นอิสระที่ปลอดภัย โดยมีผู้ช่วยการเล่นในการจัดการพื้นที่และให้คำแนะนำเพื่อความปลอดภัย ตั้งแต่ในระดับชุมชนขนาดเล็กที่ใกล้ชิดบ้านของเด็ก จนถึงระดับจังหวัด สื่อสำหรับเด็ก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 บรรณารักษ์เคลื่อนที่!

คุณสุภาพร สนธิเณร บรรณารักษ์สาวแห่งจังหวัดสุพรรณบุรี เธอเป็นนักอ่านและแฟนฉลาดซื้อตัวยง แนะนำตัวเองพร้อมกับเล่าว่า ที่มาทำงานเป็นบรรณารักษ์ก็เพราะว่า “ส่วนตัวแล้วคิดว่าการอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่านหนังสือเพื่อการศึกษาหาความในรู้ด้านต่าง ๆ อยู่เสมอและการอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปพัฒนางานของตนได้อีกทั้งการอ่านยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต  สามารถนำความรู้ไปใช่ในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกด้วยค่ะ” ใช้นิตยสารฉลาดซื้อในการทำงานอย่างไรใช้ในส่วนของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ด้านการส่งเสริมการอ่านค่ะ เพราะเจี๊ยบทำงานเป็นบรรณารักษ์อยู่ที่ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี ก็จะต้องเป็นผู้ส่งเสริมการอ่าน ซึ่งฉลาดซื้อ จะมีเนื้อหาเรื่องราวข่าวสารที่มีประโยชน์ หลากหลาย เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย เจี๊ยบก็จะคัดเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับช่วง จังหวะ เวลา มาเผยแพร่ อาจจะเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น ทำเป็นหนังสือพิมพ์ฝาผนัง ไปไว้ตามบ้านหนังสือชุมชน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนด้วยค่ะเรื่องที่ได้รับความสนใจเป็นเรื่องอะไรบ้างบางทีอาจเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ชาวบ้านอาจไม่รู้ เช่น สิทธิต่างๆ ที่ควรรู้ด้านสุขภาพ  เรื่องอุปโภคบริโภค เราก็ได้ข้อมูลสรุปจากฉลาดซื้อไปเผยแพร่ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมากค่ะชาวบ้านที่ได้รับความรู้จากการเผยแพร่ของเรามีการตอบรับอย่างไรบ้างคะชาวบ้านก็รู้สึกยินดี ชอบ บอกว่าได้รับประโยชน์ เพราะบางเรื่องเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อน และสามารถทำให้เขาเลือกกินเลือกใช้ได้อย่างถูกวิธีค่ะสถานที่จัดกิจกรรมเป็นที่ไหนบ้าง จะไปย่านชุมชนนะคะ ที่มีคนเยอะๆ บางทีก็ไปตลาดค่ะ เป็นกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับชาวตลาด โดยการที่เราจะนำหนังสือ นิตยสารของทางฉลาดซื้อไปส่งเสริมการอ่าน โดยแจกให้พ่อค้าแม่ค้าได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ปลูกฝังนิสัยการรักการอ่าน ซึ่งจะได้รับความสนใจมาก โดยเฉพาะหนังสือ เลือกอย่างไรให้ถูกใจ เลือกอย่างไรให้ถูกปาก(รวมผลทดสอบ) ซึ่งจะตอบโจทย์ของพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนผู้มาซื้อของ ให้เขาได้สามารถเลือกสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง โดยอ่านและศึกษาจากหนังสือ และนิตยสารของทางฉลาดซื้อค่ะ กิจกรรมบรรณสัญจร ก็จะมีไปตามชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล คือตามบ้านหนังสือชุมชน ก็จะนำหนังสือของทางฉลาดซื้อไปมอบให้เพื่อเพิ่มพูนความรู้และส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่องค่ะ ถ้าสมาชิกฉลาดซื้อของจังหวัดสุพรรณบุรีที่กำลังอ่านอยู่นี้ จะติดตามงานเผยแพร่งานกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของเรา ก็จะมีช่องทางที่ติดตามคือ เฟซบุ๊ค ชื่อ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี เพจ ชื่อ เพจ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี และ ระบบเชื่อมโยงแหล่งการเรียนรู้ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี อยากให้มาติดตามกันมากๆ คิดว่างานคุ้มครองผู้บริโภคมีความจำเป็นอย่างไรกับสังคมบ้านเรามีความจำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะงานคุ้มครองผู้บริโภค ช่วยปกป้องดูแลผู้บริโภค ให้ได้รับความปลอดภัย จากการบริโภคสินค้าและบริการ เพราะปัจจุบันนี้ มีผู้ผลิตที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เราจึงต้องอาศัยงานคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองไม่ให้เกิดการเสียเปรียบ และอาจตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาที่เกินจริง รวมถึงควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ซื้อและผู้ขายค่ะ อย่างตัวเจี๊ยบเองมองว่าปัญหาที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ เจอบ่อยและจำเป็นที่จะต้องแก้ไขด่วนคือ  การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า Social นั่นล่ะค่ะ  คือซื้อสินค้ามาบางอันเราใส่ไม่ได้ ใช้ไม่ได้จริงๆ แล้วก็รุ่นและแบบก็ไม่ตรง กับที่เห็นบนเว็บ บางร้านก็ดีค่ะให้เปลี่ยนได้ แต่บางร้านก็ไม่ให้เปลี่ยน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันน่าจะมีหลักเหมือนกับหน้าร้านที่เราเดินไปซื้อเอง ที่เราสามารถเปลี่ยนได้จะภายในกี่วันก็ว่าไป และก็มีอีกเรื่องที่เคยประสบด้วยตัวเองก็คือ เรื่องบัตรเครดิตค่ะ ตอนเราทำงานใหม่ๆ เงินเดือนเราพอที่จะทำบัตรเครดิตได้ ก็จะถูกชักชวนให้ทำบัตรเครดิต จากธนาคารต่างๆ และสุดท้ายก็มีหนี้บัตรเครดิตอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นปัญหาในส่วนการกำกับดูแล อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ แล้วก็การทวงถาม ตรงนี้สำคัญมากค่ะ แต่ทุกวันนี้ไม่รู้ปัญหาแบบนี้ยังมีอีกหรือเปล่านะคะ เพราะไม่ได้ใช้มานานมากแล้วเวลาถูกละเมิดสิทธิทำอย่างไรตอนแรกๆ  เจี๊ยบก็จะค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก่อนค่ะ ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง พออ่านไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคค่ะ เจี๊ยบโชคดีตรงที่มีเพื่อนทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคพอดีค่ะ เลยสอบถาม พอได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นก็จะทำตามขั้นตอนในเรื่องที่เจอมาค่ะ  แต่หลายครั้งก็ใช้คำว่าช่างมัน แต่รู้สึกว่าการที่เรานิ่งเฉยต่อการถูกละเมิดสิทธิมันก็จะเหมือนกับว่าเราส่งเสริมให้มีการละเมิดสิทธิต่อไป หลายครั้งค่ะที่เราถูกละเมิดสิทธิ ก็จะคิดว่าแล้วคนอื่นละ เขาก็อาจจะโดนเหมือนเราแบบนี้ เลยอยากให้ทุกคนเข้มแข็ง เริ่มที่จะปกป้องสิทธิของตัวเอง เมื่อเราเริ่มแล้ว เรามีความรู้บ้างแล้ว เราก็สามารถแนะนำผู้อื่นได้ ซึ่งเจี๊ยบก็จะมีเพื่อนมาปรึกษาอยู่บ่อยครั้งค่ะ เจี๊ยบก็ให้คำแนะนำมาตลอด ซึ่งก็เป็นผลดี วันนี้เจี๊ยบก็ได้มาเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ลงฉลาดซื้อ ก็สามารถทำให้เรื่องราวกระจายออกไปยังที่อื่นๆ คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เราคนเดียวหรือแค่คนใกล้ตัวเราเท่านั้น ถึงมันอาจจะเป็นเรื่องราวที่แตกต่างกัน เป็นข้อมูลที่ไม่น่าจะใช่เรื่องของคนอื่น แต่เจี๊ยบก็เชื่อว่า ต้องมีสักคน สักหนึ่งความคิด ที่เห็นว่าสิทธิผู้บริโภคนั้นสำคัญจะชักชวนให้คนใกล้ตัวลุกมาใช้สิทธิอย่างไรจะเล่าประสบการณ์รวมถึงแนวทางการแก้ไข และก็ให้เข้าไปดูเว็บไซต์ ให้ลองศึกษาถึงกรณีต่างๆ เพื่อให้คนใกล้ตัวได้เห็นถึงความสำคัญในสิทธิของตัวเอง ถ้าเราถูกละเมิดเราต้องปกป้อง เพื่อไม่ให้เราโดนเอารัดเอาเปรียบ เพราะเขาอาจไปทำแบบนี้กับคนอื่นๆ อีก เราต้องเต็มที่กับสิทธิของเรา

อ่านเพิ่มเติม >