ฉบับที่ 197 สุวรรณา มณีนพ แฟนฉลาดซื้อ

กว่า 24 ปี ที่นิตยสารฉลาดซื้อ ส่งความรู้ ความคิด ผ่านทางตัวหนังสือ สื่อสารกับผู้อ่านมาจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ยุคกระดาษเฟ้อ มาจนในปัจจุบันที่ร้านหนังสือ สำนักพิมพ์ หรือแม้แต่แผงหนังสือ ที่ทยอยปิดตัวบ้าง ลดขนาดกิจการลงบ้าง สายๆ วันหนึ่ง ฉลาดซื้อเราเผอิญไปพบกับเจ้าของแผงหนังสือเล็กๆ ตั้งอยู่ภายในโรงอาหารของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พี่สุวรรณา มณีนพ ที่เป็นมากกว่าคนขาย เธอเป็นอีกหนึ่งของพลังผู้บริโภคที่สนับสนุนให้งานคุ้มครองผู้บริโภคขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เธอเล่าให้เราฟังว่า “พี่เป็นทั้งคนขายที่แผงนี้แลัวก็ทำธุรกิจสายส่งหนังสือด้วย ปัจจุบันเราส่งนิตยสารให้กับผู้อ่านในละแวกนี้ และส่งให้กับหน่วยงานราชการ บริเวณกระทรวงสาธารณสุข เช่นที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ตอนนี้คนซื้อหนังสือน้อยลงเพราะว่าเดี๋ยวนี้คนใช้เงินยาก จะใช้ซื้ออะไรแต่ละทีก็ต้องคิดนานหน่อย อย่างเมื่อก่อนร้านเราใหญ่กว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้หนังสือก็ลดลง เลิกผลิตกันไปหลายเจ้า หายไปหลายเล่มเลย ที่ยังอยู่ก็ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร ที่จริงโฆษณาก็ไม่ค่อยมี ดูจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สำนักพิมพ์เขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน นี่ขนาดเป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ แต่ก่อนเราขายได้ถึง 500 ฉบับ ตอนนี้เหลือแค่ 300 ฉบับเอง ที่เราต้องส่งตามหน่วยงานราชการล่าสุดนิตยสารครัวก็ปิดไปอีกเล่มคิดว่าสถานการณ์การอ่านหนังสือเป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยอ่านหนังสือนะ คนที่อ่านหนังสือคือคนที่อายุ 50 กว่าขึ้นไป ถ้าอายุน้อยกว่านี้เขาไม่อ่าน ก็ไม่รู้ว่าหนังสือจะอยู่ได้อีกกี่ปีเพราะตอนนี้ก็น้อยลงไปเยอะ ขนาดหน่วยงานราชการที่รับอยู่เป็นประจำก็ลดลงไปเกือบครึ่ง ก็ไม่รู้ว่าประหยัดงบหรือไม่มีคนอ่าน ได้ยินมาว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงแต่คิดว่ามันน่าจะอยู่ตัวระดับนี้แล้ว ที่จะดีขึ้นคงไม่หวังเลยรู้จักฉลาดซื้อได้อย่างไรรู้จักฉลาดซื้อมาประมาณ 2 ปีได้แล้ว พอดีที่ที่เราส่งหนังสือพิมพ์ให้อยู่ เขาอยากได้ “ฉลาดซื้อ” ก็เลยต้องหาให้เขา จึงติดต่อไปที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเลย ให้ส่งหนังสือให้ทุกเดือน เดือนละ 10 เล่ม เอาไว้ส่งด้วย ขายที่แผงด้วยและก็อ่านเองด้วย อย่างที่แผงเราจะวางทั้งเล่มใหม่ เล่มเก่า เราจะวางไว้หลายๆ เล่ม วางดักไว้บนชั้นปนกับนิตยสารประเภทต่างๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนมีโอกาสเห็นมากขึ้น (ประมาณว่ามองตรงไหนก็เจอฉลาดซื้อ) ฉลาดซื้อมีประโยชน์อย่างไรบ้างดีนะ พี่ชอบอ่านตรงที่มีเปรียบเทียบสินค้า แต่ไม่ได้ฟันธงว่าห้ามใช้ แต่ให้เราคิดเอาเองว่าควรจะเลือกสิ่งไหน ทำให้มีความรู้ และสามารถแยกได้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดีอย่างไร แล้วก็ไม่ได้โชว์แต่ยี่ห้อดังๆ เขาสุ่มมาให้หลากหลายยี่ห้อ บางทียี่ห้อไม่ดังคนไม่ค่อยรู้จักแต่กลับดีกว่ายี่ห้อดังๆ ก็มีพอจะยกตัวอย่างให้ฟังได้ไหม เท่าที่อ่านมาแล้วได้นำไปใช้จริงๆ เช่นเรื่องอะไรบ้างที่อ่านแล้วนำข้อมูลที่ได้ไปซื้อตามหนังสือเลยก็จะมีพวกเรื่องของกินนะเพราะว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างเช่นขนมเปี๊ยะเพราะเป็นคนชอบกินขนมเปี๊ยะ ก็ดูเรื่องถั่วกวนอะไรพวกนี้ เรื่องยาปฏิชีวนะในเนื้อหมู ไก่ทอดเกาหลี ก็จะสนใจพวกเรื่องเกี่ยวกับของกินมากกว่าเรื่องแนวอื่นๆ แต่ก็อ่านทั้งเล่มเคยคิดไหมว่าอย่างนี้ต่อไปเราจะกินอะไรไม่ได้เลย มีความกังวลบ้างไหมก็เคยคิดเหมือนกันแต่ก็รู้สึกว่าช่างมันเถอะ เพราะเราไม่ได้กินต่อเนื่องนานๆ แต่นานๆ กินที ก็จะใช้วิธีการเลือกกินเอา กินให้มีความหลากหลาย(สมกับเป็นแฟนฉลาดซื้อ)กับคนรอบๆ ข้างเคยได้ให้ความรู้อะไรกับสิ่งที่เราเคยอ่านมาบ้างไหมก็บอกนะ ว่าในหนังสือฉลาดซื้อบอกไว้ว่ากินอันนี้มีสารกันบูดเยอะไม่ดีนะ ไม่ดีอย่างไรๆ ซึ่งเขาก็ฟัง และอยากรู้ข้อเปรียบเทียบของเรื่องที่เราเล่าด้วยว่าดี ไม่ดีอย่างไรอ่านทั้งเล่มนี่ชอบคอลัมน์ไหนอีกบ้างจะดูเป็นเล่มๆ ไปเพราะปกติก็จะเปิดดูตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ถ้ามีเรื่องไหนที่สนใจก็จะอ่านรายละเอียดเยอะหน่อย เช่น บางเรื่องใกล้ตัวก็จะอ่านเยอะหน่อย นานหน่อย ของที่เลือกได้เราก็ต้องเลือกของที่มันดีๆ เราเลือกอ่านเรื่องที่สนใจเป็นเล่มๆ ไป อย่างพวกคอลัมน์ที่คนมาใช้สิทธิ(เสียงผู้บริโภค) พี่คิดว่า ดีนะ พี่ก็ชอบอ่านแล้วเคยได้ร้องเรียนหรือใช้สิทธิเรื่องอะไรบ้างไหม ยังไม่เคยร้องเรียนนะ เพราะเป็นคนประเภทยอมรับ ถ้าใครไม่ดีเราก็อย่าไปยุ่งกับเขา แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปร้องเรียน เช่น อย่างเราซื้อของ ถ้ายี่ห้อนี้ไม่ดีก็จะไม่ซื้อแล้วอะไรแบบนี้มากกว่า จะเป็นประมาณนั้น แล้วช่องทางอื่นๆ ในการเลือกรับข่าวสารต่าง จากไลน์หรือ เฟสบุ๊ค หลักๆ แล้วพี่จะเลิกเชื่อข่าวสารจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือไม่ได้ แต่พี่ได้รับข่าวสารในแต่ละวันนี้เยอะมากเลยนะ แต่ส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ค่อยได้ เวลาเราได้รับข่าวมาสักเรื่อง อ่านแล้วจะเชื่อถือไม่ได้เสียทีเดียว ต้องอ่านว่าส่งมาจากไหน พิสูจน์ทดสอบแล้วเป็นอย่างไร แล้วแต่ว่ามันเป็นข้อมูลแบบไหน อย่างเช่น ถ้าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ เราก็ดูว่าที่มาของข้อมูลมาจากไหน ตัวเองมีไลน์ของกรมอนามัยอยู่นะ อันนี้ก็มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งเลยนะกับเรื่องโฆษณาเกินจริงที่มีมากมายในปัจจุบันพวกโฆษณาสินค้าที่เขาบอกสรรพคุณเกินจริงอันนี้น่ากลัวจังเลย ตอนนี้คนไทยก็เชื่อโฆษณาจังเลย จะทำอย่างไรให้เขาระวังตัวให้มากๆ บางทีเห็นเค้าระดมโฆษณาในเฟสบุ๊คถี่ๆ นะ แค่นี้ก็ได้ผลแล้วส่วนที่เห็นมากๆ คือการขายของ ขายสินค้า ขายพวกเครื่องสำอางหรืออะไร ส่วนใหญ่เน้นไปเรื่องสุขภาพ บางทีก็เหมือนหลอกขายกันชัดๆ เลยอย่างที่เคยเห็นก็คือ พวกพลาสเตอร์ที่แปะส้นเท้าแล้วดูดซึมสารพิษอะไรแบบนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงอันนี้ ก็เห็นเขาโฆษณาอยู่ทุกวันนี้ เขาก็ขายได้นะ แต่พี่ก็เห็นมีคนมาเม้นท์ตอบอยู่นะ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่ามีคนรู้ทันเขาอยู่นะ เป็นแฟนกันขนาดนี้อยากให้ฉลาดซื้อทดสอบเรื่องอะไรบ้างไหมคะ อยากให้ฉลาดซื้อให้ข้อมูลเรื่องยาให้มากๆ  พี่สังเกตว่า คนทั่วไปชอบคิดว่ายาเป็นของดี กินได้ไม่มีอันตราย อย่างยาแก้ปวด แก้ไข้ คือเห็นคนแค่เป็นหวัดนิดหน่อยก็จะกินยา โดยเฉพาะพวกที่โฆษณาเยอะๆ อยากให้แนะนำเรื่องการใช้ยาที่เหมาะสม อีกเรื่องก็สมุนไพร บางคนคิดว่าสมุนไพรกินแล้วไม่มีผลเสียต่อร่างกาย กินเข้าไปเถอะ กินติดต่อกันไปนานๆ เลยแบบนี้ ญาติพี่เอง ก็เป็นเขากินยาขมนี่แหละ กินติดต่อกันเป็นหลายๆ เดือนเลยนะ แก้ร้อนใน ซึ่งพี่ก็ว่าไม่ดีนะ กินติดต่อไปนานๆ แบบนี้ เพราะถ้าเราไม่เป็นอะไรจะไปกินมันทำไม ถ้าเรื่องทดสอบอยากให้ทำเรื่องครีมทาหน้า พวกเสริมสวยทั้งหลาย  ซึ่งเดี๋ยวนี้เห็นมีโฆษณาตามสื่อต่างๆ เยอะมาก ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นห่วงคนที่ไม่ค่อยมีความรู้ เพราะเค้าจะเชื่ออย่างเดียว ไม่รู้ว่าจะไปหาข้อมูลจากทางไหน บางทีถ้าเรามีข้อมูล ข้อมูลจะช่วยเราได้เยอะ ในเรื่องของการตัดสินใจ อยากให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้เข้ามาดูแล แล้วก็เรื่องซื้อรถมือสอง แล้วถูกพวกบริษัทการเงินเอาเปรียบ เช่น เวลาเขาผ่อนไม่ไหว เอารถไปคืน แต่เขาต้องผ่อนต่อ ไม่รู้ว่ามันติดอะไร เช่น ค้างส่งหรือเปล่า เลยอยากให้ฉลาดซื้อให้ความรู้เรื่องนี้ด้วย พี่รู้สึกว่าเหมือนสัญญาเขาเอาเปรียบด้วย อีกเรื่อง เรื่องการขายฝากที่ดิน ล่าสุดกลายเป็นยึดที่ ยึดบ้านเขาไปเลย เลยอยากให้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการขายฝากที่ดินหรือการขายฝากทรัพย์นั้นผู้บริโภคจะต้องมีความรู้อย่างไรจึงจะไม่เสียเปรียบ อยากให้ให้ความรู้แบบนี้ด้วยค่ะ สุดท้ายก็อยากฝากว่า ฉลาดซื้อจริงๆ มีประโยชน์มากเลย น่าเสียดายที่คนสนใจน้อยไปหน่อย น่าเสียดายหนังสือดีๆ อยากให้อยู่นานๆ นะคะ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 197 การทดสอบแผ่นฟิล์มลดความร้อนติดรถยนต์

แสงแดดมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่อินฟราเรด (Infrared IR) ไม่มีสีแต่อยู่ในรูปของรังสีความร้อน ต่อไปคือแสงช่วงที่สายตามองเห็น (Visible light VL) และช่วงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet UV)อยู่ในรูปของพลังงาน ที่มีความสามารถทำลายเซลล์ผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ การเกิดความร้อนในรถยนต์เกิดจากการที่กระจกรถยนต์ไม่สามารถกันคลื่นอินฟราเรด ที่เป็นคลื่นความร้อนได้ เมื่อผ่านเข้ามายังตัวรถแล้ว คลื่นอินฟาเรดจะไม่สามารถสะท้อนออกไปได้ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกภายในรถ ความร้อนสะสมจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับข้อกำหนดความสามารถของแผ่นฟิล์มติดรถยนต์ แบ่งเป็นลักษณะต่างๆ ดังนี้- VLT (Visible Light Transmission) ความสามารถในการส่องผ่านของแสงในช่วงสายตามองเห็น ค่ายิ่งมากแสงผ่านได้เยอะ ทำให้การมองผ่านชัดเจน - VLR (Visible Light Reflectance) ความสามารถในการสะท้อนแสงในช่วงสายตามองเห็น เป็นค่าแสดงการสะท้อนออกของแสงจากกระจกที่ติดฟิล์ม ค่ามากกระจกที่ติดฟิล์มจะมีลักษณะคล้ายกับกระจกเงา- Glare Reduction การลดความจ้า เป็นการวัดเปอร์เซ็นเปรียบเทียบค่าการส่องผ่านได้ของแสงช่วงที่มองเห็น ระหว่างกระจกที่ติดฟิล์มกรองแสงกับไม่ติดฟิล์มกรองแสง- IRR (Infrared Rejection) เป็นค่าที่แสดงความสามารถในการลดความร้อนเนื่องจากคลื่นความร้อน(Infrared) จากแสงแดด- UVR (Ultraviolet Rejection) ค่าที่แสดงความสามารถในการลดแสงอัลตราไวโอเลตเราทดสอบอะไรบ้าง1. ทดสอบการป้องกันรังสียูวี ช่วง  UVA และ UVB ความยาวคลื่น 280-400 นาโนเมตร2. ทดสอบการส่องผ่านของแสงช่วงที่สายตามองเห็น ความยาวคลื่น 380-780 นาโนเมตร3. ทดสอบการลดรังสีอินฟราเรด หรือรังสีความร้อน ความยาวคลื่น 800-1000 นาโนเมตร4. ทดสอบการป้องกันความร้อนสะสมการทดสอบออกแบบให้สามารถวัดความสามารถของฟิล์มติดรถยนต์ในเรื่องการช่วยลดแสงยูวี การช่วยลดแสงสว่างในช่วงที่สายตามองเห็น ความสามารถในการกันรังสีความร้อน (Infrared) และการป้องกันความร้อนสะสมสำหรับการออกแบบการวัด ได้จำลองตู้ทดสอบซึ่งเป็นตัวแทนของรถยนต์ที่มีกระจกที่ติดฟิล์มตัวอย่าง ปิดอยู่ด้านบน รับแสงจากหลอดฮาโลเจน มีเครื่องวัดแสงเชิงสเปกตรัมอยู่ภายใน และหัววัดอุณหภูมิภายนอกและภายใน ซึ่งผลการวัดจะแสดงถึงความสามารถในการกันแสงและความร้อนของฟิล์มตัวอย่าง อุปกรณ์1. ตู้ทดสอบขนาดปริมาตร 0.5 ลูกบาศก์ฟุต 2. แผ่นกระจกติดฟิล์มตัวอย่าง3. เครื่องวัดอุณหภูมิ4. เครื่องวัดแสงเชิงสเปกตรัม ช่วง ยูวี ถึง อินฟราเรด (200-1000nm)5. หลอดไฟฮาโลเจนขนาด 2000 วัตต์วิธีการทดสอบเลือกฟิล์มที่นิยมใช้กันทั่วไปในตลาดโดยเลือกอยู่ในระดับการกรองแสงเท่าๆ กันประมาณ 60 % (ตามค่าที่แจ้งบนฉลาก) แต่ค่าจำเพาะบางค่าอาจไม่เหมือนกัน แสดงดังตารางดังนี้ทดลองโดยการวัดค่าอุณหภูมิทุกๆ 30 วินาที เป็นเวลา 15 นาที โดยเรียงลำดับดังนี้1. ตู้เปล่า2. แผ่นกระจกไม่ติดฟิล์ม3. แผ่นกระจกติดฟิล์มยี่ห้อต่างๆ4. นำค่าที่ได้มาวิเคราะห์ผลวัดค่าสเปคตรัมของแสงเพื่อตรวจสอบแสง ที่ผ่านกระจกติดฟิล์มตัวอย่าง ผลของแสงที่ได้จากหลอดฮาโลเจนขนาด 2000 วัตต์ มีลักษณะครอบคลุมช่วงที่ต้องการทดสอบ ที่ความยาวคลื่น 200 – 1000 นาโนเมตร เป็นดังนี้ภาพที่ 5 ผลของแสงและรังสีความร้อนภายในตู้ทดสอบ ที่ถูกวัด ขณะไม่มีกระจกกั้น เท่ากับ 100%สรุปผลการทดสอบการทดสอบฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์นี้ ผลที่ได้พบว่าทุกๆ ยี่ห้อสามารถป้องกันแสง UV ได้ใกล้เคียงกัน การป้องกันความร้อน ถ้าค่าความแตกต่างของอุณหภูมิด้านนอกกับด้านในมีน้อย แสดงว่าสามารถกันความร้อนได้ดี และพบว่า Hi-Kool มีความสามารถกันความร้อนความร้อนได้ดีกว่าทุกยี่ห้อ แต่ความสามารถของการส่องผ่านแสงช่วงสายตามองเห็น ผ่านเข้ามาได้ค่อนข้างน้อย หากค่าแสงช่วงสายตามองเห็นได้ผ่านเข้ามาได้น้อยเกินไปก็ทำให้การมองเห็นได้ไม่ดีอาจจะลดทัศนวิสัยในการขับรถได้สำหรับในการพิจารณาเรื่อง การส่องผ่านแสงช่วงสายตามองเห็นค่าความสว่างของแสง(Lux) มากจะทำให้การมองเห็นชัดเจนกว่าค่าความสว่างของแสงน้อย ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนเวลาขับรถเวลากลางคืน  ทำให้ ฟิล์ม 3M อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ จากข้อมูลในตารางที่ 2 ฟิล์มยี่ห้อ Xtra-Cole อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ ความสามารถในการป้องกันความร้อน และทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่                 การป้องกันความร้อนได้ดีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการเลือกฟิล์มกรองแสงไว้ใช้งาน แต่ยังมีตัวแปรอื่นๆ ให้พิจารณาเช่น ความคงทนต่อรอยขีดข่วน การซีดจาง เปลี่ยนสี การหลุดร่อนตามอายุการใช้งาน การรบกวนสัญญาณโทรศัพท์ การรบกวนระบบนำทาง GPS เป็นต้นขอขอบคุณห้องปฏิบัติการมาตรฐานทางแสงและอุณหภูมิ ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 197 กระแสต่างแดน

เยอรมันก็มุงความอยากรู้อยากเห็น(และอยากถ่ายรูป) เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่บางครั้งมันก็ทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิดอุบัติเหตุรถโดยสารชนท้ายรถบรรทุกแล้วเกิดไฟลุกไหม้ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 18 ราย บนมอเตอร์เวย์สาย A9 ในแคว้นบาวาเรียนั้นเป็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้ดีข่าวระบุว่าทีมช่วยเหลือใช้เวลา 10 นาทีเพื่อมายังที่เกิดเหตุ ทั้งๆ ที่ควรมาถึงเร็วกว่านี้หากไม่ต้องเจอกับรถที่ชะลอดู ถ่ายรูป ถ่ายคลิป กว่ารถพยาบาลและรถดับเพลิงจะเข้าถึงจุดเกิดเหตุ ไฟก็โหมจนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บออกมาได้รัฐบาลของแคว้นบาวาเรียกำลังเตรียมพิจารณาขึ้นค่าปรับสำหรับเยอรมันมุง จาก 20 ยูโร(775 บาท) ในปัจจุบัน เป็น 155 ยูโร(6,000 บาท) และอาจแถมโทษจำคุกให้ด้วย เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก เอาอะไรมาแลกก็ยอมPurple บริษัทผู้ให้บริการฮอทสป็อตไวไฟรายหนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษทดลองซ่อนเงื่อนไขแปลกๆ ลงไปในข้อตกลงการเข้าใช้ไวไฟฟรี(ที่ผู้ใช้ควรอ่านให้ถี่ถ้วนก่อนจะกด “ยอมรับ”) ในสองสัปดาห์ บริษัทพบว่ามีผู้ใช้ 22,000 คนที่ “ยินดี” สละเวลามาทำงานบริการสังคม เช่นล้างห้องน้ำสาธารณะ ขูดหมากฝรั่งตามพื้นถนน หรือล้วงท่อระบายน้ำ เป็นเวลา 1,000 ชั่วโมงเขาเสนอให้รางวัลกับคนที่อ่านข้อตกลงและเงื่อนไขโดยละเอียด(และพบข้อความแปลกๆ) มีผู้ได้รางวัลไปทั้งหมด... หนึ่งคน ผลการทดลองนี้ยืนยันอีกครั้งว่า เราหน้ามืดขนาดไหนเวลาอยากใช้ของฟรี สามปีก่อนหน้านี้บริษัทซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสรายหนึ่ง ก็เคยทดลองในลอนดอน แม้จะเขียนไว้ชัดเจนว่าบริการฟรีนั้นจะต้องแลกกับ “ลูกคนแรก” ก็ยังมีคนลงชื่อใช้ถึง 6 คนต่ำกว่าคาดจากการเปรียบเทียบความพร้อมด้านอินเทอร์เน็ตของ 139 ประเทศทั่วโลก ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีการเข้าถึงโมบายบรอดแบนด์สูงเป็นอันดับ 10 กำลังจะดีแล้วเชียว แต่... ผลสำรวจระบุว่า บรอดแบนด์สำหรับอินเทอร์เน็ตบ้านในออสเตรเลียยังมีราคาแพงเกินไป ทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงได้ ส่งผลให้ประเทศยังไม่พร้อมที่จะเป็น “เศรษฐกิจดิจิตัลระดับเวิร์ลดคลาส” อย่างที่ตั้งใจ (เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วระดับการเข้าถึงของออสเตรเลียหล่นลงไปที่อันดับ 57)ความเร็วเบรอดแบนด์เฉลี่ยของเขาอยู่ที่ 11.1Mbps หรืออันดับที่ 50 ของโลก ในขณะที่อันดับหนึ่งอย่างเกาหลีมีความเร็วเฉลี่ยสูงสุด 28.6Mbps (สิงคโปร์เพื่อนบ้านเราอยู่อันดับ 7)ร้อยละ 56 ของคนออสซี่เชื่อว่าอินเทอร์เน็ตของเขาอยู่ในระดับแถวหน้าและรัฐบาลก็ทุ่มงบประมาณลงไปกับโครงการ NBN (New Broadband Network) ไม่น้อย ไม่ต้องรีบเริ่มแล้ว! แผนลดความแออัดของรถไฟโตเกียวในชั่วโมงเร่งด่วนเพื่อสยบความวุ่นวายโกลาหลในการเดินทางให้ได้ก่อนถึงการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิกในอีก 3 ปีข้างหน้า สิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงโตเกียวอยากขอร้องจากมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายคือ ช่วยมาขึ้นรถกันก่อนหรือหลังชั่วโมงเร่งด่วนกันบ้างนางยูริโกะ โคอิเกะ เคยเสนอแผนนี้ไว้เมื่อครั้งที่เธอสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ เธอบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเปลี่ยนทัศนะของคนญี่ปุ่นที่คุ้นชินกับชั่วโมงทำงานอันยาวนานและการเบียดเสียดขึ้นรถไฟไปทำงานในช่วงเวลาเดียวกันแผนดังกล่าวประกอบด้วยความร่วมมือจาก 260 บริษัทและหน่วยงาน ที่จะเพิ่มบริการรถเที่ยวเช้าตรู่จัดหาของรางวัลให้กับผู้ที่เลือกเดินทางก่อนหรือหลังชั่วโมงเร่งด่วน รวมถึงให้พนักงานในบริษัทตัวเองเลือกเวลาทำงานได้ แบบนี้เรียกจริงจังตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของมาเลเซีย การขายกุ้งแห้งย้อมสีมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 ริงกิต(ประมาณ 785,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วสองพี่น้องคู่หนึ่งถูกจับได้(เพราะมีคนถ่ายคลิปไว้) ว่าพ่นสีสเปรย์ลงในกุ้งแห้งเพื่อให้มีสีแดงสดน่ารับประทานและขายได้ราคาดีขึ้น กุ้งธรรมดากิโลกรัมละ 20 ริงกิต แต่กุ้งสีสวยของร้านนี้ขายได้ถึง 25 ริงกิตเนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของสินค้าอาหารทะเลในท้องถิ่นและการท่องเที่ยวของเมืองโคตาคินาบาลูในภาพรวม ศาลจึงตัดสินให้ผู้กระทำผิดจ่ายค่าปรับสูงสุด 100,000 ริงกิต  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 197 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกรกฎาคม 2560“เก้าอี้ไฟฟ้าสถิต” รักษาโรคไม่ได้ใครที่กำลังคิดจะซื้อ “เก้าอี้ไฟฟ้าสถิต” เพราะเชื่อตามโฆษณาว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ ขอให้เปลี่ยนความคิดเดี๋ยวนี้ เพราะล่าสุด อย. ออกมาให้ข้อมูลแล้วว่า อุปกรณ์เก้าอี้ไฟฟ้าสถิตย์ไม่ได้มีไว้เพื่อผลในการรักษาโรคแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีการขออนุญาตผลิตหรือนำเข้าอุปกรณ์บำบัดด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าสถิตอุปกรณ์เก้าอี้ไฟฟ้าสถิตจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องขออนุญาต อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อย. ซึ่ง อย.กำหนดวัตถุประสงค์การใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวไว้ว่าเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตเฉพาะที่ชั่วคราว หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อเฉพาะที่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถรักษาหรือบำบัดบรรเทาโรคได้ และต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด แต่ปัจจุบันกลับพบปัญหาการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เรื่องการรักษา บรรเทา และป้องกันโรคต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ส่งผลกระทบที่อาจทำให้ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยต้องสูญเสียโอกาสและเวลาในการรักษาโรคให้หายด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ถูกต้อง รวมทั้งต้องเสียเงินในการซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวโดยเปล่าประโยชน์อย.ได้กำหนดโทษการโฆษณาที่เป็นเท็จทำให้ผู้บริโภคเข้าใจของสินค้าในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ คือจำคุกไปเกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ อะลูมิเนียมใส่อาหารได้ไม่ทำให้เป็นอัลไซเมอร์ในสื่อสังคมออนไลน์มีการส่งต่อเรื่องการใช้แผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ห่ออาหารที่มีความร้อน ว่าจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยอ้างว่าอะลูมิเนียมเมื่อโดนความร้อนจะละลายปนลงในอาหาร เมื่อบริโภคเข้าไปจะส่งผลต่อระบบสมอง ทำให้ความจำลดลงและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ รวมทั้งจะทำลายแคลเซียมในร่างกายมีผลต่อกระดูก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค จนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องออกมาชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องพร้อมด้วยผลการทดสอบ ยืนยันว่าอะลูมิเนียมที่ใช้ในการห่อหุ้มอาหารปลอดภัย และไม่ใช่ต้นเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใดสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ทำการตรวจวิเคราะห์การละลายออกมาของอะลูมิเนียมจากภาชนะที่ทำด้วยโลหะอะลูมิเนียม แบ่งเป็นภาชนะหุงต้ม จำนวน 22 ตัวอย่าง และแผ่นเปลวอะลูมิเนียม(ฟอยล์) 6 ตัวอย่าง โดยทำการทดสอบในภาวะที่สุดโต่ง ด้วยสารละลายกรดอะซิติก ที่อุณหภูมิน้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการทดสอบพบว่า มีอะลูมิเนียมละลายจากภาชนะหุงต้ม ปริมาณที่พบอยู่ในช่วง 11-953 มิลลิกรัม/ลิตร และพบการละลายออกมาจากแผ่นเปลวอะลูมิเนียมทั้งหมด ปริมาณที่พบอยู่ในช่วง 483.6-1,032 มิลลิกรัม/ลิตร ส่วนการทดสอบถาดหลุมที่อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง มีการละลายออกมาของอะลูมิเนียมจากถาดหลุมทั้ง 6 ตัวอย่าง ปริมาณที่พบน้อยกว่ามาก ซึ่งพบอยู่ในช่วง 0.5-14.1 มิลลิกรัม/ลิตรนอกจากนี้ยังมีการทดสอบเรื่องการละลายออกมาของอะลูมิเนียมลงสู่อาหาร 4 อย่าง คือ ข้าวสุก ผัดผัก ต้มยำ และยำวุ้นเส้น ที่ใส่ในถาดหลุมไว้เป็นเวลา 30 นาที เพื่อเลียนแบบการรับประทานอาหารโดยใช้ถาดหลุม พบว่า การละลายออกมาของอะลูมิเนียมมีน้อยมากๆ อยู่ในช่วง 0.047 - 0.928 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ที่สำคัญคือ การรับประทานอาหารที่อยู่ในภาชนะหรือห่อหุ้มด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์ไม่ได้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใด ครีมกันแดดในบัญชียาหลักแห่งชาติเพื่อผู้ป่วยเอสแอลอีเพราะผู้ป่วยโรคเอสแอลอี(SLE) มีความจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งที่ผ่านมามูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ได้จัดกิจกรรมระดมทุนเพื่อหาครีมกันแดดให้กับผู้ป่วยเหล่านี้ทุกปี ล่าสุดในงาน “แดดจ๋า อย่ารังแกหนู หนูเป็นโรคเอสแอลอี” จึงได้มีข้อเสนอที่อยากให้มีการเพิ่มครีมกันแดดเข้าไปอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติในระบบประกันสุขภาพของรัฐ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยเอสแอลอี สามารถเข้าถึงครีมกันแดด ซึ่งถือเป็นเวชภัณฑ์สำหรับคนไข้ในกลุ่มนี้พญ.พรเพ็ญ อัครวัชรางกูร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติซัม โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย ที่ปรึกษาชมรมคนต่อสู้โรคเอสแอลอี กล่าวว่า แดดในเมืองไทยแรงมาก ทำให้มีแนวโน้มที่คนไทยจะเป็นโรคเอสแอลอีอยู่แล้วถูกกระตุ้นให้เป็นเร็วมากขึ้น เวลาที่ผู้ป่วยอาการของโรคกำเริบ อาจจะต้องได้ยาขนานสูง บางคนได้สเตียรอยด์ หรือแรงกว่านั้น ทำให้มีผลกระทบหลายอย่าง เช่น ประจำเดือนไม่มา กระดูกพรุน หรือมีปัญหาเรื่องความสูงและความสมบูรณ์ของร่างกาย ดังนั้นตรงนี้จึงสำคัญมาก หากครีมกันแดดสามารถเบิกได้ในคนไข้ที่จำเป็นจะต้องใช้ เช่น ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้โรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus เป็นโรคที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายระบบหรือหลายอวัยวะในร่างกาย ทั้ง ปวดบวมตามข้อ อาการต่อระบบไต ระบบเลือด และระบบประสาท เป็นต้น ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไป มีผลต่อเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่ง 1 ในปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยอาการกำเริบเกิดจากการที่ผิวหนังถูกแสงอัลตราไวโอเลต คัดค้านขยายสิทธิผู้ประกันตนจาก 55 ปี เป็น 60 ปีจากการที่สำนักงานประกันสังคมมีนโยบายที่จะขยายระยะเวลาการรับเงินชราภาพของผู้ประกันตนจากอายุ 55 ปี เป็น 60 ปี โดยให้เหตุผลว่า เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับแรงงานที่อยู่ภายใต้สิทธิประกันสังคม ได้รับการดูแลคุ้มครองตามสิทธิต่อเนื่องจนถึงอายุ 60 ปีแต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกคัดค้านจากองค์ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ทั้งเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน และ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) โดยทั้ง 2 องค์กรเห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นลดทอนสิทธิมากกว่าสร้างประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน การขยายระยะเวลาในการอยู่ภายใต้สิทธินั้น หากมีการนำมาใช้จริงก็ควรเป็นไปแบบสมัครใจ สำหรับประเด็นที่ว่าสำนักงานประกันสังคมต้องการที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับแรงงานในส่วนของผู้ประกันตน ด้วยการขยายระยะเวลาการรับเงินชราภาพของผู้ประกันตนจากอายุ 55 ปี เป็น 60 ปี เพราะสามารถใช้สิทธิต่างๆ ได้นานขึ้น องค์กรที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านมองว่าเป็นคนละประเด็นกัน การยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับผู้ประกันตนสามารถทำได้ด้วยวิธีอื่นเตรียมทำมาตรฐานน้ำดื่มแห่งชาติกรมอนามัยเตรียมทำร่างมาตรฐานน้ำบริโภค ที่จะเป็น “มาตรฐานกลาง” ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ เนื่องจากปัจจุบัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำบริโภคได้อ้างอิงเกณฑ์คุณภาพที่แตกต่างกัน อาทิ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค อ้างอิงจากเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ใช้เกณฑ์คุณภาพน้ำบาดาลเพื่อการบริโภค และมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการนพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวภายหลังเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ร่างมาตรฐานน้ำบริโภคประเทศไทย” ว่า ปัจจุบันมีการใช้สารเคมี สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ และยากำจัดวัชพืชเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำที่ใช้ในการบริโภค ซึ่งจากการสำรวจและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบริโภคในประเทศของสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย โดยใช้เกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้ พบว่า ตั้งแต่ปี 2551 - 2559 น้ำบริโภคไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเฉลี่ย ร้อยละ 60 จำนวนนี้แบ่งเป็นมาตรฐานด้านกายภาพร้อยละ 30 เคมี ร้อยละ 15 และชีวภาพ ร้อยละ 70โดยกรมอนามัยจะเป็นแกนหลักในการจัดทำมาตรฐานคุณภาพน้ำบริโภคประเทศไทยร่วมกับภาคีเครือข่าย คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เพื่อช่วยกันยกระดับคุณภาพน้ำบริโภคของประเทศให้เป็นมาตรฐานกลางเพื่อหน่วยงานต่างๆ ได้ใช้เป็นเกณฑ์ในการควบคุมคุณภาพน้ำเพื่อการบริโภค ทั้ง น้ำประปา น้ำประปาภูเขา น้ำบ่อบาดาล น้ำผิวดิน และน้ำฝน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 197 เรื่องที่คนอยู่คอนโดต้องรู้ “ปัญหาจากการบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุด”

ที่อยู่อาศัยแบบอาคารชุด ที่เรียกกันติดปากว่า “คอนโดมิเนียม” มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็วโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ทั่วประเทศไม่เฉพาะแต่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งหลักการเลือกซื้อคอนโดของหลายๆ คนประกอบกันด้วยหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของราคา ความสะดวกสบายเรื่องการเดินทาง และความน่าเชื่อถือของบริษัทเจ้าของโครงการ แต่ก็มีผู้ซื้อคอนโดจำนวนไม่น้อยที่มองข้ามเรื่องของการจัดการในของ “นิติบุคคลอาคารชุด” ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากและเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของผู้ซื้อคอนโดโดยตรงหลังจากที่เราได้ย้ายเขาไปอยู่อาศัย เพราะถือเป็นหน่วยที่จะคอยทำหน้าที่ดูแลความจัดการความสะดวกเรียบร้อยต่างๆ ของโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย น้ำ-ไฟ ทรัพย์สินส่วนกลางต่างๆ เช่น ที่จอดรถ สวนหย่อม สระว่ายน้ำ ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีข่าวที่เกี่ยวกับผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดได้รับความเสียหายจากอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น สภาพห้องหรือสาธารณูปโภคส่วนกลางไม่ตรงตามที่มีการโฆษณาไว้ หรือไม่มีการดูแลจากนิติบุคคลอาคารชุด รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับการฉ้อโกงค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่เจ้าของร่วมหรือผู้อาศัยภายในคอนโดทุกยูนิตต้องจ่ายตามข้อตกลงคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ได้ทำการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งผู้ที่อยู่อาศัยและผู้ที่กำลังคิดจะซื้อคอนโดหลายคนมองข้าม ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก และเป็นเรื่องที่มีกฏหมายกำหนดไว้ชัดเจน คือ พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2555 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551ผลการศึกษาปัญหาจากการบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุดผู้อยู่ตอบแบบสอบถาม ราว 1 ใน 3 ไม่มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับ “นิติบุคคลอาคารชุด” ทั้งในส่วนของที่มา บทบาทหน้าที่ หรือการแต่งตั้งและถอดถอน ตลอดจนเรื่องสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของร่วม(สิทธิของคนคอนโด) เช่น การจ่ายค่าส่วนกลางให้แก่นิติบุคคลอาคารชุดนั้น แม้จะไม่ได้พักอาศัยเอง หรือ ไม่ทราบว่า ถ้าค้างชำระเงินค่าส่วนกลางตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป  จะต้องเสียเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี ฯลฯ  ในส่วนของที่มา ผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 21.2 ไม่ทราบว่า “ใคร” คือ ผู้ทำหน้าที่บริหารงานนิติบุคคลอาคารชุด ร้อยละ  31.6 ไม่ทราบว่า เมื่อจดทะเบียนอาคารชุดแล้ว ต้องมีการจัดประชุมใหญ่เจ้าของร่วมภายใน 6 เดือน เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดและให้ความเห็นชอบข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดที่ได้จดทะเบียนไว้  ร้อยละ 27.2 ไม่ทราบว่า ผู้จัดการนิติบุคคล ต้องได้รับการแต่งตั้งหรือถอดถอนโดยมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม  และต้องจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานภายใน 30 วันนับแต่วันที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ร้อยละ 37.6 ไม่ทราบว่า ในการประชุมใหญ่นั้นเจ้าของร่วมมีสิทธิเสนอแก้ไขข้อบังคับ ถอดถอนและแต่งตั้งผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดได้  บทบาทหน้าที่ของนิติบุคคลฯ ร้อยละ  39.6 ไม่ทราบว่านิติบุคคลมีหน้าที่ต้องจัดเก็บสำเนาโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุด หรือหนังสือชักชวนที่นำออกโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปไว้ในสถานที่ทำการ ร้อยละ 29.8ไม่ทราบว่า นิติบุคคลอาคารชุดมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง ตามกฎหมาย ร้อยละ  20.4 ไม่ทราบว่า ผู้จัดการนิติบุคคล มีหน้าที่จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน และติดประกาศให้เจ้าของร่วมทราบภายใน 15 วันนับแต่สิ้นเดือน และต้องประกาศต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ร้อยละ  37.4 ไม่ทราบว่า กรรมการนิติบุคคลมีหน้าที่จัดประชุมคณะกรรมการอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกหกเดือน ความรู้เกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของเจ้าของร่วม(คนคอนโด) ร้อยละ 32.2 ทราบว่า มีปัญหาในการอยู่อาศัยในอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียม  ร้อยละ 30.8 ไม่ทราบว่า “ข้อความหรือภาพโฆษณาหรือหนังสือชักชวน” เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายห้องชุด  ร้อยละ 33.8 ไม่ทราบว่า ตนเอง มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางให้แก่นิติบุคคลอาคารชุดนั้น แม้จะไม่ได้พักอาศัย หากไม่ชำระเงินค่าส่วนกลางเมื่อนิติบุคคลทวงถามในเวลาที่กำหนด  จะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี   ร้อยละ 37.2 ไม่ทราบว่า ถ้าค้างชำระเงินค่าส่วนกลางตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป  จะต้องเสียเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี  และอาจถูกระงับการให้บริการส่วนรวมหรือการใช้ทรัพย์ส่วนกลางตามที่กำหนดในข้อบังคับ  รวมทั้งไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมใหญ่ นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 4  ไม่ได้รับข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดเมื่อซื้อห้องชุดและเข้าอยู่อาศัย    เมื่อสอบถามว่า เห็นด้วยให้กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่จะเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพด้านบริหารงานนิติบุคคล ปรากฏว่า ร้อยละ 79.8 เห็นด้วย -----------------------------------------------------------------------------วิธีการเก็บตัวอย่าง การเก็บข้อมูลภาคสนามครั้งนี้ใช้แบบสอบถาม กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเจ้าของร่วมที่ซื้ออาคารชุด จำนวน 500 คนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 พื้นที่ในการเก็บข้อมูลได้แก่ อาคารชุดในย่านพระรามสาม เพชรเกษม สุขุมวิท รัชดา และสาธร  โดยแบ่งกลุ่มตามมูลค่าของอาคารชุด ดังนี้ อาคารชุดราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จำนวน 150 คน อาคารชุดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จำนวน 150 คน อาคารชุดราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 150 คน และอาคารชุดราคา  5  ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 50 คน โดย ร้อยละ 48.2 ของผู้ตอบแบบสอบถามซื้ออาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ร้อยละ 27.6 ซื้อเพื่อขายต่อเก็งกำไร และร้อยละ 24.2  ซื้อไว้เพื่อให้เช่า ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย1. ควรกำหนดให้คนที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการนิติบุคคล ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นการเฉพาะ โดยแก้ไขมาตรา 35/1 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 กำหนดคุณสมบัติที่สำคัญของผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด โดยต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพด้านบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุด   แม้ตามกฎหมายปัจจุบันได้กำหนดคุณสมบัติของผู้จัดการนิติบุคคลเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการบริหารจัดการนิติบุคคลเป็นการเฉพาะ ทำให้พบปัญหาเรื่องของการแต่งตั้งเครือญาติ(บริษัทเจ้าของโครงการ) เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งถือเป็นปัญหาเรื่องความโปร่งใส อย่างไรก็ตามการแก้ไขข้อกฎหมายนี้ต้องไม่เป็นเงื่อนไขในการเพิ่มค่าใช้จ่ายของเจ้าของร่วม  รวมถึงมีข้อกำหนดห้ามไม่ให้ผู้มีส่วนได้เสียในบริษัทเจ้าของโครงการมาเป็นผู้จัดการนิติบุคคล2. กรณีความไม่ปลอดภัยของทรัพย์ส่วนกลาง ที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์ส่วนบุคคล ในการรับผิดชอบความเสียหาย ควรร่วมกันทั้งฝ่ายเจ้าของและฝ่ายนิติบุคคลอาหารชุด  ปัญหานี้สืบเนื่องจากกรณีเจ้าของร่วมอาคารชุดรายหนึ่งแพ้คดีความในชั้นศาลกรณีรถยนต์หายไปจากลานจอดรถของอาคารชุด แล้วไม่สามารถเรียกร้องให้นิติบุคคลอาคารชุดรับผิดชอบ หรือชดเชยค่าเสียหายได้ เนื่องจากศาลพิจารณาว่าหน้าที่ของนิติบุคคลคือการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น ส่วนรถยนต์คือ ทรัพย์ส่วนตัว อย่างไรก็ตามปัญหานี้เกิดจากสาเหตุ เรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอ ไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกร้องเรียนต่อคณะกรรมการองค์การอิสระฯ เป็นอันดับต้นๆ ดังนั้นเพื่อให้มีมาตรการดูแลทรัพย์ส่วนกลางให้มีคุณภาพมาตรฐาน การรับผิดชอบความเสียหาย ควรร่วมกันทั้งฝ่ายเจ้าของและฝ่ายนิติบุคคลอาหารชุด  3. กรณีที่มีคำสั่งปัญหาความไม่เข้าใจกฎหมาย ขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการประชาสัมพันธ์ที่สามารถเข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของร่วมในอาคารชุด รู้สิทธิ เข้าใจบทบาทในการเป็นเจ้าของร่วม การรวมตัวเพื่อใช้สิทธิ และมีส่วนร่วมในการเข้าประชุมเสนอแนะ และคัดเลือกกรรมการมากขึ้น โดยเฉพาะการรับรู้ข้อกฎหมายเรื่องการจ่ายค่าส่วนกลาง ค่าปรับ และการเสียสิทธิกรณีไม่จ่ายค่าส่วนกลางติดต่อกัน เนื่องจากพบว่ามีเจ้าของร่วมไม่รู้ข้อกฎหมายดังกล่าวเกือบครึ่งหนึ่งของเจ้าของร่วม พร้อมกันนี้ มีข้อเสนอให้กรมที่ดิน จัดทำคู่มือการอยู่อาศัยในอาคารชุด โดยมีรายละเอียดอธิบายสิทธิหน้าที่ของผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด หน้าที่ของนิติบุคคล ทั้งการจัดการประชุม การเลือกกรรมการ การชี้แจงหลักเกณฑ์ การเปิดเผยข้อมูลรายรับรายจ่าย รวมถึงกฎหมายกำหนดหน้าที่ของลูกบ้าน เช่น กำหนดจ่ายค่าส่วนกลาง หรือการจ่ายค่าปรับกรณีไม่จ่ายค่าส่วนกลาง การใช้เอกสารโฆษณา เอกสารแนะนำการขายสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา โดยคู่มือดังกล่าวต้องมอบแก่ผู้ประกอบธุรกิจ และเมื่อมีการเปิดขายห้องชุดต้องส่งมอบคู่มือดังกล่าวแก่ผู้บริโภคทุกรายด้วยข้อสรุปปัญหาจากการบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุดและผลในทางกฎหมาย1.ปัญหาหน้าที่ในการจัดประชุมใหญ่สิ่งที่กฎหมายกำหนดผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมีหน้าที่ต่อการประชุม ดังนี้-จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในหกเดือนนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการและพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อบังคับ และผู้จัดการที่จดทะเบียนตามที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดไว้แล้ว หากไม่ทำต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท-นำมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ หากไม่ทำต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท-นำมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมเรื่องแต่งตั้งกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ หากไม่ทำต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท-นำมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมเรื่องแต่งตั้งกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ หากไม่ทำต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท2.ปัญหาเรื่องการเงินสิ่งที่กฎหมายกำหนดกฎหมายกำหนดให้ผู้จัดการต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนและปิดประกาศให้เจ้าของร่วมทราบต่อเนื่องเป็นเวลา 15 วัน หากไม่ดำเนินการมีโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาท3.ปัญหาหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไปสิ่งที่กฎหมายกำหนดผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่เป็นตัวแทนของนิติบุคคลอาคารชุดในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง ดูแลให้เจ้าของร่วมให้ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด จัดให้มีการดูแลความปลอดภัยหรือความสงบเรียบร้อยภายในอาคารชุด และต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานนิติบุคคลอาคารชุดตามที่กำหนดในข้อบังคับเข้าใจเรื่อง การทำงานของนิติบุคคลอาคารชุด4 องค์ประกอบหลัก คือ1.นิติบุคคลอาคารชุด นิติบุคคลอาคารชุด ส่วนใหญ่แล้ว ก็คือกลุ่มคนที่บริษัทเจ้าของโครงการ “ว่าจ้าง” เข้ามาเพื่อจัดการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางต่างๆ ของอาคารชุด หรือ คอนโด ซึ่งคอนโด สามารถแยกการถือกรรมสิทธิ์ออกเป็นส่วนๆ ได้ โดยประกอบด้วย 2 ส่วน คือ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคล และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง ซึ่งนิติบุคคลอาคารชุดจะมีหน้าที่ดูแลและจัดการในทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น กฎหมายกำหนดให้นิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เช่น1.ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด ได้แก่ ที่ดินที่ปลูกสร้างอาคารชุดนั้น รวมถึงบริเวณติดต่อกันด้วย เช่น ที่ดินที่มีสนามหญ้า หรือมีที่ปลูกต้นไม้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นที่ดินที่ตั้งอาคารชุดนั่นเอง2.ที่ดินที่มีไว้เพื่อใช้หรือประโยชน์ร่วมกัน เช่น ที่ดินที่เป็นลานจอดรถร่วมกันหรือที่ดินที่จัดไว้เป็นสวนไม้ดอกเพื่อความสวยงามของอาคารชุดนั้น3.โครงสร้าง และสิ่งก่อสร้างเพื่อความมั่นคง และเพื่อป้องกันความเสียหายต่อตัวอาคารชุด ได้แก่ เสา เสาเข็ม หลังคา ดาดฟ้า ฝาผนังด้านนอกโดยรอบ เป็นต้น4.อาคารหรือส่วนของอาคาร และเครื่องอุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น อาคารที่เป็นโรงเก็บรถร่วมกัน ระเบียงราวลูกกรง บันได ทางเดินระหว่างห้องชุด เป็นต้น5.เครื่องมือและเครื่องใช้ที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น เครื่องตัดหญ้า เครื่องสูบน้ำ เครื่องดูดฝุ่น6.สถานที่ที่มีไว้เพื่อบริการส่วนรวมแก่อาคารชุด เช่น สระว่ายน้ำ สนามกีฬา สนามเด็กเล่น เป็นต้น7.ทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น ลิฟท์ ถังขยะ เป็นต้น2.ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด กฎหมายกำหนดไว้ว่านิติบุคคลอาคารชุด ต้องมีผู้จัดการ 1 คน จะเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นนิติบุคคลเป็นผู้จัดการก็ต้องแต่งตั้งตัวแทนหนึ่งคนเข้ามาดำเนินการทำหน้าที่ในฐานะผู้จัดการแทนนิติบุคคลอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด1.จัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และมีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมติของเจ้าของร่วม2.ในกรณีจำเป็นและรีบด่วน ให้ผู้จัดการมีอำนาจโดยความริเริ่มของตนเองสั่งหรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคาร3.จัดให้มีการดูแลความปลอดภัยหรือความสงบเรียบร้อยภายในอาคารชุด4.เป็นผู้แทนของนิติบุคคลอาคารชุด5.จัดให้มีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน และติดประกาศให้เจ้าของร่วมทราบภายใน 15 วันนับแต่วันสิ้นเดือนและต้องติดประกาศเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วันต่อเนื่องกัน6.ฟ้องบังคับชำระหนี้จากเจ้าของร่วมที่ค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ตามข้อปฏิบัติของอาคารชุด เกิน 6 เดือนขึ้นไป3.คณะกรรมการอาคารชุด กฎหมายกำหนดให้ทุกอาคารชุดต้องจัดให้มีคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด ประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า 3 คนแต่ไม่เกิน 9 คน การแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติแต่งตั้งใครบ้างมีสิทธิได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการอาคารชุด1.เจ้าของร่วมหรือคู่สมรสของเจ้าของร่วม2.ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ในกรณีที่เจ้าของร่วมเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ แล้วแต่กรณี3.ตัวแทนของนิติบุคคลจำนวนหนึ่งคน ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นเจ้าของร่วมในกรณีที่ห้องชุดใดมีผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วมหลายคนให้มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการจำนวนหนึ่งคนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอาคารชุด 1.ควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด2.แต่งตั้งกรรมการคนหนึ่งขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ ในกรณีที่ไม่มีผู้จัดการหรือผู้จัดการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้เกิน 7 วัน3.จัดประชุมคณะกรรมการหนึ่งครั้งในทุก 6 เดือนเป็นอย่างน้อยโดยกรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี แต่จะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระติดต่อกันไม่ได้ เว้นแต่ไม่อาจหาบุคคลอื่นมาดำรงตำแหน่งได้4.เจ้าของร่วมเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องแรก ผู้ซื้อห้องของอาคารชุดก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร่วมทันที โดยจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนบุคคล และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางของโครงการที่อาศัยอำนาจหน้าที่ของเจ้าของร่วม 1.มีสิทธิ์เข้าประชุมทั้งสามัญและวิสามัญเพื่อให้องค์ประชุมครบ 1/4 ของเจ้าของร่วมทั้งหมด และดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ต่อไปได้2.มีสิทธิ์สมัครเป็นคณะกรรมการอาคารชุด3.มีสิทธิ์โหวต ออกความคิดเห็น คัดค้าน ตามอัตราส่วนสิทธิ์ของตัวเองในเรื่องต่างๆ ของที่ประชุม 

อ่านเพิ่มเติม >

รถถูกน้ำท่วมรถเคลมยังไง?

ตรวจดูความคุ้มครองของกรมธรรม์ขั้นตอนแรก ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด คือ การตรวจดูความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่เราต่ออายุไว้ทุกปี  ว่าครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติด้วยหรือไม่  ซึ่งความคุ้มครองตัวรถที่เอาประกันภัยคือประกันชั้น 1ประกันชั้น 2+ บางแพคเกจประกันชั้น 3+ บางแพคเกจความคุ้มครองประกันแบ่งความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นสองแบบคือ 1.การสูญเสียโดยสิ้นเชิงคือกรณี น้ำท่วมมิดคัน หรือ ท่วมเกินช่วยคอนโซลหน้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร บริษัทประกันประเมิณว่า ไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม บริษัทประกันยินดีที่จะจ่ายเงิน 70-80% ของทุนประกันเพื่อเป็นการขอซื้อซากรถ2.ความเสียหายบางส่วนถ้ารถคันนั้นไม่เสียหายมากนัก สามารถซ่อมกลับมาใช้ได้ ประกันภัยก็จะตีเป็นลักษณะความเสียหายบางส่วน บริษัทประกันจะรับผิดชอบซ่อมแซมรถให้กลับมาใช้งานได้ปกติ โดยที่ประกันภัยนั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดขั้นตอนการเคลมประกันจากน้ำท่วมเมื่อรถเราเจอน้ำท่วมขั้อนตอนการเคลม  โทรแจ้งประกันที่เราได้ทำประกันไว้  จากนั้นจะมีจ้าหน้าที่ประกันมาประเมิณความเสียหาย เมื่อประเมิณเสร็จแล้ว หากรถเราเสียหายบางส่วนก็รอใบเคลม แล้วนำไปเข้าอู่ซ่อม แต่ถ้ารถเสียหายทั้งคัน(เกินจะซ่อมแซม) ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ ผู้เอาประกันก็รอรับค่าเสียหายจากประกันที่จะซื้อซากรถที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว  แต่มีบางกรณี ที่บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบเลยก็คือเราตั้งใจปล่อยให้น้ำท่วมรถหรือตั้งใจขับไป (ต้องพิสูจน์)ขับรถลุยน้ำ ทำอย่างไรให้ปลอดภัย1. สังเกตระดับน้ำว่าลึกขนาดไหน อาจมองจากขอบทางเดินถนน หรือ ถ้ามีรถคันอื่นขับผ่านถนนเส้นนั้นอยู่ ให้ลองกะดูจากสายตา หากคุณขับรถเก๋งคุณสามารถลุยน้ำได้หากระดับน้ำไม่เกิน 30 ซ.ม. ไม่อย่างนั้นอาจเครื่องดับ2. ปิดแอร์! เพราะเมื่อเปิดแอร์ พัดลมจะทำงานและพัดน้ำให้กระจายไปทั่วห้องเครื่อง น้ำนี้แหละทำให้เครื่องดับได้3. ขับช้าๆ ด้วยระดับความเร็วที่มั่นคง ใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1-2 และรักษาอัตราเร่งไว้ให้ได้ประมาณ 1500-2000 รอบ ต่ำกว่านี้เครื่องอาจดับ สูงกว่านี้อาจจะดูดอากาศและน้ำเข้าเครื่องได้อีก สำหรับเกียร์ออโต้ ใช้เกียร์ L จำไว้ว่า ขับช้าๆ อย่าหยุด อย่าเร่งเร็ว4. การขับเร่งเครื่องอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่คนเดินถนนและผู้ใช้รถคนอื่นๆ ได้ โดยรถอาจลอยขึ้นจากถนนและทำให้คุณควบคุมรถไม่ได้ น้ำสกปรกอาจกระเด็นไปโดนคนเดินถนน และการเร่งเครื่องจะทำให้เครื่องเกิดความร้อน พอเครื่องเกิดความร้อน พัดลมใบพัดเพื่อระบายความร้อนทำงาน พอพัดลมทำงาน ก็จะพัดน้ำให้กระจายเต็มห้องเครื่องนั่นเอง5. เลี่ยงไม่ขับผ่านตรงที่มีสายไฟฟ้าจมลงไป เดี๋ยวไฟดูดนะครับ6. ดูว่ามีวัตถุอะไรลอยตามน้ำมาไหม เพราะมันอาจขวางหรือชนรถทำให้คุณขับต่อไปไม่ได้7. พยายามรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า เพราะระบบเบรกแช่น้ำอยู่ ประสิทธิภาพจะต่ำลง8. หากเจอพื้นที่ที่มีน้ำไหล ลึกประมาณ 4 นิ้ว อย่าขับรถผ่านตรงนั้นเด็ดขาด เพราะคุณกับรถอาจโดนกวาดไปพร้อมกับสายน้ำได้9. หากเครื่องดับระหว่างอยู่กลางน้ำ อย่าสตาร์ทเครื่องเพราะเครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหาย ให้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือหรือเรียกคนที่อยู่ภายนอกรถให้ช่วย และสุดท้าย10. เมื่อขับรถสวนกับรถอีกคันให้ลดความเร็วลง ไม่งั้นจะเป็นการทำคลื่นชนคลื่น ทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในรถทั้งสองคันได้หลังพ้นพื้นที่ที่มีน้ำท่วม1. ให้ทดสอบเบรกโดยการขับช้าๆ และเบรกเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผ้าเบรกแห้ง และดิสเบรกจะแห้งเร็วกว่าดรัมเบรก2. อย่าพึ่งดับเครื่องยนต์ทันที จอดทิ้งไว้โดยที่ยังสตาร์ทเครื่องไว้ซักครู่ เพื่อให้น้ำในท่อไอเสียระเหยออกไปให้หมด ซึ่งอาจจะมีไอออกมาจากท่อ นี่คือสิ่งปกติ หากคุณดับเครื่องทันที ท่อไอเสียอาจจะผุได้การดูแลรถหลังจากมีการลุยน้ำท่วม1. ล้างรถให้สะอาด ฉีดน้ำเข้าท้องรถ ล้อรถ กำจัดเศษหินดินทราย เศษหญ้า ใบไม้ เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้2. เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เพราะจะมีน้ำซึมเข้าไปในระบบเกียร์ทำให้พังได้3. เช็คลูกปืนล้อ เมื่อแช่น้ำนานอาจทำให้เกิดเสียงดัง4. ตรวจสอบพื้นพรมในรถ เปิดผ้ายาง รื้อพรม เพื่อป้องกันการติดเชื้อราในพรมและการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ5. ตรวจสอบระบบต่างๆ ให้อยู่ในความเรียบร้อย หากพบอะไรที่ผิดปกติให้นำรถเข้าศูนย์เช็คสภาพรถด่วนร้องเรียนเรื่องประกันภัยได้ที่ สายด่วน  1186  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)     http://www.oic.or.thหรือ 022483737 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค  ข้อมูลเพิ่มเติม  และขอบคุณข้อมูลhttp://www.consumerthai.orghttp://www.oic.or.th/th/consumer/news/releases/86321http://www.moneyguru.co.thhttp://www.moneyandbanking.co.thhttps://goo.gl/wjSgtihttps://goo.gl/GS76Mf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 คนไทยไม่เชื่อว่ามนุษย์เท่ากัน

จุดเริ่มต้นของการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาจากความไม่เป็นธรรมในสัดส่วนของตัวแทนประชาชนที่เป็นคณะกรรมการ 2 คนจากองค์ประกอบทั้งหมด 26 คน และเมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระของการแก้ไขกฎหมาย สะท้อนให้เห็นการย้ายอำนาจการบริหารจัดการหลายอย่างกลับไปยังกระทรวงสาธารณสุข เช่น การจัดสรรเงินเดือนผ่านข้อเสนอการแยกเงินเดือน การเพิ่มจำนวนกรรมการในสัดส่วนหน่วยบริการ ทำให้เกิดคำถามว่า เพื่อรองรับการเรียกเก็บเงินร่วมจ่ายประชาชนจำนวน 34  ล้านคนที่นอกเหนือจาก 14 ล้านคนที่ขึ้นทะเบียนคนจนไว้หรือไม่ เพราะปัจจุบันบัตรทองครอบคลุมประชากรประมาณ 48 ล้านคนจึงเป็นสาเหตุของการคัดค้านอย่างต่อเนื่องในทุกเวทีรับฟังความคิดเห็น จนรัฐบาลต้องแถลงข่าวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกโครงการ 30 บาท เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเก็บเงินประชาชนเพิ่มในการรักษาพยาบาล(ร่วมจ่าย) และบอกว่าคนที่คัดค้านเป็นกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ เพราะเดิมเคยได้รับเงินจากการจัดซื้อยาของ สปสช. หากใครเห็นข้อมูลที่ถูกเปิดเผย จะพบว่าเงินขององค์การเภสัชกรรม(เงินกิจกรรมภาครัฐ) แทบทั้งหมดจำนวน 157 ล้านบาท เกือบ 100% ถูกใช้โดยกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีจ่ายให้กับเอ็นจีโอเพียง 6 แสนบาท หรือเพียง 0.38 % หากพิจารณาจากเรื่องร้องเรียนรายล่าสุดของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในด้านบริการสาธารณสุขน่าสนใจมากว่าสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปัจจุบัน ขออนุญาตเล่าให้สมาชิกฉลาดซื้อได้ทำความเข้าใจร่วมกัน ผู้ป่วยบัตรทองรายหนึ่งได้ถูกส่งตัวไปผ่าตัดหลังที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงพยาบาลอ้างว่า จำเป็นต้องเก็บเงิน 12,000 บาท สำหรับอุปกรณ์พิเศษที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งเบิกไม่ได้ และดีกว่า แต่ในวันที่ไปผ่าตัดตอนเช้าวันนั้น โรงพยาบาลกลับบอกว่าบอกข้อมูลผิด เพราะต้องการใช้เงิน 35,000 บาท ไม่ใช่ 12,000 บาท เจ้าหน้าที่คนก่อนแจ้งผิด คงผ่าตัดตอนตอนเช้านี้ให้ไม่ได้ เพราะต้องไปให้ผู้ป่วยนำเงินมาให้โรงพยาบาลก่อน ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดเมื่อ 15 ปีที่แล้ว คงเป็นเรื่องปกติ หากเราดูแลเฉพาะคนจน 14 ล้านคน คนชั้นกลางหรือประชาชนทั่วไปเดือดร้อนไม่น้อย เพราะมาตรการที่ทุกโรงพยาบาล มักจะอ้างว่าใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดีกว่าของระบบหลักประกัน เป็นเครื่องมือชั้นดีให้ทุกคนต้องควักเงินออกมาจากกระเป๋า เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ย่อมต้องการมาตรฐานสูงสุดสำหรับตัวเอง หากการแก้ไขโครงสร้างการบริหารระบบบัตรทองสำเร็จ สามารถเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการให้มีสัดส่วนของผู้ให้บริการ หรือจากโรงพยาบาลมากขึ้น การตัดสินเรื่องการร่วมจ่ายเงินเมื่อไปใช้บริการ หรือการร่วมจ่ายในแต่ละครั้งที่เข้ารับการบริการ มีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยในการร่วมจ่ายของผู้ป่วยเมื่อไปใช้บริการ เสียงทัดทานการร่วมจ่ายจะแพ้มติ หรือเป็นเสียงข้างน้อย ตอนนั้นทุกคนจะทำอย่างไร นี่คือคำเตือนจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบหลักประกันในปัจจุบันที่สำคัญสุดท้าย ทำอย่างไรให้คนไทย ยอมรับว่าสิทธิด้านสุขภาพ เป็นสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนควรได้รับเท่าเทียมกัน การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้สิ่งที่ควรจะมีการดำเนินการผลักดันให้เกิด คือระบบบริการสาธารณสุขมาตรฐานเดียวไม่ว่าจะอยู่ภายใต้กองทุนใด ผู้ประกันตนไม่ต้องจ่ายสมทบด้านสุขภาพและให้นำเงินสมทบส่วนสุขภาพของผู้ประกันตนไปเพิ่มในสัดส่วนของบำนาญชราภาพ เพื่อที่จะทำให้ผู้ประกันตนมีความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิตมากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 อยากใช้เบอร์มงคล เบอร์สวย ระวังจะซวย ไม่รู้ตัว

“เบอร์สวย เบอร์มงคล รับทรัพย์ รับโชค เสริมดวงชะตา นำพาชีวิตรุ่ง ทั้งหน้าที่การงาน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว ดีพร้อมทุกด้าน การันตีความสำเร็จ โดยปรมาจารย์ด้านเลขศาสตร์ชั้นนำของเมืองไทย”  ความเชื่อเรื่องโชคลาง เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน ช่วงหนึ่งผู้คนนิยมเปลี่ยนชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคล จนทุกวันนี้คนหันมาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือเพราะเชื่อว่า ตัวเลข มีผลต่อชีวิตในทางดีและร้าย โดยเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตปัจจุบัน เป็นช่องทางการติดต่อทางธุรกิจ เบอร์สวยที่จำง่าย สะดุดตา ก็อาจจะมีส่วนช่วยให้ลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาติดต่อได้สะดวก ส่งผลต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้น หลายคนจึงพยายามหาเบอร์สวย เบอร์มงคล มาไว้ใช้งาน เมื่อมีคนเชื่อถือศรัทธา จึงนำมาสู่ธุรกิจการซื้อ ขายเบอร์โทรศัพท์ แรกเริ่มเดิมที่ธุรกิจ “ซื้อขายเบอร์โทรศัพท์” นี้จะอยู่ในมือของ เอเย่นต์ที่รับซิมการ์ดโทรศัพท์จากค่ายมือถือไปขาย โดยจะคัดหมายเลขสวย เช่น เลขตอง (xxx) เลขเรียง (abcd) เลขคู่ (xxyy) เลขหาบ (xyxy) เลขสลับ (xyyx) มาขายในราคาสูงกว่าหมายเลขโดยทั่วไป ราคาของเบอร์ก็มีตั้งแต่หลักพัน ไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับค่านิยม ความเชื่อ แต่เลขสวยในลักษณะนี้ก็มีจำนวนจำกัด ตามธรรมชาติของการจัดเรียงตัวเลข  ในระยะต่อมาเมื่อเกิดมีกระแสเรื่องเบอร์มงคล ใช้แล้วดี ทำมาค้าขายร่ำรวย ก็ทำให้ตลาดการซื้อขายเบอร์โทรศัพท์ กลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง เพราะแต่ละตำรา แต่ละอาจารย์ ก็มีหลักเกณฑ์ และการนิยามเลขหมายมงคลที่แตกต่างกันไป บางสำนักดูผลรวมของเลขหมายโทรศัพท์ทั้งหมด บางสำนักดูเลขคู่แต่ละชุดที่เรียงต่อกันในเบอร์โทรศัพท์ บางสำนักดูลึกลงไปถึงรายละเอียดวันเดือนปีเกิดของผู้ใช้โทรศัพท์ประกอบด้วย เบอร์มงคลในตลาดจึงมีจำนวนไม่จำกัด เหมือนอย่างเบอร์สวย เพราะขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลที่จะกำหนดสร้างขึ้นมา  เมื่อตลาดของการซื้อขายเบอร์มงคลเริ่มโตขึ้น ค่ายมือถือจึงเห็นเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า จึงเข้ามาทำตลาดซื้อขายเบอร์มงคลอย่างเต็มตัว แต่ละค่ายมีการใช้พรีเซนเตอร์ หมอดูชื่อดังระดับประเทศ มาโฆษณาถึงความพิเศษของเบอร์มงคล ว่าใช้แล้วจะส่งผลดีกับชีวิตอย่างไรบ้าง  ประเด็นที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคก็คือ เบอร์มงคลเหล่านี้ จะถูกกำหนดไว้ให้ต้องใช้แพคเก็จค่าบริการขั้นต่ำ ตั้งแต่ประมาณ 400 – 1,000 บาทขึ้นไป และต้องใช้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย   6 เดือน – 1 ปี ตามที่บริษัทกำหนด เรียกว่า “เบอร์ไหนเป็นมงคลมาก ก็ยิ่งต้องเสียค่าบริการรายเดือนมากเป็นพิเศษ” นอกจากนี้บางค่ายยังมีข้อกำหนดอีกว่า ห้ามย้ายค่าย ห้ามเปลี่ยนไปใช้โปรโมชั่นที่ถูกลง ถ้าผู้ใช้บริการทำผิดเงื่อนไขนี้ จะต้องถูกปรับเงินอีกต่างหาก มีผู้ใช้บริการจำนวนไม่น้อยที่เลือกเบอร์มงคลไปใช้ แต่ปรากฏว่า แทนที่เบอร์เหล่านี้จะช่วยเรียกทรัพย์มาให้ตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก แต่ปรากฏว่ากลับกลายเป็นทำให้เสียทรัพย์ไปเสียนี่ เพราะเลขหมายอาจจะมีผลคำทำนายที่เป็นบวก แต่คุณภาพบริการโทรศัพท์ที่ได้รับจริงอาจจะแย่ เช่น สัญญาณไม่ดี โทรเข้า-ออกลำบาก เน็ตก็ช้า หลุดแล้วหลุดอีก จะยกเลิกบริการก็ไม่ได้ จะย้ายค่ายไปใช้รายอื่นก็ไม่ได้ เพราะบริษัทอ้างว่ามีข้อสัญญากำหนดไว้แล้วว่าต้องใช้อย่างน้อย 1 ปี ลองคิดดูสิครับว่า “เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้งานไม่ได้ แต่ต้องจ่ายค่าบริการแพง ๆ ทุกเดือนแบบนี้จะเรียกว่า เบอร์มงคล ได้หรือ” เรื่องร้องเรียนในลักษณะนี้ คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในกิจการโทรคมนาคม ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า “ข้อกำหนดและเงื่อนไขสิทธิรายการส่งเสริมการขาย สำหรับเลขหมายพิเศษ เบอร์สวย ที่กำหนดให้เลขหมายโทรคมนาคมแต่ละแบบ ต้องใช้รายการส่งเสริมการขายใด เป็นระยะเวลาเท่าใด และหากยกเลิกบริการ หรือเปลี่ยนแปลงรายการส่งเสริมการขายก่อนครบกำหนดจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญานั้น  ข้อกำหนดนี้ เกี่ยวข้องกับ เลขหมายโทรคมนาคม สิทธิในการเลือกใช้รายการส่งเสริมการขาย และการยกเลิกบริการ จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กำหนดให้ สัญญาและเงื่อนไขใด ๆ เกี่ยวกับการให้บริการโทรคมนาคม ที่ผู้รับใบอนุญาตจะกำหนดขึ้นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และข้อ 4 ของ ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ฯ กำหนดว่า สัญญาจะมีผลผูกพันและบังคับใช้ได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการมิเคยพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อตกลงดังกล่าว ข้อตกลงนั้นจึงไม่มีผลบังคับใช้    ผู้ร้องเรียนจึงมีสิทธิเลือกใช้รายการส่งเสริมการขายอื่นได้ หรือคงสิทธิเลขหมายไปใช้บริการกับผู้ให้บริการรายอื่น เช่นเดียวกับผู้ใช้บริการโดยทั่วไป” เรื่องความเป็น “มงคล” นั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง “มงคลสูตร 38 ประการ” ธรรมะว่าด้วยการฝึกตนเพื่อให้เกิดมงคลขึ้นในชีวิต  ในข้อที่ว่า “อะเสวนา จะ พาลานัง การไม่คบคนพาล” นั้น เป็นมงคลประการแรก และนับเป็นมงคลสูงสุด ในอันที่จะชีวิตไปสู่ความเจริญ และรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลาย ดังนั้น เลือกใช้บริการโทรศัพท์ครั้งต่อไป อย่ามัวแต่ดูเบอร์มงคล ขอให้อ่านเงื่อนไข สัญญาให้ถี่ถ้วนรอบคอบด้วยว่า มีเนื้อหาที่จ้องจะเอาเปรียบหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ขอให้หลีกเลี่ยง อย่าไปใช้บริการกับ “คนพาล” จะเป็นการดีที่สุด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ : เมื่อหมาป่าอยากโบกบินสู่เสรีภาพ

โดยทั่วไปแล้ว ละครโทรทัศน์ที่เราได้รับชมผ่านทางหน้าจอนั้น มักจะสร้างให้ตัวละครพระเอกเป็นภาพของผู้ชายในอุดมคติ เป็นสุภาพบุรุษจิตใจงาม และเป็นผู้ประกอบสัมมาอาชีวะเป็นอาจิณ เพื่อที่จะให้ภาพของพระเอกดังกล่าวยืนยันในตัวแบบบรรทัดฐานของผู้ชายที่สังคมคาดหวังจะให้เป็น แต่หากละครโทรทัศน์เรื่องใดเปลี่ยนมานำเสนอภาพของพระเอกให้กลายเป็นบุรุษหนุ่มที่อาศัยในมุมมืดของสังคม เป็นมิจฉาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ และไม่ใช่ตัวแบบแห่งความคาดหวังที่สังคมเลือกให้ผู้คนเจริญรอยตามแล้ว วิธีการสร้างตัวละครเยี่ยงนี้น่าจะชวนให้เราสงสัยว่า ผู้ผลิตคงต้องการแฝงความนัยบางอย่างที่ซ่อนเร้นเอาไว้แน่นอน เฉกเช่นละครโทรทัศน์เรื่อง “ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ” ที่ผู้สร้างเลือกจะผูกเรื่องราวชีวิตของพระเอกหนุ่ม “วายุ” ให้เป็นมือปืนรับจ้างอันดับต้นๆ ของวงการนักฆ่าผู้ชอบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร วายุทำงานอยู่ในซุ้มมือปืนที่มี “สุรสีห์” เป็นหัวหน้า โดยสุรสีห์เปิดผับเป็นฉากอาชีพสุจริตที่บังหน้า และมีวายุทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ในผับแห่งนั้น  ในโลกทัศน์ของคนทั่วไป ภาพลักษณ์แบบพระเอกนักฆ่าของวายุนั้น ก็คือตัวแบบของมิจฉาชีพผู้เป็นอาชญากรรม ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของสังคม ไม่ว่าจะพินิจพิจารณาจากมุมมองแบบใดก็ตาม หากใช้มุมมองเชิงนิติศาสตร์หรือมุมมองเชิงศีลธรรมแล้ว ความเป็นอาชญากรก็คือบุคคลที่ละเมิดรีตรอยของกฎหมายและผิดศีลปาณาติบาตอันเป็นศีลข้อแรกของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น เมื่อวายุทำตนอยู่นอกกฎหมาย เขาจึงถูกนายตำรวจหนุ่มผู้เป็นศัตรูหัวใจอย่าง “ศรุต” ติดตามไล่ล่า เพื่อขจัดเขาออกไปจากระบบสังคม และคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมและจารีตศีลธรรมของสังคม แต่หากเราลองขยับมาอธิบายด้วยมุมมองแบบจิตวิทยาแล้ว อาชญากรอย่างวายุก็คือคนที่ถูกตีความว่ามีปัญหาทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจเนื่องมาจากปมชีวิตที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จนทำให้คนๆ นั้นไม่อาจควบคุมคุณธรรมความดีในจิตใจ และกลายเป็นบุคคลที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคมในที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม การที่บุคคลหนึ่ง “กลายมาเป็น” คนเลวของระบบ จึงเป็นเพราะความคิดที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เชื่อในเรื่องวัฏฏะแห่งกรรม ไปจนถึงการมีปมปัญหาทางจิตที่ซ่อนซุกเร้นลึกอยู่ในตัวของอาชญากรคนนั้น  แต่อย่างไรก็ดี เพราะเนื่องจากในท้องเรื่องของละครนั้น ปัจเจกบุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของระบบสังคมกลับกลายเป็นวายุหนุ่มหล่อพระเอกของเรื่องนี่เอง ดูเหมือนว่า เหตุปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดแทบจะไม่ใช่ตัวแปรหลักของการ “กลายมาเป็น” นักฆ่าดังกล่าวเลย  ละครได้วางโครงเค้าให้เราค่อยๆ ย้อนกลับไปเข้าใจสาเหตุที่พระเอกวายุจำยอมและจำต้องเดินทางเข้าสู่โลกมืดของอาชญากร ทั้งๆ ที่หิริโอตตัปปะและความรับผิดชอบชั่วดียังคอยกำกับหน่วงรั้งไว้ทุกครั้งที่เขาต้องเหนี่ยวไกปืนเพื่อสังหารชีวิตคน เริ่มต้นจากการที่บุพการีถูกฆ่ายกครัวตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ทำให้วายุกลายเป็นมนุษย์ที่ไร้สายสัมพันธ์กับสถาบันที่เป็นหน่วยเล็กที่สุดแต่ก็สำคัญที่สุดอย่างสถาบันครอบครัว หรือการที่เขาจำต้องทดแทนบุญคุณของหัวหน้าซุ้มมือปืนอย่างสุรสีห์ที่ดูแลเขาแทนพ่อแม่นับตั้งแต่นั้น ไปจนถึงการให้เหตุผลความชอบธรรมว่า คนที่เขาได้รับใบสั่งฆ่าทุกคนนั้น ต่างก็เป็นคนเลวหรือมิจฉาชีพทั้งสิ้น เหตุผลที่ถูกอ้างอิงเอาไว้หลายข้อดังกล่าว สะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า เมื่อปัจเจกบุคคลถูกสะบั้นสายสัมพันธ์ออกจากสถาบันต่างๆ ประกอบกับถูกแรงบีบคั้นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เขาก็จะ “กลายมาเป็น” บุคคลที่ไม่อาจปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบได้ ทุกครั้งวายุใช้ปืนปลิดชีวิตคนอื่นจึงเป็นผลพวงจากความแปลกแยกที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และแปลกแยกจากศีลธรรมและกฎของสังคมที่ครอบงำเอาไว้นั่นเอง ความรู้สึกแบบที่ฝรั่งเรียกว่า “ไม่ belonging to” เฉกเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากประโยคที่สุรสีห์พร่ำสอนกรอกหูวายุอยู่ตลอดว่า ชีวิตของนักฆ่าก็ไม่ต่างจาก “หมาป่า” ในสังคมที่คนโดยรอบต่างก็ล้วนเป็น “หมาป่า” ทั้งสิ้น เพราะ “หมาป่า” ยังไงก็ต้องเป็นและไม่อาจหลุดพ้นไปจากวงโคจรชีวิตของ “หมาป่า” ได้โดยง่าย ดังนั้น พระเอกวายุจึงเหมือนถูกผลักให้ยอมรับกฎของสังคมที่ว่า ในสังคมที่ไร้แรงยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวปัจเจกบุคคลเอาไว้ “ถ้าไม่เป็นผู้ล่า เราก็จะกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเอง”  แต่ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ แม้ตัวละครจะถูกระบบกล่อมเกลาให้เชื่อว่า “มนุษย์เราต่างเป็นหมาป่าของกันและกัน” แบบนี้ แต่มือปืนผู้นี้กลับเป็นผู้ที่หลงรักในนกพิราบสีขาว ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง วายุจะชอบไปนั่งมองนกพิราบในสวนสาธารณะ และเป็นที่นี่เองที่วายุได้พบกับนางเอก “ภาวรินทร์” ประติมากรสาวผู้เป็นบุตรีของ “ธนทัต” ซึ่งฉากหน้าเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ แต่หลังฉากกลับเป็นพ่อค้ายาเสพติดผู้โหดเหี้ยม การพบกันระหว่างตัวละครนักฆ่าหนุ่มที่จิตใจเหือดแห้งไร้สายใยกับสังคมรอบข้างกับศิลปินสาวที่เชื่อมั่นในพลังความงดงามในจิตใจของมนุษย์ จึงก่อเกิดเป็นความรักและสายสัมพันธ์เส้นใหม่ ที่ทำให้ “หมาป่า” อย่างวายุอยากจะโบยบินไปสู่อิสรภาพแบบ “นกพิราบสีขาว” ไม่ว่าความสัมพันธ์เส้นใหม่นี้จะสมหวังหรือผิดหวังในฉากจบของเรื่องก็ตาม แต่แน่นอนเพราะ “ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว ก็ลงจากหลังเสือได้ยากยิ่ง” แม้จะสำเหนียกว่าชีวิตของตนว่ายวนบนสายพานของแรงกดดันและกฎเกณฑ์มากมายของสังคม แต่วายุก็มิอาจบินหนีไปสู่เสรีภาพได้โดยง่าย ในสภาวะที่ความแปลกแยกได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ และข้อเท็จจริงที่ว่า “สัตว์โลกที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นจึงจะอยู่รอด” ได้ถูกทำให้เป็นเพียงกฎข้อเดียวของสังคม แต่ทว่า ชะตากรรมของวายุที่ติดกับอยู่ในเงามืดของสังคม ก็สะท้อนย้อนคิดให้เห็นว่า แม้แต่ “หมาป่า” ก็ยังมี “ความหวัง” ที่จะบินออกไปจากกรงที่ขังเขาไว้ด้วยกฎเกณฑ์ดังกล่าว ชีวิตในมุมมืดของตัวละครอยากจะโบยบินสู่เสรีภาพจากกฎต่างๆ ของสังคม แล้วกับชีวิตเราๆ ที่มีเสรีภาพอยู่แล้ว เคยสำเหนียกหรือไม่ว่า รอบตัวของเสรีชนถูกพันธนาการด้วยกฎเกณฑ์แบบใดกันบ้าง?

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 ควบคุมอารมณ์ด้วยการฝึกการหายใจ

หลังจากฉบับที่แล้วได้แนะนำวิธีการประเมินสภาพจิตใจภายใต้สภาวะสังคมที่ต้องดำเนินชีวิตภายใต้ความกดดันและความเครียดรอบตัว ฉบับนี้จึงนำเทคนิคอีกรูปแบบหนึ่งมาแนะนำ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการฝึกการหายใจที่ลึกและถูกต้อง การหายใจที่ถูกวิธีจะสามารถต่อสู้กับความวิตกกังวลและความเครียดได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน การหายใจลึกๆ จะช่วยทำให้เป็นประโยชน์ในการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก จากเดิมที่มักเกิดความวิตกกังวลและความเครียดที่อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมการทำงาน การดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความหงุดหงิด ความโมโห อารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย ดังที่จะเห็นจากการรายงานข่าวของสื่อสำนักต่างๆ ที่ถูกเผยแพร่ออกมาในรูปแบบคลิปวิดีโอ เนื่องจากเกิดการกระทบกระทั่งกันจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต โดยจะเห็นว่าข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ สาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดมาจากการควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ทั้งสิ้นแอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า BellyBio เป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยตรวจสอบการหายใจและสอนวิธีการหายใจลึก ซึ่งจะทำให้อารมณ์เย็นลงได้ การใช้แอพพลิเคชั่นนี้ต้องอยู่นิ่งกับตนเองชั่วขณะ ไม่ควรทำกิจกรรมใดๆ เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นจะปรากฏคำแนะนำในการใช้ วิธีการใช้แอพพลิเคชั่นนี้คือ เมื่อกดเริ่มต้นแอพพลิเคชั่นเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้นำโทรศัพท์ไปเสียบไว้ที่ขอบกางเกง โดยให้หน้าจอหันออกด้านนอก ให้ด้านหลังโทรศัพท์สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง หลังจากนั้นแอพพลิเคชั่นจะเริ่มทำงาน โดยจะใช้สัญลักษณ์เป็นเส้นคลื่นสีแดงและสีขาวขึ้นลงเพื่อบอกจังหวะในการหายใจของเรา เมื่อมีการหายใจที่นิ่งขึ้น แอพพลิเคชั่นจะเปลี่ยนหน้าจอเป็นตัวอักษร เพื่อบอกจังหวะการหายใจเข้าและการหายใจออกอย่างช้าๆ  ถ้าเส้นคลื่นยิ่งต่ำลงมากเท่าไร นั่นหมายความว่าการหายใจเป็นปกติ ซึ่งแสดงออกถึงอารมณ์ที่ปกติและสงบมากขึ้นการฝึกการหายใจจะทำกี่นาทีก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แอพพลิเคชั่น เมื่อจบการฝึกในแต่ละครั้ง แอพพลิเคชั่นจะทำการบันทึกสถิตินั้นไว้ โดยสามารถเรียกดูภายหลังได้ เพื่อนำมาเปรียบเทียบการหายใจและอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละวัน ซึ่งสามารถทำให้เข้าใจอารมณ์ของตนเองได้เพิ่มขึ้นแอพพลิเคชั่นนี้จะช่วยฝึกให้การหายใจเข้าและออกเป็นไปอย่างถูกวิธี เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ดี  ถ้าหากรู้สึกว่ามีความวิตกกังวล ความเครียด ความหงุดหงิดเกิดขึ้น ลองเปิดแอพพลิเคชั่นนี้เพื่อฝึกการหายใจเข้า การหายใจออกให้เป็นจังหวะ น่าจะช่วยทำให้อารมณ์สงบได้ในระดับหนึ่ง

อ่านเพิ่มเติม >