ฉบับที่ 194 โฮมสเตย์ไม่คืนเงินค่ามัดจำ

ปัจจุบันการจองที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มักให้ลูกค้าโอนเงินค่ามัดจำส่วนหนึ่งมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าหากลูกค้าเปลี่ยนใจที่จะไม่เข้าพักตามที่ตกลงกันไว้ คู่สัญญาก็มีสิทธิริบเงินประกันดังกล่าว อย่างไรก็ตามการริบค่ามัดจำ ต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการร้องเรียน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณสุชาติสนใจจะเข้าพักที่โฮมสเตย์ชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จึงโทรศัพท์ไปสอบถามอัตราค่าห้องพัก ซึ่งทางโฮมสเตย์ได้แจ้งมาว่าห้องละ 600 บาท/คืน ด้านคุณสุชาติต้องนำข้อมูลไปพิจารณาก่อน จึงยังไม่ได้ตอบตกลงในวันนั้น อย่างไรก็ตามภายหลังเขาก็ตัดสินใจจะเข้าพักที่โฮมสเตย์แห่งนี้ จึงโทรศัพท์กลับไปอีกครั้งเพื่อยืนยันการจองห้องพัก แต่กลับพบว่าราคาห้องไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ตอนแรก เนื่องจากพนักงานคนเดิมแจ้งว่าเธอได้บอกราคาผิด ซึ่งจริงๆ แล้วห้องพักราคา 800 บาท/คืน อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบก็จะลดราคาให้เหลือห้องละ 700 บาท/คืน ซึ่งคุณสุชาติเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจึงตอบตกลงและจองห้องพักไปทั้งหมด 5 ห้อง พร้อมโอนเงินค่ามัดจำจำนวน 3,500 บาทไปให้ เนื่องจากทางโฮมสเตย์กำหนดให้ลูกค้าที่จองห้องพักต้องวางเงินมัดจำเต็มจำนวน ต่อมาภายหลังคุณสุชาติพบว่า เขาถูกยกเลิกกำหนดการที่จะต้องเดินทางไปทำงานที่จังหวัดดังกล่าวกะทันหัน ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าพักที่โฮมสเตย์นั้นอีกต่อไป จึงโทรศัพท์แจ้งไปยังโฮมสเตย์เพื่อขอให้คืนเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งขณะที่เขาโทรศัพท์กลับไปเหลือเวลาอีก 25 วัน ก่อนจะถึงกำหนดวันเข้าพักที่จองไว้ อย่างไรก็ตามทางโฮมสเตย์ได้ปฏิเสธการคืนเงินมัดจำทุกกรณี แต่เสนอทางเลือกมาว่าจะขยายเวลาเข้าพักให้ โดยคุณสุชาติจะเข้ามาพักเองหรือให้ผู้อื่นมาแทนก็ได้ ด้านคุณสุชาติเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบมากเกินไป จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิให้คำแนะนำว่า โดยปกติเงินมัดจำเป็นเงินที่จ่ายไว้กับคู่สัญญาเพื่อเป็นหลักประกันว่าเราจะทำตามสัญญา ซึ่งหากผู้ร้องผิดสัญญาไม่เข้าพักทางโฮมสเตย์ก็จะสามารถริบเงินมัดจำได้ทันที แต่การเก็บเงินมัดจำเต็มจำนวนราคาห้องพัก ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ควรลดลงได้เท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งในเบื้องต้นศูนย์ฯ จะช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้ อย่างไรก็ตามสำหรับเหตุการณ์นี้ผู้ร้องได้ไปดำเนินการเจรจาต่อเองที่ สคบ. และได้ผลสรุปว่าทางโฮมสเตย์จะคืนเงินค่ามัดจำให้ในอัตราร้อยละ 50 ของทั้งหมด 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 193 นักสื่อสารกับสังคม ธรากร กมลเปรมปิยะกุล

“นักโฆษณาที่เบื่อโลกโฆษณาแล้วเอาทักษะที่เรามี มาเล่าเรื่องแบบนี้ คุณเชื่อไหมผมทำเรื่องพวกนี้ผมสนุกมากเลย มีความสุขเพราะผมไม่ต้องหลอกคน และยังได้เอาเรื่องดีๆ ไปบอกชาวบ้านด้วย” คุณพงศ์ หรือ ธรากร กมลเปรมปิยะกุล นักสื่อสารเพื่อสังคม เล่าให้เราฟังถึงการทำงานของเขา การเลือกที่จะสื่อสารบางสิ่งออกมา ..บอกในสิ่งที่คนทำโฆษณาไม่เคยคิดจะบอกมาเป็นนักสื่อสารเพื่อสังคมได้อย่างไรจะเล่าให้ฟังสั้นๆ ก็คือผมมาทำงานให้กับสำนัก 5 (สำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.) มันจะมีเรื่องสุขภาวะทางปัญญา ซึ่งผมเป็นคนที่ต้องย่อยเรื่องที่มันไม่เป็นชุดข้อมูล มาทำเป็นชุดข้อมูล ตอนนั้นทำอยู่กับคุณหมอประเวศ วะสี ท่านเคยบอกว่า คุณจะสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในมันจะต้องรู้ว่ามันไม่ใช่มีแค่นั่งสมาธิเท่านั้น มันมีหลายวิธี อาจารย์พูดไว้ 2 - 3 ปีแล้ว ผมก็ทำชุดข้อมูล 8 ทาง ว่ามีอะไรบ้างแล้ว ใครทำอะไรอยู่บ้าง พอมันถูกเปิดเผยออกมาแล้วขึ้นไปอยู่บนออนไลน์ คนก็จะเข้ามาสนใจเรื่องนี้ อาจารย์ประเวศบอกว่า เวลาขับเคลื่อนงานทั้งหมด สื่อเป็นเหมือนกระดูกล้อกลางที่จะดึงข้อมูลมาแล้วระเบิดออกไป คนถึงจะมาช่วยเรา คือผมรู้เลยพี่น้องตรงนี้(สสส.)ทำงานกันดีมาก แต่ก็ต้องมีทีมสื่อที่มีประสิทธิภาพด้วย หน่วยงานของผมก็เหมือนหน่วยงานอิสระที่ไปช่วยด้านสื่อสาร ก็ มีไอแคร์ ครีเอทีฟมูฟ วายนอท ชูใจ เขาก็คล้ายๆ ผม นักโฆษณาที่เบื่อโลกโฆษณาแล้วเอาทักษะที่เรามีมาเล่าเรื่องแบบนี้ คุณเชื่อไหมผมทำเรื่องพวกนี้ผมสนุกมากเลย มีความสุขเพราะผมไม่ต้องหลอกคน และยังได้เอาเรื่องดีๆ ไปบอกชาวบ้านด้วย สมัยก่อนผมต้องโฆษณาเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันหลอกชาวบ้าน ผมเคยทำมาหมดแล้ว ทีมข่าวบ้าบอคอแตกอะไรพวกนี้ ดังนั้นผมว่าน่าทำ ผมยินดีเทรนด์ของการสื่อสารกับสังคมคุณมองอย่างไรจะเห็นได้ว่า 10 ปีที่ผ่านมาเทรนด์ในการใส่ใจเรื่องของสังคมมันเริ่มเป็นที่ถูกมองถูกเรียกร้องของผู้บริโภคมากขึ้น แล้วภาคเอกชนเองก็เริ่มตระหนักถึงส่วนนี้ ตอนนี้ผมมองว่าบริษัทภาคเอกชนนั้นแบ่งออกเป็นหลายความตระหนักในเรื่องนี้ หลายคนก็ยังทำในแบบเก่าคือว่าทำเพื่อให้เห็นว่าต้องทำนะ ทำเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมแต่ยังไม่ได้รู้สึกหรือว่าควบรวมมาเป็นภารกิจขององค์กร ระดับนี้ก็ยังมีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ระดับที่เพิ่มขึ้นและเป็นทิศทางที่ดี ต้องยอมรับว่าผมทำไอแคร์ประมาณ 7 ปีก่อนหน้านี้ คือ 7 ปีก่อนคำว่า ซีเอสอาร์หรือโซเชียลเอนเตอร์ไพร์ซใหม่มากเลยและเมื่อ 7 - 8 ปีก่อน ตอนนั้นมันจะเป็นภาระเหมือนที่ผมพูดคือ ธุรกิจส่วนหนึ่ง เพื่อสังคมส่วนหนึ่ง ผมเห็นเทรนด์ที่ดีมากในรอบ 5 - 6 ปีมานี้ มันจะเห็นได้ว่าผู้บริหารรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เริ่มรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ทำเป็นว่าทำเพื่อสังคมแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ใส่ใจสังคมแบรนด์คุณก็อยู่ไม่ได้ด้วย เพราะสมัยนี้ผู้บริโภคไม่ได้เชื่อโฆษณาหรือเชื่อจากภาพถ่ายอีกต่อไป เขารู้ว่าคุณเป็นคนยังไง รู้ว่าคุณเป็นแบรนด์แบบไหน ถ้าคุณเป็นแบรนด์ที่ให้ความสะดวกขายของได้เต็มที่ แต่คุณไม่ได้นึกถึงคนอื่นมากพอ ผู้บริโภคเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่เชื่อโฆษณานะ เขาเชื่อสิ่งที่คุณเป็น ดังนั้นในภาคเอกชนภาคธุรกิจต่างๆ พอเขาเริ่มรู้ตัวว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ผู้บริโภคจะเข้าถึง เขาก็เริ่มตระหนักคิดมากกว่าแค่กิจกรรมแล้ว เขามองว่ามันจะต้องเป็นส่วนหนึ่งที่เขาต้องรับผิดชอบจริงๆ ไม่ใช่แค่การสร้างภาพอีกต่อไป ผมมองว่าอย่างองค์กร(ไอแคร์) ที่เราทำอยู่ เราทำอยู่ 2 ลักษณะเลย คือตัวธุรกิจคือเรียลเอสเตทนั้น เราต้องมองสิ่งที่ดีให้กับลูกบ้านของเราจริงๆ แล้ววิสัยทัศน์ของเจ้านายก็คือ ถ้าเรามีงบให้สังคมเราจะทำอย่างไรให้เกิดผลสูงสุด ก็เห็นว่าการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ร่วมทดลองทำบางอย่างหรือพอจะทำสื่อได้เพราะสื่อเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการนำความคิดผู้คน เราก็เลยตั้งใจลงทุนใน 2 สิ่งนี้ ก็เลยเป็นที่มาของไอแคร์ แต่ถามว่าตรงนี้ก็ยังได้เป็นที่สุดที่ภาคธุรกิจไปถึงได้ในการทำเพื่อสังคม ยุคใหม่ๆ นี่โดยเฉพาะหลายๆ สตาร์ทอัพนั้นจะเป็นแบบนี้ คือเขาจะผนวกปัญหาของสังคมเป็นภารกิจของธุรกิจเลย ธุรกิจของคุณดำรงอยู่เพื่อแก้ปัญหาสังคมบางอย่างเลยไปดูได้สตาร์ทอัพทั้งหลายนั้นจะบอกว่าการเกิดขึ้นของธุรกิจหรือนวัตกรรมของคุณแก้ปัญหาอะไรบ้างหรือทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นในด้านใด ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเทรนด์เรื่องนี้เริ่มเกิดขึ้น คนรุ่นใหม่เริ่มทำธุรกิจที่ดีกับสังคม นี่จะเป็นคำตอบที่น่าจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น มันจะไม่ใช่แค่ขายของอย่างหนึ่ง โฆษณาอย่างหนึ่งสร้างภาพอีกอย่างหนึ่ง แต่ธุรกิจมันต้องคิดเพื่อคนอื่นเลย เทรนด์นี้จะเริ่มอย่างไรได้บ้างโดยเฉพาะกลุ่มภาคธุรกิจคุณต้องประเมินตัวเองก่อนว่าอยู่ในภาวะไหน ยังมองว่าเรื่องเพื่อสังคมเป็นการสร้างภาพ กฎหมายบังคับหรือคุณแค่ทำ แต่มันยังมีขั้นตอนต่อไป ถ้าคุณเห็นแล้วรู้สึกว่าคุณมีส่วนในการทำให้สังคมมันดีขึ้นจากตรงนี้ได้ ซึ่งตรงจุดนี้ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่ดีเขาจะรู้ตัวเขานำของสิ่งนี้มาสู่องค์กร มันจะเพิ่มขวัญและกำลังใจให้พนักงาน ผมพบบางองค์กรที่ได้แค่เงินแล้วธุรกิจนั้นมันไม่เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ คนรุ่นใหม่เขาก็ไม่อยากทำ เขาอยากทำในองค์กรที่รู้สึกว่าได้เงินด้วยมีบริษัทช่วยโลกด้วย คือธุรกิจที่ได้เงินเยอะๆ ผมว่ามันล้าสมัยแล้วทุกวันนี้ มีบริษัทใหญ่ๆ ที่ถูกโจมตีอยู่เยอะแยะไป ผมว่ามันใกล้จะถึงยุคที่ภาพลักษณ์มันจะไม่มีความหมายแล้ว เพราะวันนี้เราคุยเรื่องโฆษณา เรื่องสื่อสารเห็นว่าคนรู้แล้วว่าอะไรคือโฆษณา อะไรคือความเป็นจริง หมายความว่าธุรกิจยุคใหม่ๆ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าการรับผิดชอบต่อสังคมหรือการคืนสู่สังคมเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงอยู่ของธุรกิจในระยะยาวมันก็จะไปได้ยาก เพราะไม่เพียงแต่ผู้บริโภคเท่านั้นแต่คุณจะหาพนักงานที่ดีที่สุดมาทำงานกับคุณไม่ได้ คนรุ่นใหม่ไม่ใช่ว่าไม่มีความอดทนแต่บางทีเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินเขาแค่อยากมาหางานที่มีความหมาย พอเขาไปอยู่ในองค์กรเก่าๆ ที่มันทำไว้เพื่อเงินเพื่อการแข่งขันเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่  อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ภาคธุรกิจบางที่ต้องมองปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน แต่โอเคมันจะมีเด็กรุ่นใหม่ที่อ่อนแอ หรือไม่มีความมั่นคงอะไรก็ตามแต่อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมว่าธุรกิจระยะยาวมันจะไปไม่ได้เลยถ้าคุณปฏิเสธภาคสังคม ดังนั้นถ้าถามว่าภาคธุรกิจจะทำอย่างไร ก็ต้องรู้ตัวคุณเองก่อนว่าอยู่ในระดับไหน คุณอยากเป็นองค์กรแบบเก่าสร้างภาพอย่างเดียวหรือคุณรู้ว่าองค์กรที่คุณมีอยู่จะธุรกิจ 10 ล้านหรือ 1,000 ล้านของคุณมันทำให้โลกใบนี้ดีได้ด้วยสิ่งที่คุณทำ ตรงนั้นคุณจะเป็นคนตัดสินใจเองว่า คุณจะพาองค์กรไปทางไหน เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก็ได้ เป็นซีเอสอาร์ จนถึงทำให้พนักงานมีความสุข จนถึงชวนพนักงานมาทำบางอย่างให้ธุรกิจมันดีและโลกใบนี้มันดีด้วยมันมีหลายขั้นตอน มันยากไหมกับการที่จะทำให้ภาคธุรกิจปรับในแง่ของมุมมองหรือทัศนคติด้านความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ทั้งยากและง่าย เพราะมันเป็นจิตสำนึกของผู้ประกอบการนะ ต้องยอมรับว่าการแข่งขัน มันก็ดุเดือด ทั้งต้องรักษาต้นทุนทำให้ได้กำไร รักษาธุรกิจมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายมันก็อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาทำบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเลยเลือกวิธีที่ไม่ได้ดีที่สุด  แต่มันมีอีกวิธีในการทำธุรกิจแต่ผมเชื่อว่า ถ้าเขาทำทุกอย่างถูกต้อง ดีที่สุดต่อผู้บริโภคเขากลับจะพาตัวเองไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ต่างหาก กลุ่มเป้าหมายที่อยากได้ของดี อยากได้แบรนด์ที่นานๆ ไม่มีลูกค้าคนไหนอยากซื้อของกับนักธุรกิจที่หลอกลวงจริงไหม แต่ว่าสัดส่วนมันก็ยังต่างกัน ผมว่าแล้วแต่ว่าเขาจะเลือกเอง ว่าจะเด่นทางไหน มีเหมือนกันนะนักธุรกิจที่ดีที่ทำทุกอย่างดีจนเกินมาตรฐานแล้วขายของแพงเป็นบ้า แต่ก็ยังมีคนซื้อ มันแล้วแต่คนจะเลือก ผมทำโครงการอยู่โครงการหนึ่ง ชื่อว่า New Heart New World องค์กรผมยังเห็นชัดเพราะมันต้องขึ้นอยู่กับผู้นำองค์กรเขามองเห็นอะไร เห็นกำไรเป็นที่ตั้งแล้วไม่สนใจสิ่งอื่น หรือเห็นว่าถ้าบริษัทอยู่รอดแต่สังคมไม่รอด คุณต้องเลือกว่าคุณจะมองเห็นแบบไหน ถ้าคุณเลือกแต่ความอยู่รอดมันก็ไม่ผิดหรอกที่จะเลือกทางแบบนั้น แต่มันก็คับแคบแล้วระยะยาวคุณก็ไม่มีความสุขจนกว่าคุณจะเห็นว่าถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงได้คุณก็ต้องเลือกต้องเติมสิ่งใหม่ๆ ตรงนี้เป็นการตัดสินใจของผู้นำขององค์กรนะ คิดว่าเรื่องสิทธิผู้บริโภค มันจำเป็นกับบ้านเราอย่างไรผมว่าจำเป็นมากเลย และบางทีผมลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว บางทียิ่งตามการเติบโตของโลกออนไลน์ ทุกคนขึ้นมาทำอะไรขายกันได้เยอะแยะมากมายในออนไลน์แล้วสิ่งที่น่าตกใจมากคือวันนั้นผมเห็น คือผมเคยทำงานโฆษณามาก่อน เวลาทำโฆษณา เรื่องยาลดความอ้วนหรือผิวขาว กว่าโฆษณาจะผ่าน ผมส่งเรื่องไป อย. นานมาก คือมันห้ามพูดโอเวอร์เคลม วันนั้นผมเห็นโฆษณาบนยูทูป ผมรู้เลยว่าโฆษณาตัวนี้มันไม่ได้ผ่าน อย. มันพูดโอเวอร์เคลมน่าเกลียดมาก ซึ่งเขาทำได้เพราะเป็นเรื่องของยูทูปไม่ต้องส่ง อย. ผมมองว่าผู้บริโภคกำลังถูกข้อมูลใหม่ๆ ที่น่ากลัวมากเข้ามา ผมว่าความสำคัญของการเข้าถึง การรู้เท่าทันข้อมูล องค์กรที่ทำเรื่องพวกนี้สำคัญมาก เพราะมันไม่ควรจะให้ผู้บริโภคเป็นเด็กน้อยๆ เป็นลูกแกะ ให้ผู้ประกอบการมาบอกเสนอหรือชี้นำอะไรก็ได้  ความจริงมันต้องรู้  เช่นกันผู้บริโภคก็ต้องตื่นตัว ต้องมีวิจารณญาณ ต้องมีความรู้เท่าทันสื่อ Media Literacy (การรู้เท่าทันสื่อ) ซึ่งเรื่องเหล่านี้โซเชียลมีเดียก็มีส่วนให้คนเข้าใจเรื่องพวกนี้และแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เคยมีคนบอกว่าโซเชียลมีเดียนั้น ทำให้คนสุดท้ายแล้วมีเรื่องแย่ๆ เยอะในออนไลน์ก็จริง แต่มันทำให้คนฉลาดขึ้น คนที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันมันไม่ใช่ฝั่งเจ้าของสินค้าที่พูดสายตรงออกมาคือมันมีการพูดคุย แต่เราจะคุยแลกเปลี่ยนกันว่าอะไรมันคือความถูกต้อง ผมว่าตรงนี้มันจะทำให้ภาพรวมของการรู้เท่าทันน่าจะดีขึ้น และผมว่าสุดท้ายการทำงานลักษณะนี้มันจะเพิ่มพลังให้ผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ใช่ให้คนทำสินค้าแย่ๆ  มาเอาเปรียบเรา ผมว่าอันนี้สำคัญ พวกสื่อในรูปแบบต่างๆ เช่น Youtube หรือไวรัล ที่ในปัจจุบันมีอิทธิพลมากมองอย่างไร ควบคุมคงยาก โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ค โซเชียลมีเดียมันมีความเป็นธรรมชาติสูง บางเรื่องมันเร็วมากเป็นไฟลามทุ่ง ผมว่ายุคนี้ยิ่งน่าทำมากคือเรื่อง Media Literacy (การรู้เท่าทันสื่อ) ทั้งความเข้าใจในการรับสื่อ กฎกติการมารยาทที่พึงทำในโลกออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการทำออกมา ภาครัฐบางทีการใช้กฎหมายบังคับมันเป็นที่ปลายเหตุ ต้องสร้างจิตสำนึกของผู้ทำสื่อกับผู้บริโภคสื่อให้ได้ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน ถ้าทำได้นะเรื่องความรู้ความเข้าใจ มันไม่ใช่การไปประกาศบอกอะไรแต่มันต้องชี้ให้เห็นคุณและโทษหรือชี้ให้เห็นตัวอย่าง ผมว่าน่าจะมีการทำชุดข้อมูลพวกนี้และต้องยอมรับจริงๆ ว่าถ้าภูมิคุ้มกันของผู้รับสารไม่มีมากพอโอกาสที่จะถูกหลอกก็ง่ายมาก แล้วเราต้องเลือกเสพอะไรบ้าง ผมว่าคนที่อ่าน “ฉลาดซื้อ” เป็นคนที่ใส่ใจอยู่แล้วและมีความคิดที่จะเติมความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างดีอยู่แล้ว นอกจากรู้แล้วนั้นผมว่าอีกอย่างที่สำคัญคือการช่วยกันบอกต่อข้อมูล อย่างที่บอกข้อมูลเหล่านี้เราเป็นองค์กรทำด้วยงบประมาณมันไม่ได้เท่ากับองค์กรภาคเอกชนคือมันคนละระดับกันแต่น้ำหนักของข้อมูลเวลามันมาจากความจริง มาจากผู้บริโภคส่งถึงกันมันมีพลังมากกว่า ตรงนี้ถ้าเราจะทำให้ผู้ประกอบการมีจิตสำนึกมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ก็สำคัญและการรวมกันเพื่อที่จะแชร์สิ่งเหล่านี้ออกไปผมว่ามันเป็นพลังที่ดี ผมไม่เชื่อเรื่องการที่เราไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ประกอบการแต่เราเป็นส่วนหนึ่งที่มาคุยกันน่าจะดีกว่า   ไอแคร์ (iCARE) เป็นองค์กรสร้างสรรค์เพื่อสังคม นำโดย ธรากร กมลเปรมปิยะกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 เอาอะไหล่เดิมคืนมา

คงไม่มีใครคาดคิดว่าการนำรถยนต์จอดทิ้งไว้ที่ศูนย์บริการเพื่อซ่อมแซมแล้วจะโดนเปลี่ยนอะไหล่ไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเราควรจัดการปัญหานี้อย่างไร ลองไปดูกันคุณสมใจนำรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบสภาพรถและทำสีใหม่ โดยก่อนตกลงซ่อมได้มีการถ่ายรูปรอยขีดข่วนรอบคันไว้ด้วย พร้อมทำใบประเมินราคาส่งให้กับประกันภัย และทางศูนย์ฯ ได้นัดให้มาทำสีรถในสัปดาห์ถัดไป เมื่อถึงวันนัด ศูนย์ฯ แจ้งว่าสัปดาห์นี้คนคุมราคายังไม่เข้ามาทำงาน ทำให้ไม่สามารถทำสีรถในวันที่นัดกันไว้ได้ และบอกต่อว่า “หากคุณสมใจไม่ได้ใช้รถในช่วงนี้ก็สามารถจอดทิ้งไว้ที่ศูนย์ฯ ก่อนได้ น่าจะได้ทำสีภายในอาทิตย์ถัดไป” ด้านคุณสมใจเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงตกลงตามข้อเสนอดังกล่าวเมื่อถึงวันนัดครั้งที่ 2 หลังคุณสมใจได้พูดคุยกับฝ่ายประเมินราคาแล้วพบว่า เธอต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมและทำสีจำนวนมาก ทำให้เธอตัดสินใจยกเลิกการซ่อมทั้งหมดและขอรับรถคืน อย่างไรก็ตามเมื่อกลับถึงบ้าน คุณสมใจสังเกตว่าพวงมาลัยรถไม่เหมือนเดิม และเมื่อตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ก็พบว่าถูกเปลี่ยนหลายรายการ เธอจึงโทรศัพท์ไปสอบถามที่ศูนย์ฯ ว่ามีการเปลี่ยนอะไหล่ให้กับรถเธอหรือไม่ แต่ได้รับการปฏิเสธและเกิดการโต้เถียงกัน เนื่องจากเธอไม่เชื่อว่าอุปกรณ์ทั้งหมดคืออะไหล่เดิม เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้คุณสมใจจึงไปแจ้งความ และส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ แนะนำให้ผู้ร้องส่งเอกสารการตรวจสภาพรถตั้งแต่ครั้งแรกที่นำรถเข้าศูนย์ฯ เพื่อนำมาเป็นหลักฐานว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือมีความเสียหายใดเกิดขึ้นหรือไม่ พร้อมนัดให้มีการพูดคุยเจรจากับทางบริษัทรถยนต์ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องได้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับบริษัทเองโดยตรง โดยบริษัทปฏิเสธการเจรจา เพียงแค่ส่งเอกสารการตรวจสอบรถยนต์คันกล่าวมาให้ โดยยืนยันว่าหมายเลขตัวถังและหมายเลขเครื่องยนต์มีรหัสตรงกัน และชี้แจงว่าบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตรถยนต์คันดังกล่าวจริง ไม่มีการสับเปลี่ยนอะไหล่ตามที่ผู้ร้องแจ้งแต่อย่างใด ทั้งนี้ภายหลังการฟ้องร้องคดีก็พบว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการสับเปลี่ยนอะไหล่จริงสำหรับผู้ที่กำลังจะนำรถเข้าศูนย์ฯ ซ่อมหรือตรวจสภาพ ควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เช่น ใบรับรถ ระยะไมล์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้ดี ซึ่งอาจถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานก็ได้ ทั้งนี้หากพบว่าศูนย์ฯ ไม่สามารถตรวจสอบหรือซ่อมภายในระยะเวลาที่เราต้องการได้ เราสามารถเลือกไปศูนย์บริการอื่นแทนได้ทันที นอกจากนี้หากซ่อมเสร็จแล้วควรตรวจสอบสภาพรถให้ดีก่อนออกจากศูนย์บริการแห่งนั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 ระวังโดนหลอกขายปุ๋ยไร้คุณภาพ

ที่ผ่านมาเคยมีข่าวเกี่ยวกับการจำหน่ายปุ๋ยเคมีปลอมและไม่ได้มาตรฐานจำนวนมาก ซึ่งหากเกษตรกรหลงเชื่อซื้อปุ๋ยเหล่านั้นมาใช้ ย่อมส่งผลเสียต่อผลผลิตและสุขภาพของเกษตรกรรวมทั้งผู้บริโภคได้ ทำให้ภายหลังมีกฎหมายออกมาควบคุมอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามเราพบว่า ในบางพื้นที่ยังคงมีการจำหน่ายปุ๋ยไร้คุณภาพ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณชูชัยเป็นเกษตรกรชาวระนองร้องเรียนมาว่า มีตัวแทนของบริษัทแห่งหนึ่ง นำดินของชาวบ้านไปตรวจสอบและกลับมาแจ้งว่าดินเป็นกรด ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการซื้อแคลเซียมคาร์บอร์เนตมาปรับสภาพ ทำให้เขาและเกษตรกรคนอื่นๆ พากันสั่งซื้อปุ๋ยจากตัวแทนรายนี้หลายสิบกระสอบ รวมเป็นเงินหลายพันบาท โดยตกลงให้มีการชำระเมื่อได้รับสินค้า อย่างไรก็ตามหลังเห็นสภาพปุ๋ย คุณชูชัยเป็นเพียงคนเดียวที่ปฏิเสธการซื้อ เพราะพบว่าบนกระสอบมีเพียงชื่อยี่ห้อ “Call C” ระบุไว้เท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดของส่วนประกอบหรือชื่อผู้ผลิตเหมือนปุ๋ยยี่ห้ออื่นๆ ที่เคยใช้มา ซึ่งทำให้เขากังวลว่าปุ๋ยดังกล่าวอาจเป็นปุ๋ยปลอมและนำมาหลอกขายชาวบ้าน จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ แนะนำว่าผู้ร้องสามารถส่งตัวอย่างปุ๋ยไปตรวจสอบคุณภาพได้ที่ ฝ่ายปุ๋ยเคมี สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2579-5536 หรือโทรศัพท์แจ้ง ส่วนสารวัตรเกษตรที่เบอร์ 0-2940-5434 เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบปัญหาได้ ทั้งนี้สำหรับกระสอบปุ๋ยที่มีการระบุเพียงชื่อยี่ห้อ ถือว่าทำผิดตามพระราชบัญญัติปุ๋ย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้กระสอบปุ๋ยต้องมีฉลากภาษาไทย และต้องแสดงข้อความต่อไปนี้1. ชื่อทางการค้า และมีคำว่า ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีมาตรฐาน หรือปุ๋ยอินทรีย์เคมี แล้วแต่กรณี2. เครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายอื่นใดซึ่งแสดงที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุปุ๋ยเคมี3. ปริมาณธาตุอาหารรับรอง4. น้ำหนักสุทธิหรือขนาดบรรจุของปุ๋ยเคมีตามระบบเมตริก5. ชื่อผู้ผลิต และที่ตั้งสำนักงานและสถานที่ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้า6. ชื่อทางเคมีและปริมาณของสารเป็นพิษที่อยู่ในปุ๋ยเคมี7. ข้อความอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดให้มีในฉลากนอกจากนี้ตามมาตรา 30 ได้กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิตเพื่อการค้า ขาย หรือนำเข้าปุ๋ยดังต่อไปนี้ 1. ปุ๋ยปลอม2. ปุ๋ยเคมีผิดมาตรฐาน3. ปุ๋ยเคมีเสื่อมคุณภาพ เว้นแต่กรณีตามมาตรา 314. ปุ๋ยชีวภาพต่ำกว่าเกณฑ์ หรือปุ๋ยอินทรีย์ต่ำกว่าเกณฑ์5. ปุ๋ยที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียนไว้6. ปุ๋ยที่รัฐมนตรีสั่งเพิกถอนทะเบียน7. ปุ๋ยที่มีสารเป็นพิษเกินกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยหากพบว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษปรับและจำคุก ซึ่งสำหรับผู้กระทำความผิดผลิตปุ๋ยเคมีปลอมต้องระวางโทษจำคุก 5-15 ปี ปรับตั้งแต่ 200,000-2,000,000บาท หรือผลิตปุ๋ยเคมีผิดมาตรฐานที่กำหนด  ต้องระวางโทษจำคุก  2-5 ปี ปรับตั้งแต่ 80,000-200,000 บาท และสำหรับผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมีปลอมต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 120,000-400,000 บาท ส่วนผู้จำหน่ายปุ๋ยผิดมาตรฐานต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-3 ปี ปรับ 40,000-200,000 บาททั้งนี้สำหรับใครที่อยากได้ปุ๋ยคุณภาพ สามารถใช้หลักการเบื้องต้นในการเลือกซื้อได้ง่ายๆ เช่น- เลือกซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้โดยเฉพาะร้านที่มีสัญลักษณ์ Q-Shop ของกรมวิชาการเกษตร - ตรวจสอบว่ามีเลขทะเบียนของกรมวิชาการเกษตรหรือไม่- ควรเก็บใบเสร็จรับเงินจากร้านค้าไว้เสมอ เพราะหากพบปัญหาใดๆ จะสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าผู้จำหน่ายนั้นได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทางกับ “iTIC”

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งการเดินทางท่องเที่ยว เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมวางแผนหาแหล่งท่องเที่ยวในช่วงหยุดปีใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว แต่ในช่วงหยุดยาวแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องการเดินทาง การวางแผนเส้นทางการเดินทางเพื่อไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จึงมีความสำคัญเช่นกัน ถ้ามีปัญหาในเส้นทางการจราจรก็คงทำให้ทริปการท่องเที่ยวไม่สนุกนัก ผู้เขียนได้เจอแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่น่าสนใจในการให้ข้อมูลเส้นทางการเดินทางบนท้องถนนในประเทศไทย จัดทำโดยกรมการขนส่งทางบก และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า “iTIC” เมื่อเข้าไปในแอพพลิเคชั่นจะปรากฏภาพแผนที่และเส้นทางการจราจร โดยบริเวณมุมบนขวามือจะมีสัญลักษณ์ 4 อัน ได้แก่ สัญลักษณ์รูปคน สัญลักษณ์รูปกล้อง สัญลักษณ์รูปกรวยจราจร และสัญลักษณ์รูปไฟจราจร โดยแต่ละสัญลักษณ์จะมีรูปแบบการบอกรายละเอียดที่แตกต่างกันไปสัญลักษณ์รูปคน จะเป็นปุ่มสำหรับรายงานเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ว่าบริเวณใดมีอุบัติเหตุ มีการก่อสร้าง หรือมีปัญหาใดเกิดขึ้นสัญลักษณ์รูปกล้อง จะเป็นปุ่มที่จะแสดงสัญลักษณ์บนแผนที่ เพื่อบอกว่าจุดใดมีกล้องบ้าง นอกจากนี้ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นยังสามารถกดเข้าไปดูภาพของกล้องเพื่อให้ทราบสภาพการจราจรบนถนนบริเวณนั้นในเวลานั้นได้ทันทีสัญลักษณ์รูปกรวยจราจร จะเป็นปุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการรายงานอุบัติเหตุ บริเวณสิ่งก่อสร้าง หรือปัญหาต่างๆ โดยสัญลักษณ์จะแตกต่างกันออกไปตามที่มีผู้รายงานเข้ามายังแอพพลิเคชั่นนี้ รวมถึงข้อมูลจากทางผู้จัดทำแอพพลิเคชั่นเอง อย่างเช่น รูปเครื่องอัศเจรีย์(เครื่องหมายตกใจ) รูปคนกำลังก่อสร้าง รูปรถเสีย เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้สัญลักษณ์สุดท้ายคือ สัญลักษณ์รูปไฟจราจร เป็นการแสดงให้เห็นสภาพการจราจรบนท้องถนนตามเส้นทางต่างๆ ว่ามีสภาพการจราจรที่คล่องตัวหรือติดขัดมากเพียงใด โดยแอพพลิเคชั่นจะใช้สีในการแบ่งสภาพการจราจร อย่างเช่น สีเขียว สีส้ม และสีแดงอย่าลืมสำรวจเส้นทางและสภาพการจราจรก่อนออกเดินทางไปท่องเที่ยวกันนะคะ จะได้เที่ยวอย่างมีความสุข และไม่สะดุดกับการเดินทาง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 เสี่ยงอันตรายขณะลงรถเมล์

หลายคนที่ต้องโดยสารรถเมล์ อาจเคยเจอปัญหาเมื่อถึงป้ายที่ต้องการจะลงแล้วรถเมล์ไม่ยอมจอดรถให้สนิท ซึ่งสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากผู้โดยสารก้าวขาลงไม่ทันขณะที่รถเมล์ออกตัวไป ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ควรทำอย่างไร ลองไปดูกันคุณสุชาติและครอบครัวโดยสารรถเมล์สาย 81 จากต้นสายเชิงสะพานปิ่นเกล้า ไปลงป้ายก่อนถึงห้างสรรพสินค้าซีคอนบางแค อย่างไรก็ตามเมื่อถึงป้ายที่ต้องการก็พบว่ามีคนลงจำนวนมาก ซึ่งในขณะที่เขากำลังก้าวลงจากรถ คนขับรถเมล์ก็ออกรถไปเลย แม้คนที่อยู่บนรถจะช่วยกันบอกว่าคนยังลงไม่หมด แต่คนขับและกระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ได้สนใจและขับรถออกไป ซึ่งแม้ครั้งนี้เขาจะลงรถได้อย่างปลอดภัย แต่ก็กังวลว่าหากรถเมล์คันดังกล่าวยังทำพฤติกรรมเช่นนี้ต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ โดยอยากให้ทาง ขสมก. มีการตรวจสอบ ตักเตือนหรือลงโทษการกระทำของคนขับในกรณีดังกล่าวแนวทางการแก้ไขปัญหาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องเตรียมหลักฐานประกอบการร้องเรียน คือ ทะเบียนรถหรือชื่อคนขับ และวันเวลาการโดยสาร เพราะเป็นสิ่งที่สามารถติดตามเอาผิดได้ อย่างไรก็ตามผู้ร้องได้แจ้งกลับมาว่า เขาไม่ได้จำเลขทะเบียนรถหรือชื่อคนขับ เพียงแต่จำรูปพรรณของกระเป๋ารถเมล์และวันเวลาการเดินทางได้เท่านั้น ทำให้เมื่อศูนย์ฯ ช่วยดำเนินเรื่องร้องเรียนไปยัง ขสมก. ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ขายหวยชุดเกินราคา

แม้รัฐบาล คสช. จะประกาศห้ามขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนด คือ คู่ละ 80 บาท แต่ผู้บริโภคบางส่วนก็ยังพบปัญหาราคาสลากกินแบ่งแพงอยู่ดี โดยพ่อค้าแม่ค้าหัวใสบางรายมีการจำหน่ายหวยชุด หรือสลากกินแบ่งที่มีตัวเลขเดียวกันจำนวน 5 -10 ใบ แล้วนำไปบวกราคาเพิ่มอีก 50 – 200 บาท ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณสมพรเลือกซื้อหวยชุดจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ใน จ.อุบลราชธานี เมื่อสอบถามราคาก็พบว่าจำหน่ายอยู่ที่ชุดละ 450 บาท โดยมีสลากกินแบ่งทั้งหมด 5 ใบ ซึ่งเมื่อคิดราคาต่อฉบับแล้วอยู่ที่ 90 บาท เธอจึงลองไปดูร้านอื่น ก็พบว่าทุกร้านจำหน่ายสลากกินแบ่งชนิดดังกล่าวในราคาพอๆ กัน โดยราคาสลากในชุดจะมีตั้งแต่คู่ละหรือใบละ 90 -120 บาท ทำให้เธอเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดหวยชุดจึงต้องขายราคาสูงกว่าปกติ และเมื่อสอบถามคนขายก็ได้รับคำตอบแค่ว่า เจ้าอื่นก็ขายราคานี้กันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้คุณสมพรจึงรู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค จึงร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาจากกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กฎหมายกำหนด เพราะตามมาตรา 39 ของคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่ 11/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขที่เกิดจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล กำหนดให้จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาคู่ละ 80 บาทเท่านั้น ซึ่งหากพบว่าผู้ใดเสนอขาย หรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนดต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศูนย์ฯ จึงช่วยผู้ร้องทำหนังสือไปยังผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าดังกล่าว ภายหลังกองสลากได้รับเรื่องก็ประสานงานให้กองสลากประจำพื้นที่อุบลราชธานีเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งได้แจ้งกลับมาว่าไม่พบการจำหน่ายสลากเกินราคาตามที่ผู้ร้องแจ้งมา อย่างไรก็ตามหากผู้ร้องพบเห็นการจำหน่ายสลากกินแบ่งเกินราคาอีก สามารถร้องเรียนโดยตรงได้ที่สำนักงานกองสลากในพื้นที่ๆ อาศัยอยู่ หรือโทรศัพท์ไปยังศูนย์รับแจ้งเรื่องร้องทุกข์เบอร์ 02-345-1466 และสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถเดินทางหรือส่งจดหมายไปร้องเรียนได้ที่ สำนักงานสลากินแบ่งรัฐบาล: 359 ถ.นนทบุรี ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี 11000 เบอร์โทรศัพท์ 02-528-8888 หรือโทรสาร 02-528-9228

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 พัชราภา เวลเคอร์ “หมอลืมของไว้ในแก้มฉัน”

คุณพัชราภา เวลเคอร์ เข้ารับการผ่าตัดกรามจากคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยสาเหตุที่เธอเลือกใช้บริการคลินิกแห่งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียง ได้รับการรีวิวจากผู้ใช้ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินจากประเทศเยอรมันกลับบ้านเกิด เพื่อมาทำศัลยกรรมดังกล่าว หลังผ่าตัดเสร็จและมาพักฟื้นที่กรุงเทพฯ เธอพบว่าแผลที่ผ่าตัดเป็นหนองอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้จะมีอาการดีขึ้น แต่เธอยังปวดแผลจึงต้องย้อนกลับไปที่คลินิกเดิม เพื่อให้แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้ตรวจรักษา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และเมื่อเธอจำต้องเดินทางกลับประเทศเยอรมนี ก็พบว่าอาการยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แพทย์ที่เยอรมนี บอกกับเธอหลังการเอ็กซ์เรย์ว่า มีเศษกระดูกชิ้นเล็กติดค้างอยู่ตรงบริเวณที่แผลอักเสบ และเมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวออก ก็ยังพบผ้าก๊อซถูกทิ้งไว้ที่บริเวณแผลผ่าตัดอีกด้วย!ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้กับคุณ คุณจะทำอย่างไรฉลาดซื้อนัดพบกับคุณพัชราภา ซึ่งได้เล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตอนนั้นที่ไปทำเป็นเคส(คนไข้) สุดท้ายของวันนั้น เนื่องเพราะลูกค้าเขาเยอะมาก เราไปกับลูกสาวเพราะเขาก็อยากไปเหลาคางด้วยเช่นกัน กรณีของเรา คุณหมอที่คลินิกนั้นก็แนะนำให้เสริมคางด้วยเพื่อจะได้ดูสวยขึ้นอีก ซึ่งเราก็ตกลง แต่เราให้คิวลูกสาวทำก่อนเผื่อลูกเจ็บปวดแผลเราจะได้ดูแลได้ เราสองคนจึงเป็นลูกค้าสองคนสุดท้ายของวันนั้น ลูกสาวเข้าไปเวลาประมาณ 2 หรือ 3 ทุ่มไม่แน่ใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ออกมาบอกว่าของลูกสาวเราเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ทันได้เห็นว่าลูกเป็นอย่างไรเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราเข้าไปในห้องผ่าตัด ตอนนั้นจึงเห็นว่า ห้องผ่าขนาดมันเล็กนิดเดียว ตามความเข้าใจของเราเอง เราเข้าใจว่าเขาต้องให้เราเอ็กซเรย์หรือพิจารณารูปหน้าอะไรของเราก่อน แต่เขาไม่ได้เอ็กซเรย์แต่ให้ยาน่าจะเป็นยาสลบฉีดเข้าไปแล้วเราก็หลับไปเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนโดนทุบที่หน้าฝั่งซ้ายแรงมากประมาณ 5 ครั้งแล้วเหมือนยาสลบมันจะหมดฤทธิ์แล้วเราก็รู้สึกปวดขึ้นมาถึงหูเลย แล้วเขาก็บอกว่าเสร็จหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปนอนที่ห้องพักฟื้น ตอนนั้นก็มาสังเกตว่าทำไมถึงมีสำลีอยู่ในจมูก จังหวะเดียวกับมีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า “หมอต่อปลายจมูกให้หน่อยหนึ่ง” จมูกจะได้โด่งสวย ซึ่งอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง สักพักลูกสาวจึงเดินมาหาบอกว่า ตอนแม่อยู่ในห้องผ่าตัดมีคุณหมอเดินมาบอกว่าต่อปลายจมูกให้แม่นิดหนึ่งนะ เราเลยได้ปลายจมูกนี้มาโดยที่ไม่ได้ตกลงว่าให้ทำให้ กรณีของลูกสาวตอนก่อนทำเธอยังอายุไม่ครบ 20 ปี เราต้องเซ็นยินยอมให้ทำ แต่ต่อปลายจมูกให้เราทำไมแค่ไปบอกลูกสาวให้รับทราบ ไม่บอกเรา สุดท้ายคืนนั้นก็นอนพักฟื้นที่นั่น 1 คืน นอนยาวไปตั้งแต่ 4 ทุ่มคืนนั้นจนออกจากคลินิกตอนเย็นของอีกวัน ซึ่งก็ไม่ได้เจอคุณหมออีกเลยหลังจากผ่าเสร็จ ในตอนเย็นเราได้เจ้าของคลินิกขับรถมาส่งที่สนามบินเพราะตรงนั้นเรียกรถลำบากมันเข้าไปในซอยเป็นสวน พอเรากลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกปวดแผล ปวดมาก แล้วที่ครอบหน้าที่เขาให้มามันจะมีลักษณะเหมือนสเตย์เราก็ใช้ไม่ได้เลยเพราะปวดมาก บวมตลอด เราก็รู้สึกว่าข้างนี้(ข้างซ้าย) มันไม่มีหนอง แต่อีกข้างมันอักเสบ มันมีหนอง ปวดมากจนครบ 6 วันทนไม่ไหวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ที่พักในกรุงเทพฯ หมอที่นั่นเขาก็กดหนองออกให้แล้วก็ฉีดยาฆ่าเชื้อตลอดทุก 4 – 6 ชั่วโมง ก็อยู่ได้ 1 วัน 1 คืน อาการทุเลาลงแต่เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชนมันก็แพง เราก็โทรไปหาที่คลินิกที่เชียงรายบอกว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ ต้องนอนโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเยอะ เขาก็ทนเรารบเร้าไม่ไหวก็บอกว่าจะให้เราไปนอนที่เชียงรายให้คุณหมอดูอาการไหม เราก็รีบเลยพอเขายอมให้เราไปนอน ซึ่งเราก็โทรติดต่อเขาตลอดเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวก็หาย หนองหมดก็หายแล้วเขาก็ไม่ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ให้เราเลย หมดไปประมาณ 2 กว่าหมื่นบาท พอเรากลับไปหาหมอที่คลินิกที่ผ่าตัดศัลยกรรมให้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะดูแลเราเลย คือ คลินิกเปิดวันอาทิตย์แต่เราไปวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ไม่แน่ใจก็ต้องไปนอนรอจนถึงวันอาทิตย์ พอถึงวันอาทิตย์คลินิกเปิด 9 โมงเขาก็ยังไม่เรียกเราไปทำแผล ผู้ช่วยคุณหมอเดินมาบอกว่าวันนั้นมีผ่าตัด 30 เคสกว่าจะเรียกไปกดหนองก็บ่าย 3 โมงแล้ว เราต้องกลับมานอนต่อที่บ้านพักแล้วเขาถึงมาเรียกไปอีกทีตอนตี 4 เพื่อเจาะเอาหนองออกพร้อมกับบอกว่าหนองหมดก็หายแล้ว เราก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านในวันถัดไป ซึ่งตอนนั้นพอกดหนองออกไปมันก็หายปวดจริง แต่พอกลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีหนองมาอีกจนเราจำเป็นต้องเดินทางกลับไปเยอรมนี ไปได้แค่ 2 วัน มีหนองออกมาทุกชั่วโมงเลยจากรูที่เขาเจาะเอาหนองออกให้ เรากดหนองออกเองได้ทุกชั่วโมง ผ้ารัดหน้าหรือสเตย์ก็ยังใส่ไม่ได้เพราะแผลอักเสบตลอด จนต้องไปโรงพยาบาลที่เมืองที่เราอยู่ ซึ่งเขาเอาใจใส่เราดี ครั้งแรกที่ไปเอ็กซเรย์ไม่เจออะไรเลยเจอแต่รอยตัดกระดูก ซึ่งเขาบอกว่าตัดเยอะไป เขาก็พยายามหาสาเหตุให้รู้ให้ได้ว่าที่มันอักเสบเป็นเพราะอะไร ก็ต้องเข้าเครื่องสแกนแบบพิเศษ จึงเจอว่ามีเศษกระดูกชิ้นขนาดเท่าเมล็ดฟักทองได้ค้างอยู่ ขนาดแผลอักเสบที่วัดได้ประมาณ 13 ซม. หมอที่นั่นบอกว่า ต้องเอาเนื้อตรงนี้ออก ส่วนที่อักเสบต้องขูดเนื้อเน่าออกให้หมด เราก็ต้องให้แฟนเซ็นยินยอมให้ผ่าตัด ซึ่งที่นี่เขาก็เห็นว่ากระดูกข้างซ้ายมันหักเหมือนตรงมุมมันร้าวแล้วตรงช่วงระหว่างแก้มมันหัก เขาก็เลยให้ล็อคฟันไว้โดยใช้ลวดมัดล็อคไว้ทั้งบนและล่าง เป็นผลให้กินอะไรไม่ได้เลยต้องให้อาหารผ่านสายยางตลอด ต้องให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อทุก 4 ชั่วโมง นอนอยู่ถึง 3 คืนเพื่อรอให้อาการคงที่ พอได้ผ่าตัดเขาก็ตัดลวดออก แต่พอเสร็จก็โดนล็อคใหม่อีก ตอนนั้นผ่าเสร็จไปได้ 1 วันคุณหมอก็ถือกระป๋อง 1 ใบมาให้แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่เอาออกมา เป็นเศษกระดูกประมาณ 3 – 4 ชิ้นแล้วก็ผ้าก็อซ ที่มันอักเสบไม่หายก็เพราะว่า ผ้าก็อซที่มันปนอยู่กับกระดูกทำให้กดหนองเท่าไรก็ไม่หมดเพราะผ้ามันซับอยู่ คุณหมอที่รักษาบอกว่าจริงๆ แล้วไม่อยากให้เห็น แต่นี่เป็นสิ่งผิดพลาดที่เราได้รับมาเขาถึงอยากให้เห็นว่ามันคืออะไร ความรู้สึกตอนนั้น คือไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้นี่มันค้างอยู่ในหน้าเราเป็นเดือน ตั้งแต่ทำมา 7 กันยายน 2558 จนไปผ่าตัดที่เยอรมัน 23 ตุลาคม ระยะเวลาเป็นเดือน เราต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เยอรมันอีกเป็นอาทิตย์ถึงได้กลับบ้าน แต่ต้องใส่อุปกรณ์ที่ล็อคปากต่อไปอีก 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดไปดูเรื่อยๆ ตอนนั้นหน้าเราเริ่มยุบไม่อักเสบแล้ว แต่ความรู้สึกมันเหมือนเราไม่มีริมฝีปาก มันรู้สึกชาตลอด แล้วเวลาพูดเยอะหรือต้องขยับปากมากๆ ปากมันจะเบี้ยว เวลากินอะไรก็จะมีอาหารไหลย้อยลงมา เวลาพูดเยอะก็เหมือนบังคับไม่ได้เพราะมันไม่รู้สึก สังเกตได้ว่าหน้าตรงที่ผ่าตัดนั้นมันยุบไป เพราะเราโดนขูดเนื้อเสียออกไป พอเย็บแผลตรงนั้นมันก็ไม่มีเนื้อหน้าเลยดูเบี้ยว ก็รอมาเป็นปีเนื้อมันก็ไม่ขึ้นมา”นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับเธอเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2558 เมื่อฉลาดซื้อได้รับข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์สิทธิ ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเธอมาขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือ เราขอสัมภาษณ์เธอ เธอบอกยินดีที่จะเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมเราถามเธอต่อเรื่องอาการบาดเจ็บและผลจากรูปหน้าที่เสียหายว่ามีทางรักษาไหม เธอบอกว่า“เคยปรึกษาคุณหมอที่เยอรมันแค่เรื่องหน้าชาๆ เพราะเขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ได้มากเพราะปากเราชาอยู่แล้วเดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ และริมฝีปากกับคางส่วนนี้เส้นประสาทมันเยอะ ถ้าจะรักษาแผลเป็นตรงนั้นก็ต้องผ่าแถวๆ นั้นซึ่งมันก็เสี่ยง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้หน้าด้านซ้าย เวลาที่เอานิ้วกดลงไปมันยังรู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นไปถึงหูเลย เราก็คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ช่วงนั้นเขาต่อกระดูกให้คือเขาล็อคเพื่อให้กระดูกมันสมานกัน ซึ่งกระดูกมันสมานกันจริง แต่มันไม่ได้เข้ากับรูปหน้าเดิมเพราะอีกข้างที่มีผ้าก็อซค้างอยู่ ก็โดนตัดเหมือนกันแต่ว่าไม่เป็นอะไร ตอนนี้กลายเป็นว่าหน้าเรายุบข้างหนึ่ง ป่องข้างหนึ่ง และริมฝีปากก็ไม่มีความรู้สึกทุกวันนี้อาการยังเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นเลย เวลากินอาหารรสเผ็ด หวาน เค็มหรืออะไรก็ตาม มันก็จะชาอยู่แบบนี้แต่ว่าเราได้รสชาติอาหารจากลิ้นแต่ความเผ็ดจนแสบปากนั้นไม่มีความรู้สึก อาการเหมือนโดนหนังยางมารัดปากไว้ตลอดเวลา เวลากินอาหารแฟนก็ต้องคอยบอกเวลามีอะไรติดอยู่ที่ปากเพราะเราไม่รู้สึกว่ามันติดปากอยู่ ทำให้ตอนนี้ถ้ากินข้าวนอกบ้านเวลาตักอาหารเข้าปาก 1 คำก็เช็ดปาก 1 ครั้ง เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เสียความรู้สึกเพราะว่าผลข้างเคียงเยอะ เราเชื่อว่า เกิดจากหมอที่ผ่าตัดให้เรา รับเคสมากเกินไป เหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเราเป็นเคสสุดท้าย เป็นไปได้ว่า หมออาจจะอยากรีบกลับบ้านเลยไม่ได้ดูให้รอบคอบมันถึงมีผลข้างเคียงถึงขนาดนี้”การเรียกร้องสิทธิเธอได้พยายามหาทางที่จะให้คลินิกรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ผิดพลาด จึงได้ประสานไปที่เจ้าของคลินิก “ตอนแรกก็โทรไปคุยกับหลานของเจ้าของคลินิกว่า เราเป็นแบบนี้ๆ นะต้องเข้ารักษาใน รพ. นี้ๆ ค่าใช้จ่ายก็เยอะแล้วผ่ามาเจอแบบนี้ๆ นะ เราก็เล่าให้เขาฟังไปและบอกว่าอยากให้ทางคุณหมอรับผิดชอบ หลานเจ้าของคลินิกบอกว่าเขาตัดสินใจให้ไม่ได้ เราก็งงว่า ทำไมคุณไม่ไปถามกับหมอล่ะ ว่าจะรับผิดชอบอะไรเราไหม ตั้งแต่นั้นพอถามไปทีไรก็เงียบ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยมาพึ่งมูลนิธิฯ ว่าพอมีกฎหมายอะไรช่วยเราได้บ้าง” หลังจากผ่านการเจรจากับตัวแทนของคลินิกไปหนึ่งครั้ง ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “ตัวแทนเขาบอกว่า ช่วยค่ารักษาพยาบาลได้แค่ค่ารักษาตัวที่เยอรมัน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่นี่จิปาถะทั้งหลายเขาไม่พูดถึง และบอกว่ามารักษากับเขา เขาจะทำหน้าให้สวยที่สุด ทำให้ดีที่สุดแล้วแถมทำให้เพิ่มอีก 1 คนพาเพื่อนมาทำได้เลยแถมให้ 1 หน้าจะพาใครไปทำก็ได้ แล้วเราจะกล้าทำไหมในเมื่อปากเรายังชาอยู่เลยยังแก้ไขไม่ได้เลย คุณแก้ตรงนี้ให้เราได้ไหม” พอฉลาดซื้อถามถึงเรื่องแพทย์ที่ผ่าตัดให้ว่าเคยได้พูดคุยกันไหม คุณพัชราภาตอบว่า ไม่เจอเลย ทราบแต่ว่าปัจจุบันหมอคนนี้ก็ยังผ่าตัดอยู่เหมือนเดิม สำหรับการเจรจาครั้งที่สอง กำหนดไว้เป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ก็ขอเอาใจช่วยคุณพัชราภาให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 สุขพอที่พ่อสอน

“...การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย...”“...ความพอเพียงนี้ ก็แปลว่า ความพอประมาณและความมีเหตุผล พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ...”พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะนำมาบอกต่อผู้อ่านให้รู้และน้อมนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อนำมาเป็นคติเตือนใจให้มีความพอดีและเพียงพอนอกจากพระราชดำรัสที่ยกมาบางส่วนนี้แล้ว ผู้อ่านสามารถเข้าถึงพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่คัดตัดตอนมาเผยแพร่ลงในแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า “สุขพอที่พ่อสอน”แอพพลิเคชั่น “สุขพอที่พ่อสอน” นี้ เกิดขึ้นจากสำนักราชเลขาธิการ ร่วมกับ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทมาเผยแพร่ โดยพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทจะมีทั้งหมด 9 เรื่อง ได้แก่ การศึกษา การพัฒนา ความพอเพียง รู้จักสามัคคี ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ประโยชน์ส่วนรวม คุณธรรมจริยธรรม ความสุขและความปรารถนาดี และความยุติธรรมภายในแอพพลิเคชั่นจะมีอยู่ 5 หมวด ดังนี้ หมวดพระราชดำรัส หมวดพระบรมฉายาลักษณ์ หมวดเลือกข้อความ หมวดส่งต่อ และหมวดข้อมูล ซึ่งในทั้ง 5 หมวดนี้จะมีความเกี่ยวเนื่องกับ 9 เรื่องตามที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยจะมีความแตกต่างกันไป ก็คือ หมวดพระราชดำรัส จะเป็นหมวดที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถเลือกพระราชดำรัสที่ต้องการตามเรื่อง 9 เรื่อง หมวดนี้เป็นหมวดที่สำคัญ เนื่องจากผู้ใช้แอพพลิเคชั่นต้องเลือกเรื่องที่อยู่ภายในหมวดนี้ก่อน แล้วจึงไปอ่านพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทในหมวดอื่นที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องที่ได้เลือกไว้หมวดพระบรมฉายาลักษณ์ จะเป็นภาพพระกรณียกิจในอิริยาบถต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นเลือกโดยอิงจากภาพพระกรณียกิจเหล่านั้น สำหรับหมวดเลือกข้อความ จะแบ่งตามข้อความพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท เพื่อให้สะดวกในการหาพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ต้องการ หมวดส่งต่อ เป็นหมวดที่ใช้เมื่อผู้ใช้แอพพลิเคชั่นได้เข้าไปดูพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ต้องการภายในหมวดพระราชดำรัส หมวดพระบรมฉายาลักษณ์ และหมวดเลือกข้อความ โดยมีความต้องการที่จะเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊ค หรือส่งต่อไปยังเมล หรือต้องการบันทึกพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทนั้นไว้ ให้กดมาที่หมวดนี้ และหมวดสุดท้ายเป็นหมวดข้อมูล จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำแอพพลิเคชั่นนี้พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ภายในแอพพลิเคชั่นนี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยควรน้อมนำไปปฏิบัติกันโดยทั่วหน้า เพื่อให้การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นไปตามคำว่า “สุขพอที่พ่อสอน”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 ป้ายลดราคาปิดทับวันหมดอายุ

ความคุ้มค่าของสินค้าลดราคา สามารถวัดได้จากสินค้าที่ยังอยู่ในสภาพดี เพราะหากเราได้สินค้าที่เสื่อมสภาพหรือหมดอายุไปแล้วก็ไม่ต่างจากการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้ที่ไหวตัวทันก่อนเสียรู้ได้ของหมดอายุที่นำมาลดราคาคุณสมศักดิ์ต้องการซื้อไข่ไก่สดจากห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซึ่งมีโปรโมชั่นลดราคาจาก 89 บาท เหลือ 44.50 บาท อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจซื้อเขาได้พยายามหา ว/ด/ป หมดอายุที่ต้องระบุไว้ข้างกล่อง แต่ก็ไม่พบรายละเอียดดังกล่าว เขาจึงลองแกะป้ายลดราคาออกดูและพบว่าป้ายลดราคาได้ปิดทับวันหมดอายุไว้ ซึ่งภายหลังการตรวจสอบจึงทราบว่าไข่ไก่ดังกล่าวหมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 2 วันก่อน และเมื่อตรวจสอบกล่องอื่นๆ ก็พบว่ามีการติดป้ายราคาทับวันหมดอายุในลักษณะเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาจึงถ่ายรูปรายละเอียดต่างๆ เก็บไว้เป็นหลักฐาน และเขียนเล่าเหตุการณ์ลงสื่อสังคมออนไลน์ จากนั้นจึงมาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ เพื่อให้ช่วยทำข่าวและเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้บริโภคคนอื่นๆแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ช่วยผู้ร้องทำข่าวดังกล่าว และเผยแพร่ลงเว็บไซต์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (http://www.consumerthai.org) พร้อมแนะนำว่าหากผู้ร้องต้องการแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าวก็สามารถทำได้ เนื่องจากการที่ห้างสรรพสินค้ามีการแสดงป้ายราคา โดยปิดทับวันเดือนที่ผลิตหรือหมดอายุ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด อาจเข้าข่ายการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายมาตรา 343 โดยมีโทษจำคุก 5 ปีและปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องไม่ต้องการแจ้งความใดๆ เพียงแต่ต้องการแจ้งข่าวผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเตือนให้ผู้บริโภคคนอื่นมีความระมัดระวังในการเลือกซื้อสินค้าเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 กระแสต่างแดน

Shonky 2016ได้เวลาประกาศผลรางวัลผลิตภัณฑ์/บริการยอดแย่ประจำปี 2016 โดย CHOICE นิตยสารผู้บริโภคของออสเตรเลียกันแล้ว มาดูกันว่ามีใครติดบัญชีดำบ้าง• นม Camel Milk Victoria ติดโผเพราะคำกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง(และผิดกฎหมาย) คนออสซี่กัดฟันซื้อนมยี่ห้อนี้ในราคาลิตรละ 21 เหรียญ(ประมาณ 560 บาท) เพราะเป็นนมที่เชฟชื่อดังและรายการ Master Chef แนะนำ ... ใครจะไม่อยากจ่ายเพิ่มให้กับนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่านมชนิดอื่นๆ ดื่มแล้วระบบภูมิคุ้มกันจะแข็งแรงขึ้น และยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบาหวาน วัณโรค ฯลฯ• มันฝรั่งทอดพริงเกิลส์ Pringles ที่ “ลดราคา” ลงเมื่อเดือนมิถุนายน แต่ CHOICE พบว่าความจริงแล้วน้าหนวดเขาขึ้นราคาจากเดิมร้อยละ 9 ด้วยวิธีลดขนาดกระป๋องและขนาดชิ้นมันฝรั่งลง แต่ก็ชดเชยด้วยการเพิ่มปริมาณไขมันอิ่มตัวให้ถึงร้อยละ 60 เชียวนะ น้าหนวดบอกว่าไม่ได้ขึ้นราคามา 4 ปีแล้ว ... แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคของขนมขบเคี้ยวและขนมหวานเขาเพิ่มขึ้นแค่ร้อยละ 1.3 เองนะคุณน้า• เครื่องดื่มไมโล ที่ประทับตราความเป็นมิตรต่อสุขภาพ (Healthy Star Rating) ไว้ที่ 4.5 ดาวโดยใช้การคำนวณแบบสุดล้ำในสามโลก ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบร้อยละ 46 ได้คะแนนดีขนาดนั้นได้อย่างไร เนสเล่เขาคำนวณจากการชงไมโลด้วยนมพร่องมันเนยยังไงล่ะ ความจริงแล้วมีเพียงร้อยละ 13 ของผู้บริโภคออสซี่ที่ใช้นมพร่องมันเนยชงไมโล ร้อยละ 55 นิยมชงกับนมสดธรรมดา ซึ่งเครื่องดื่มที่เตรียมแบบนี้จะได้เรตแค่ 2.5 ดาวเท่านั้น• Samsung Note 7 ... ซึ่งทุกท่านคงทราบว่าบริษัทได้ประกาศหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวลงตลาดออสเตรเลียไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50,000 เครื่อง ปีที่แล้วซัมซุงก็ประกาศเรียกคืนเครื่องซักผ้าฝาบนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ไปกว่า 144,000 เครื่องด้วยเช่นกัน หลังจากพยายามปกปิดปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นหลายครั้ง• บัตรเครดิต American Express โฆษณาว่าไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ CHOICE ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ร้านค้าจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทบัตรเครดิตเสมอ และ Amex ก็เป็นเจ้าที่คิดค่าธรรมเนียมสูงกว่า Master หรือ VISA ถึงสองเท่าด้วย ถ้าร้านไม่สามารถเรียกเก็บจากผู้ซื้อได้เขาก็อาจจะเพิ่มราคาสินค้าในร้าน คราวนี้ก็ซื้อของแพงขึ้นกันหมดทั้งลูกค้าที่จ่ายเงินสดและที่ใช้บัตรเครดิตเจ้าอื่น• เว็บไซต์ www.commoncents.com.au ของบริษัทรับจำนำ Cash Converters ที่ให้คำปรึกษาเรื่องการเงินและการออม ได้รางวัลนักบุญจอมปลอมจาก CHOICE ไปเลย เพราะนอกจาก “คำแนะนำดีๆ เรื่องการใช้เงิน” แล้วคุณยังจะได้เป็นลูกหนี้ของ Cash Converters ด้วยค่าแรกเข้าร้อยละ 20 บวกค่าธรรมเนียมร้อยละ 4 ต่อเดือน เอาเป็นว่าถ้ากู้เขามา 2,000 เหรียญ เป็นเวลา 1 ปี คุณต้องจ่ายคืนถึง 3,360 เหรียญ เท่ากับคุณจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 68 … คุณพระ!• อากาศอัดกระป๋อง Green and Clean ที่เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องมลพิษในอากาศ อากาศบริสุทธิ์ในกระป๋องนี้ขายในราคาโหลละ 246 เหรียญ (ประมาณ 6,600 บาท) แต่เราต้องสูดอากาศที่ว่านี้มากแค่ไหน คนทั่วไปในขณะพักจะต้องการอากาศประมาณ 5 ถึง 8 ลิตร ต่อนาที แล้วอากาศอัดแค่หนึ่งกระป๋องจะช่วยอะไรได้ ... โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่หายใจวันละ 20,160 ครั้ง ลองคิดเล่นๆ หากหนึ่งกระป๋องใช้ได้ 255 ลมหายใจ (ตามโฆษณา) เราจะต้องใช้กี่กระป๋อง ... ผลลัพธ์อาจทำให้คุณหายใจไม่ออก• The Medical Weightloss Institute ขายฝัน เอ้ย! ขายโปรแกรมที่อ้างว่าช่วยให้ลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย “สถาบัน” นี้ใช้วิธีตรวจเลือดก่อนการรักษาด้วยฮอร์โมนและการควบคุมอาหาร และเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ลูกค้ารายหนึ่งลดน้ำหนักไป 2 กิโลกรัมในเดือนแรก เธอจ่ายไป 4,400 เหรียญ (โปรโมชั่นลด 50%) สำหรับยาที่ทานแล้วคลื่นไส้ การให้คำปรึกษาสัปดาห์ละครั้ง และเมนูอาหาร 2 หน้ากระดาษอีก รวมจ่ายไป 5,420 เหรียญสำหรับโปรแกรม 35 สัปดาห์ แต่เมื่อเธอขอพบแพทย์เพราะทานยาแล้วคลื่นไส้ สถาบันบอกให้เธอไปพบแพทย์ประจำของเธอเอง ... ใกล้ชิดจริงๆ• ผลิตภัณฑ์ Vanish Preen Powerpowder ประกาศตนว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะปฏิวัติการทำความสะอาดพรมด้วยความสามารถในการกำจัดคราบที่ดีขึ้นถึง 5 เท่า แต่การทดสอบของ CHOICE พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ราคาขวดละ 14.70 เหรียญ (395 บาท) กลับมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจากไวน์ น้ำมัน ดิน ซอส และกาแฟ น้อยกว่าน้ำเปล่าด้วยซ้ำ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 เรื่องทดสอบ อะฟลาท็อกซิน ในกราโนล่าและมูสลี

อะฟลาท็อกซิน ในกราโนล่าและมูสลีกราโนล่าและมูสลี่ (Granola, Muesli) ถือเป็นอาหารเช้ายอดนิยมในหมู่คนรักสุขภาพ เพราะประกอบไปด้วยธัญพืชหลากชนิด เช่น ข้าวโอ๊ต อัลมอนด์ หรือผลไม้แห้งต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามด้วยส่วนผสมดังกล่าว อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้เช่นกัน หากมีการปนเปื้อนของสารพิษ อะฟลาท็อกซินอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) เป็นสารพิษชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นจากเชื้อรา และมักปนเปื้อนอยู่ในอาหารจำพวกแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เช่น แป้งข้าวโอ๊ต  แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวโพด รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด นอกจากนี้ยังพบปนเปื้อนอยู่ในอาหารแห้ง เช่น ผัก ผลไม้อบแห้ง ปลาแห้ง กุ้งแห้ง งาหรือเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งหากเรารับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารดังกล่าวในปริมาณมากหรือเป็นประจำ สามารถส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเดิน อาเจียนหรือมะเร็งตับได้ หลายประเทศจึงมีการกำหนดปริมาณการปนเปื้อนของสารดังกล่าวในอาหาร ซึ่งในประเทศไทยกำหนดให้ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 (พ.ศ.2529)ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังสารดังกล่าว ฉลาดซื้อจึงได้สุ่มทดสอบสารอะฟลาท็อกซิน ในกราโนล่าและมูสลี จำนวน 14 ยี่ห้อยอดนิยม (หลังจากฉบับที่แล้วเราเคยเสนอผลทดสอบสารดังกล่าวในถั่วลิสงไป) รวมทั้งทดสอบปริมาณน้ำตาล ใยอาหาร และพลังงานที่จะได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโภคจากแต่ละยี่ห้อ ซึ่งผลทดสอบจะเป็นอย่างไร เราลองไปดูกันเลยสรุปผลการทดสอบจากตัวอย่างกราโนล่าและมูสลี่ที่นำมาทดสอบทั้งหมด 14 ตัวอย่างพบว่าทุกยี่ห้อไม่พบการปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซินมี 2 ยี่ห้อที่ไม่แสดงฉลากโภชนาการ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลทางโภชนาการได้ ได้แก่ ยี่ห้อ Diamond Grains (ไดมอนด์ เกรนส์) และ My Choice (มายชอยส์) อย่างไรก็ตามสำหรับตัวอย่างที่เหลือ มี 5 ยี่ห้อที่แสดงฉลากโภชนาการภาษาไทย และอีก 7 ยี่ห้อที่แสดงฉลากโภชนาการภาษาต่างประเทศ ซึ่งพบว่า- ยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยที่สุด คือ McGarrett (แม็กกาเร็ต) มีปริมาณน้ำตาล 6 กรัม/หนึ่งหน่วยบริโภค (33 กรัม) และยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด คือยี่ห้อ Hahne (ฮาทเน่) มีปริมาณน้ำตาล 22.4 กรัม/หนึ่งหน่วยบริโภค (100 กรัม)- ยี่ห้อที่มีปริมาณใยอาหารมากที่สุด คือ Tilo's (ทิโลส์) 9.6 กรัม/หนึ่งหน่วยบริโภค (100 กรัม) และยี่ห้อที่มีปริมาณใยอาหารน้อยที่สุด คือ McGarrett (แม็กกาเร็ต), Nestlé (เนสท์เล่) และ Kellogg’s (เคลล็อกส์) มีปริมาณใยอาหาร 2 กรัม/หนึ่งหน่วยบริโภค- ยีห้อที่ให้พลังงานน้อยที่สุด คือ ยี่ห้อ McGarrett (แม็กกาเร็ต) ให้พลังงานทั้งหมด 130 กิโลแคลอรี/หนึ่งหน่วยบริโภค และยี่ห้อที่ให้พลังงานมากที่สุด คือ ยี่ห้อ Sanitarium (แซนนิทาเรี่ยม) 657กิโลแคลอรี/หนึ่งหน่วยบริโภค (45 กรัม)ข้อสังเกตการแสดงฉลากโภชนาการ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182) พ.ศ. 2541 เรื่องฉลากโภชนาการ กำหนดให้อาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ มี 4 ประเภท คือ 1.อาหารที่มีการกล่าวอ้างทางโภชนาการ 2.อาหารที่มีการใช้คุณค่าในการส่งเสริมการขาย 3.อาหารที่ระบุกลุ่มผู้บริโภคในการส่งเสริมการขาย และ 4.อาหารอื่นตามที่สำนักคณะกรรมการอาหารและยากำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาหารทั้งนี้สำหรับข้อ 2.อาหารที่มีการใช้คุณค่าในการส่งเสริมการขาย หมายถึง อาหารที่มีการนำข้อมูลเกี่ยวกับคุณประโยชน์หรือหน้าที่ของตัวผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบหรือสารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดของผลิตภัณฑ์ที่มีต่อร่างกายหรือสุขภาพ มาใช้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการขาย การแสดงฉลากโภชนาการจะต้องแสดงข้อความภาษาไทย แต่จะมีภาษาต่างประเทศด้วยก็ได้ โดยจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ทำให้อาหารประเภทกราโนล่าและมูสลี่ที่ส่วนใหญ่โฆษณาว่ามีใยอาหารสูง และมีส่วนผสมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อาจเข้าข่ายที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้บริโภคในการเปรียบเทียบ เลือกซื้อและบริโภคอาหารตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกายและสุขภาพ อาหารประเภทนี้ ไม่ใช่อาหารพลังงานต่ำเสมอไป เพราะจากตัวอย่างที่นำมาทดสอบ พบว่า บางยี่ห้อให้พลังงานสูงถึง 657 กิโลแคลอรี/หนึ่งหน่วยบริโภค เทียบเท่ากับการบริโภคข้าวผัดกะเพราหมูกรอบ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 650 กิโลแคลอรี่ อย่างไรก็ตามหากเทียบกับขนมไทยอย่างกระยาสารท ที่มีส่วนผสมของธัญพืชเช่นกัน พบว่าในกระยาสารท 1x3 นิ้ว ให้พลังงาน 210 กิโลแคลอรี่ ซึ่งให้พลังงานมากกว่าตัวอย่างกราโนล่าและมูสลี่ที่นำมาทดสอบส่วนใหญ่ เนื่องจากมีส่วนผสมของกะทิและน้ำตาลมากกว่ากราโนล่าและมูสลี่ มีความคล้ายกันในส่วนผสมที่มาจากธัญพืชและผลไม้อบแห้ง แต่มีความแตกต่างกันตรงที่กราโนล่าจะเพิ่มส่วนผสมอย่างน้ำผึ้ง ไซรัป น้ำตาลหรือช็อกโกแลตเข้าไป เพื่อทำให้รสชาติหวานและรับประทานได้ง่ายขึ้น ทำให้มีแคลอรีสูงกว่ามูสลี่ที่ไม่เน้นการปรุงแต่ง ผู้บริโภคจึงควรเลือกประเภทและตรวจสอบฉลากโภชนาการก่อนนำมาประทาน เพื่อให้ได้คุณประโยชน์อย่างที่ต้องการ เรื่องน่ารู้เล็กน้อยเกี่ยวกับกราโนล่าและมูสลี่กราโนลาและมูสลี่ อยู่ในประเภทซีเรียล (cereal) สำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งได้จากการแปรรูปธัญพืช ทำให้มีคาร์โบไฮเดรตคล้ายกลุ่มขนมปัง และมีวิตามินรวมทั้งใยอาหารจากถั่วหรือผลไม้แห้งอื่นๆ ที่ผสมเพิ่มลงไป ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เหมือนกับการรับประทานอาหารชนิดอื่น อย่างไรก็ตามเราควรรับประทานในสัดส่วนที่พอเหมาะ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งปริมาณแคลอรีของพลังงานจากการกินอาหารที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วันคือ 1,600 – 2,000 กิโลแคลอรีทั้งนี้ด้านการเติบโตของตลาดซีเรียลสำหรับผู้ใหญ่ในประเทศไทยปีที่ผ่านมา พบว่า มีมูลค่า 784 ล้านบาท โดยเติบโตขึ้นทุกปีเฉลี่ยร้อยละ 10.8 ต่อปี เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว และอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งผู้นำทางการตลาดมี 2 ราย คือ บริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด ครองส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 43 และบริษัท เคลล็อก (ประเทศไทย) จำกัด ครองส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 33แหล่งข้อมูลอ้างอิง: http://fic.nfi.or.th/MarketOverviewDomesticDetail.php?id=85

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า500 Point

ฉบับที่ 186 จ่ายจริงมากกว่าราคาที่แสดงไว้

สินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ มักมีราคาติดไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่าหากต้องการซื้อสินค้าดังกล่าว ต้องจ่ายเงินเท่าไร อย่างไรก็ตามหากเรานำสินค้านั้นๆ ไปจ่ายเงินที่พนักงานคิดเงิน แล้วพบว่าราคาไม่ตรงตามป้าย สิ่งที่เราควรทำคือ ปกป้องสิทธิของตัวเอง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณจอห์นเป็นชาวต่างชาติที่มักซื้อสินค้าจากร้านค้าวิลล่า มาร์เก็ต (Villa market) เป็นประจำ เพราะร้านดังกล่าวจำหน่ายสินค้าต่างๆ มากมาย ทั้งของสด ของแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภคในครัวเรือน รวมทั้งสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ วันหนึ่ง ภายหลังจากการเลือกซื้อขนมคบเขี้ยวยี่ห้อหนึ่งเป็นจำนวนมาก ซึ่งป้ายแสดงราคาว่า 49 บาทต่อถุง แต่เมื่อนำไปชำระเงินกลับพบว่ากลายเป็น 59 บาทต่อถุง คุณจอห์นไม่แน่ใจว่าตัวเองดูราคาผิดไปหรือไม่ ดังนั้นเมื่อชำระเงินเสร็จเรียบร้อย เขาจึงกลับไปถ่ายรูปราคาสินค้าจากชั้นวางขายเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมสอบถามไปกับผู้จัดการสาขา ผู้จัดการสาขาได้ชี้แจงกลับมาว่าราคา 49 บาทเป็นโปรโมชั่นเก่า อย่างไรก็ตามเมื่อออกมาจากร้านเขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปสอบถามที่ร้านดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งพบว่าคำตอบกลับไม่เหมือนเดิม ครั้งนี้ผู้จัดการร้านคนเดิมกลับแจ้งว่า ราคา 49 บาทเป็นโปรโมชั่นล่าสุดสำหรับวันนี้ดังนั้นคุณจอห์นจึงตัดสินใจแวะไปร้านค้าดังกล่าว ในอีกสาขาหนึ่งและซื้อสินค้าชนิดเดียวกัน ซึ่งพบว่าบนชั้นวางขายก็ติดราคาไว้ที่ 49 บาท แต่เมื่อนำมาชำระเงินก็ถูกคิดราคา 59 บาทเช่นเดิม เขาจึงเชื่อว่าการกระทำของร้านค้าดังกล่าว ถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค จึงส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ได้ส่งเอกสารการร้องเรียนไปยังกรมการค้าภายใน เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของร้านค้า โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายกับร้านค้า และขอให้แจ้งผลการดำเนินการกลับมายังศูนย์ฯ โดยสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน คือ ใบเสร็จรับเงิน และรูปถ่ายราคาสินค้าจากชั้นวางขาย ทำให้ภายหลังได้รับเรื่อง กรมการค้าภายในจึงดำเนินการสั่งปรับ นิติบุคคลของร้านค้า วิลล่า มาร์เก็ต 3,000 บาท และผู้จัดการร้านทั้ง 2 สาขา คนละ 1,500 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลนำจับให้ผู้ร้องอีก ร้อยละ 25 ของราคาปรับ คือ 1,500 บาท 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 อัลตราบุ้ค

ฉลาดซื้อฉบับส่งท้ายปีเก่าขอนำเสนอผลการทดสอบอัลตร้าบุ้ค ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศทำไว้ เผื่อสมาชิกท่านใดเบื่อการหิ้วของหนักแต่ยังต้องการใช้งานแบบโน๊ตบุ้ค อัลตร้าบุ้คก็เป็นทางเลือกที่เข้าท่า เพียงแต่ราคามันอาจจะไม่เบานัก คราวนี้เรามีมานำเสนอ 16 รุ่น (ที่ได้คะแนนเกิน 50) จากค่าย Acer Apple Asus Dell Lenovo และ Toshiba ที่สนนราคาระหว่าง 7,690 ถึง 93,450 บาท ทีมทดสอบแบ่งการให้คะแนนจาก 100 คะแนนเต็มออกเป็น 7 ด้าน ดังนี้: แบตเตอรี่ (30 คะแนน) ประสิทธิภาพ (20 คะแนน) ความสะดวก (20 คะแนน) ความหลากหลายในการใช้งาน (10 คะแนน) จอภาพ (10 คะแนน) เสียง (5 คะแนน) และการประกอบ (5 คะแนน) รุ่นที่ได้คะแนนสูงที่สุดในการทดสอบรอบนี้ Apple Macbook Air ตามด้วย Toshiba Protege Z30 และ Toshiba Satellite Z30 รายละเอียดคะแนนในด้านต่างๆ และคะแนนของอีก 13 รุ่น ติดตามได้ในหน้าถัดไป                                      

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 98 โปรแกรมไหนให้ความมั่นใจคุณได้มากกว่า

กลับมาอีกครั้งกับผลทดสอบโปรแกรมรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ให้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ท จากองค์กรทดสอบสากล (ICRT) เจ้าเก่าที่เราเป็นสมาชิกอยู่ การทดสอบครั้งนี้มีโปรแกรม (เวอร์ชั่นปี 2009) ทั้งหมด 15 โปรแกรมด้วยกัน ที่มีราคาตั้งแต่ 1,300 ถึง 3,400 บาท ประเด็นทดสอบ1. ประสิทธิภาพในการป้องกันการถูกเจาะข้อมูล (Firewall)2. ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสและสปายแวร์ 3. ความสะดวกในการลงโปรแกรม 4. ความสะดวกในการใช้งาน   ข้อสรุปจากการทดสอบ- เรายังไม่พบว่ามีโปรแกรมใดได้ 5 ดาว ในทุกๆหัวข้อที่ทดสอบ- ยกเว้นในเรื่องของ การป้องกันการถูกเจาะข้อมูลที่ที่ได้ 5 ดาว ไป 2 โปรแกรมคือ Gdata และ Bitdefender- 5 อันดับแรกของโปรแกรมที่ได้คะแนนสูงสุดได้แก่ Gdata Bitdefender Kaspersky Avira และ F-secure สำหรับคะแนนโดยละเอียดในแต่ละด้าน สามารถดูได้จากตารางต่อไปนี้ โปรแกรม เวอร์ชั่น คะแนนรวม ป้องกันการถูกเจาะข้อมูล (Firewall) การป้องกันไวรัสและสปายแวร์ ความสะดวกในการลงโปรแกรม ความสะดวกในการใช้งาน ราคา*   Gdata Internet Security 2009 4 5 4 4 4 1,600 Bitdefender Internet Security 2009 4 5 3 4 4 1,300 Kaspersky Internet Security 2009 4 4 3 4 4 2,200 Avira Premium Security Suite 4 4 3 3 4 1,800 F-secure Internet Security 2009 4 3 3 4 4 3,200 McAfee Internet Security Suite with Site Advisor 2009 3 4 3 4 4 2,900 Panda Internet Security 2009 3 4 3 4 4 3,200 Bullguard Internet Security 8.5 3 4 3 3 4 2,500 Symantec Norton Internet Security 2009 3 3 3 3 4 3,400 Checkpoint ZoneAlarm Internet Security Suite 2009 3 3 3 4 4 1,700 Trend micro Internet Security 2009 3 4 2 4 4 2,900 Agnitum Outpost Security Suite Pro 2009 3 5 2 4 4 2,700 Avg Technologies Security Suite 3 4 2 4 4 2,300 Steganos Internet Security 2009 3 4 2 4 4 1,700 CA Internet Security Suite Plus 2009 2 3 2 4 3 2,800 หมายเหตุ ราคาที่แจ้งนั้นเป็นราคาที่สำรวจจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ก่อนตัดสินใจซื้อ สมาชิกควรตรวจสอบราคาอีกครั้งหนึ่ง และอย่าลืมสอบถามผู้ขายด้วยว่าเราสามารถนำไปลงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้กี่เครื่อง (บางเจ้าอาจให้ลงได้ถึง 5 เครื่อง)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 169 รู้สภาพการจราจรบนทางด่วน

ต้องยอมรับว่าคนที่ใช้ชีวิตประจำวันในกรุงเทพมหานคร ต้องเคยใช้บริการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือทางด่วน แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรถยนต์ส่วนตัว และคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ตาม แต่ก็ต้องมีสักครั้งที่มีโอกาสได้ใช้บริการรถแท็กซี่ เพื่อเดินทางจากที่หนึ่งไปยังจุดหมายอีกที่หนึ่ง โดยใช้ทางด่วนเป็นตัวเชื่อมระยะทางเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วขึ้น จากการที่ได้ใช้ทางด่วนเป็นประจำ ทำให้รู้ว่าในบางจุดบางช่วงเวลาคนใช้บริการทางด่วนมักจะเจอกับปัญหาทางด่วนที่มีการจราจรไม่ด่วน  เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหานี้ ทำให้สงสัยว่าจะมีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยบอกให้ได้ว่าควรเลือกใช้ทางด่วนในขณะนั้นหรือไม่ หรือควรใช้ทางธรรมดาดีกว่ากัน หรือจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมากน้อยแค่ไหน และรถติดเพียงใด มีแอพพลิเคชั่นที่ผู้เขียนอยากแนะนำมีอยู่ 2 ตัวเกี่ยวกับทางด่วน ซึ่งมีชื่อเดียวกันว่า “EXAT  ITS” โดยความสามารถใน 2 แอพพลิเคชั่นนี้จะมีความแตกต่างกัน และสามารถใช้ควบคู่กันตามความต้องการของผู้ใช้ได้ และถูกพัฒนาจากคนละหน่วยงาน แอพพลิเคชั่นอันแรก จะบอกเกี่ยวกับสภาพการจราจรบนทางด่วนในภาพรวม ซึ่งสามารถเห็นหน้าจอเดียว มีแผนที่อัจฉริยะสำหรับนำทางจากจุดที่ยืนเพื่อเดินทางไปยังด่านเก็บเงินที่ใกล้ที่สุดได้ และสามารถค้นทางเส้นทางบนทางด่วนได้ด้วย ในแผนที่อัจฉริยะผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้อะไรปรากฏบนแผนที่อัจฉริยะบ้าง อย่างเช่น ป้ายจราจรอัจฉริยะ,  อุบัติเหตุ ,กล้อง CCTV,  ด่านเก็บค่าผ่านทาง,  สถานีตำรวจทางด่วน,  จุดกลับรถในทางพิเศษ และจุดพักรถในทางพิเศษ  โดยสามารถเลือกได้ทั้งหมด หรือเลือกเพียงอันใดอันหนึ่งก็ได้  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมในการรายงานสถานการณ์หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางด่วน พร้อมทั้งได้มีการบอกข้อมูลเกี่ยวกับบัตร easy pass และช่วยรวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินให้ผู้ที่ใช้แอพพลิเคชั่นนี้ด้วย แอพพลิเคชั่นอันที่สอง เป็นแอพพลิเคชั่นที่ลงรายละเอียดบริเวณด่านเก็บเงินแต่ละด่าน ว่ามีเส้นทางการเดินทางเป็นอย่างไร และมีเส้นทางบอกถึงสภาพการจราจรให้ผู้ใช้ทางด่วนทราบได้ ทั้งนี้ยังสามารถค้นทางเส้นทางบนทางด่วนได้เหมือนกับแอพพลิเคชั่นอันแรก แต่มีข้อแตกต่างตรงแอพพลิเคชั่นนี้จะคำนวณเวลาในการเดินทางจากด่านทางด่วนหนึ่งไปยังอีกด่านทางด่วนหนึ่งได้ด้วย อย่างน้อยแอพพลิเคชั่นนี้ก็น่าจะช่วยให้ผู้เดินทางและใช้บริการทางพิเศษรู้ว่าสภาพการจราจรบนทางด่วนเป็นอย่างไร รู้ว่าต้องขึ้นทางด่วนที่ด่านบริเวณใดที่ใกล้ที่สุด และรู้ทิศทางการเดินทางที่ชัดเจน แอพพลิเคชั่น “EXAT  ITS”  อาจจะช่วยเรื่องการตัดสินใจในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้ ลองใช้ดูสิคะ...

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 เทียบตารางเวลารถไฟไทยบนปลายนิ้ว

ฉึกกะฉักๆ  ปู๊นๆ เสียงนี้เป็นที่คุ้นเคยกันทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเด็กเล็กจนไปถึงผู้ใหญ่  เสียง “ฉึกกะฉักๆ  ปู๊นๆ”  ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของรถไฟเหล็กไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง  และในตำราเรียนในช่วงวัยเด็ก  ทุกคนต้องได้เรียนประวัติศาสตร์รถไฟไทยกันมาบ้าง ไม่มากก็น้อย หลายคนอาจจะยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นรถไฟเหล็กของไทย แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ต้องใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทางไปไหนมาไหน ทุกวันในช่วงเช้าและช่วงเย็น มีประชาชนไม่น้อยที่ต้องโดยสารรถไฟมาทำงาน เหมือนกับการใช้บริการรถสาธารณะในรูปแบบอื่นๆ  ฉบับที่ผ่านมาได้พูดถึงรถเมล์ที่ประชาชนต้องใช้โดยสารในชีวิตประจำวันไปแล้ว  ฉบับนี้จึงขอเอาใจผู้อ่านที่ใช้รถไฟเหล็กกันบ้าง ฉบับนี้มารู้จักกับแอพพลิเคชั่น Thai Railway กันบ้าง แอพพลิเคชั่นนี้จะเน้นเรื่องการบอกตารางเวลาแต่ละเส้นทางการเดินรถไฟ โดยสามารถค้นหาข้อมูลตารางเดินรถไฟในประเทศไทย  ค้นหาเส้นทางการเดินรถไฟของแต่ละภาคในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคชานเมือง และมีให้เลือกใช้ 2 ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ภายในแอพพลิเคชั่นจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกจะเป็นตารางเวลา สามารถค้นหาโดยใส่ชื่อจุดหมายปลายทาง หรือหมายเลขขบวนรถ จากนั้นจะปรากฏเส้นทางที่ขบวนรถไฟจะผ่านในแต่ละสถานีว่าผ่านสถานีใดบ้าง และถึงสถานีนั้นๆ ในเวลากี่โมง นอกจากนั้นยังบอกว่าขบวนรถไฟสายนี้เป็นขบวนรถเร็ว รถด่วน หรือรถด่วนพิเศษ รถพิเศษชานเมือง รถท้องถิ่น อีกด้วย สังเกตได้จากกรอบสีตรงหมายเลขขบวนนั้นๆ ได้แก่ กรอบสีฟ้า หมายถึงรถด่วนพิเศษ กรอบสีแดง หมายถึงรถด่วน  กรอบสีเขียว หมายถึงรถเร็ว  กรอบสีเทาเข้ม หมายถึงรถธรรมดา  กรอบสีชมพู หมายถึงรถพิเศษชานเมือง  กรอบสีเทาอ่อน หมายถึงรถชานเมือง รถท้องถิ่น ส่วนที่สอง เส้นทางเดินรถ มีไว้เพื่อให้ค้นหาขบวนรถไฟโดยแบ่งออกเป็นแต่ละภาค เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในหาค้นหาได้ดียิ่งขึ้น และส่วนสุดท้ายเป็นส่วนของการค้นหาทั่วไป เมื่อค้นหาขบวนรถไฟที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว  สามารถจองตั๋วโดยสารรถไฟทางโทรศัพท์ผ่านสายด่วน 1690 โดยคลิกผ่านแอพพลิเคชั่น Thai Railway ได้เลย แบบนี้จะเลือกโดยสารรถไฟขบวนไหน มีแอพพลิเคชั่นนี้ก็สามารถทำให้รู้ตารางเวลาการเข้าออกสถานีต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลาได้ ช่วยให้ใช้ชีวิตในการเดินทางง่ายขึ้นทีเดียว    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 กลับมาฝึกจดบันทึกรายรับรายจ่ายกันดีกว่า

หลายวันก่อนผู้เขียนแอบเห็นเพื่อนคนหนึ่งในเฟส แชร์รูปภาพวิธีการเก็บออมเงิน โดยให้แต่ละวันลดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย อย่างเช่น การซื้อกาแฟ การรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ เป็นต้น พออ่านแล้วรู้สึกว่าข้อความนี้ใช่เลย เพราะคนรอบข้างที่รู้จักส่วนใหญ่ จะเสียเงินไปกับกาแฟแก้วละร้อยกว่า และนิยมรับประทานบุฟเฟ่ต์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี ตามสไตล์คนอินเทรนด์ พูดถึงความเป็นจริงของการออมเงินในแต่ละเดือนกันดีกว่า มนุษย์เงินเดือนที่ต้องใช้จ่ายเงินในแต่ละวันที่มีราคาสูงขึ้นๆ ในปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่มีภาระค่าใช้จ่ายประจำจะสามารถออมเงินได้ทุกเดือน สุดท้ายก็ได้แค่พยายามควบคุมการใช้เงินในแต่ละเดือนไม่ให้เงินถูกควักไปอยู่ตามแก้วกาแฟ มื้ออาหารเสื้อผ้า รองเท้า และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างน้อยการบริหารเงินเพื่อให้สมดุลในแต่ละเดือนก็ช่วยให้พ้นจากการเป็นหนี้ที่จะสมทบไปเดือนต่อไปได้บ้าง  การจดบันทึกรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันก็สามารถช่วยบริหารจัดการเงินได้เช่นกัน และเมื่อเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนเข้ามา เราก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์การจดบันทึกรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นผ่านแอพพลิเคชั่น วันนี้ขอแนะนำแอพพลิเคชั่นการบันทึกรายรับรายจ่ายเพื่อใช้ในการบริหารเงิน 2 แอพพลิเคชั่น 1. แอพพลิเคชั่น  Weple Money เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้ง่าย พอเข้าไปในแอพพลิเคชั่นนี้ จะปรากฏปฏิทินเดือนนั้นๆ โดยเราสามารถเลือกมุมมองว่าจะให้ปรากฏเป็นรายเดือน รายสัปดาห์ หรือรายวัน   กรณีที่เป็นรายเดือน เพียงคุณแตะวันที่ต้องการจดบันทึกค่าใช้จ่าย อย่างเช่น คุณรับเงินเดือนวันที่ 15 เดือนมิถุนายน คุณแตะที่วันที่ 15 ของเดือนมิถุนายน แล้วกรอกรายรับ และถ้าในวันนั้นคุณมีรายจ่าย ก็สามารถกรอกเพิ่มไปเรื่อยๆ จนครบรายการของวันนั้น แอพพลิเคชั่นจะคำนวณโดยการหักลบค่าใช้จ่ายจากเงินเดือน ทำให้คุณทราบว่าคุณเหลือเงินจำนวนเท่าไรในวันปัจจุบัน 2. แอพพลิเคชั่น CoinKeeper หน้าตาของแอพพลิเคชั่นนี้จะไม่เป็นปฏิทิน แต่จะเน้นสีสันไอคอน ที่แยกออกเป็นประเภทของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น อย่างเช่น ค่าอาหาร  ค่ารถโดยสาร  ค่าช้อปปิ้ง  ค่าเช่าบ้าน  ค่าสังสรรค์ เป็นต้น โดยแบ่งส่วนของรายรับเป็นเงินในกระเป๋า และเงินในธนาคาร อย่างแรกจะต้องไปตั้งตัวเลขประมาณการค่าใช้จ่ายของเดือนนี้ในแต่ละประเภทการใช้จ่ายไว้ให้เรียบร้อยก่อน  เมื่อมีค่าใช้จ่ายจริงเกิดขึ้น ก็ให้แตะไปที่ไอคอนประเภทนั้น เพื่อกรอกตัวเลข ระบบจะคำนวณโดยการหักลบค่าใช้จ่ายจากเงินเดือน ซึ่งจะปรากฏอยู่บนสุดของแอพพลิเคชั่นนี้ แอพพลิเคชั่นนี้ จะเพิ่มลูกเล่นของไอคอนด้วยการแบ่งแยกสีของปริมาณการใช้จ่าย ถ้ายังไม่มีการใช้จ่ายใดๆ ไอคอนจะปรากฏเป็นสีขาวธรรมดา เมื่อมีการใช้จ่ายจะเปลี่ยนสีเป็นสีเขียวและจะเพิ่มสีขึ้นเรื่อยๆ ในไอคอนเมื่อมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น  ถ้าใช้จ่ายเกินจำนวนที่ตั้งใจไว้ ไอคอนนั้นจะกลายเป็นสีแดง แอพพลิเคชั่นทั้ง 2 แอพพลิเคชั่น มีรูปร่างหน้าตาคนละแบบ อยู่ที่จะเลือกใช้ หรืออาจจะลองใช้ทั้ง 2 แบบเลยก็ได้ การกลับไปจดบันทึกรายรับรายจ่าย เหมือนตอนที่คุณครูฝึกให้ทำตอนเด็กๆ สามารถช่วยเรื่องการบริหารเงินของเราได้จริงๆ  อย่างน้อยก็ทำให้รู้ตัวตลอดว่าในกระเป๋ามีเงินมากน้อยแค่ไหนสำหรับการเลือกใช้จ่ายในแต่ละกิจกรรม และช่วยลดการใช้จ่ายที่เกินตัว ส่งผลให้เกิดหนี้ตามมา ถ้ายังบริหารเงินในกระเป๋าของตนเองไม่เป็น //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 147 Delivery Traffic รู้ทันตำรวจจราจร

รถชน!!! ความวุ่นวายในชีวิตก็จะเกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่สำรวจว่าตนเองบาดเจ็บหรือไม่ ตรวจสภาพรถว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน แจ้งความกับตำรวจ เรียกประกันมาประเมินราคา และอะไรอีกน้า??? คุณผู้อ่านเคยเป็นไหม พอเกิดเหตุการณ์รถชน ความตื่นเต้น สับสน ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง จะหันไปหาเพื่อนร่วมเดินทาง ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเหมือนกัน วันนี้ผู้เขียนจึงนำแอพพลิเคชั่นที่จะช่วยให้ประโยชน์ได้ทั้งคนขับและคนโดยสาร แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า Delivery Traffic หรือเรียกว่า กฎหมายจราจรเดลิเวอรี่ เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้ความรู้ผู้ที่ขับรถ หรือแม้แต่คนที่ขับรถไม่จำเป็นก็สามารถเรียนรู้แอพพลิเคชั่นนี้ไว้ได้เช่นกัน ข้อมูลใน Delivery Traffic จะให้ความรู้และความเข้าใจ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นบนท้องถนนได้อย่างดี   Delivery Traffic  เป็นของกองบังคับการตำรวจจราจร  โดยภายในแอพพลิเคชั่นจะแบ่งเป็น 6 ส่วน ในส่วนแรกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกร็ดความรู้ที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระทำผิดกฎจราจร อย่างเช่น มีคำถามว่าตำรวจจราจรเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ได้หรือไม่ เมื่อคลิกเข้าไปก็จะมีคำอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ในส่วนที่สอง จะเป็นการบอกความหมายของเครื่องหมายจราจรบนท้องถนน ส่วนที่สามเป็นเรื่องคำถามและคำตอบเกี่ยวกับอัตราค่าปรับเมื่อกระทำความผิด ซึ่งจะบอกว่าผู้อ่านรู้ว่าถ้าทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ จะต้องมีโทษอย่างใด หรือปรับเป็นเงินเท่าไร ส่วนที่สี่เป็นแผนผังรูปภาพเพื่ออธิบายการปฏิบัติตนเมื่อได้รับใบสั่ง ส่วนที่ห้า เป็นเรื่องของสิ่งที่ควรรู้ น่ารู้และต้องรู้เกี่ยวกับการจราจร ในส่วนนี้จะอธิบายเป็นวิดีโอแอนนิเมชั่น เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ส่วนสุดท้าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรู้ทันแอลกอฮอล์ สำหรับนักดื่มที่ต้องใช้รถ โดยมีการอธิบายถึงปริมาณในการดื่มแต่ละครั้งว่าควรดื่มปริมาณเท่าไรที่จะขับรถได้ ซึ่งไม่ให้มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้อ่านที่ต้องการติดตามวิดีโอแอนนิเมชั่นที่แนะนำวิธีต่างๆ สามารถคลิกเข้า youtube และ facebook ภายในแอพพลิเคชั่น Delivery Traffic ได้ทันที สามารถที่จะดาวน์โหลดแอพลิเคชั่น Delivery Traffic ได้ที่  https://itunes.apple.com/th/app/delivery-traffic/id409994187?mt=8 สำหรับ iPhone, iPod touch และ iPad  และที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=com.smileapp.deliverytraffic สำหรับ android ลองดาวน์โหลดมาอ่านดู เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และรู้ทันกับการทำงานของตำรวจจราจร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 Skyscanner บินลัดฟ้าข้ามหาราคาที่พึงพอใจ

  ฉบับนี้มาบินลัดฟ้าท่องเที่ยวกันทั่วโลกดีกว่าค่ะ ใครที่ชอบเดินทางไปโน่นมานี่ โดยใช้บริการเครื่องบินโดยสารสายการบินต่างๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยว ทำกิจกรรมของบริษัท ติดต่อธุรกิจ แม้กระทั่งเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ไม่มากก็น้อยที่เคยใช้บริการซื้อตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ในรูปแบบออนไลน์  เพราะสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบราคา และเลือกเวลาการเดินทางได้ด้วยตนเอง   ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการที่กล่าวมาทั้งหมด ผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านที่ชอบใช้บริการบนเว็บไซต์ ลองเปลี่ยนมาใช้แอพพลิเคชั่น Skyscanner บนโซเชียลมีเดียกันดูบ้าง เพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่นลงบนมือถือ ที่รองรับได้หลากหลายประเภท ได้แก่ ไอโฟน(iphone) ไอแพด(ipad)  แอนดรอยด์ (Android)  แบล็คเบอร์รี่ (Blackberry) นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นสำหรับวินโดวส์ (Windows 8) ที่ผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดมาไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ได้เลย หรือถ้าไม่ถนัดแอพพลิเคชั่น ก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้ที่ http://th.skyscanner.com  ในเวอร์ชั่นภาษาไทย   แอพพลิเคชั่นนี้ มีประโยชน์ในการใช้ค้นหาและเปรียบเทียบตั๋วเครื่องบินจากสายการบินทั่วโลก ที่มีมากกว่า 1,000 สายการบิน  รองรับภาษาต่างๆ ได้ถึง 28 ภาษา และสามารถเปลี่ยนสกุลเงินได้กว่า 61 สกุลเงิน ซึ่งช่วยให้นักเดินทางสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถระบุวันที่ที่ต้องการเดินทาง ประเภทที่นั่ง เมืองหรือประเทศที่ต้องการเดินทางไป   โปรแกรมจะช่วยประมวลผลราคาและช่วงเวลาในการเดินทางของสายการบินต่างๆ จากนั้นราคาทั้งหมดที่ใช้ในการเดินทางก็จะถูกสรุปออกมาพร้อมกับสายการบินต่างๆ  เพื่อให้เลือกได้ตามความพึงพอใจ เมื่อได้สายการบิน ราคา ช่วงเวลาเดินทางที่ต้องการทั้งหมดแล้ว แอพพลิเคชั่น Skyscanner จะส่งต่อหน้าเว็บไปยังเว็บไซต์ของสายการบินนั้นๆ หรือเว็บไซต์ตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ผู้ใช้บริการติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบินได้โดยตรง ตามราคาที่แจ้งมานั้น โดยที่ไม่ต้องเสียค่าบริการผ่าน Skyscanner แต่อย่างใด หรือถ้ายังไม่แน่ใจ คลิกที่ปุ่ม Call โทรหาสายการบินนั้นได้ทันที   แต่ถ้าผู้อ่านยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่แน่ชัด ก็สามารถค้นหาเมืองในประเทศต่างๆ ว่ามีที่ใดบ้าง ในราคาตั๋วเครื่องบินเท่าไร ได้ที่ปุ่ม Explore  และทำขั้นตอนเพื่อใช้บริการตามเดิม หลังจากเลือกตั๋วเครื่องบินที่ต้องการได้แล้ว แอพพลิเคชั่น Skyscanner จะเก็บข้อมูลการค้นหาไว้ เพื่อสะดวกในการเรียกใช้ในครั้งต่อไป นอกจากค้นหาตั๋วเครื่องบินแล้ว แอพพลิเคชั่นนี้ยังช่วยค้นหาโรงแรม รีสอร์ท บังกะโล ที่พักต่างๆ รถเช่า ได้อีกด้วย และถ้าต้องการแบ่งปันรายละเอียดเที่ยวบินที่น่าสนใจให้กับเพื่อน ขวามือด้านบน จะมีปุ่มเพื่อแบ่งปันข้อมูลไปยัง E-Mail  Facebook หรือ Twitter ได้เลย   Skyscanner ใช้งานฟรีค่ะ

อ่านเพิ่มเติม >