ฉบับที่ 143 ใช้ประโยชน์จาก Google Maps

  สวัสดีปีใหม่ปีมะเส็งนะคะ ผู้อ่านทุกท่าน เทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป หลายคนคงได้หยุดพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ (แม้ว่าวันหยุดจะน้อยไปนิ๊ด 555) บางคนได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บางคนก็กลับบ้าน พอเทศกาลปีใหม่ผ่านไป มนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ต้องกลับเข้าประจำโต๊ะทำงานกันต่อไป กลับมาใช้ชีวิตผจญปัญหาจราจรติดขัดในเมืองกรุงเหมือนเดิม   ปัญหาการจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพมหานครติดขัดตลอด ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหานี้ไปได้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนนานนับเป็นชั่วโมง จะหลีกเลี่ยงเส้นทางก็ไม่แน่ใจว่าจะติดเหมือนกันหรือไม่ จึงได้แต่ร้องเพลงรอกันต่อไป  ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงลองหาแอพพลิเคชั่นที่มีประสิทธิภาพมาช่วยปัญหาที่เกิดขึ้น (อย่างน้อยก็ช่วยอะไรได้บ้างนะคะ)   แอพพลิเคชั่น Google Maps เป็นบริการแสดงแผนที่ประเทศไทย (รวมถึงทั่วโลก) บอกถึงสภาพการจราจรบนท้องถนน ตำแหน่งที่ยืนอยู่ไปจนถึงค้นหาตำแหน่งจุดหมายที่ต้องการเดินทางไปถึง ระบบขนส่งมวลชน อย่างเช่น สถานีรถไฟฟ้า BTS สายรถเมล์ที่สามารถทำให้จุดหมายปลายทางนั้นได้ โดยแอพพลิเคชั่นจะบอกระยะทางการเดินทาง รวมถึงเวลาที่จะใช้ในการเดินทาง   เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมา Google Maps จะบอกตำแหน่งที่เรายื่นอยู่ปรากฏบน Google Maps จากนั้นให้กรอกสถานที่จุดหมายที่ต้องการเดินทาง โดยจะมีเมนูที่แสดงผลสถานที่ใกล้เคียงบริเวณที่ค้นหา ให้คุณเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย ในกรณีที่การแสดงผลไม่ตรงกับสถานที่ที่คุณต้องการ  เมื่อเจอสถานที่นั้นแล้ว คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองเป็นแผนที่ 3 มิติหมุน 360 องศา หรืออาจจะเป็นในรูปแบบภาพถ่ายดาวเทียม นอกจากนี้ยังสามารถดูภาพท้องถนน หรือเรียกว่า Google Street View ในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน   บน Google Maps ที่แสดงผลอยู่นั้น คุณสามารถดูสภาพการจราจรไปด้วยในตัว ว่าเส้นทางใดสภาพการจราจรติดขัดควรหลีกเลี่ยง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกเส้นทางการเดินทางที่ไม่ติดตัดและที่ดีที่สุด และแอพพลิเคชั่นยังคำนวณเวลาในการเดินทางให้ ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนตัว หรือขึ้นรถเมล์ โดยจะบอกสายรถเมล์ที่ผ่านบริเวณจุดหมายให้อีกด้วย Google Maps สามารถติดตั้งในรูปแบบแอพพลิเคชั่น โดยผู้ที่ใช้ระบบ  iOS สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ App Store สำหรับผู้ใช้ระบบ Android  สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ Android Market เมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Google Maps มาใช้งานแล้วมีปัญหา Google Maps ไม่ระบุตำแหน่ง ให้ไปเช็คที่  Settings > Privacy > Location Services   ลองดาวน์โหลดและดึงประโยชน์ของ แอพพลิเคชั่น Google Maps มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อาจจะช่วยแก้ความหงุดหงิดใจในระหว่างที่อยู่บนท้องถนนได้สักเล็กน้อย ^_^

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 Price Grab เปรียบเทียบความคุ้มค่าสินค้า ใน App Box

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้เขียนตั้งใจไปช้อปปิ้งสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันด้วยความเพลิดเพลิน แต่พอดูราคากับปริมาณสุทธิของสินค้าทำให้ความเพลิดเพลินนั้นหายไปเลยทีเดียว ผู้อ่านสังเกตไหมคะ ว่าสินค้าชนิดเดียวกัน แต่มีขนาดแตกต่างกัน โดยที่ราคาก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก หรือบางทีดูภายนอกสินค้ากล่องใหญ่น่าจะคุ้ม แต่พอคำนวณจริงๆแล้วกล่องเล็กคุ้มกว่า ด้วยจิตวิญญาณของผู้บริโภคแบบฉลาดซื้อจึงรู้สึกเพลียกับการคำนวณของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงค้นพบแอพพลิเคชั่นที่ช่วยคำนวณปริมาณสุทธิของสินค้ากับราคา ของสินค้า 2 ประเภท เพียงแค่กรอกตัวเลข แอพพลิเคชั่นนี้จะคำนวณความคุ้มค่าของสินค้ามาให้อย่างรวดเร็ว แค่นี้ผู้เขียนก็ยิ้มออก ^_^ แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า App Box ซึ่งภายในแอพฯ นี้ จะมีแอพฯ ย่อยอีกมากมาย ผู้อ่านสังเกตไอคอนที่เขียนว่า Price Grab ที่จะช่วยผู้อ่านเปรียบเทียบราคาสินค้าระหว่างสินค้า 2 ชนิด โดยหน้าจอจะแบ่งเป็น 2 ส่วนซ้ายขวา คือ สินค้า A และสินค้า B ซึ่งในสินค้าแต่ละชนิด ผู้อ่านต้องกรอกราคาและปริมาณสุทธิของสินค้า หลังจากกรอกรายละเอียดครบถ้วนแล้ว โปรแกรมจะคำนวณความคุ้มค่าของสินค้าระหว่าง 2 ชนิด ถ้าสินค้า B มีความคุ้มค่ามากกว่าสินค้า A จะปรากฏภาพดังนี้  A < B นอกจาก Price Grab ใน App Box แล้ว ยังมี Currency โปรแกรมคำนวณเรื่องสกุลเงินของแต่ละประเทศ Date Calc โปรแกรมคำนวณระยะเวลา  Day Until เป็นสมุดบันทึกรายการนัดหมายที่สามารถใส่รูปได้  Holidays รายละเอียดของรายการวันหยุดประจำปีของแต่ละประเทศที่รวบรวมไว้ Loan โปรแกรมสำหรับคำนวณดอกเบี้ย สำหรับเงินกู้ยืมหรือผ่อนทั้งหลาย  pCalendar โปรแกรมคำนวณสำหรับสาวๆ (คำนวณการมีประจำเดือน) Tip Calc โปรแกรมคำนวณการจ่ายทิป ภาษี คำนวณได้ทั้งสินเครื่องอุปโภคบริโภค Unit โปรแกรมแปลหน่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยของพื้นที่ ความยาว ความดัน อุณหภูมิ ปริมาตร น้ำหนัก เช่น กิโลเมตรเป็นเซนติเมตร ลองหาแอพพลิเคชั่น App Box มาเล่นกันดูนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 Taxi Reporter รายงานพฤติกรรมที่ไม่พึงพอใจ

หลังจากที่แนะนำให้ผู้อ่านตรวจจับความเร็วกับแอพพลิเคชั่น Traffy bSafe เพื่อร้องเรียนความไม่พึงพอใจกับการบริการของรถบริการสาธารณะและพนักงานขับรถบริการสาธารณะบนท้องถนนไปฉบับก่อนหน้านี้ ฉบับนี้ผู้เขียนจึงขอแนะนำแอพพลิเคชั่นสำหรับร้องเรียนรถบริการสาธารณะประเภทแท็กซี่กันบ้าง พอพูดถึงรถแท็กซี่ ผู้อ่านหลายคนคงส่ายหน้ากับการเลือกรับผู้โดยสาร โดยมีเหตุผลรองรับต่างๆ นานา อย่างเช่น “ไปส่งรถไม่ทัน” “จะไปเติมแก๊ส” “แถวนั้นรถติด” เป็นต้น แค่นี้ก็ทำให้เอือมระอากับการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ไปแล้ว ส่วนผู้โดยสารที่โชคดีได้รถแท็กซี่ตกลงไปส่งจุดหมายปลายทางที่ต้องการ แต่ก็อาจเจอกับความโมโห ฉุนเฉียว พูดจาไม่สุภาพของคนขับรถแท็กซี่ เสมือนไม่พอใจที่จะไปจุดหมายปลายทางนั้น หรือไม่ก็ขับขี่ด้วยความไม่ระมัดระวัง จนทำให้รู้สึกเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดอะไรของผู้โดยสารเลย แอพพลิเคชั่น Taxi Reporter ถูกพัฒนาขึ้นโดย บริษัท Siam Squared Technologies เป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้การร้องเรียนถึงพฤติกรรมของคนขับรถแท็กซี่ที่ผู้โดยสารไม่พึงพอใจและเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับการใช้บริการ ซึ่งข้อมูลที่ร้องเรียนจะถูกส่งไปยังบริษัทเพื่อรวบรวมและส่งข้อมูลต่อไปยังกรมขนส่งทางบกอีกครั้ง   ขั้นตอนในการส่งเรื่องร้องเรียน ขั้นตอนแรกจะให้กรอกหมายเลขทะเบียนรถแท็กซี่เจ้าปัญหา โดยผู้โดยสารจะสังเกตหมายเลขทะเบียนรถได้จากบริเวณประตูด้านหลังทั้งสองข้าง ขั้นตอนที่สองจะให้เลือกเรื่องที่ต้องการร้องเรียน โดยในแอพพลิเคชั่นจะมีให้เลือก ดังนี้ ไม่รับผู้โดยสาร ฝ่าฝืนกฎจราจร มีพฤติกรรมหยาบคาย และโกงค่าโดยสาร ในขั้นตอนนี้ผู้อ่านสามารถเลือกได้หลายตัวเลือก ขั้นตอนที่สาม ผู้อ่านสามารถพิมพ์ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่ต้องการร้องเรียนได้ พร้อมทั้งทางแอพพลิเคชั่นจะปักหมุดบนแผนที่ตรงบริเวณที่ผู้อ่านร้องเรียน เพื่อให้รู้ว่ารถแท็กซี่คันนั้นวิ่งในบริเวณใด เมื่อเติมข้อมูลทุกอย่างเสร็จสิ้น ให้คลิกเมื่อส่งข้อมูล สำหรับผู้อ่านที่เล่นเฟสบุ๊กสามารถโพสต์ข้อความการร้องเรียนได้ทันที โดยในหน้าต่างถัดไป แอพพลิเคชั่นจะสอบถามการแชร์ข้อมูลเรื่องร้องเรียนผ่านเฟสบุ๊ก เพียงคลิกตามขั้นตอน ข้อความเหล่านั้นก็จะไปปรากฏบนเฟสบุ๊กให้ทันที แต่ข้อจำกัดของแอพพลิเคชั่นนี้ก็มีเช่นกัน เพราะยังไม่สามารถรองรับอุปกรณ์ไปทั้งหมด ซึ่งจะรองรับเฉพาะอุปกรณ์ตระกูล iOS เท่านั้น อาทิ iPhone, iPad เป็นต้น โดยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Taxi Reporter ฟรีได้ที่ http://itunes.apple.com/th/app/taxi-reporter/id501278589?mt=8 เอาเป็นว่าช่วยกันรายงานพฤติกรรมที่เกิดขึ้นผ่านทางแอพพลิเคชั่น Taxi Reporter ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นช่องทางหนึ่งที่อาจช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มความใส่ใจในเรื่องการบริการ และความปลอดภัยบนท้องถนนให้กับผู้โดยสารมากขึ้นกว่าเดิม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนธันวาคม 2556 ภาชนะอะลูมิเนียม อันตรายแฝงเพียบ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทำการสุ่มทดสอบภาชนะประเภทอะลูมิเนียม เพื่อตรวจสอบดูคุณภาพความเหมาะสม และความปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหาร โดยได้ทำการสุ่มเก็บตัวอย่างภาชนะอะลูมิเนียม จำนวน 21 ตัวอย่าง ประกอบด้วย หม้อ กระทะ ถาดใส่อาหาร ฯลฯ ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงราย นครพนม การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การหาองค์ประกอบทางเคมี และการทดสอบการละลายของโลหะหนักจากภาชนะตัวอย่าง ซึ่งจากการทดสอบองค์ประกอบทางเคมีพบว่าตัวอย่างที่ไม่ผ่านเกณฑ์กำหนดเกือบทั้งหมดเป็นภาชนะประเภทอะลูมิเนียมโลหะผสม ซึ่งพบปริมาณตะกั่ว สังกะสี และทองแดง สูงเกินเกณฑ์กำหนด สำหรับการทดสอบการละลายของโลหะหนักจากภาชนะตัวอย่าง ซึ่งเลียนแบบการใช้งานเวลาหุงต้มหรือปรุงอาหารประเภทกรด พบว่ามีปริมาณอะลูมิเนียม ตะกั่ว เหล็ก และสังกะสี ละลายออกมาในสารละลายตัวแทนอาหาร โดยเฉพาะภาชนะอะลูมิเนียมโลหะผสม มีโลหะเหล่านี้ละลายออกมาสูงกว่าภาชนะอะลูมิเนียม ดังนั้นคำแนะนำในการปรุงอาหารประเภทกรด การใช้ภาชนะอะลูมิเนียมน่าจะปลอดภัยจากโลหะปนเปื้อนมากกว่าการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมโลหะผสม   สำหรับข้อสังเกตในการเลือกซื้อระหว่างภาชนะประเภทอะลูมิเนียม และอะลูมิเนียมโลหะผสมคือภาชนะอะลูมิเนียมโลหะผสมผิวไม่ค่อยเรียบอาจมีรูพรุน มีความมันวาวน้อยกว่า และมีสีเข้มกว่า อย่างไรก็ตาม การปนเปื้อนของโลหะจากภาชนะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย เช่น ประเภทอาหารที่ปรุง ระยะเวลา อุณหภูมิ------------------------------------------------------------------------------   “น้ำหมัก” ขายดี แถมมีงบ กสทช. ช่วย!? ปัญหาเรื่องการหลอกลวงขายสินค้าพวกผลิตภัณฑ์สุขภาพอาหารเสริม ยังคงเป็นมหาวายร้ายทำลายสุขภาพและหลอกปล้นเงินผู้บริโภค ที่ยิ่งนับวันก็มีแต่จะสร้างปัญหารุนแรงมากขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการปัญหาหลงลืมหน้าที่ตัวเองหรืออ่อนด้อยฝีมือ ปัญหาเหล่านี้ถึงยังไม่ถูกกวาดล้างจัดการสักที แถมล่าสุดมีการออกมาแฉโดยเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดร้อยเอ็ด ว่างบประมาณที่ทาง กสทช. จัดสรรลงพื้นที่เพื่อจัดให้มีการอบรบผู้ประกาศระดับภูมิภาคเป้าหมายเพื่อให้ความรู้ที่ทุกต้องเรื่องการรับฟังสื่อโฆษณาต่างๆ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของสินค้าโอ้อวดหลอกลวงสรรพคุณ แต่ลับหลังกลับมีการแอบขายน้ำหมักกันเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขนาดที่มีการสร้างเครือข่ายให้ผู้อบรมเอาไปขายต่อยังสถานีวิทยุของตัวเอง นายประวิทย์ หันวิสัย เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดร้อยเอ็ด ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ในพื้นที่มีปัญหาการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพเกินจริงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตามคลื่นวิทยุชุมชน มีการเปิดสปอตโฆษณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 30 รอบ ใน 1 วัน ทั้งยังใช้เทคนิคนำผู้มีชื่อเสียงอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ประกอบวิชาชีพมาอวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ มีการใช้ของรางวัลล่อใจ เช่น ซื้อผลิตภัณฑ์แล้วส่งมาชิงโชคมอเตอร์ไซค์ และทองคำ รวมถึงมีการสัมภาษณ์ผู้ใช้ที่เป็นหน้าม้าว่าผลิตภัณฑ์ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการเปิดเสียงของเก่า ทั้งที่คนที่สัมภาษณ์ว่าใช้ดี ตายเพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ไปแล้วก็มี ซึ่งพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดเท่าที่ทราบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย โดยรายแรกเกิดจากการใช้ยาแผนโบราณ แต่พบว่ามีส่วนประกอบของยาแผนปัจจุบัน และมีจุลินทรีย์ในอัตราที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อีก 2 รายเสียชีวิตจากการดื่มน้ำหมัก เพราะมีโรคประจำตัวอยู่คือ มะเร็วกระดูกและพาร์กินสัน ปัญหาหนึ่งที่ทำให้หน่วยงานภาครัฐจับไม่ได้ไล่ไม่ทันสถานีวิทยุเหล่านี้ เพราะสินค้าที่เป็นปัญหามักจะคอยเปลี่ยนชื่อสินค้าไปเรื่อยๆ เวลาที่เกิดปัญหามีเรื่องร้องเรียน เมื่อสินค้าถูกนำไปตรวจสอบก็จะรีบเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ทันทีทั้งที่เป็นตัวเดิม ทำให้ อย. ต้องนำผลิตภัณฑ์เดิมในชื่อใหม่ไปตรวจสอบอีกครั้ง กว่าจะส่งต่อให้ กสทช.ดำเนินการสั่งปิดสถานี ซึ่งกว่าจะทราบผลก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน เจ้าของผลิตภัณฑ์ก็เปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว สินค้าก็ถูกโฆษณาขายใหม่ไปแล้วเรียบร้อย     สธ.ตัวการ ทำเมืองไทยเป็นเมือง “แร่ใยหิน” รศ.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) เปิดเผยว่า จากการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มี นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รักษาการ รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ได้มีมติตามการนำเสนอของ นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ.เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้คงการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ ซึ่งมติดังกล่าวเป็นการสวนทางกับการยกเลิกการใช้แร่ใยหินทั่วโลก เครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย (T-BAN) เปิดเผยว่ามีความพยายามที่จะให้ข้อมูลลดทอนความเป็นอันตรายของแร่ใยหินไครโซไทล์ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การว่าจ้างทำวิจัย จัดประชุมนำเสนอข้อมูล เพื่อทำให้สังคมสับสน ซึ่งมติของทาง สธ.ที่ยังคงให้ใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ได้ในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการค้ากับทางรัสเซียที่เป็นประเทศส่งออกแร่ใยหินให้กับไทย ซึ่งทั้งๆ ที่ผ่านมา สธ.เองเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอข้อมูลในเรื่องนี้ว่าแร่ใยหินเป็นอันตรายและต้องยกเลิก ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ แต่ในยุค นพ.ประดิษฐ พบว่า มีขบวนการสนับสนุนให้มีการขายสินค้าอันตราย เครือข่าย T-BAN จึงมีมติเดินหน้าตรวจสอบการทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกมติรับให้สินค้าแร่ใยหินไม่เป็นอันตราย พร้อมเรียกร้องให้เปิดเผยผลการประชุมของคณะทำงานศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหินต่อสังคมด้วย   คาราบาวแดงทำแสบ หลอกชิงทอง 100 บาท พอถูกรางวัลจ่ายเงินแค่ 100 เดียว เหตุการณ์เกิดขึ้นกับแม่ค้าชาว จ.สุโขทัย ท่านหนึ่ง ที่ได้ร่วมชิงโชคกับเครื่องดื่มชูกำลัง “คาราบาวแดง” โดยได้ขูดสติกเกอร์ "ขูดปั๊บรับโชคร้อยถึงล้านกับแพคบาวแดง" แล้วพบข้อความระบุว่า "คุณคือผู้โชคดี ได้รับทองคำมูลค่า 100 บาท" แม่ค้าท่านนี้ดีใจสุดขีดเพราะโชคดีจะได้เป็นเศรษฐี แต่ฝันก็มีอันต้องสลายเมื่อโทรศัพท์ติดต่อไปยังบริษัทเครื่องดื่มคาราบาวแดงเพื่อขอรับรางวัล กลับได้รับคำตอบว่า ข้อความที่ระบุในสติกเกอร์นั้น หมายถึงได้รับเงินสด 100 บาท ไม่ใช่ทองคำหนัก 100 บาท ทางคาราบาวแดงได้ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า การทำโปรโมชั่นขูดปั๊บรับโชคจะแจกเป็นทองคำตามมูลค่าที่แจ้งไว้นั้น หมายถึงมูลค่าราคา ไม่ได้หมายถึงน้ำหนัก เป็นเรื่องน่าเจ็บใจที่ผู้บริโภคต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาที่จงใจเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างชัดเจนแบบนี้ แม้ผู้บริโภคที่หลงเชื่อคำโฆษณาท่านนี้จะไม่ได้ฟ้องเอาผิดกับทางบริษัท แต่ในทางกฎหมายสามารถนำเรื่องฟ้องร้องต่อศาลได้ โดยให้ศาลตีความ ว่าการใช้ถ้อยคำที่หวังสร้างให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ฝากเตือนเรื่องการชิงโชคชิงรางวัลจากการซื้อสินค้าต่างๆ ซึ่งพบว่ามีมากในปัจจุบัน ซึ่งนั้นเป็นเพียงกลยุทธ์หวังกระตุ้นยอดขายของผู้ผลิตสินค้าเท่านั้น มีผู้โชคดีเพียงไม่กี่รายที่ได้รับรางวัล และแทบไม่มีการตรวจสอบว่ารางวัลที่แจกนั้นมีการแจกจริงอย่างที่โฆษณาหรือไม่     ปัญหาอาหารปี 56 ปนเปื้อนเรื่องน่าห่วง ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด พะเยา ลำปาง สุราษฎร์ธานี สงขลา และสตูล ได้ทำการสรุปเรื่องร้องเรียนปัญหาอาหารไม่ปลอดภัยระหว่างช่วง ก.ย. 55 - ธ.ค. 56 มีรวมกันทั้งสิ้น 152 กรณี แบ่งปัญหาได้เป็นประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาอาหารปนเปื้อน ปัญหาคุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การแสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง การโฆษณาอาหาร/ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ปัญหาอาหารเสียก่อนวันหมดอายุ การผลิต/แหล่งผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ ฯลฯ สำหรับปัญหาอาหารปนเปื้อนนั้น ที่พบจากกรณีร้องเรียนเช่น พบการปนเปื้อนของ เส้นผม ขน เล็บ แมลงสาบ หรือเกิดความผิดปกติขออาหาร เช่น มีตะกอน ขึ้นรา และเน่าเสีย รวมถึงการใช้สารเคมีที่ไม่ควรใช้ในอาหาร เช่น ฟอร์มาลิน บอแรกซ์ โดยมีตัวอย่างปัญหาที่พบบ่อยและต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ เชื้อราในขนมปัง ก้อนขาวในนมกล่อง และสิ่งแปลกปลอมในนมผงสำหรับเด็ก สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านอาหาร เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคได้นำเรื่องเข้าหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยประเด็นที่จะทำการหารือร่วมกันประกอบด้วย 1.การพัฒนากลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารที่เป็นรูปธรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม 2.ปรับปรุงนโยบายฉลากโภชนาการให้เป็นแบบสีสัญญาณไฟจราจรเขียว เหลือง แดง แทนที่การใช้ฉลากโภชนาการแบบสีเดียว (GDA) 3.ให้บังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 อย่างเคร่งครัด และ 4.ในการแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร ฉบับใหม่ ให้เพิ่มบทลงโทษให้มีความรุนแรงมากขึ้น   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2556 จับผิดพ่อค้า – แม้ค้าโกงตาชั่ง กรมการค้าภายใน ฝากคำแนะนำถึงคนที่ต้องซื้อสินค้าข้าวของกับร้านค้าที่มีการใช้ตาชั่ง ชั่งตวงสินค้า ป้องกันการถูกโกงน้ำหนัก หลังจากที่กรมการค้าภายในได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคถูกพ่อค้า – แม้ค้าใช้กลโกงตาชั่งเอารัดเอาเปรียบ สำหรับข้อสังเกตในการดูตาชั่งสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีอย่างเช่น ต้องตรวจสอบเครื่องหมายรับรองจากกรมฯ ซึ่งเป็นตราครุฑติดไว้, ไม่มีการหักเข็มชี้น้ำหนักเพราะทำให้เครื่องอ่านน้ำหนักไม่ถูกต้อง, ตัวเลขถาดกับตัวเลขเครื่องที่ระบุต้องตรงกัน, ต้องไม่มีวัสดุอื่นหรือนำสีมาพ่นหน้าปัดด้านใดด้านหนึ่งหรือการนำกระดาษมาปิดอีกหน้าหนึ่งของเครื่องชั่ง, การใช้เครื่องที่ทำด้วยพลาสติกหรือเครื่องชั่งที่อยู่ในสภาพชำรุด เป็นต้น เทคนิคที่พ่อค้า-แม้ค้านิยมใช้ในการโกงตาชั่งหลักๆ จะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ การแกะเครื่องและเปลี่ยนสปริง, การเปลี่ยนหน้าปัดและสปริง, การเปลี่ยนถาดที่มีน้ำหนักสูง ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อได้สินค้าไม่เต็มน้ำหนัก จะได้ของเฉลี่ยที่ 8-9 ขีดต่อน้ำหนักที่ซื้อไป 1 กก. เท่านั้น     ใช้ตู้เอทีเอ็มอย่างปลอดภัยเงินไม่ถูกขโมย ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน(ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาให้คำแนะนำกับผู้ใช้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม ป้องกันการถูกลักลอบขโมยข้อมูลบนแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรและรหัสประจำบัตร หลังจากเกิดกรณีที่มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบดูดเงินจากบัญชีของผู้ใช้เอทีเอ็มกว่า 10 ราย รวมยอดเงินที่ถูกลอบขโมยไปหลายแสนบาท สำหรับคำแนะนำของ ศคง. ในการใช้ตู้เอทีเอ็มอย่างปลอดภัย มีดังนี้ ทุกครั้งที่ใช้ตู้เอทีเอ็ม ควรสังเกตช่องสอดบัตรและแป้นกดตัวเลขอย่าให้มีสิ่งผิดปกติ หากรู้สึกสงสัยก็ไม่ควรใช้เครื่องนั้นและรีบแจ้งให้ธนาคารทราบทันที จุดที่ควรสังเกตก่อนใช้ตู้เอทีเอ็ม คือ กล่องใส่โบชัวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นของธนาคาร เพราะอาจเป็นที่ซ่อนกล้องรูเข็มเพื่อแอบดูการกดเลขรหัส ควรใช้มือบังแป้นกดตัวเลขขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้กล้องที่มิจฉาชีพแอบติดตั้งไว้หรือคนที่อยู่ด้านหลังเห็นรหัสบัตร ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนรหัสบัตรอยู่เสมอ และควรรีบเปลี่ยนรหัสทันทีเมื่อสงสัยว่าบุคคลอื่นทราบรหัสของเรา   อย.ประกาศลดราคายาผู้ป่วยมะเร็ง -  สมาธิสั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปรับลดราคายากลุ่มจำเป็นต่อคุณภาพชีวิตตามต้นทุนการจัดหาที่ลดลง จำนวน 7 รายการ เช่น ยาเฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ยาเมทิลเฟนิเดต ที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น และยาโซลพิเดม ทาร์เทรต ซึ่งเป็นยานอนหลับ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของสถานพยาบาลและผู้ป่วยที่ต้องใช้ยา ซึ่งยา 7 รายการที่ประกาศลดราคาประกอบด้วย 1.เฟนทานิล ชนิดฉีด (0.1 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร/หลอด) 10 หลอด/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 220 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 180 บาท ลดลง 18 % 2.เฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนัง (12 ไมโครกรัม/ชั่วโมง) 5 แผ่น/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 500 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 400 บาท ลดลง 20 % 3.เฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนัง (25 ไมโครกรัม/ชั่วโมง) 5 แผ่น/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 900 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 600 บาท ลดลง 33 % 4.เฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนัง (50 ไมโครกรัม/ชั่วโมง) 5 แผ่น/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 1,500 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 900 บาท ลดลง 40 % 5.ยาเมทิลเฟนิเดต ชนิดเม็ด (10 มิลลิกรัม/เม็ด) 100 เม็ด/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 350 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 300 บาท ลดลง 14 % 6.ยาเมทิลเฟนิเดต ชนิดเม็ด (10 มิลลิกรัม/เม็ด) 200 เม็ด/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 700 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 600 บาท ลดลง 14 % 7.โซลพิเดม ทาร์เทรต ชนิดเม็ด (10 มิลลิกรัม/เม็ด) 20 เม็ด/กล่อง ราคาเดิมกล่องละ 180 บาท ราคาใหม่ กล่องละ 160 บาท ลดลง 11 % โดยยาทั้ง 7 รายการจะเริ่มปรับลดราคาใหม่ในเดือนตุลาคม 2556 นี้เป็นต้นไป   คณะกรรมการองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โวย กสทช. เอาจริงแก้ปัญหา “ซิมดับ” หลังจากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ออกประกาศ “มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. 2556” หรือกรณีปัญหาสัญญาโทรศัพท์มือถือคลื่น 1,800 MHz ซึ่งเป็นของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่สิ้นสุดสัญญาณไม่สามารถใช้งานได้ หรือที่มีคนให้คำจำกัดความว่า “ซิมดับ” โดยหลังจาก กสทช. มีคำสั่งตั้งแต่เมื่อวันที่16 ส.ค.56 ที่ผ่านมา พบว่าประกาศดังกล่าวยังไม่สามารถช่วยเหลือผู้บริโภคได้จริง เพราะยังคงมีเรื่องร้องเรียนเข้ามายัง กสทช. เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องที่ร้องเรียนมีทั้ง ปัญหาเรื่องการโอนย้ายเลขหมาย ที่ไม่สะดวกอย่างที่ควรจะเป็น แถมมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการแจ้งเรื่องการโอนย้ายเครือข่าย การถูกย้ายเครือข่ายโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า บางคนถูกปรับสิทธิประโยชน์ลดลงจากการโอนย้ายเครือข่าย รวมถึงปัญหาที่บริษัทไม่ยอมคืนเงินที่ยังคงเหลือในระบบเดิม ไปจนถึงไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้ จากปัญหาที่เกิดขึ้น คณะกรรมการองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดย ผศ.รุจน์ โกมลบุตร ในฐานะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและโทรคมนาคม ร่วมกับสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และ สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจังหวัดสระบุรี ออกแถลงการณ์เป็นข้อเสมอต่อ กสทช. ให้เร่งจัดการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคหลังการประกาศใช้มาตรการเยียวยากรณีซิมดับไปแล้วแต่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข โดยข้อเสนอของภาคประชาชนมีดังนี้ 1.ขอให้ กสทช. ติดตามการบังคับใช้ประกาศอย่างเคร่งครัด เพราะยังพบปัญหาเกิดขึ้นกับผู้บริโภค เช่น ผู้ประกอบการยังมีการขยายฐานผู้ใช้บริการคลื่น 1800 MHz ต้องควบคุมคุณภาพการให้บริการ และคืนเงินคงเหลือเมื่อผู้บริโภคยุติการใช้บริการ 2.กสทช. ต้องกำกับดูแลการจัดการคลื่นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซิมดับซ้ำอีก โดยต้องเร่งให้มีจัดให้มีการประมูลก่อน ถึงวันหมดอายุสัญญาสัมปทานในปี 2558 3.ให้ กสทช. ถอนฟ้องนักวิชาการและสื่อมวล ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหากรณีคลื่นสัญญา 1800 MHz เพราะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้หลักสุจริต เพื่อประโยชน์ของสังคม   “มาตรา 61 ยิ่งใกล้ ยิ่งต้องเชียร์” ฉายหนังสั้นผู้บริโภคที่รัฐสภา แม้สถานการณ์ทางการเมืองยังคงสับสนวุ่นวาย แต่องค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนก็ยังมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะผลักดันกฎหมาย “องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยเราเสียที ล่าสุดสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคกลาง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ฉายภาพยนตร์สั้นและเสวนาเรื่อง “มาตรา 61 ยิ่งใกล้ ยิ่งต้องเชียร์” ณ สโมสรรัฐสภา เพื่อปลุกจิตสำนึกและสร้างความเข้าใจกับบรรดานักการเมือง สส. สว. ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกกฎหมายฉบับนี้ โดยหลังการฉายภาพยนตร์ ก็ได้มีการผู้คุยกับเหล่าผู้กำกับภาพยนตร์ ได้แก่ นายไพจิตร ศุภวารี, นายชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา และ นายพัฒนะ จิรวงศ์ โดยมี ศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ ในฐานนะนักวิชาการที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และ นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว สส. พรรคเพื่อไทย ร่วมพูดคุยกันถึงปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภคในบ้านเรา และการเดินทางของกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคว่าตอนนี้อยู่ในระเบียบวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว รอเพียงยกขึ้นมาพิจารณาลงคะแนนเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น ผู้บริโภคยังคงต้องคอยติดตาม เป็นกำลังใจ และลุ้นกันต่อไป ว่ากฎหมายเพื่อผู้บริโภคฉบับนี้ว่าจะถึงฝั่งฝันได้เมื่อไหร่ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2555 เรียวปากสวย...แต่เสี่ยงสารตะกั่ว สาวๆ คงต้องให้ความสนใจกับข่าวนี้เป็นพิเศษ เพราะมีข้อมูลจากเว็บไซต์ Time Healthland ของอเมริกา รายงานว่ามีการตรวจพบการปนเปื้อนของสารตะกั่วอยู่ในลิปสติกยี่ห้อดังอย่าง Maybelline’s Colour Sensation เฉดสี Pink Petal, L’oreal Colour Riche เฉดสี Volcanic และ ลิปสติก Nars เฉดสี Red Lizard กับเฉดสี Funny Face ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงต้องนำสินค้าชนิดเดียวกันในวางขายอยู่ในประเทศไทยมาตรวจสอบ ซึ่งทางบริษัทผู้นำเข้าคือ ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด ชี้ได้แจงข้อเท็จจริงว่า ทางบริษัทผู้ผลิตไม่มีการใช้สารตะกั่วเป็นส่วนประกอบ แต่สารตะกั่วที่พบนั้นมาจากการปนเปื้อนในธรรมชาติ เช่น น้ำ อากาศ และวัตถุดิบ ซึ่งเป็นการปนเปื้อนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การปนเปื้อนที่พบในลิปสติกน้อยกว่าการปนเปื้อนในธรรมชาติ แต่ทาง อย. ก็ให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้ลิปสติกยี่ห้อที่ต้องสงสัยเหล่านี้ หยุดใช้ชั่วคราวจนกว่า อย. จะทราบผลการตรวจวิเคราะห์ ที่สามารถยืนยันความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ได้   เมื่อ ปี 2550 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของอเมริกา เคยสุ่มตรวจลิปสติกจำนวน 20 ตัวอย่าง พบว่ามีการปนเปื้อนทุกตัวอย่าง แต่ไม่เกินมาตรฐาน แต่การปนของตะกั่วในลิปสติกถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายโดยตรงและใช้บ่อยครั้ง คนที่ใช้เป็นประจำจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับอันตราย -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เติมความ “สด” ให้นมโค “วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง?” คำถามที่แสดงถึงความห่วงใย เพราะนมมีประโยชน์ เราจึงอยากให้ทุกคนดื่มนมกันประจำ แถมจากนี้ไปนมที่เราดื่มจะยิ่งมีคุณค่าทางอาหารเพิ่มมากขึ้น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เตรียมแก้ไขนิยามผลิตภัณฑ์นมโคพร้อมดื่ม จากที่ใช้คำว่า “นมโค” ให้เติมคำว่า “สด” ต่อท้าย เพื่อให้เห็นภาพของนมโคแท้ 100% ที่ผ่านกรรมวิธีพลาสเจอร์ไรส์ก่อนถึงมือผู้บริโภค ซึ่งการเปลี่ยนไปใช้คำว่า “นมโคสด” เหมือนเป็นการบังคับทางอ้อมกับผู้ผลิตที่เดี๋ยวนี้มีนมที่ผสมนมผงหรือใช้วิธีการผลิตแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่การพลาสเจอร์ไรส์ออกมาทำให้คนที่ชอบดื่มนมเข้าใจผิด ซึ่งจากนี้ไป อย. ก็จะออกข้อบังคับให้นมโคพร้อมดื่มที่ไม่ใช่นมโค 100% ต้องแสดงข้อมูลปริมาณนมโคที่ใช้จริงหรือสูตรของนมผงที่นำมาผสม อีกหนึ่งข้อดีที่ผู้บริโภคจะได้รับ หากมีการบังคับให้ใช้คำว่านมโคสดคือ ต้องกำหนดระยะเวลาวันหมดอายุของตัวสินค้าไม่ให้เกิน 10 วัน ซึ่งทำให้นมสดที่เราดื่มจะมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะเป็นนมที่ผลิตใหม่และสดจากฟาร์มจริงๆ ทาง อย. คาดการณ์ว่าประกาศนี้จะผ่านคณะกรรมการพร้อมบังคับใช้ภายในเดือนสิงหาคม 2555 ------------------------------------------------------------------------------------------------- สคบ.ออกตราการันตีของดีสำหรับผู้บริโภค จากนี้ไปผู้บริโภคน่าจะมีความมั่นใจในการใช้สินค้าและบริการต่างๆ มากขึ้น เมื่อทางสำนักงานคณะกรรมคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. เตรียมออก “ตราสัญลักษณ์ของ สคบ.” (CONSUMER PROTECTION GUARANTEE) ตรารับรองสินค้าและบริการที่ผ่านเกณฑ์ตามที่ สคบ.กำหนด ซึ่งทาง สคบ.เชื่อว่าการให้สินค้าติดตรารับรอง จะช่วยลดปัญหาของผู้บริโภคที่เกิดจากสินค้าและบริการต่างๆ ลงได้ เครื่องหมายตราสัญลักษณ์ สคบ.นี้จะเป็นตัวคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค หากได้รับความไม่เป็นธรรมหรือได้รับความเสียหายจากการบริโภคสินค้าที่ติดตราสัญลักษณ์ ผู้บริโภคก็สามารถแจ้งเพื่อขอรับการแก้ไขหรือการชดเชยความเสียหายได้รวดเร็วขึ้น เพราะทาง สคบ. มีข้อมูลของผลิตภัณฑ์นั้นๆ อยู่แล้ว โดยสินค้าและบริการที่ สคบ.จะออกตราการันตีให้ ได้แก่ รถยนต์มือ 2 โทรศัพท์มือถือ ทองรูปพรรณ ห้างสรรพสินค้า รถยนต์ใหม่ หอพัก บัตรเครดิต ตั๋วเครื่องบิน ธุรกิจซ่อมรถยนต์ บ้านจัดสรรและอาคารชุด เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟิตเนส บริษัทนำเที่ยว ธุรกิจขายตรง ธุรกิจเสริมความงาม สินค้าเกษตร ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ โรงเรียนกวดวิชา อัญมณี ศูนย์บริการดูแลเด็ก ผู้ป่วยและผู้สูงอายุ โรงแรม โรงภาพยนตร์ สถานบริการน้ำมัน โรงพยาบาล และบริษัทรับออกแบบ ซึ่งผู้ที่ได้ตราสัญลักษณ์สินค้าต้องมาต่ออายุทุก 2 ปี และจะมีเจ้าหน้าที่ลงตรวจคุณภาพสินค้าทุก 6 เดือน --------------------------------------------------------------------------------------------- “พารา” ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่า “พาราเซตามอล” เป็นยาสารพัดประโยชน์ทั้งแก้ปวดและแก้ไข้ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายมีหลากหลาย การรักษาก็ต้องใช้ตัวยาที่แตกต่างกัน เตือนคนที่ยังใช้ยาแก้ปวดไม่ถูกกับโรค อาจเกิดอันตรายกับร่างกายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ยาแก้ปวดสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับอาการปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด แต่ไม่มีฤทธิ์ลดไข้ เช่น มอร์ฟีน (morphine) ทรามาดอล (Tramadol) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงจากอวัยวะภายใน หรือจากบาดแผลขนาดใหญ่ มักใช้กับคนไข้ในสถานพยาบาลต่างๆ ยากลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจส่งผลต่อระบบประสาทและระบบหายใจ ส่วนยาแก้ปวดอีกกลุ่มคือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับอาการปวดไม่รุนแรง เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน มีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ และลดการอักเสบ แต่ก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ เพราะจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร การทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ยิ่งถ้าใช้ในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อตับ ดังนั้นการใช้ยาแก้ปวดที่ถูกต้อง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยาเกินขนาดหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาที่ใช้ต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ------------------------------------ เริ่มแล้ว!!! เติมเงินห้ามหมดอายุ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันดีเดย์ที่ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะดำเนินการเอาผิดกับบรรดาบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ที่ยังมีการออกข้อกำหนดเรื่องวันหมดอายุบัตรเติมเงิน เนื่องจากมีความผิดเพราะฝ่าฝืนประกาศเรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ตั้งแต่สมัยยังเป็น สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จนตอนนี้ผ่านมาถึง 7 ปี กสทช. เพิ่งจะมีมาตรการเด็ดขาดเอาผิดกับผู้ประกอบการ ซึ่งเครือข่ายผู้บริโภคคอยติดตามและสอบถามถึงการดำเนินการในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าปัญหานี้เรื้อรังมานาน ผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิของตัวเองถึง 7 ปี เหตุผลมาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบซึ่งเป็นคนออกข้อบังคับเองแท้ๆ แต่กับบังคับใช้กฎหมายของตัวเองไม่ได้ สำหรับบทลงโทษที่ทาง กสทช. จะดำเนินการกับบริษัทผู้ให้บริการหากยังมีการกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน คือ การปรับเงินจำนวน 100,000 บาทต่อวัน แต่ในส่วนของผู้ใช้ยังไม่มีมาตรการชดเชยใดๆ ในกรณีที่ถูกกำหนดวันหมดอายุหรือถูกยึดเงินเพราะวันหมดแต่เงินในโทรศัพท์ยังเหลือ ผู้ใช้โทรศัพท์แบบบัตรเติมเงินแล้วพบปัญหาเรื่องการกำหนดวันหมดอายุ สามารถร้องเรียนไปได้ที่ กสทช. โทร 1200 ช่วยร้องเรียนกันเยอะๆ เพื่อรักษาสิทธิของตัวเอง ----------------------------------------------------------------------------------------------

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 กระแสในประเทศ

 ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤศจิกายน 2554 8 พฤศจิกายน 2554สคบ.ระดมหน่วยงานช่วยเหลือผู้บริโภคที่ประสบภัยน้ำท่วมสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. จับมือร่วมกับหลากหลายองค์กร เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด โดยจะดูแลให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอความร่วมมือจากสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ดูแลช่วยเหลือผู้บริโภคในเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่นการพักชำระหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่วนสมาคมอู่กลางแห่งประเทศไทยก็จะเข้ามาดูแลเรื่องการซ่อมรถยนต์ ควบคุมเรื่องค่าบริการของอู่ซ่อมต่างๆ ให้มีความเป็นธรรม โดยต้องมีการแสดงเอกสารใบเสร็จให้ชัดเจน เพื่อความสบายใจของผู้ที่มาใช้บริการด้านการไฟฟ้านครหลวงก็ได้จัดทำคู่มือแนะนำ ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังน้ำท่วม ส่วนผู้ที่ต้องการซ่อมแซมบ้านที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ สคบ. ได้ขอความร่วมมือจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร จัดทำข้อมูลราคากลางการซ่อมแซมบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งในส่วนของค่าแรงและค่าวัสดุ เพื่อไว้ใช้เปรียบเทียบกับราคาที่ผู้ประสบภัยจะใช้ว่าจ้างกับผู้รับเหมาก่อนตัดสินใจซ่อมแซมบ้าน สามารถดูเอกสารแสดงราคากลางการซ่อมแซมบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม ได้ที่เว็บไซต์ของ สคบ.ผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำจากหน่วยงานต่างๆ ที่กล่าวมา สามารถติดต่อได้ตามเบอร์โทร. เหล่านี้ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน โทร.02-570-0153, สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย โทร. 02-655-0240-55, สมาคมนายหน้าประกันภัย โทร. 02-645-1133, สำนักงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โทร. 1186 และ การไฟฟ้านครหลวง โทร. 1130__________________________________________________________   28 พฤศจิกายน 2554ยาย้อมผมไม่ใช่แชมพู ใช้บ่อยอันตราย คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เตือนคนที่ชอบเปลี่ยนสีผม ให้ระวังการใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมรูปแบบแชมพู เพราะไม่ใช่แชมพูสระผมทั่วไป ใช้บ่อยอาจได้รับอันตราย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ย้อมผมส่วนใหญ่มีสารที่เป็นสีย้อมผมที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ ซึ่งขณะนี้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ย้อมผมในรูปแบบแชมพู โดยให้ผู้ใช้นำส่วนผสมที่บรรจุอยู่ในซองผสมเข้าด้วยกันแล้วชโลมบนเส้นผมให้ทั่ว จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเหมือนการสระผมปกติ จึงมีการโฆษณาทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแชมพูสระผมที่สระแล้วทำให้สีผมเปลี่ยนไป จนผู้บริโภคบางส่วนเข้าใจผิดว่าสามารถใช้สระผมได้ทุกวันเหมือนแชมพูทั่วไป ผลิตภัณฑ์ย้อมผมมากกว่าร้อยละ 60 ที่จำหน่ายในท้องตลาดมีสาร p-phenylenediamine หรือ PPD เป็นสีย้อมผมถาวร ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมจึงควรใช้อย่างระมัดระวัง และถึงแม้จะอยู่ในรูปแบบแชมพูก็ไม่สามารถใช้บ่อยเหมือนการสระผมทั่วไป เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งเราสามารถทดสอบการแพ้ก่อนใช้ได้ โดยทาผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่ผสมแล้วใต้ท้องแขนหรือหลังใบหู ทิ้งไว้ 24 - 48 ชั่วโมง หากมีอาการคัน เป็นผื่นแดง บวม หรือมีอาการผิดปกติอื่นใดก็ตามให้หยุดใช้ทันที-----------------------------------------   30 พฤศจิกายน 2554นอนกางเต็นท์ระวังเป็นผู้ป่วย ช่วงหน้าหนาวปลายๆ ปีแบบนี้ ถือเป็นช่วงที่หลายๆ คนนิยมไปเที่ยวพักผ่อน ซึ่ง 1 ในกิจกรรมยอดฮิตของนักเที่ยวก็คือ การไปกางเต็นท์นอนตามป่าหรือภูเขา รวมทั้งการนอนดูดาวกลางแจ้ง แต่อย่ามัวเพลิดเพลินกับบรรยากาศจนลืมดูแลตัวเอง เพราะกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาเตือนนักท่องเที่ยวที่จะไปกางเต็นท์นอนบนพื้นหญ้าตามป่าตามเขาระวังถูกตัวไรอ่อนที่อยู่ตามป่ากัด สาเหตุของโรคสครับไทฟัส ซึ่งอาจทำให้เกิดไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัว ตาแดง อาจมีอาการทางปอดและสมองได้ เวลาที่เราถูกไรอ่อนกัดจะสังเกตเห็นเป็นแผลไหม้ เล็กๆ คล้ายกับโดนบุหรี่จี้ ตรงกลางเป็นสะเก็ดสีดำ และรอบๆ แผลจะแดง โดยอาการป่วยจะแสดงหลังถูกกัดประมาณ 10-12 วัน นอกจากนี้ยังให้ระวังอย่าให้ถูกยุงก้นปล่องกัด เพราะอาจป่วยเป็นโรคมาลาเรีย ซึ่งทั้ง 2 โรคนี้มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต สำหรับการป้องกันไม่ให้ไรอ่อนกัด ควรใส่รองเท้า ถุงเท้าหุ้มปลายขากางเกงไว้ ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ และเหน็บปลายเสื้อเข้าในกางเกงปิดทางเข้าของไรมายังร่างกาย ส่วนการเลือกที่ตั้งค่ายพักในป่า ควรทำบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือที่หญ้าขึ้นรก และเมื่อกลับมาถึงที่พัก ควรทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ใส่ทันที รายงานโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศในปี 2554 พบมีผู้ป่วยโรคสครับไทฟัส 5,721 ราย เสียชีวิต 2 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 63 พบในภาคเหนือ มากที่สุดคือ จ.น่าน เชียงราย และตาก รองลงมาคือ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนโรคมาลาเรีย ในปีที่ผ่านมาพบผู้ป่วยทั้งสิ้น 17,636 ราย เสียชีวิต 8 ราย พบมากที่สุดที่ภาคเหนือ 11,150 ราย ภาคใต้ 3,028 ราย ภาคกลาง 2,694 ราย จังหวัดที่พบมากที่สุด คือ จ.ตาก แม่ฮ่องสอน และยะลา ----------------------------------------------------------     จัดการเชื้อราในบ้านหลังน้ำลด เมื่อน้ำลดก็ถึงเวลาที่แต่ละครอบครัวจะต้องกลับไปฟื้นฟูและซ่อมแซมบ้านของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือ “เชื้อรา” ที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้นสูง การสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราที่ปลิวอยู่ในอากาศภายในบ้านเข้าไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เกิดโรคภูมิแพ้ มีไข้ จาม น้ำมูกไหล โรคปอดอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหอบหืด ก่อให้เกิดระคายเคืองต่อตา จมูก หลอดลม ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน และอาการแพ้เป็นผื่นลมพิษ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ฝากข้อแนะนำในการกำจัดเชื้อราในบ้านหลังน้ำลด  เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อรา ซึ่งขั้นตอนที่ควรทำมีดังต่อไปนี้ 1.การป้องกันตนเอง โดยการสวมรองเท้าบู้ทยาง สวมถุงมือยาง เพื่อป้องกันเชื้อราสัมผัสผิวหนังโดยตรง 2.ต้องระบายอากาศในระหว่างทำความสะอาด ให้อากาศถ่ายเทและให้มีแสงแดดส่องถึง ที่สำคัญไม่ควรเปิดแอร์ และพัดลมในระหว่างการทำความสะอาดเพราะจะทำให้สปอร์ของเชื้อราฟุ้งกระจายได้ 3.การทำความสะอาด หากพบเชื้อราภายในบ้าน ให้ใช้แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาฟอกผ้าขาวผสมน้ำ (อัตราส่วน 1 ถ้วย หรือ 240 มิลลิลิตร ในน้ำประมาณ 4 ลิตร) เช็ดคราบเชื้อราทิ้งไว้ 15 นาที แล้วใช้น้ำล้างออก ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อราและทำให้แห้งได้ เช่น พรม เบาะผ้า ที่นอน ฟูก วอลเปเปอร์ ฯลฯ ไม่ควรเก็บไว้ใช้ต่อควรทิ้งโดยใส่ในถุงพลาสติกและมัดอย่างดีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อราสู่อากาศ 4.หลังทำความสะอาดและฆ่าเชื้อราในบ้านเสร็จแล้วให้เปิดพัดลมเป่าในบ้านและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เปิดหน้าต่าง ประตู เพื่อให้อากาศถ่ายเท 5.ตรวจสอบเชื้อรา หลังจากทำความสะอาดไปแล้ว 2-3 วัน ให้สังเกตว่ามีเชื้อราเจริญเติบโตอีกหรือไม่ ถ้ายังพบว่ามีเชื้อราให้ทำความสะอาดซ้ำ หากมีเชื้อราเกิดขึ้นอีกให้ตรวจสอบระบบระบายอากาศ ระบบแอร์ทั้งหมด และระดับความชื้นภายในบ้านด้วย    ภาครัฐรวมพลังแก้ปัญหาโฆษณาอาหาร - ยาโม้เกินจริงปัญหาโฆษณายาและอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณทางยาเกินจริงที่กำลังแพร่หลายอย่างมากทางวิทยุท้องถิ่น เคเบิลทีวี และโทรทัศน์ดาวเทียม กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องรีบหาทางแก้ไข ถึงเวลาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาจัดการ ก่อนที่ผู้บริโภคจะตกเป็นเหยื่อมากไปกว่านี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.), สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย, บุคลากรสาธารณสุข และเครือข่ายสมัชชาสุขภาพ ระดมสมองหาทางออกร่วมกัน จัดทำร่างข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะเรื่อง “การจัดการปัญหาโฆษณายาและอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณทางยาที่ผิดกฎหมายทางวิทยุท้องถิ่น เคเบิลทีวี และโทรทัศน์ดาวเทียม” เพื่อนำไปพิจารณาในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 ในวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ 2555 สำหรับข้อเสนอฯ เบื้องต้น มีร่างมติ 9 ข้อ เช่น ขอระบุให้ อย.เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการ และมีการเสนอให้เพิ่มโทษหากละเมิดกฎหมายว่าด้วยยาและอาหาร รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่ง กสทช. จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาโฆษณายาและอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณทางยาที่ผิดกฎหมายทางวิทยุท้องถิ่น เคเบิลทีวี และโทรทัศน์ดาวเทียม ภายในปี 2555 ด้านกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ก็จะเข้ามาควบคุมในส่วนของการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคเองก็ต้องติดตามข่าวสารและใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณทางยาเกินจริงทั้งหลาย ทั้งอันตรายและราคาแพง อย่าหลงซื้อมาใช้โดยเด็ดขาด ข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังและรับร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพของ อย. ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนกันยายน 2554 ก็พบว่ามีเรื่องร้องเรียนโฆษณายาและผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายสูงถึง 1,461 เรื่อง จำแนกเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร 556 เรื่อง ยา 335 เรื่อง เครื่องสำอาง 319 เรื่อง เครื่องมือแพทย์ 208 เรื่อง และวัตถุอันตราย 73 เรื่อง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนกันยายน 25545 กันยายน 2554สินค้าลดราคาช่วยเหลือผู้บริโภค กระทรวงพาณิชย์จับมือกับผู้ประกอบการ ปรับลดราคาสินค้า 5 ประเภท รับการปรับลดลงของราคาน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค โดยสินค้าทั้ง 5 รายการประกอบด้วย ปูนซีเมนต์ ลดราคาถุง (50 กก.) ละ 5-10 บาท จากราคาปัจจุบัน 135-140 บาท กระเบื้องมุงหลังคา ลดลงแผ่นละ 5 บาท จากราคา 36-40 บาท ปุ๋ยเคมี ลดลงถุงละ 5-8 บาท จากราคา 905-1,010 บาท เครื่องปั๊มน้ำ ลดลงเครื่องละ 100-200 บาท จากราคา 4,590 บาท และแป้งสาลี ลดลงถุงละ 10 บาท จากราคา 477-698 บาท  นอกจากนี้กระทรวงจะพิจารณาปรับลดราคาสินค้าในกลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติม โดยดูตามราคาทุนหากมีการปรับลดลง เช่น น้ำมันพืช เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์นม และน้ำตาล ส่วนสินค้าที่ยังไม่สามารถลดราคาได้ทันที ผู้ประกอบการได้ยืนยันจะไม่มีการปรับขึ้นราคา และจะตรึงราคาจำหน่ายไปจนถึงสิ้นปี ได้แก่ หมวดของใช้ประจำวัน เช่น ผงชักฟอก สบู่ ยาสีฟัน และหมวดอาหารและเครื่องดื่ม เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับสภาวะน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่จำเป็นกับชีวิตประจำวันทั้งสิ้น-------------   14 กันยายน 2554  แปรงสีฟัน เลือกไม่ดีอาจมีเสี่ยง เมื่อการแปรงฟันอาจเป็นฝันร้าย เพราะอันตรายจากแปรงสีฟัน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. เปิดเผยผลสำรวจแปรงสีฟันที่ขายอยู่ตามท้องตลาดทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศ พบว่าด้อยคุณภาพถึง 61% ซึ่งมีปัญหาขนแปรงแข็งเกินไป หัวแปรงใหญ่และขนหลุดง่าย แถมยังพบสารโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว ที่บริเวณด้ามแปรง และหัวแปรง ซึ่งถือเป็นสารเคมีอันตรายที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่พบเฉพาะในแปรงสีฟันที่นำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น   สคบ. จึงได้ประกาศให้แปรงสีฟันจำนวน 83 ยี่ห้อ 229 รุ่น เป็นสินค้าควบคุมฉลาก ต้องมีการระบุลักษณะของขนแปรง ชนิดของขนแปรง วัสดุที่ใช้ผลิตด้ามแปรง และวิธีใช้ ถ้าเป็นแปรงสีฟันนำเข้าก็ต้องมีฉลากภาษาไทย สำหรับวิธีการเลือกซื้อแปรงสีฟันควรเลือกที่ขนาดพอดีกับช่องปากของเรา หัวแปรงต้องไม่มีลักษณะทรงแหลมหรือมีความคม ด้ามแปรงก็ต้องไม่สั้นเกินไป ขนแปรงต้องทำจากเส้นใยไนล่อน หรือวัสดุอื่นที่มีคุณสมบัติเทียบเท่า เป็นเส้นกลม หรือรี ขนตั้งตรง ผิวเรียบ ปลายมน ไม่มีขอบคม หรือขรุขระ ที่สำคัญคือควรมีลักษณะอ่อนนุ่ม และผู้บริโภคควรเปลี่ยนแปรงใหม่ทุกๆ 3 เดือน------------     16 กันยายน 2554ห้ามตัดสัญญาณมือถือเติมเงิน ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินเตรียมเฮ เมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งห้ามตัดสัญญาณคนใช้มือถือแบบเติมเงินที่ไม่ได้เติมเงินในเวลาที่กำหนด หลังจากที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายแบบสัญญาการให้บริการโทรคมนาคมฉบับใหม่ ซึ่งเสียเวลาในการพิจารณาไปกว่า 3 ปี แต่ก็ไม่แล้วเสร็จ ซึ่งกลายเป็นปัญหาส่งมาถึงผู้บริโภคที่ใช้โทรศัพท์ระบบเติมเงินต้องถูกกำหนดวันหมดอายุ และถูกระงับการใช้บริการ รวมถึงถูกยึดหมายเลขโทรศัพท์ เป็นเพราะยังไม่มีกฎหมายที่ออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติชัดเจนให้กับค่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนเรื่องการระงับการใช้มือถือแบบเติมเงิน สิทธิในเบอร์โทรศัพท์จึงเป็นของผู้ใช้  ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดำเนินการพิจารณามาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคมให้เสร็จภายใน 90 วัน เพื่อให้มีกฎหมายที่เป็นแนวทางในการปฎิบัติของทั้งผู้ให้บริการ และให้ผู้บริโภคได้รู้สิทธิของตัวเอง ----------  เฝ้าระวังความปลอดภัย “ของกิน – ของเล่นหน้าโรงเรียน” สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ฝากข้อความร่วมมือจากครู – อาจารย์ ตามโรงเรียนต่างๆ  ไปจนถึงพ่อ – แม่ ผู้ปกครอง ตรวจตราดูอาหารและของเล่นที่ไม่ได้มาตราฐานที่วางขายอยู่ตามหน้าโรงเรียน เพราะอาจเป็นอันตรายกับนักเรียน  อย. ได้ฝากเตือนว่า อาหารที่ขายให้กับเด็กนักเรียนตามหน้าโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นพวกของทอดหรือปิ้งย่าง ถ้าเป็นขนมก็เป็นพวกขนมกรุบกรอบหรือไม่ก็ขนมที่มีสีสันน่าสงสัย ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเด็ก ส่วนของเล่นที่ขายอยู่ตามหน้าโรงเรียนนั้น แนะนำให้สังเกตสัญลักษณ์ของ สมอ. เพื่อความปลอดภัย และให้ระวังของเล่นต้องห้าม ทั้ง ลูกโป่งวิทยาศาสตร์ และตัวดูดน้ำ ซึ่งเป็นของเล่นที่อันตรายมากหากหลุดเข้าไปในร่างกายอาจทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งถ้าใครพบเจอของเล่นต้องห้ามเหล่านี้สามารถแจ้งไปยัง สคบ. ที่เบอร์ 1166 ----------------------------------     รถตู้โฟตอนไม่ได้คุณภาพ เสียทั้งค่าเช่าจ่ายทั้งค่าซ่อมสมาชิกสมาคมรถตู้ต่างจังหวัดแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อขอให้ช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการซื้อรถตู้โดยสารยี่ห้อโฟตอนจาก บริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์ เซลล์ จำกัด ซึ่งรถตู้ยี่ห้อดังกล่าวเป็นรถด้อยคุณภาพ ต้องนำรถไปซ่อมแซมหลายครั้ง ไม่สามารถนำรถยนต์มาประกอบอาชีพได้ ทำให้ผู้ซื้อรถต้องแบกรับภาระทั้งค่าเช่าซื้อและค่าซ่อมแซม กลายเป็นหนี้ค้างชำระกับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ บางรายต้องถูกยึดรถยนต์และถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นคดีต่อศาล รวมเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท   โดยที่บริษัทยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆ นายทรงผล พ่วงทอง ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า การที่มายื่นหนังสือครั้งนี้ อยากขอให้รัฐมนตรี ช่วยดำเนินการให้ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ฟ้องคดีแทนผู้บริโภค ต่อตัวแทนจำหน่ายและผู้ให้เช่าซื้อ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2553 10 พฤษภาคม 2553สปสช.เตรียมยกร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ คนเจ็บต้องได้ใช้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เตรียมปฏิรูปการประกันสุขภาพภาคบังคับ หลังจากพบว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เกิดปัญหาการเบิกจ่ายกองทุนผู้ประสบภัยจากรถ ที่มีการเบิกจ่ายจากกองทุนไม่ถึงครึ่ง เพราะมีขั้นตอนการเบิกจ่ายที่ยุ่งยากซับซ้อนและต้องใช้เวลานานในการพิสูจน์ถูกผิดในส่วนของค่าชดเชย ทำให้ผู้ประสบภัยหันมาใช้สิทธิตามระบบหลักประกันสุขภาพที่ตนเองมีอยู่แทน ทำให้กลายไปเป็นภาระด้านงบประมาณกับกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแทน  สำหรับหลักสำคัญที่จะใช้ในการยกร่าง พ.ร.บ.ใหม่จะใช้แนวคิดจากงานวิจัย คือ บริหารระบบโดยใช้หน่วยงานของรัฐทั้งหมด ใช้หลักการชดเชยโดยไม่พิสูจน์ถูกผิดในการชดเชยค่ารักษาพยาบาล เพื่อให้ประชาชนผู้เสียหายได้รับประโยชน์ในสิทธิของตัวเองได้อย่างเต็มที่ที่สุด -------------------------------------------------------------------------------------- 15 มิถุนายน 2553กินยาโบราณปลอม โรคไม่หาย เสี่ยงป่วยเพิ่มสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ) และกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยสำนักงานพระราชวัง บุกตรวจจับแหล่งจำหน่ายและกระจายยาแผนโบราณและเครื่องสำอางผิดกฎหมาย ในร้านค้าและแผงลอยย่านท่าเตียน ได้ทั้งหมด 12 ร้าน รวมผลิตภัณฑ์ กว่า 200 รายการ คิดเป็นมูลค่า 2 ล้านบาท โดยพบของกลางเป็นยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา และไม่มีใบอนุญาตขายยาและโฆษณาโอ้อ้วดเกินจริง เช่น ยาหยอดตาสูตรเย็น อ้างรักษาแก้ตาฝ้า ตาฟาง เป็นต้อลม ตาอักเสบ, ยาเหลืองปลาหมอชะลอความชรา สมุนไพรวัดโพธิ์ (เบอร์ 40), ยาหอมบำรุงหัวใจห้าร้อยจำพวก ยาแก้เบาหวาน แก้เจ็บแน่นหน้าอก แก้เสียวในหัวใจ บำรุงสมอง, น้ำมันมะรุมแก้ข้อเสื่อมคลายเส้นวัดโพธิ์ (เบอร์ 41), ยาสาวเสมอพันปี (บำรุงสตรีบำรุงเลือดแก้ตกขาว), ยาแผนโบราณอายุวัฒนะวัดโพธิ์ (เบอร์ 49) บำรุงประสาท บำรุงสมอง บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ แก้ไตพิการบวมเหลือง แก้มะเร็ง ในมดลูก มะเร็งเต้านม, ยาแก้ปวดนิ่วในไต ในถุงน้ำดี (สมุนไพรวัดโพธิ์) (เบอร์ 63), ยาหม่องฟ้าทะลายโจร (หมอสิงห์) นวดแก้อัมพฤกษ์, น้ำมันเขียวแป๊ะยิ้มแก้อัมพาต เหน็บชา, น้ำมันพระโมคคัลลาน แก้ลมอัมพาต ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางพบในส่วนของฉลากไม่ถูกต้อง อย. ฝากเตือนประชาชนที่ชอบซื้อยาแผนโบราณตามวัดหรือสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่ร้านขายยา ต้องตรวจดูเรื่องส่วนประกอบและบริษัทผู้ผลิตให้ชัดเจน และอย่าหลงเชื่อกับคำโฆษณาที่เกินจริง --------------------------------------------------------------------------------------   16 มิถุนายน 2553พบ “สารไซยาไนด์” ในเกลือแหลมฉบัง สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี เตือนชาวบ้านบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง อย่านำเกลือที่พบในบริเวณท่าเรือมารับประทาน หลังมีการตรวจพบสารไซยาไนด์ปนเปื้อน นางอารีย์ ตรีรัตนเวช ผู้อำนวยการสำนักงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า เกลือที่พบจำนวนมากบริเวณพื้นที่ที่การท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจมอยู่ในโคลนลึกประมาณ 5-10 ซม. กินพื้นที่ประมาณ 20-30 ไร่ นั้น ขณะนี้มีประชาชนในบริเวณดังกล่าวแห่กันไปขุดเกลือเพื่อนำไปรับบริโภคหรือจำหน่ายต่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางเทศบาลตำบลแหลมฉบัง ได้ประกาศห้ามประชาชนนำเกลือในบริเวณดังกล่าวมาบริโภคโดยเด็ดขาด หลังพบว่ามีการปนเปื้อนสารหนูหรือไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำอันตรายต่อร่างกายรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ --------------------------------------------------------------------------------------   21 มิถุนายน 2553เข้าสปาคราวหน้าอย่าลืมเรื่องความสะอาดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย ได้สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ในสถานประกอบการสปาเพื่อสุขภาพ เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท พอกผิว ขัดผิว สำหรับนวด และอื่นๆ จำนวน 49 ตัวอย่าง นำมาตรวจวิเคราะห์คุณภาพด้านจุลชีววิทยา พบว่ามีคุณภาพผิดมาตรฐาน 7 ตัวอย่าง จำแนกเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทขัดผิว 5 ตัวอย่างจาก 28 ตัวอย่าง ประเภทพอกผิว 2 ตัวอย่าง จาก 8 ตัวอย่าง เนื่องจากมีปริมาณการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ยีสต์ และราเกินกำหนด  ดังนั้นผู้บริโภคควรใส่ใจในการเลือกใช้บริการร้านสปาและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทางร้านใช้ ถ้าเป็นไปได้ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ โดยเฉพาะคนที่ผิวแพ้ง่าย พยายามเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นกรดหรือด่าง หรือมีกลิ่นหอมเกินไป --------------------------------------------------------------------------------------   เครือข่ายผู้บริโภคเรียกร้อง กทช. ประมูล 3.9Gต้องโปร่งใสและให้ประโยชน์ของชาติมาก่อนองค์กรผู้บริโภคร่วมกันแถลงจุดยืน “การประมูลใบอนุญาต 3.9G ใครได้ประโยชน์” ณ สำนักงานชั่วคราวมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เซ็นจูรี่ พลาซ่า ชั้น 6 เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. โดยมีนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายนิมิตร์ เทียนอุดม มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ นางสาวสุภิญญา  กลางณรงค์ รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฎิรูปสื่อ(คปส.) และนายกำชัยน้อย  บรรจงค์ เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดสระบุรี ร่วมแถลงข่าว ตามที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) พยายามเร่งผลักดันให้เกิดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือ 3G ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็น 3.9G โดย กทช.ระบุจำนวนใบอนุญาต 3 ใบ ใบละ 15 เมกะเฮิรตซ์ โดยจะมีการเปิดประมูลใบอนุญาตพร้อมกันในราคาประมูลเริ่มต้นที่ 10,000 ล้านบาท ใบอนุญาตมีระยะเวลา 15 ปี ซึ่งทางองค์กรผู้บริโภคเห็นค้านว่าควรจะกำหนดราคาประมูลตั้งต้นที่ 20,000 ล้าน เนื่องจากปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการสื่อสารยักษ์ใหญ่มีกำไรไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี ถ้าตั้งต้นราคาประมูลต่ำเกินไป รัฐอาจเสียผลประโยชน์ ส่วนประเด็นเรื่องระยะเวลาเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคมองว่า เรื่องของเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ระยะเวลา 15 ปีในการถือครองใบอนุญาตอาจดูนานไป น่าจะลดลงมาที่ 10 ปี  ถึงแม้ กทช.จะชี้แจงว่าระยะเวลา 10 ปีนั้น จะขัดต่อประกาศแต่ไม่ได้ติดปัญหาเรื่องกฎหมาย เครือข่ายผู้บริโภคยังได้เสนอเงื่อนไขการคุ้มครองผู้บริโภคในการประมูล 3.9G ครั้งนี้ โดยให้ทาง กทช.เขียนเป็นกติกาให้กับบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ชัดเจน ในประเด็นเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น การกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาต 3.9G จัดทำเลขหมายรับเรื่องร้องเรียน 4 หลัก ที่ผู้บริโภคโทรติดต่อแล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นเลขหมาย 7 หลัก ที่ผู้บริโภคโทรติดต่อแล้วต้องเสียค่าใช้จ่าย การจัดการปัญหา SMS กวนใจ โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการไม่สามารถส่งเอสเอ็มเอสโฆษณาไปยังเลยหมายของผู้บริโภคได้หากผู้บริโภคไม่เต็มใจหรือยินยอม การไม่คิดค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนโปรโมชั่น ที่ปัจจุบันต้องเสีย 30 บาท และการไม่ต้องกำหนดวันหมดอายุของการใช้งานระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน --------------------------------------------------------------------------------------   รัฐบาลต้องเร่งออกกม.คุ้มครองผู้ป่วยที่เสียหายทางการแพทย์เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ชมรมผู้ป่วยโรคไต เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เรียกร้องรัฐบาลเร่งออกกฎหมายคุ้มครองผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากรักษาพยาบาลเพื่อลดการฟ้องร้องแพทย์ และ ย้ำแพทยสภาต้องจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาการฟ้องร้อง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแพทย์และคนไข้ "ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุข พ.ศ. ..." เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยไม่ให้คนไข้ฟ้องแพทย์ เพราะคนไข้ที่ได้รับความเสียหายจะได้รับการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น” เครือข่ายผู้บริโภค ระบุ แม้กฎหมายฉบับนี้ มีไม่น้อยกว่า 5 ประเด็นที่เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมรับให้รัฐบาลนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา และยืนยันหลักการกฎหมายฉบับนี้จะช่วยลดการฟ้องร้องของคนไข้ เพราะคนไข้หากมีความเสียหายก็จะได้รับการชดเชยที่เหมาะสม ผู้บริโภคไม่ต้องมีภาระในการฟ้องคดี ในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... โดยการเข้าชื่อประชาชน 10,000 ชื่อ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขอยืนยันถึงเจตนารมณ์และเป้าหมายสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ 3 ประการ คือ 1) การชดเชยผู้เสียหายจากระบบบริการสาธารณสุข 2) ลดการฟ้องร้องระหว่างแพทย์และคนไข้ 3) พัฒนาคุณภาพ มาตรฐานระบบบริการสาธารณสุขในประเทศไทย “ถึงแม้ประเทศไทยจะมี พรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีกลไกการช่วยเหลือเบื้องต้นตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 41  โดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด แต่ก็ครอบคลุมเฉพาะผู้เสียหายที่ใช้สิทธิหลักประกันแห่งชาติ (บัตรทอง) เท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมผู้เสียหายในระบบสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น(ไม่เกินสองแสนบาท) ที่มีความจำกัดในเรื่องวงเงินงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถเยียวยาให้ผู้เสียหายสามารถมีชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นเครือข่ายผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาและผ่าน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... โดยเร็ว และให้มีสาระสำคัญเป็นไปตามกรอบของร่างที่เสนอโดยเครือข่ายผู้บริโภคและประชาชน อาทิ • สำนักงานเลขานุการตามกฎหมายฉบับนี้ ต้องแยกออกจากกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้เพื่อให้มีความเป็นกลาง เข้าถึงได้ง่าย และไม่เป็นการขัดแย้งในเชิงบทบาทหน้าที่ แต่หากจำเป็นต้องยึดแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง “ไม่ให้มีการจัดตั้งสำนักงานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลขึ้นใหม่” ก็ควรกำหนดให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสำนักงานไปพลางก่อน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่แล้ว และมีฐานะเป็นผู้ซื้อบริการ มิใช่ผู้ให้บริการอย่างกระทรวงสาธารณสุข • องค์ประกอบของคณะกรรมการ ให้มีองค์ประกอบจากผู้แทนสถานพยาบาล และผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานคุ้มครองสิทธิด้านบริการสุขภาพ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้แทนจากสมาคมวิชาชีพหรือสภาวิชาชีพ เพราะบทบาทที่สำคัญของคณะกรรมการ คือ การพิจารณาว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการรับบริการสาธารณสุขจริงหรือไม่ โดยไม่ได้พิจารณาว่ามีผู้ใดต้องรับผิดหรือไม่ และไม่เกี่ยวพันกับการสอบสวนหรือลงโทษโดยสภาวิชาชีพ เพื่อให้การชดเชยเป็นไปโดยรวดเร็วและเป็นธรรมและต้องใช้หัวใจของความเป็นมนุษย์ 2. ขอให้เร่งออกกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้องค์กรผู้บริโภคสามารถทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคของหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ สุดท้าย เครือข่ายผู้บริโภค ใคร่ขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันตรวจสอบการทำหน้าที่ของแพทยสภา และติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของกรรมการแพทยสภาบางคน รวมทั้งแพทย์บางกลุ่ม ว่าได้ทำหน้าที่เหมาะสมกับความเป็นวิชาชีพแพทย์เพื่อประชาชนหรือไม่ หรือทำเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางอำนาจและธุรกิจ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 105 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2552 21 ต.ค. 52 ระวัง!!! อาหารกระป๋องของ “บ.กิ่งแก้วฟู้ดส์” และ “บ.ไทย เอ ดี ฟู้ดส์ เทรดดิ้ง” นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่าจากการเฝ้าระวังสถานการณ์ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง ยังคงพบผลิตภัณฑ์ ลิ้นจี่กระป๋อง ตราชาวดอย เน่าเสียก่อนหมดอายุ และพบผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องลำไยในน้ำเชื่อมตราชาวดอย ผลิตโดย หจก.ไทย เอ ดี ฟู้ดส์เทรดดิ้ง จ.เชียงราย วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งบริษัทดังกล่าวยกเลิกใบอนุญาตผลิตอาหารไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา รวมทั้งบริษัททองกิ่ง-แก้วฟู้ดส์ จำกัด จ.สมุทรสาคร ได้ขาดการต่ออายุใบอนุญาตไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2552 ซึ่งมีผลให้เลขทะเบียนตำรับอาหารทั้งหมดของบริษัทสิ้นสภาพไปด้วย ดังนั้น อย.จึงประกาศเตือนผู้บริโภคอย่าซื้อผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากทั้ง 2 บริษัทนี้มารับประทาน เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค และหากพบเห็นผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทดังกล่าววางจำหน่าย สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. โทร.1556 หรือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ   27 ต.ค. 52ทดสอบ “เน็ต” เร็วแค่ 70% ของโฆษณาหลังจากที่สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ร่วมกับสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย เปิดตัวโครงการสำรวจและทดสอบคุณภาพความเร็วอินเตอร์เน็ต ปี 2552 หรือ ‘สปีดเทสต์’ ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. – 25 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาข้อมูลการให้บริการอินเตอร์เน็ตของผู้ประกอบการ (ไอเอสพี) ผ่านเว็บไซต์หลักของโครงการคือ www.speedtest.or.th จากผลการทดสอบที่ความเร็วต่ำกว่า 12 เมกะบิตต่อวินาทีลงมา และเป็นการให้บริการผ่านเทคโนโลยี ADSL คิดเป็นจำนวน 7.5 แสนราย พบว่าความเร็วที่ได้ประมาณ 70% จากที่โฆษณา โดยอินเตอร์เน็ตในเครือสามารถ คอร์ปอเรชั่น ให้บริการได้ดีที่สุด นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสบท.กล่าวว่า หากไอเอสพีต้องการใช้ความเร็วเป็นจุดขาย ก็ควรปรับคุณภาพให้ได้ตามที่โฆษณาจริงๆ แต่หากทำไม่ได้จริงก็ควรลดค่าบริการลงให้เหมาะกับคุณภาพพ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย กล่าวว่า สิ่งที่สมาคมฯ กับสบท.เปิดเผยในครั้งนี้ เป็นข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องนำไปปรับปรุงแก้ไขซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวมด้วย ทั้งนี้ผู้ใช้บริการควรให้ความสำคัญกับการตรวจวัดความเร็ว หมั่นตรวจสอบความเร็วอินเตอร์เน็ตที่ใช้อยู่เป็นประจำ  29 ต.ค. 52มายังไง?! “เศษลวด” ในยาพารานายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการที่มีผู้บริโภคพบเศษลวดในยาพาราเซตามอลขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งหลังจากตรวจสอบเศษลวดดังกล่าว คาดว่าน่าจะเกิดจากตะแกรงหรือแร่งสำหรับร่อนยา รวมทั้งการตั้งระบบการไหลของยาที่ผลิตเสร็จแล้วเร็วเกินไป จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาด อย่างไรก็ตามได้เรียกเก็บยาล็อตดังกล่าวจากทั่วประเทศแล้ว ส่วนจะให้บริษัทเอกชนผลิตยาพาราเซตามอลต่อหรือไม่ อยู่ที่องค์การเภสัชจะพิจารณาต่อไป ขณะเดียวกันหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการทบทวนเพื่อลดปริมาณพาราเซตามอลในตัวยา จากเดิมคือ 500 มล./เม็ด ให้เหลือเพียง 325 มล./เม็ด เพื่อช่วยลดความแรงของฤทธิ์ยาลง ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่ายังคงประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดได้ ทำให้อย.ของไทยเร่งทบทวนการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างเหมาะสม 31 ต.ค. 52อย.เตือนอย่าเชื่อโฆษณากาแฟลดความอ้วนปัจจุบันมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงว่ามีผลในการลดน้ำหนัก ผิวสวย รูปร่างดี ฯลฯ นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า แม้ที่ฉลากจะระบุส่วนประกอบว่า มีไฟเบอร์ คอลลาเจน แอลคาร์นีทีน หรือโครเมียม แต่ยังไม่มีข้อมูลทางการวิจัยยืนยันว่า สารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนัก ทำให้ผิวสวย หรือเพิ่มความงามแต่อย่างใด ส่วนเลขสารบบอาหารที่แสดงบนฉลากอาหารนั้นเป็นเพียงการประเมินความปลอดภัยเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต และส่วนประกอบเท่านั้น ไม่ได้รับรองการโฆษณาใดๆ และอย.ก็ไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณลดความอ้วนหากพบเห็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟที่โอ้อวดเกินจริง สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.โทร.1556  สภาผู้บริโภคฯ ร้องสคบ.คุมบริการมือถือเติมเงินสภาผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมและเครือข่ายผู้บริโภค ยื่นข้อเสนอต่อ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ขอให้แก้ไขประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2543 เพื่อควบคุมโทรศัพท์แบบเติมเงิน โดยประเด็นหลักๆ ที่เครือข่ายผู้บริโภคต้องการให้แก้ไข ประกอบด้วย การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินต้องไม่มีลักษณะบังคับให้ผู้ใช้ใช้ภายในเวลาจำกัด ซึ่งระยะเวลาในการใช้บริการขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่า 180 วัน และต้องมีระบบคืนเงินส่วนที่เหลือที่ไม่ได้ใช้ให้กับผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ผู้ให้บริการต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการให้บริการเสริมใดๆ บนเครือข่ายของตัวเอง โดยมีการชี้แจงค่าบริการและข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับบริการอย่างชัดเจนซึ่งเหตุผลที่เครือข่ายผู้บริโภคเข้ามาร้องต่อสคบ. ในครั้งนี้เพราะเห็นว่า สคบ. สามารถเอาผิดกับผู้ให้บริการได้ทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งดีกว่าประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องมาตรฐานสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ที่มีอำนาจเพียงการบอกเลิกสัญญาผู้ประกอบการเท่านั้นด้าน นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา กล่าวว่า สคบ. ยินดีรับข้อเสนอ และนำไปศึกษาต่อว่าอยู่ในส่วนที่ สคบ. สามารถดำเนินการได้หรือไม่ พร้อมแนะให้ สภาผู้บริโภครวบรวมผู้ใช้โทรศัพท์ที่ถูกเอาเปรียบส่งให้ สคบ. ฟ้องผู้ประกอบการ เพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจนในทางปฏิบัติ เมื่อศาลตัดสินจะได้นำมายกเป็นกรณีตัวอย่าง แต่ที่ผ่านมาการฟ้องร้องไม่ค่อยจริงจัง เพราะสามารถไกล่เกลี่ยชดเชยค่าเสียหายกันได้ เครือข่ายผู้บริโภคร่วมพลัง! ส่งตรงข้อเสนอถึง กทช. ก่อนประมูล 3Gมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดโครงการปฏิบัติการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อประชุมผู้แทนองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศครั้งที่ 1 ในการทำหน้าที่ให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของหน่วยงานรัฐในการบังคับใช้กฎหมายรวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีการประมูลคลื่น 3G ของคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)นางสาวจุฑา สังคชาติ ตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ กล่าวถึงประเด็นราคาประมูลและจำนวนใบอนุญาตว่า ต้องมีการออกมาตรการเรื่องการแข่งขัน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการส่งข้อมูลหรือภาพ โดยนำมาตรการดังกล่าวไปเปิดรับฟังความคิดก่อนเปิดประมูล และควรกำหนดคุณสมบัติผู้ประมูลให้ชัดเจน เช่น ต้องเป็นผู้ประกอบการที่เป็นคนไทยเท่านั้น ต้องทำให้เกิดการแข่งขันในการประมูลใบอนุญาตและผู้ให้บริการควรคิดค่าบริการอย่างเป็นธรรมนางสาวบุญยืน ศิริธรรม ตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ภาคตะวันตก กล่าวถึงเรื่องเงื่อนไขการประมูลระยะเวลาใบอนุญาตและความครอบคลุมการให้บริการ ในเชิงพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายว่า ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขการประมูลให้ชัดเจน เช่น ต้องจัดบริการให้เข้าถึงอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น คนพิการ ต้องแจ้งโครงสร้างต้นทุนการให้บริการ เพื่อกำหนดราคาการให้บริการที่มีมาตรฐาน กทช.ต้องดูแลสัดส่วนของกองทุนบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้ามาในตลาดการแข่งขัน และสัมปทานต้องไม่มีข้อกำหนดที่ปิดโอกาสในการขอสัมปทานในระบบอื่นในครั้งต่อไปดร.เรืองชัย ตันติยนนท์ สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคสงขลา เสนอประเด็นการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานตามใบอนุญาตหรือเงื่อนไขการให้บริการว่า จะต้องมีกลไกการติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน ทั้งก่อนและหลังการประมูล อีกทั้งต้องมีกติกากำกับการดำเนินงานของผู้ประกอบการอย่างเข้มแข็งและจริงจัง มีบทลงโทษที่สามารถปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ กทช. ต้องสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคเป็นกลไกเฝ้าระวังเพื่อติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน และรัฐบาลต้องเร่งให้มีองค์การอิสระเพื่อผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญมาตรา 61ด้านนายสวัสดิ์ เฟื่องฟู ตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคเหนือ กล่าวถึงประเด็นกลไกการกำกับเนื้อหาในระบบ 3G ว่า ต้องจัดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลระดับประเทศ มีองค์ประกอบจากทั้ง 3 ฝ่าย คือ ผู้ให้บริการ ผู้กำกับดูแล ผู้บริโภค เข้าไปกำกับดูแลและมีบทบาททั้งเชิงการให้คุณและให้โทษ โดยทำงานร่วมกับศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน รวมทั้งผู้ได้รับใบอนุญาตต้องกำหนดหรือสร้างเงื่อนไข สำหรับผู้ให้บริการเสริม ทั้งเนื้อหา ภาพ ข้อมูลให้ชัดเจนขณะที่ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวเพิ่มเติมว่า จะนำข้อเสนอ ไปยื่นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อเร่งผลักดันให้มีการออกกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 61 หลังจากนั้นจะนำเสนอข้อมูลให้กับคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติในวันที่ 12 พ.ย. และจะส่งข้อเสนอต่อคณะกรรมการไอซีที สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค และนักสิทธิมนุษยชนของวุฒิสภา เพื่อตรวจสอบว่าข้อเสนอดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กทช. เกี่ยวกับกรณี 3G ให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้หากข้อเสนอไม่ได้รับการปฏิบัติและดำเนินการ หรือการประมูลเกิดความไม่ชอบมาพากล อาจจะใช้ มาตรา 11 ตามพระราชบัญญัติฮั้วการประมูลมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ลาบปลากราย

  ตอนที่กำลังปั่นต้นฉบับส่ง บ.ก. นี้ เป็นช่วงที่หลายคนยังเกาะติดสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วมเกาะเมืองอโยธยา และเขตอุตสาหกรรมโรจนะซึ่งจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว     โดยที่ก่อนหน้านั้นชาวบ้านและชาวนาแถบบ้านฉันมีการปะทะกันเล็กๆ อย่างที่รายงานไปแบบรวบรัดในฉบับที่แล้ว ย้อนกลับไปพื้นที่วิจัยในทุ่งลาดชะโดเมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันขับรถเข้าไปหาคำตอบจาก  "สารเร่งเหลือง" ที่ชาวนานิยมใช้ฉีดข้าวเพื่อเร่งให้ข้าวเกี่ยวทันน้ำหลังชาวบ้านริมน้ำประท้วงให้เปิดประตูระบายน้ำลงทุ่งอีกที  คราวนี้แน่ใจได้ว่าสารเร่งเหลือง "ซู่ซ่า" นั้นเป็นเพียงปุ๋ยน้ำชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ยาฆ่าหญ้า ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายพุ่งขึ้นสูงในช่วงนั้น ระบุสั้นๆ แค่สรรพคุณ และวิธีใช้ ไม่บอกรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์ มีเพียงคำสั้นๆ ที่รู้กันทางเทคนิค ว่าเป็น "คีเลท" ซึ่งหมายถึง ปุ๋ยอาหารเสริมหรือปุ๋ยจุลธาตุ  ที่อยู่ในรูปสารละลาย มักใช้ทางใบ ส่วนใหญ่จึงใช้ร่วมกับสารจับใบ  ซึ่งหากจะหวังผลในการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ก็ควรใช้ในช่วงข้าวตั้งท้อง ตอนอายุ 40 - 60 วัน หรือช่วงติดรวง คือ  60 - 80 วัน  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชาวนาที่นำผลิตภัณฑ์นี้มาใช้ช่วงก่อนเกี่ยวข้าวตามคำแนะนำของร้านค้าจึงใช้ไม่ได้ผล การตัดสินใจของชาวนาเพื่อรับมือกับความเสี่ยงภัยน้ำท่วมท่ามกลางแรงกดดันโดยวิธีการแบบนี้  คนนอกที่มองดูด่วนตัดสินได้ง่ายๆ ว่าพวกเขาขาดความรู้ โลภ และโง่ ซึ่งเป็นคำคุ้นๆ ที่มักได้ยินจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรทั้งจากหน่วยงานรัฐและนักพัฒนา  แต่ก่อนที่จะกล่าวว่าเช่นนั้น น่าจะย้อนกลับมามองดูว่า ผู้กล่าวหานั้นไฉนจึงมีช่องว่างที่ห่างไกล จนชาวนาเหล่านั้นเลือกที่จะไปปรึกษาร้านค้าตัวแทนผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์แทนตนเอง การคาดหวังจะให้ชาวนามีระบบการผลิตข้าวที่ดีโดยการมุ่งเน้นที่ การเรียกร้อง "จิตสำนึก" และค่านิยม "พอเพียง" ของผู้ผลิตฝ่ายเดียว นั้นเป็นเพียงแค่คำหรูที่หลงสร้างขึ้นมาเพื่อขีดเส้นแบ่งและกดทับชาวนาที่ยังเข้าไม่ถึงการทำนาอินทรีย์   ระบบการทำนาอินทรีย์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและไวผ่านกระบวนการใช้สื่อสารพัดชนิด อย่างที่ผู้บริโภคแบบเราๆ ฝันและหวังกัน  ตราบเท่าที่ผู้ผลิตต้องแบกภาระเผชิญความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มทำการไถหว่านยันเก็บเกี่ยวผู้เพียงฝ่ายเดียว    โดยที่พวกเขาไร้อำนาจต่อรองด้านราคาปัจจัยการผลิตและการขายผลผลิต แม้ข้าวนาปรังจะเกี่ยวขายกันไปแล้ว ท่ามกลางเสี่ยงก่นด่าชาวนาของชาวบ้านน้ำท่วมริมคลอง  ก่อนที่รัฐบาลจะยอมจ่ายเงินช่วยเหลือระหว่างรอยต่อโครงการจำนำข้าวและโครงการประกันรายได้ชาวนาหลังการชุมนุมกดดันของกลุ่มชาวนา 2 - 3 ครั้ง   ยังดีที่กระแสจำนำข้าวมาตั้งแต่ยังไม่ทราบผลเลือกตั้ง ได้ดึงราคาข้าวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ทำให้การจ่ายค่าชดเชยของรัฐ เพียง 1,437 บาท/ตัน (ต่ำกว่าเกือบครึ่งจากที่รัฐจ่ายในโครงการประกันฯ) ซึ่งทำให้ชาวนาพอใจขึ้นมาบ้าง นาในทุ่งยังเหลือข้าวฟางลอยไว้ให้ชาวนาลุ้นกันอีกว่าจะได้เกี่ยวเข้าโครงการจำนำข้าวหรือเปล่า?  เพราะข้าวฟางลอยที่เหลือปลูกอยู่ มีเพียงแค่ 3 สายพันธุ์ที่แม้จะโตทันน้ำลึกถึง 2 เมตรกว่าได้ แต่ข้าวนั้นไม่ทนเพลี้ยกระโดดเสียแล้ว ปีที่แล้วน้ำท่วมชาวนาบางคนทำนา 10 ไร่ ได้ข้าวแค่เพียง 1 ถัง  ปีนี้น้ำมากกว่าและท่วมสูงวันละ 3 ซม. ชาวนาก็ห่วงอีกว่าข้าวเอาแต่ยืดตัวจะไม่มีแรงเหลือไว้ตั้งท้องและออกรวง!! ขณะที่ทางเข้าออกจากตัว อ.ผักไห่ เส้นเสนาเพิ่งปิดตัวลงเมื่อเช้านี้  ส่วนเส้นบางบาลถูกปิดไปเกือบเดือนหนึ่งแล้วกระมัง  เหลือเส้นทางสะดวกสายเดียวคือต้องอ้อมผ่านทางสุพรรณบุรี   แต่ฉันยังหาเส้นทางที่จะนำพาความเข้าใจในภาระและความคาดหวังร่วมกันระหว่างชนชั้นชาวนาเคมีและชาวนาอินทรีย์ที่ต้องฝ่าด่านแรงกดดันจากโครงสร้างตลาดที่กดพวกเขาไว้ทั้งหมดไว้ไม่เจอ ฉันเศร้าจนต่อมรับอาหารไม่ทำงาน   เดือดร้อนเพื่อนสาวชาวนาที่สุพรรณต้องอาสาตัวว่าจะไปจ่ายตลาดนัดทำลาบปลาสูตรที่ 3 ตามตำรับของครอบครัวชาวกำแพงเพชรให้กิน เครื่องปรุง ปลากรายขูด 2 ขีด , ปลาร้าปลากระดี่ 1 ช้อน  , หอมแดงซอย , ใบมะกรูด  ต้นหอม ผักชีซอย , ข้าวคั่วป่น   และ พริกขี้หนูคั่วป่น วิธีทำ ตวงน้ำสัก 1 ถ้วยในหม้อ ต้มปลาร้าปลากระดี่จนสุกแล้วดับไฟ  กรองเอาแต่น้ำปลาร้า คนให้เย็น  จากนั้นใส่ปลากรายขูดลงในชามอ่าง ค่อยๆ ใส่น้ำปลาร้าสุกที่เย็นแล้วที่ละน้อยลงในชาม  คนน้ำปลาร้ากับเนื้อปลาให้เข้ากัน  ขั้นตอนนี้ค่อนข้างพิถีพิถัน  เธอให้สังเกตดูว่าเนื้อปลากรายขูดจะใสขึ้น และพองตัวเป็นลูกเหนียว  แล้วจึงเติมเครื่องปรุงที่เหลือลงไป  เคล้าให้เข้ากัน ตั้งไฟรวนให้สุก หรือถ้าใจเย็นพอให้ห่อใบตองเอาไปงบไฟให้สุกหอม แล้วเสิร์ฟคู่กับเพกาหรือลิ้นฟ้าที่ย่างไฟลอกเปลือกออก หั่นเป็นท่อนๆ  ถ้าหาเพกาไม่ได้ ก็ยอดปีบนั่น เอามาฟาดไฟบนเตาถ่าน 2 - 3 ที  เป็นอันอร่อยขมขื่นกันอีกมื้อ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ปลาตะเพียนกรอบราดเต้าเจี้ยว

  ช่วงจะเข้าพรรษา มีฝนตกหนักใหญ่ๆ หลายครั้งกระจายอย่างทั่วถึงทั้งในบริเวณตลาดผักไห่ และหมู่บ้านรายรอบ  ชาวนาบ้านหนองน้ำใหญ่ในพื้นที่ศึกษาระยะสั้นเกี่ยวกับการปรับตัวของชาวนาข้าวฟางลอยของฉัน เปลี่ยนจากการสู้รบกับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเมื่อฤดูปลูกข้าวนาปรังครั้งแรกมาเป็นการตั้งเครื่องสูบน้ำพญานาคเพื่อวิดน้ำออกจากนาปรังครั้งที่ 2 ของพวกเขาแทน ฝน ไม่ได้พาแต่ความเย็นชุ่มฉ่ำให้กับชาวนา เมื่อระบบการทำนาเปลี่ยนไปพึ่งน้ำคลองที่ควบคุมโดยชลประทาน หากแต่ฝนยังนำความกังวลใจมาตั้งแต่เริ่มหว่านข้าวลงนาว่าเมล็ดข้าวที่หว่านลงไปจะเน่าเสียหายเพราะน้ำฝนและฟ้าครึ้มไหม  ครั้นข้าวงอกโตขึ้นมาได้เป็นต้นกล้า ก็ต้องวิดน้ำออกไปให้ได้ระดับไปจนถึงช่วงข้าวตั้งท้องถึงออกรวง  หากฝนตกมากและถี่ ทั้งในบริเวณที่นาของตัวเองและและบริเวณจังหวัดที่อยู่ทางตอนเหนือของหมู่บ้านขึ้นไปมากๆ ชาวนาก็ต้องคอยลุ้นกันว่าน้ำจะถูกปล่อยลงคลองมาท่วมนาก่อนหรือหลังข้าวจะได้เกี่ยวหรือไม่  ถ้าทันเกี่ยวก็ดีไปและไปเปลี่ยนเรื่องลุ้นใหม่หลังได้ผลผลิตแทนเช่นราคาข้าว  หากแต่ไม่ทันและต้องเกี่ยวข้าวกลางน้ำทั้งที่รวงยังเขียว ก็คงหน้าซีดปากเหี่ยวและกัดฟันสู้กันใหม่ในการทำนารอบหน้า  รอบที่ต้องรออีกสัก 4 เดือนให้น้ำในนาลดลงไปอยู่ในคลองเสียก่อน  ฉันถามชาวนาหนองน้ำใหญ่หลายคนว่าช่วงหลังนาพวกเขาทำอะไร  ฉันเองก็คิดตามประสาว่าผืนนากว่า 2,000 ไร่ ที่น้ำท่วมตั้งแต่เดือนกันยายนไปจนถึงสิ้นปีแบบนี้ชาวนาน่าจะมีรายได้จากการจับปลา  แต่เปล่าเลย มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จับปลาหากินเป็นรายได้ มีเพียงบางรายที่หาปลาเองเพราะความชอบ แต่ส่วนใหญ่กับใช้วิธีการซื้อจากคนหาปลาในหมู่บ้าน หรือซื้อจากตลาดเสียมากกว่า  “หาปลาลำบาก ต้องอดทนมาก เราไม่มีความชำนาญ หาได้ก็ไม่คุ้มเวลา ซื้อเขาสะดวกกว่า” พี่จุก ชาวนาวัย 46 ปีบอก และเล่าให้ฟังว่าหลังนาปรังรอบ 2 ช่วงน้ำท่วม 4 เดือนนั้นเขาจะกลายเป็นพ่อค้าเร่ขายของเล่นเด็กตามตลาดนัด แม้จะต้องมีการลงทุนซื้อของและเร่ออกขาย ซึ่งมีรายได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง เขาก็ว่ายังดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ส่วนในช่วงฤดูนาปรังทั้ง 2 ครั้ง หรือ 8 เดือนใน 1 ปี พี่จุกใช้วิธีเช่านาเพื่อนบ้านทำ และรับจ้างฉีดยาหว่านปุ๋ย และช่วยน้องสาวทำหูกระเป๋าให้กับโรงงานที่จ้างเหมาแบบราคาถูก ที่ตลาดนัดเช้าวันจันทร์  ฉันกวาดตามองหาชายคนจับปลาคนที่ฉันเคยซื้อปลาช่อนของเขาหลังจากพูดคุยสั้นๆ และขอถ่ายรูปไปเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน   แต่ 2 สัปดาห์แล้วสินะที่ฉันตามหานักจับปลามืออาชีพคนนั้นไม่เจอ เดินวนหารอบตลาดก็ไม่พบหรือว่าแม่ค้าปลาคนใดคนหนึ่งเป็นคนที่มาขายแทนแก วูบหนึ่งฉันนึกถึงเรื่องที่ตำรวจที่อยู่ในแฟลตตำรวจหน้าบ้านคุยกัน เรื่องการเพิ่งจับปรับคนจับปลาที่เอาลอบไปวางในคลองในช่วงฤดูหวงห้ามเพราะเป็นช่วงปลาตั้งท้องวางไข่ แล้วต้องสลัดความอยากรู้แบบฟุ้งซ่านทิ้งไปอย่างรวดเร็ว  อีกหลายวันถัดมา ฉันมานั่งอยู่ที่เถียงนาของพี่สุภาพ ชาวนาสุพรรณ วัย 49 ปี ที่ย้ายข้ามเขตมาเช่าที่นาแถว ต.หน้าโคก ทำนา  คุยกันหลายเรื่องตั้งแต่เพลี้ยกระโดดรุมทำลายนาเสียหาย  กับปริมาณผลผลิตที่จะเกี่ยวลดลงไปเพราะต้นข้าวล้มระเนนระนาด เนื่องจากลมฝนหอบใหญ่เมื่อวันก่อน  ไปยันเรื่องที่นาที่ลูกพี่ลูกน้องของแก ที่เคยเช่าทำถูกคนดูแลที่ดินไล่ที่ไม่ให้ทำนา โดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้ทั้งๆ ที่มีสัญญาเช่าทำถึง 6 ปี และยังทำนาได้ไม่ครบปีตามสัญญา   สาเหตุเพราะเจ้าของนาที่เปลี่ยนมือไป ซื้อที่นาไว้เพื่อจะมาทำนาเอง  จนกระทั่งมาถึงคำถามที่ทำให้ฉันต้องอึ้งกับคำตอบของเธอที่พูดไปเรื่อยๆ ราวกับเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องปกติเต็มประดา “บ่อปลานี่นะเหรอ ก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ่อด้วย จ่ายไม่น้อยเชียวนา  ไม่รวมกับค่าที่เช่านา วันก่อนจะจับปลาก็ต้องใช้หม้อไฟฟ้าช็อต เพราะมันลึกและเราลงไปจับไม่ได้  จ้างเขาก็ต้องจ่ายเยอะ แต่ไม่รู้มีใครไปแจ้งตำรวจ มันมาจับก็เลยเสียค่าปรับไป 3,000 กว่าบาท ...” เธอว่าพร้อมส่ายหัว ฉันได้แต่ยิ้มเนือยๆ ราวกับคำพูดคำถามที่เตรียมมามันกระโดดหายไปเสียแล้ว   เย็นแล้ว...กลับถึงบ้าน  แม่กำลังเตรียมผัดหมูสามชั้นกับเต้าเจี้ยวใส่ขิง 3 รส ราดปลาตะเพียนทอดกรอบ ฉันนั่งมองปลาแม่น้ำของชอบของฉันที่ราคาไม่แพงตัวนั้นถูกแม่หั่นเป็นบั้งถี่ๆ และทอดเสียจนกรอบจากน้ำมันปาล์ม ที่ตอนนี้ฉันเลิกสนใจไปแล้วว่าราคามันขวดละเท่าไหร่  หลังเสียง ฉ่า ฉ่า ของกระเทียมถูกทุบที่ผัดไวๆ ในกระทะน้ำมันร้อนจัด ก็มีกลิ่นหอมฟุ้งชวนหิวขึ้นมาแทนความคำนึงทั้งหมดที่แบกมาระหว่างขับรถกลับจากนามาสู่บ้าน กระเทียมเจียวเหลืองกรอบ กลิ่นมันหอมโดดเด่น สักพักก็มีเสียงฟู่แบบใหม่มาจากในกระทะ  ที่แม่หย่อนหมูสามชั้นหั่นชิ้นเล็กๆ ลงไปกลิ้งคลุกเคล้า พร้อมกับน้ำเต้าเจี้ยว น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บ   จากนั้นเสียง ฉ่า ฉ่า เปลี่ยนเป็นเสียงน้ำข้นๆ เดือดปุดๆ เพียงครู่เดียวแม่ก็ใส่ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน  พริกสดหั่นแฉลบ และขิงซอยลงไปผัดพอสลด แล้วดับเตาไฟ ตักเครื่องราด 3 รส เปรี้ยว เค็ม หวานกลมกล่อมลิ้น ราดลงปลาตะเพียนตัวกรอบ   ถึงตอนนี้แล้ว ของโปรดของอร่อยมาวางอยู่ต่อหน้า เรื่องอื่นๆ ของคนอื่นๆ ก็คงต้องวางไว้ก่อนแล้วแหละนะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 ขื่นกะเพรา เฉาโหรพา

เอ่ยถึง “กะเพรา” วาบแรกที่เห็นคือ “ผัดกะเพราราดข้าว” อาหารจานด่วนยอดฮิตติดอับดับ  ส่วนองค์ประกอบของผัดกะเพราที่โป๊ะมาบนจานข้าวอาจจะมีแตกต่างกันไป  ทั้งผักและเนื้อสัตว์ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ใส่ลงไปตามแต่สไตล์ของคนผัดและคนกินจะเลือกสรร  แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั้นคือกะเพรา  ข้าวผัดกะเพราที่เราคุ้นๆ กัน  กับข่าว “กะเพรา” ที่เห็นข้างหน้า ทำให้เราเห็นอะไรที่ไปไกลกว่า กะเพรา และพืชร่วมตระกูลอย่าง โหรพา แมงลัก ยี่หร่า   และพืชต่างตระกูลอย่าง ผักชี พริกขี้หนู พริกหยวก พริกชี้ฟ้า มะระจีน มะระขี้นก รวมไปถึง มะเขือเปราะ มะเขือยาว มะเขือขาว มะเขือม่วง มะเขือเหลือง และมะเขือขื่น ราว 16 ชนิด  กลายเป็นผักที่คนในยุโรป 27 ประเทศ นิยมกินและสั่งนำเข้าจากไทย ทำรายได้มูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 700 ล้านบาท  ฝ่ายเจ้ากระทรวงพาณิชย์ออกมายืนยันว่า ความนิยมในรสชาติอาหารไทย-ร้านอาหารไทยที่มีอยู่ในอียูหลายพันแห่งยังครองกระแสและมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต จนทำให้ใน 11 เดือนแรกของปี 53 ไทยส่งออกสินค้าประเภท เครื่องเทศและสมุนไพรไปอียูจนมีรายได้สูงถึง 356.1 ล้านเหรียญสหรัฐ   แต่กลับกลายว่าผู้ส่งออกไทยจะกำลังเผชิญปัญหา เพราะว่าสหภาพยุโรป(อียู) ได้งัดมาตรการปกป้องผู้บริโภคด้วยมาตรฐานสุขอนามัยแบบคุมเข้มขึ้นมา ซึ่งจากการตรวจสอบพืชผักที่ผ่านเข้าตามรายการที่ว่ามาพบว่ามีการตกค้างทั้งสารเคมี และเชื้อจุลินทรีย์  และได้ส่งเรื่องแจ้งให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างกรมวิชาการเกษตรทราบถึงปัญหามากกว่า 700 เรื่อง ในตลอดช่วงปีที่ผ่านมา จนทางกรมวิชาการฯ คิดว่าจะระงับจากส่งพืช 16 ชนิดนี้ไปอียูชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้  เพื่อตรวจสอบ และคุมเข้มให้ได้สินค้าดีตามมาตรฐานที่อียูกำหนดปัญหาที่ว่าได้แก่ สารตกค้าง 60 %  การลักลอบ 20 % และอื่นๆ เช่นการติดฉลาก  กรมวิชาการฯ ได้แจงต่อไปอีกว่าได้เตรียมแผนสำรองเพื่อหาตลาดใหม่ทดแทนอย่างญี่ปุ่น รวมทั้งขยายตลาดภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายสร้างความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อนำสินค้าผ่านเกณฑ์ไปจำหน่าย ตามโรงพยาบาล  ท้ายข่าวยังมีความเห็นของผู้ส่งออกไว้ให้อ่านด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากผู้ส่งออก 2 ราย (ไหน?) แต่มาตรการแก้ไขที่กรมวิชาการเสนอทำให้ผู้ส่งออกทั้งหมดร่วม 20 รายต้องเสียหาย  ฝ่ายเกษตรกรผู้ผลิตซึ่งมีแหล่งปลูกรวมแล้วราว 1,800 ไร่ ที่นครปฐม ปลูกกะเพรา โหรพา และสะระแหน่ ขายได้ปีหนึ่งราว 12.4 ล้านบาท  , 15.9 ล้านบาท และ 3.3 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เริ่มหาทางลดความเสี่ยงทางการตลาดของตัวเองลงโดยการหันมาปลูกผักบุ้งจีนสลับลงในแปลง  อ่านข่าวแล้วได้แต่รำพึง   ในฐานะที่เป็นคนอยู่ในประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าและวัฒนธรรมอาหารไทย  ได้แต่ทอดถอน และหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาคุณภาพอาหารของตัวเองไปตามอัตภาพกันเถอะเรา   ใครพอมีที่มีทาง มีแสงสว่างส่องถึง ก็เตรียมจัดหากระถาง ขนาดย่อมเอาไว้ให้พอเหมาะพอดี ปลูกผักประเภท ผักชีฝรั่ง กะเพรา โหระพา พริก เอาไว้ติดบ้าน ดีหน่อยที่บ้านแม่พอมีที่ทางปลูกต้นมะเขือเปราะ มะเขือม่วงได้บ้าง  แต่ระหว่างรอผลที่มันจะงอกเงยมาจากต้นที่ปลูกข้างบ้าน  ก็คงต้องทำใจเลือกซื้อเลือกหาจากตลาดมากิน  ใครมีแหล่งผู้ผลิตดีๆ เอาไว้ก็โชคดีหน่อย   ถ้ามาดูในอาหารจานโปรดของแม่และฉันก็ล้วนแต่มีส่วนประกอบหลักจาก 16 พืชส่งออกเจ้าปัญหานี้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะผัดพริกแกงเผ็ด ผัดฉ่า แกงป่า  แกงกะทิ แกงเขียวหวาน ต้มยำ  ฯลฯ   มากน้อยต่างไป แต่ยังไงก็ต้องมีสักอย่าง 2 อย่างอยู่ดี   ปลาหมึกผัดเผ็ด เครื่องปรุง ปลาหมึกสด   2 – 3 ตัว หั่นเป็นชิ้นพอคำ  ,  พริกแกง  1 ช้อนโต๊ะ  (พริกบางช้างแห้ง , กะปิ , ข่า , ตะไคร้ , ผิวมะกรูด หอมแดง) มะเขือเปราะ  5 – 6 ลูก  ผ่า 4 ,  ใบมะกรูด 3 – 4 ใบ ฉีก ,  พริกสด 3 – 4 เม็ด  หั่นเฉียง, กระชาย  5 – 6 ราก  หั่นเป็นเส้นฝอยตามแนวยาว  , พริกไทยสด  3 – 4 ช่อ  ,  ใบโหรพา  1 ขยุ้มมือ  , น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำปลา , น้ำตาลทราย  วิธีทำ ตั้งกระทะไฟปานกลาง  ใส่น้ำมันให้ร้อนแล้วนำพริกแกงลงไปผัดให้สุกหอม  ใส่น้ำปลา น้ำตาล ตามชอบ   จากนั้นใส่เนื้อปลาหมึกหั่นลงไปผัดเร็วๆ  ตามด้วยมะเขือเปราะ  เติมน้ำได้นิดหน่อย  มะเขือเปราะสุกแล้วใส่กระชาย พริกไทยสด ใบมะกรูด ใบโหรพา และพริกสด   ผัดฉ่าปลาหมึก เครื่องปรุงและวิธีทำ คล้ายกับปลาหมึกผัดเผ็ด  แต่... เปลี่ยนจากพริกแกง เป็น กระเทียมไทยสับกับพริกขี้หนู  และใบโหระพา เป็นกะเพรา  และมะเขือเปราะเป็นยอดมะพร้าวหั่นเส้นแทน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 93 ยาต้านความชรามีจริงหรือ

สวยอย่างฉลาด ฉบับที่ 93รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com ริ้วรอยบนหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และถุงใต้ตาบนใบหน้าคือสัญลักษณ์ของคนมีอายุ นอกจากนั้นยังพบริ้วรอยตามผิวหนังลำตัว มือ แขน ขา และตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด ความร้อน อากาศทั้งที่แห้งและร้อนชื้น ยาต้านความชรา เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกหา ในต่างประเทศ มีการวิจัยพบว่าร่างกายของคนเรา ตอนที่เป็นเด็กจะมีฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตซึ่งเรียกว่า โกรทฮอร์โมน (Human Growth Hormone) เมื่ออายุเราสูงวัยขึ้นเป็นอายุ 60 ฮอร์โมนชนิดนี้จะลดลงเหลือเพียง 20% ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนยาน กล้ามเนื้อเหลว ไขมันลงพุง ความสดใสหรือกระปรี้กระเปร่าหดหาย ความเครียดความกังวลเข้าแทนที่ ผิวหนังซีด กระดูกบาง นอนไม่หลับ ฯลฯ ทางการแพทย์มีการฉีดฮอร์โมนชนิดนี้แก่คนไข้ที่มีปัญหาโกรทฮอร์โมนบกพร่อง ผลก็คือร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่น ผิวหนังเต่งตึง อารมณ์แจ่มใส เฉกเช่นหนุ่มสาว อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะนำโกรทฮอร์โมนมาเป็นยาต้านความชราในคนที่ร่างกายไม่เป็นโรคนั้น มีโทษมากกว่าคุณ เพราะจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย เช่น ทำให้เกิดโรคเบาหวาน มะเร็งลำไส้ ฯลฯ ยาชนิดนี้ในปัจจุบันจะมีการผลิตออกมาเป็นเม็ด สะดวกสำหรับการกิน จะพบโฆษณาตามอินเตอร์เนท ยาชนิดนี้ถูกจัดประเภทเป็นยาควบคุม ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับเป็นยาต้านความชรา แม้แต่คลินิกแพทย์ที่จ่ายยาชนิดนี้ให้คนไข้ด้วยวัตถุประสงค์ของการชะลอวัย ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ถึงแม้ไม่ได้รับยานี้โดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าหากเราต้องการให้ร่างกายได้รับโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ให้ร่างกายและจิตใจเป็นหนุ่มเป็นสาว เราสามารถช่วยตัวเราเองได้โดยการจัดโปรแกรมสำหรับกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอง คือ ต้องเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ เช่น 1.ให้เวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อนที่มากเพียงพอทุกวันอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 2. เลิกกินอาหารจานด่วน อาหารขยะที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ไขมันและแป้ง รวมทั้งให้เลิกพฤติกรรมการชอบซื้อและกินอาหารกล่องสำเร็จรูป อาหารถุง หรืออาหารแช่แข็งจากซูเปอร์มาร์เก็ต 3. ออกกำลังกายให้มากเพียงพอ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงเพื่อตามแฟชั่น4. เลิกเหล้าหรือแอลกอฮอล และบุหรี่ 5. พยายามเลิกกินยาสารพัดชนิดมากมายโดยไม่มีเหตุอันจำเป็น เพราะยาเหล่านั้นคือเคมีทั้งหลายที่จะทำลายตับไตและตับอ่อนเราได้ 6. ลดความเครียดจากภาระงานในแต่ละวันด้วยวิธีต่างๆ ตามแต่ความชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ พบว่าผู้ที่สามารถควบคุมตนเองให้เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถบังคับตนเองให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะเห็นผลชัดเจนเพียงไม่กี่เดือนว่า ผิวพรรณเต่งตึง สภาพจิตใจสดใส ไม่หดหู่ ระบบขับถ่ายดี สุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโกรทฮอร์โมนเองโดยไม่ต้องกินยาหรือฉีดยาเข้าสู่กระแสเลือด ไม่ต้องพึ่งเข็มฉีดยา และไม่มีความเสี่ยงกับการเอาสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย คนเราไม่สามารถที่จะเพียงแต่คิดอยากสาวและไม่อยากแก่ด้วยการไปพบแพทย์ที่คลินิก ให้แพทย์จ่ายยา ฉีดยา ลอกหน้าให้ใส หรือดึงหน้าให้ตึงหรืออื่นๆ เพราะถ้าสภาพจิตใจไม่ได้ดีขึ้นด้วย ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายและจิตใจไม่สมดุล นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า คนที่สุขภาพแข็งแรง คือผู้ที่อยู่ในโปรแกรมของการชะลอวัย โดยอัตโนมัติ หรือมีวิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติที่ช่วยทำให้มีอายุยืนยาวอยู่แล้ว ผิดจากชาวตะวันตกในประเทศที่เจริญมากๆ เช่น อเมริกา จะพบว่าชาวอเมริกันทุกวันนี้จะเรียกได้ว่าอยู่ในโปรแกรม “เร่งความชราภาพ” ไม่ใช่ชะลอความชราภาพ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงหรือผัดผ่อนการออกกำลังกาย กินอาหารจานด่วนและอาหารขยะเป็นประจำ กินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลปริมาณมาก บางคนอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่ทำงานมากเกินพอดี มีเวลาพักผ่อนน้อยเกินไป เกิดความเครียด แต่พยายามดูแลตนเองด้วยการกินวิตามินและอาหารเสริมเป็นกำมือเพราะคิดว่าจะช่วยชะลอวัยได้ ความจริงพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการดำเนินชีวิตที่อยู่ในโปรแกรม ‘เร่งความชราภาพ’ โดยไม่รู้ตัว ทุกท่านลองพิจารณาตนเองดูว่า ท่านอยู่ในโปรแกรมแบบไหน เร่งให้ตัวเองแก่เร็ว หรือไม่? แต่ยังพยายามถามหาและเรียกร้องเทคโนโลยีของการชะลอความแก่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 ยาแผนโบราณ ควรทานแบบมีสติ

เรามักจะพบข่าวคราวการเจือปนสารอันตรายในยาแผนโบราณเสมอๆ เจ้าสารเจือปนยอดนิยมในยาแผนโบราณที่ทางสาธารณสุขมักตรวจพบคือ สารสเตียรอยด์  ซึ่งมีการลักลอบเจือปนทั้งในผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน  การติดตามตรวจสอบเพื่อหาต้นตอก็ยากเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มันจะขายต่อกันมาเป็นทอดๆ  (ในส่วนของยาที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายนั้น เมื่อไปติดตามตรวจสอบในสถานที่ผลิตก็ไม่พบว่ามียาที่ปลอมปน ผู้ผลิตมักให้การว่ามีคนมาปลอมยาของตนไปจำหน่าย)ในระยะหลังๆ ที่เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็พลิ้วไหว แปลงกายใหม่ จากที่เคยปลอมปนในยาแผนโบราณ  ก็แอบไปปลอมปนในเครื่องดื่มกลุ่มพืชสมุนไพรแทน  โดยผลิตภัณฑ์พวกนี้มักจะตั้งชื่อยี่ห้อให้คล้ายกับชื่อยี่ห้อเดิมของยาแผนโบราณที่เคยแพร่ระบาดขายดิบขายดี เครื่องมือในการติดตามเพื่อดำเนินการกับผลิตภัณฑ์พวกนี้คือ ชุดทดสอบเบื้องต้นสำหรับใช้ตรวจหาสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปน แต่ผู้ผลิตเหล่านี้จะเรียนรู้เร็วกว่าปกติ เมื่อรู้ว่าเจ้าหน้าที่ใช้ชุดทดสอบสารสเตียรอยด์ตรวจ  ก็หันไปใช้สารตัวอื่นมาผสมแทน  เพราะเวลาตรวจจะได้ไม่เจอ ล่าสุดน้องเภสัชกรที่จังหวัดอุตรดิตถ์ได้พบพิรุธในยาน้ำสมุนไพรยี่ห้อหนึ่งที่ขึ้นทะเบียนเป็นแผนโบราณสามัญประจำบ้าน(สถานที่ผลิตระบุจังหวัดนครราชสีมา)  คุณแม่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซื้อมาจากคนแถวบ้าน (ที่อยู่ในจังหวัดแพร่ ราคาขวดละ 2700 บาทขายต่อๆ กันมา) เมื่อรับประทานแล้วก็ติดอกติดใจ อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย นอนหลับดีขึ้น  น้องเภสัชกรลองตรวจด้วยชุดทดสอบสเตียรอยด์ ก็ไม่พบสารสเตียรอยด์แต่อย่างใด  ด้วยความสงสัยว่าทำไมมันได้ผลทันอกทันใจขนาดนั้น เลยส่งผลิตภัณฑ์ตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์พิษณุโลก พบว่ามีการเอายาแก้ปวด“แอสไพริน”มาผสม หากคาดทำนายต่อไป ผู้ผลิตที่ไม่หวังดีเห็นแก่ได้โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อผู้บริโภค ก็คงนำเอาสารอื่นๆ มาเจือปนไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับได้  สุดท้ายก็จะทำร้ายทั้งผู้ป่วยและทำลายชื่อเสียงของยาแผนโบราณดีๆ ที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของเราจนหมด  ผมมีคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคที่จะเลือกใช้ยาแผนโบราณ ขอให้มีสติ พิจารณาให้ครบดังนี้1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีทะเบียน มีชื่อที่อยู่ผู้ผลิตชัดเจน และวางขายเป็นหลักแหล่งแน่นอน(เพราะหากพบว่าผลิตภัณฑ์ไม่ถูกต้อง จะได้ติดตามต้นตอเพื่อมาดำเนินคดีได้)2. เมื่อรับประทานแล้วได้ผลรวดเร็วทันใจแบบยาเทวดา ให้สงสัยได้เลยว่า น่าจะมีส่วนผสมของสารเคมีหรือยาแผนปัจจุบันเจือปน เพราะยาแผนโบราณเป็นภูมิปัญญา ผลการรักษามันจะนุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไปอย่างสมดุล3. หากรับประทานแล้วได้ผลทันอกทันใจแบบข้อ 2 ให้นำยาไปให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบ พร้อมทั้งให้รายละเอียดต่างๆ ด้วย เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามต้นตอแหล่งที่มาให้เจอ(จะได้ช่วยกันคนอื่นๆให้ปลอดภัยด้วย)ท้ายที่สุดนี้ ขอเชิญชวนหมอพื้นบ้าน หมอแผนโบราณและแพทย์แผนไทย มาช่วยกันกวาดล้าง ผลิตภัณฑ์ที่ทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ของยาไทยออกจากสังคมด้วยกันนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 168 ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(ใครจะทำไม)

“ในโลกนี้ไม่มีใครอยากแก่ จะเป็นอย่างไรถ้าเราได้ค้นพบวิธี หยุดความแก่ชราได้จริง คำตอบ คือ สเต็มเซลล์” ข้อความโปรยหัวโฆษณาที่กระหน่ำส่งมาทางอีเมล์หลายอีเมล์ในช่วงเวลาไล่เรียงกันนี้ คงกระตุ้นต่อมกลัวแก่ของใครหลายต่อหลายคนได้บ้าง ยิ่งมันไม่ได้ส่งแค่ข้อความเดียวตามลำพัง แต่มันยังส่งอาวุธลับกระแทกต่อมกลัวแก่ซ้ำเข้าไปอีก ด้วยรูปใบหน้าที่เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังที่เหี่ยวย่นตามวัยกับผิวหนังที่ดูราบเรียบขึ้นมาอย่าน่าอัศจรรย์(อันที่จริงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำแบบนี้ได้นะครับ..ฮา) ยังไม่พอครับ เจ้าโฆษณานี้มันคงกลัวคนที่กลัวแก่จะไม่ใจอ่อน มันเลยงัดเอาไม้ตายที่เด็ดเสร็จทุกรายมากระทืบซ้ำ โดยการอ้างข้อมูลที่พยายามดูน่าเชื่อถือมากขึ้น “สเต็มเซลล์ เป็นสิ่งที่สามารถซ่อมแซมร่างกาย และสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ ในขณะที่เราอายุมากขึ้นเซลล์จะเสื่อมสภาพลง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเซลล์ใหม่เข้าไปทดแทน และสิ่งที่จะเข้าไปทดแทนได้นั่นก็คือ สเต็มเซลล์ (ขึ้นต้นเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่ทำไปทำมาเหมือนทำท่าจะขายของ ลองอ่านต่อไปอีก) ดังนั้น เราจึงได้คิดค้นและพัฒนา Growth Factor Complex Technology (เอาละเหวย ใช้ศัพท์หรู ดูดีมีความขลังเข้าไว้ มันน่าเชื่อถือดี) ซึ่งจะเข้าไปฟื้นฟูและชะลอกระบวนการแก่ชรา โดย ค้นหาสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะพบได้ในชั้นไขมันของมนุษย์ ด้วยการใช้ไซรินจ์พิเศษ ในภาวะปลอดเชื้อ (มันเป็นยังไงเนี๊ย ไอ้ไซรินจ์หรือเข็มฉีดยาชนิดพิเศษเนี่ย) ดึงเอาเนื้อเยื่อไขมันและสเต็มเซลล์กลุ่มที่มีความแข็งแรงออกมา (อย่ากังวลครับว่ามันคืออะไร เพราะยิ่งสงสัย ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือกับเทคโนโลยีนี้ที่พิเศษมากขึ้นไปอีก) จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์อีกครั้ง ด้วยการปั่นแยกโดยเครื่องระบบหมุนเหวี่ยงจากศูนย์กลาง จากนั้นนำสเต็มเซลล์มาเพาะเลี้ยง และให้สารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต ในขณะที่เซลล์กำลังเติบโต เซลล์จะแบ่งตัวมากขึ้น แบบทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อเติมเต็มให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ที่มีอยู่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการที่ร่างกายใช้รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง” เป็นไงครับ ถ้าชาวบ้านทั่วๆ ไปอ่านแล้วคงทึ่งกับขั้นตอนอันแสนมหัศจรรย์ของเขา ที่สามารถไปแสวงหาและดึงเอาเจ้าสเต็มเซลล์สุดเจ๋งออกมาจนได้ แล้วก็เอามาทนุถนอมเลี้ยงและเร่งให้แพร่พันธุ์แบ่งตัวเยอะๆเพื่อมาซ่อมแซมร่างกาย แต่หากใครพอมีความรู้ร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็คงได้แต่กุมขมับไปว่า อะไรมันจะมหัศจรรย์ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะเท่าที่ทราบมายังไม่มีเครื่องสำอางใดที่ได้รับอนุญาตเรื่องสรรพคุณของสเต็มเซลล์แบบที่โฆษณานี้เลยนี่นา แล้วไอ้ที่มาป่าวประกาศปาวๆ นี้มันโอเวอร์หลอกลวงเกินจริงไปหรือเปล่า คิดให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจคร่ำครวญเพลง “ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(สตางค์) จากกระเป๋า” นะเออ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 ยาฤาษีทั้งทีก็ต้องมีอภินิหารสิ

น้องเภสัชกรจากโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ลงไปทำงานตรวจแนะนำร้านชำในหมู่บ้าน พบว่า ร้านชำบางร้านมียาแผนโบราณชนิดหนึ่งวางจำหน่าย ฉลากของยาดังกล่าวแสดงข้อความว่า ยาธาตุตราฤาษี น้องเภสัชกรท่านนี้เห็นจุดที่แปลกพิสดาร ไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะให้แปลกหรือเป็นอภินิหารของยาฤาษี เลยแจ้งเรื่องมาให้ผมทราบเพื่อป่าวประกาศให้ผู้อ่านได้รู้เพื่อจับตาเฝ้าระวัง ยานี้ มีเอกสารประกอบยา แสดงข้อความว่า ยาธาตุตราฤาษี แม้จะระบุสรรพคุณไปในแนวด้านแผนโบราณ แต่ก็ระบุสรรพคุณหลายอย่างชอบกล ทั้งโรคกษัย บำรุงสมอง บำรุงตับ บำรุงหัวใจ ไล่ไปถึง แก้ปวด บวมพอง โรคเหน็บชา แก้ท้องร่วง ท้องเดิน บิด รวมทั้ง แก้ไอ ไอหืด ไอหอบ ไอปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ เอ้อ....สรรพคุณอย่างหลังๆ นี่มันทะแม่งๆหรือเปล่าครับ เพราะดูส่วนประกอบที่แสดงบนฉลากก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก นอกจากสมุนไพร 5 อย่าง ทำไมรักษาได้หลายโรคอย่างนี้ หรือมันคืออภินิหารของท่านฤาษี นอกจากนี้ ในเอกสารกำกับยา ยังมีคำอธิบายว่า “เนื่องจากมีผู้ทำเทียมและทำยาปลอมเป็นจำนวนมาก จึงถ่ายรูปตราฤาษีติดรูปเจ้าของ เป็นเครื่องหมายการค้าให้จำได้แม่นยำ” บอกกันตรงๆ เลยว่าขายดีจนมีคนทำเทียมและเลียนแบบ? ยาชนิดนี้ หากดูเผินๆ ก็น่าจะเป็นยาแผนโบราณทั่วๆ ไป แต่จุดที่น่าสงสัยคือ ยาจะขายเป็นห่อ ในหนึ่งห่อมีประมาณ 30 เม็ด มีฉลากที่ห่อระบุว่าผลิตจากจังหวัดแพร่ แต่ในเอกสารประกอบการขายกลับเขียนคลุมเครือ ให้สับสนเพราะมีสถานที่ให้ติดต่อที่จังหวัดน่าน ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่คนที่จำหน่ายทำข้อความเพิ่มเติม แต่ที่ผิดกฎหมายแน่ๆ คือ ยาแผนโบราณก็ต้องขายในร้านขายยาแผนโบราณ ไม่ใช่มาเร่ขายตามร้านชำ ดังที่ เจ้าของร้านชำบอกว่า “ร้านค้าในเมืองจะเป็นผู้นำยามาส่ง ใช้แล้วกินดี เจริญอาหาร ราคาที่รับมาไม่มีใครจำได้แต่ขายเม็ดละ 10 บาท ห่อหนึ่งมีประมาณ 30 เม็ด” จุดที่ไม่ถูกต้องอีกประการหนึ่งคือ ฉลากยามีข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งเลขทะเบียนตำรับยา ส่วนประกอบ สรรพคุณ วันผลิต วันหมดอายุ ส่วนในเอกสารประกอบยา แม้จะมีข้อความว่าได้จดทะเบียนแล้ว พร้อมแสดงหมายเลขต่างๆ แต่ข้อความก็ไม่สอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ เพราะกฎหมายจะระบุว่าต้องใช้คำว่า ทะเบียนตำรับยา ซึ่งเป็นจุดที่มีพิรุธให้สงสัยอีกว่าเข้าใจผิด หรือได้รับการจดทะเบียนจริงหรือไม่ เพื่อเป็นการทดสอบอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ น้องเภสัชกรท่านนั้นจึงดำเนินการส่งเรื่องให้ทั้งจังหวัดแพร่ และจังหวัดน่านติดตามตรวจสอบแล้ว หากท่านผู้อ่านเจอยาที่มีอภินิหารทำนองนี้ รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อช่วยกันตรวจสอบด้วยนะครับ จะได้ไม่ต้องเสียงภัยจากอภินิหารที่ไม่คาดฝัน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 134 กะเพรา มีดีมากกว่า เมนูสิ้นคิด !

กองบอ.กอ. ฉลาดซื้อเปรยว่า ไม่เอากล้วยต่อจากฉบับที่แล้วได้ไหม ? คนหัวอ่อนเชื่อง่ายใครว่าอะไรชอบทำตาม จึงขออนุญาตผู้อ่านที่เคยรับปากว่าจะต่อเรื่องกล้วย ให้เว้นวรรคไปฉบับหน้า ก.กล้วยไม่เอา ขอเป็น ก.กะเพรา พืชสวนครัวแทนนะขอรับ กะเพรา มีชื่อเรียกทั่วไปในภาษาอังกฤษว่า Holy basil หรือ Sacred Basil แปลแบบไทยๆ ก็ “พืชศักดิ์สิทธิ์” เลยทีเดียว ใครตั้งชื่อไม่รู้แต่ที่ประเทศอินเดียเขาถือว่า กะเพราคือพืชที่ใช้ในการบูชาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ใครเคยไปจะแปลกใจอย่างยิ่งที่ตลาดสดและทางเข้าวัดฮินดูจะมีกะเพราะมัดเป็นช่อให้คนนำไปบูชา พี่แขกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าแปลงกายมาเป็นกะเพรา จึงเป็นพืชที่ใช้ปัดเป่าความชั่วและเคราะห์ร้ายต่างๆ บ้างบ้านถึงกับปลูกกะเพราไว้ในบริเวณบ้านหรือปลูกในกระถางนำมาบูชา และนำมาใช้เป็นยาบำบัดโรคและอาการต่างๆ มากมาย แต่ควรจำไว้ให้ดีถ้าไปเยือนแดนภาระตะ ห้ามไปผัดกะเพรากินเด็ดขาด พี่แขกเขาบูชาและไม่มีวัฒนธรรมหม่ำผัดกะเพรา(นะนาย) เคยมีคนไทยไปอยู่แล้วคิดถึงรสชาติอาหารไทยมาก เห็นปลูกกะเพราะเต็มบ้านเลยเด็ดมาผัดกะเพราะไข่ดาว งานเข้า..... พี่แขกเคืองว่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของไอทำไมยูฟาดซะเรียบ !   กะเพราดีอย่างไร ? กล่าวตามหลักทฤษฎีรสยา กะเพรามีรส เผ็ด ฉุน และขม (ลองเคี้ยวใบกะเพราสดๆพิสูจน์ดูได้) รสยาแบบนี้หมอแผนไทยท่านใช้แก้โรคและอาการได้หลายอย่าง คือ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไข้ได้โดยเฉพาะไข้หนาวๆ เพราะกินกะเพราแล้วช่วยทำให้ร่างกายร้อนขึ้น แก้อาการหอบหืด หลอดลมอักเสบ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับเตรียมความพร้อมรับภัย ตรงที่ปลูกผักสวนครัวไว้ในกระถาง หากหนีน้ำก็เอากะเพราขึ้นไปชั้นสองด้วย ยามที่ปวดท้อง มีลมในท้อง ระบบธาตุ(กระเพาะลำไส้)ไม่ปกติ ให้กินกะเพราช่วยบรรเทาอาการได้ดี วิธีง่ายที่สุดกินสด เด็ดใบ 8-10 ใบ ล้างน้ำเคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนกินไปเลย ดื่มน้ำตาม ถ้าทนรสเผ็ดไม่ไหวตำคั้นเอาน้ำกิน ใบสด 1 กำมือ ตำคั้นเอาแต่น้ำ ได้น้ำยาประมาณ ๒ ช้อนแกง ดื่มรวดเดียวซี๊ดปากกับรสชาติ ถ้าเลือกแบบมีระดับไม่เผ็ดมาก ให้ชงน้ำกิน เป็นการเก็บตัวยาไว้ใช้ในยามจำเป็น เอาใบไปตากแห้ง แล้วบดเป็นผง เก็บใส่โหลดปิดสนิท ยามที่ต้องใช้ ผงยา 1-2 ช้อนชา ชงน้ำร้อนแก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ 15 นาที จิบกินทั้งน้ำยาและผงยาให้หมด หรือชอบสดใช้ใบสด 10-15 ใบ ใส่แก้วชงน้ำร้อน ปิดฝาทิ้งไว้ 15 นาที แล้วนำมาจิบกินได้ฤทธิ์ยาเช่นกัน ถ้าบังเอิญเด็กเล็กปวดท้อง ท้องอืดเฟ้อ ลองเอาใบสดหลายๆ ใบมาขยี้ในฝ่ามือทั้งสองข้าง จะได้น้ำยาสีดำๆ เอายานี้ไปทาที่ท้องเด็กยกเว้นสะดือ และทาที่ฝ่ามือฝ่าเท้าน้อยๆ บางครั้งเอาน้ำยากะเพราะผสมน้ำผึ้งให้เด็กกินก็ได้ แต่ขอบอกว่าวิธีทาท้องนี้ ใช้กับพี่ๆ ผู้ใหญ่ไม่เวิร์คนะ เพราะบรรดาพุงไขมันและผิวหนังของพี่ๆ หนาเกินกว่าตัวยาจะแทรกซึมไปได้ และการศึกษาวิจัยใหม่ๆ พบว่ากะเพรามีน้ำมันหอมระเหย ที่ทำให้เราได้กลิ่นฉุนๆ นั้น มีคุณสมบัติทางยาหลายประการ เช่น พบว่าแก้หืด แก้อักเสบ มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยลดโคเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด และมีสารที่กินแล้วต้านความเครียดหรือช่วยให้คลายเครียดได้ ใครกำลังเครียด เมนูมื้อต่อไปขออย่าได้ดูแคลนพืชศักดิ์สิทธิ์นี้ ขอให้ลองสั่งผัดกะเพราใส่เนื้อสัตว์น้อยๆ และขอเพิ่มกะเพราะเยอะๆ ราดข้าวกิน อร่อย ได้ยาดี ไม่ใช่เมนูสิ้นคิดแน่นอน.   แมงลัก Hairy basil โหราพา Sweet basil

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 120 คิดจะรัก...ต้องระวังอย่าสำลักยา

  “ กวาวเครือขาว  บำรุงสมอง  บำรุงประสาท   กวาวเครือแดง บำรุงสมรรถภาพทางเพศท่านชาย ” ข้อความที่น่าสนใจนี้ ไม่ใช่คำพูดของผมนะครับ  แต่เป็นเสียงประกาศจากดีเจท่านหนึ่ง ผ่านทางวิทยุชุมชนแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความน่าเชื่อถือของดีเจ หรือสรรพคุณที่ระบุอย่างนั้น จึงทำให้คุณตา และคุณยายวัยหกสิบกว่า คู่หนึ่ง ถึงกับใจอ่อนยอมโทรศัพท์เข้าไปในรายการเพื่อขอสั่งซื้อยาดังกล่าว  หลังจากนั้น ไม่นานเกินรอ  ยาทั้ง 2 ชนิดก็ถูกส่งมาทางไปรษณีย์ สู่มือของผู้สูงวัยทั้งสอง  เอาละ ! นับแต่นี้ คุณตา คุณยายคู่นี้ คงจะได้บำรุงสมอง  บำรุงประสาท   บำรุงสมรรถภาพทางเพศกันสมอุรา  แต่....หลังจากเริ่มประทานยาไปประมาณ 2 เดือน โรงพยาบาล  ก็ได้มีโอกาสต้อนรับคุณยาย ด้วยอาการ เลือดออกทางช่องคลอด เป็นปริมาณมาก  ทั้งๆ ที่คุณยายท่านหมดประจำเดือนไปแล้วเมื่อ 29 ปีที่แล้ว หรือท่านจะย้อนยุคกลัวมาเป็นสาวรุ่น ?  ภญ.ติ๊ก เภสัชกรสาวสวย ของโรงพยาบาลนี้ เล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมว่า  คุณยาย ท่านรับประทานยา " กวาวเครือขาว "  ครั้งละ 1 แคปซูล  ก่อนอาหาร  เช้า  เย็น ติดต่อกัน นานถึง 50  วัน  เมื่อยาหมด ท่านก็เลยรับประทาน  " กวาวเครือแดง "  ต่อ โดยรับประทาน วันละ 1  แคปซูล  ก่อนอาหาร เช้า  เย็น   เช่นเดียวกัน  แต่พอรับประทาน กวาวเครือแดง ได้เพียง 2 วัน เท่านั้น ก็เริ่มมีเลือดออกทางช่องคลอดเป็นปริมาณมาก แถมไหลออกไม่หยุดติดต่อกันมาแล้ว 14  วัน  คิดได้ว่า คงไม่ใช่อาการย้อนยุคกลับมาสาวแน่นอน จึงรีบมาโรงพยาบาล หลังจากคุณหมอตรวจภายใน  พบการหนาตัวผิดปกติของผนังมดลูก   จึงได้ให้พักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน  เพื่อทำการรักษาต่อ เภสัชกร ติ๊ก  ตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์กวาวเครือ  ที่คุณยายท่านรับประทาน ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทั้ง ยากวาวเครือขาวและยากวาวเครือแดง   ต่างก็ขึ้นทะเบียนตำรับยา เป็น ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ และมีเลขทะเบียนยาถูกต้อง   (กวาวเครือนั้นมีสาร  Phytoestrogen  ซึ่งมีโครงสร้างคล้าย เอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนในเพศหญิง  ทำให้ผู้บริโภคเกิดผลข้างเคียงที่ตามมา    ขนาดรับประทานของกวาวเครือขาว  ไม่ควรเกิน 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน   หรือประมาณวันละ  50 - 100  มิลลิกรัม   ซึ่งปัจจุบัน อย.กำหนดขนาดรับประทานของกวาวเครือขาวไม่เกิน  100 มิลลิกรัม / วัน) ในโอกาสเทศกาลแห่งความรักที่บานฉ่ำ กระชุ่มกระชวย เรื่องราวของคุณยาย คงจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจ  ในการบริโภคยา เพราะยามีทั้งคุณและโทษ ผู้บริโภคต้องระมัดระวังก่อนเลือกบริโภคยา  โดยต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน แม้ว่ายานั้นจะขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณแล้วก็ตาม (ขอขอบคุณ ภญ.สุภาวดี   เปล่งชัย  รพ.เสลภูมิ ผู้ให้ข้อมูลเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในครั้งนี้)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 96 บริการครบวงจร

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามnuchote@hotmail.com การทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค แหล่งข่าวเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะแม้เราจะเป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็น แต่โอกาสที่เราจะไปสอดรู้เรื่องผลิตภัณฑ์หรือสถานการณ์ที่มีปัญหาบางทีมันดันน้อยกว่าเรื่องชาวบ้าน (ฮา) ดังนั้นใครทำงานด้านนี้แล้ว หากช่างพูด ช่างคุย ช่างจุ้นจ้านแบบผม บางทีข่าวมันก็มาแบบไม่ตั้งตัว ผมได้ข่าวนี้มาจากแหล่งข่าว (ขอสงวนนาม เพื่อให้มันดูลึกลับสักหน่อย) ทีแรกแหล่งข่าว ก็แค่มาถามว่าจะเอายามาให้ตรวจสอบได้มั้ย เพราะสงสัยว่ามันมีสารอะไรผสมอยู่บ้าง แต่คุยไปคุยมาผมเห็นว่าดูมันไม่ปกติ เลยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ข้อมูลว่า ยานี้เป็นยาที่เพื่อนเขากินแก้ปวดเมื่อย ได้มาจากหมอแผนโบราณคนหนึ่งที่เดินทางมารักษาโรคในจังหวัดนี้“หมอแผนโบราณ แน่หรือครับ ?” ผมถามเพราะอยากรู้รายละเอียดมากขึ้น “น่าจะใช่ เพราะหมอคนนี้แกรักษาแบบสมัยโบราณนะ มีนวด กดจุด และก็จ่ายยาแผนโบราณ เห็นคนไปหาแกเยอะทีเดียว” “ไปหาที่ไหนครับ ทำไมผมไม่เห็นได้ข่าวมาก่อนเลย” ผมถามด้วยสงสัย เพราะถ้าคนแห่กันไปรักษากันมากขนาดนี้ ย่อมไม่พ้นใบหูอันระริกและสายตาอันซอกแซกของผมไปได้ “แกไม่ได้มาทุกวันหรอก แกจะมาแค่เดือนละครั้ง มาทีก็มาพักที่รีสอร์ทเลย แต่อยู่แค่วันเดียวนะ แกมากับแฟน 2 คนเอง” “เห็นเมื่อกี้บอกว่า แกจ่ายยาด้วย แกจ่ายยาอะไรหรือครับ” “แกไม่ได้จ่ายยาให้ทุกคนหรอก ถ้าเป็นไม่มาก แกก็ใช้วิธีกดจุด นวดตามแบบโบราณของแก แต่ถ้ารายไหนเป็นเยอะหน่อย แกก็จะจ่ายยาของแก คล้ายๆ ยาลูกกลอน แต่ถ้าอาการหนักๆ แกถึงจะให้ยาฝรั่งให้กินควบไปด้วยจะได้หายเร็วๆ” “งั้นวานไปถามเพื่อนอีกทีนะครับว่า แกจะมาครั้งต่อไปเมื่อไหร่ และมาที่รีสอร์ทไหน ยังไงผมจะได้ลงไปตรวจสอบให้นะครับ อยากรู้เหมือนกันว่า แกเป็นหมอจริงหมอปลอม และแกจ่ายอะไรให้ชาวบ้านกิน อย่างน้อยจะได้ช่วยป้องกันไม่ให้ถูกหลอกครับ” ผมฝากให้แหล่งข่าวตามข้อมูลเพิ่มเติม เพราะผมก็อยากสัมผัสบริการครบวงจรแบบ One Stop Service ของพ่อหมอรายนี้เหมือนกัน เผื่อจะถ้ามีโอกาสดวงสมพงษ์กัน ก็จะได้ร่วมดำเนินคดีแบบครบวงจรกับแก ไปในเวลาเดียวกันได้เลย ไม่แน่ว่าช่วงนี้แกกำลังเดินสายบริการครบวงจรอยู่ตามรีสอร์ทไหน เอาเป็นว่าใครได้ข่าว ช่วยสะกิดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมตรวจสอบด้วยนะครับ เพราะดูจากพฤติกรรมแล้ว ไม่น่าจะถูกต้องครับ เล่นเอายาอะไรมาจ่ายก็ไม่รู้ แถมปนเปกันไปหมด ทั้งนวดแผนไทย จ่ายยาแผนโบราณ ยาฝรั่ง เอากะแกซิ

อ่านเพิ่มเติม >