ฉบับที่ 197 มือเหี่ยวก่อนวัย

ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยเป็นปัญหากวนใจของใครหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะพุ่งเป้ากันไปที่ผิวหนังบริเวณผิวหน้า แต่รู้หรือไม่ว่าอีกหนึ่งบริเวณที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดก็คือ ผิวหนังบริเวณหลังมือของเรานั่นเอง โดยหากใครที่เริ่มรู้สึกว่ามือเหี่ยวก่อนวัยแล้ว อาจทำให้ขาดความมั่นใจไปเลยก็ได้ เพราะมือเป็นอวัยวะสำคัญที่เราใช้จับสิ่งของต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ใช้จับมือกับคนข้างๆ ยังไงล่ะ ดังนั้นนี่อาจถึงเวลาแล้วที่สาวๆ และหนุ่มๆ ควรหันมาบำรุงมือกันบ้าง เพื่อป้องกันอาการมือเหี่ยวก่อนวัยมือเหี่ยวเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้างแน่นอนว่าผิวหนังของเรามีความเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ แต่ทำไมบางคนกลับพบว่ามีอาการผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะสาเหตุใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้1. ไม่สวมถุงมือเมื่อสัมผัสกับสารเคมีต่างๆหลายคนที่ต้องทำงานบ้าน เช่น ล้างจาน ซักผ้า ล้างห้องน้ำเป็นประจำ แล้วไม่สวมถุงมือก่อนสัมผัสกับสารเคมีในผลิตภัณฑ์เหล่านั้น อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองจากสารเคมี ซึ่งนำไปสู่อาการผิวหนังอักเสบ แห้งตึง หรือสูญเสียความชุ่มชื้นจนผิวหนังเกิดความเหี่ยวย่นก่อนวัยได้ 2. ล้างมือบ่อยแม้ว่าการล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่จะช่วยกำจัดเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี แต่ก็ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นได้เช่นกัน เนื่องจากสบู่มีส่วนประกอบหลักคือสารชะล้าง ซึ่งทำหน้าที่ทำความสะอาดผิวหรือทำลายล้างสิ่งสกปรก โดยอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนังและนำไปสู่ภาวะผิวแห้งได้ 3. อยู่ในสภาพร้อนหรือหนาวเป็นประจำอาการเย็นหรือร้อนเกินไปก็สามารถทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นได้เช่นกัน รวมถึงการล้างมือด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนเป็นประจำด้วย แนะวิธีป้องกันมือเหี่ยวก่อนวัยถึงเราจะเริ่มสังเกตได้ว่าผิวหนังบริเวณมือไปไกลกว่าผิวหน้าและอายุมากแล้ว แต่เราก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้เยี่ยวย่นไปเรื่อยๆ โดยสามารถดูแลรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้1. ใช้อุปกรณ์ป้องกันผิวหนังทุกครั้งหากรู้ว่ากำลังจะต้องสัมผัสกับสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาขัดห้องน้ำ น้ำยาย้อมผม ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนผิวหนังได้ก็ควรป้องกันด้วยการใช้ถุงมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการซึมผ่านของสารเคมี เช่น ถุงมือที่ทำจากวัสดุพีวีซี ยางธรรมชาติหรือยางสังเคราะห์หรือพีวีเอ โดยอาจเลือกประเภทที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง หรือใช้งานได้งานครั้ง แต่ต้องระวังเรื่องการเก็บรักษา เพราะหากถุงมือสกปรกก็จะทำให้สารเคมีตกค้าง และทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้เช่นเดิม 2. ทาครีมที่มือเป็นประจำหลังล้างมือทุกครั้งควรทาครีมบำรุงเสมอ ซึ่งเราจะใช้ครีมสำหรับทาผิวกายหรือทามือโดยเฉพาะก็ได้ เพียงแต่ควรเลือกให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีส่วนประกอบของสารให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง เพื่อชดเชยไขมันที่สูญเสียไปอย่างสารในกลุ่ม Glycol หรือ Glycerin เพราะครีมจะช่วยทำหน้าที่เหมือนน้ำมันเคลือบผิวและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ นอกจากนี้ควรเลือกครีมที่มีสามารถป้องกันแสงแดดได้ด้วย เพราะแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น เหี่ยวย่นได้3. ฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ สำหรับการฉีดสารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะฟิลเลอร์สามารถเข้าไปทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไป ซึ่งจะคงสภาพอยู่ประมาณ 6-8 เดือนและสามารถจะสลายตัวไปตามธรรมชาติ หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้ไขมันตัวเองฉีดเพื่อรักษามือเหี่ยวก็สามารถทำได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการฉีดสารดังกล่าวต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์นั้น เพราะบริเวณหลังมือมีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออันตรายอื่นๆ ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 รูขุมขนกว้าง อำพรางอย่างไรดี

รูขุมขนกว้างเป็นปัญหาใหญ่ของสาวๆ หลายคนที่ชื่นชอบการแต่งหน้า เพราะทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน ทำให้หลายคนเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการใช้เครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติในการปกปิดรูขุมขน หรือการใช้วิธีอื่นๆ เช่น เลเซอร์ลดขนาดรูขุมขน ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งแต่ละวิธีจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เราลองไปดูกันเลยรู้จักรูขุมขนเรื่องใหญ่กันสักนิดรูขุมขนบนผิวหนังของเรา เป็นทางออกของน้ำมันที่ไหลออกมาจากต่อมไขมันที่อยู่ใต้ผิว ซึ่งช่วยให้ผิวชั้นนอกมีความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ โดยใบหน้ามักเป็นบริเวณที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง เพราะมีต่อมไขมันอยู่มาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดในผู้ที่มีลักษณะผิวมัน นอกจากนี้ปัญหารูขุมขนกว้างอาจเกิดจากการดูแลผิวหน้าที่ไม่เหมาะสม วิธีเพื่อจัดการรูขุมขนกว้างแม้จะมีหลากหลายวิธีเพื่อแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง แต่เรามาเริ่มกันที่วิธีง่ายๆ ยอดนิยมอย่างการใช้เครื่องสำอางเพื่อปกปิดกันก่อน - เครื่องสำอางที่มักนำมาใช้เพื่อปกปิดรูขุมขนบนใบหน้าเรียกว่า ไพร์เมอร์ (Primer) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก่อนลงรองพื้น ทำหน้าที่ปรับสภาพผิวให้พร้อมสำหรับการแต่งหน้า ทำให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้นและอำพรางรูขุมขนให้ดูเล็กลง โดยทำหน้าที่เหมือนฟิล์มเคลือบผิวเพื่อให้ผิวเรียบเนียน และป้องกันเครื่องสำอางตกไปในรูขุมขนบนผิว เพราะไพร์เมอร์จะเข้าไปแทนที่ช่องว่างในรูขุมขนนั่นเอง ทั้งนี้ไพร์เมอร์สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตามลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์ แต่ประเภทที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ชนิดเนื้อซิลิโคนใส เพราะมีความบางเบาต่อผิวหน้ามากที่สุด อย่างไรก็ตามก็สามารถทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนหรืออาการแพ้ระคายเคืองได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากซิลิโคนสามารถเพิ่มการดูดซึมของสารในกลุ่มน้ำมันได้ดี ส่งผลให้อาจเกิดการอุดตันรูขุมขนได้ รวมทั้งบางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของสารกันเสียหรือน้ำหอม ซึ่งเราสามารถตรวจสอบฉลากก่อนใช้งานได้ และหลังการใช้งานควรล้างหน้าให้สะอาด ด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับล้างเครื่องสำอางโดยเฉพาะ - เลเซอร์กระชับรูขุมขนหรือฉีดโบท็อกซ์ เพื่อทำให้รูขุมขนที่กว้างนั้นดูมีขนาดเล็กลง เพราะรูขุมขนกว้างไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้การรักษาด้วยเลเซอร์จะเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และต้องทำต่อเนื่อง โดยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ส่วนการฉีดโบท็อกซ์มีจุดประสงค์เพื่อลดการกระตุ้นต่อมเหงื่อ เพื่อทำให้รูขุมขนเล็กลง แต่มีข้อควรระวังว่าต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดปกติกับกล้ามเนื้อได้มาก เช่น อาจมีอาการปากเบี้ยวหากฉีดลึกเกินไป นอกจากนี้ผลลัพธ์จะอยู่เพียงชั่วคราว ต้องกลับไปทำซ้ำเป็นประจำ แนะวิธีลดขนาดรูขุมขนกว้างอย่างปลอดภัยเนื่องจากรูขุมขนกว้างไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เราจึงควรเลือกวิธีลดขนาดรูขุมขนกว้างที่ปลอดภัย ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ คือ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างเหมาะสม เนื่องจากรูขุมขนกว้างมีความสัมพันธ์กับต่อมไขมันบนผิวหนัง ซึ่งหากเราผิวมันก็ยิ่งทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ดังนั้นควรทำให้ผิวแห้งเสมอ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มีลักษณะผิวหน้ามัน แต่สามารถทำได้ด้วยการล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง และเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่เพิ่มความชุ่มชื้น หรือใช้โทนเนอร์หลังการล้างหน้า เพื่อลดการสร้างน้ำมันบนผิวหน้า นอกจากนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า หรือมีความเป็นกรด - ด่างใกล้เคียงกับผิวหน้า เนื่องจากหากเราใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารชะล้างรุนแรง สามารถส่งผลให้ผิวหน้าต้องผลิตน้ำมันมากขึ้น เพื่อทดแทนน้ำมันที่ถูกชะล้างออกไปนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 195 ตกแต่งตาสองชั้นอย่างปลอดภัย

สาวเอเชียจำนวนมาก มักมีความกังวลเกี่ยวกับลักษณะดวงตาของตัวเอง เพราะส่วนใหญ่จะมีตาชั้นเดียวหรือตาสองชั้นหลบใน ทำให้เวลาแต่งตาจะเห็นไม่ชัดเจนเท่าไร ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและความสวยงามอย่างมาก หลายคนจึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีการศัลยกรรมตาสองชั้น แต่สำหรับใครที่กลัวการศัลยกรรมก็หันไปพึ่งวิธีง่ายๆ อย่าง การใช้เครื่องสำอางหรือกาวติดตาสองชั้นแทน ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรให้ความสำคัญรู้จักกาวติดตาสองชั้นกันก่อนกาวติดตาสองชั้น (Double eyelid glue) เป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ซึ่งมีไว้ใช้กับเปลือกตาเพื่อตกแต่งให้เป็นตาสองชั้น มีลักษณะเป็นกาวสีใสและขาวขุ่น โดยส่วนใหญ่จะใช้ทาลงบนสติ๊กเกอร์ตาสองชั้น แล้วจึงนำไปติดลงบริเวณรอยพับของเปลือกตาก่อนหรือหลังตกแต่งดวงตาก็ได้ อย่างไรก็ตามสาวๆ หลายคนอาจเลือกใช้กาวติดขนตาปลอมแทนกาวติดตาสองชั้น เพราะหาซื้อได้ง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะใกล้เคียงกันกาวติดตาสองชั้นผลิตจากอะไรกาวติดตาสองชั้นมีส่วนประกอบสำคัญคล้ายกับกาวติดขนตาปลอม คือ Rubber, Latex, AMP-acrylates/ diacetoneacrylamide copolymer, Ethyl cyanoacrylate และ Acrylate copolymer กาวติดตาสองชั้นปลอดภัยจริงหรือแม้กาวติดตาสองชั้นจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นวิธีแก้ไขรูปตาที่สะดวกรวดเร็ว แต่ผู้ใช้งานหลายคนอาจพบกับอาการแพ้บริเวณเปลือกตาได้ เช่น มีอาการระคายเคือง คัน บวมแดงหรืออักเสบบริเวณผิวหนังรอบดวงตา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการแพ้น้ำหอม สารกันบูดหรือสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่าง Latex (ยางธรรมชาติ) นั่นเอง เพราะสารดังกล่าวสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรืออาการแพ้ได้มาก เลือกใช้กาวติดตาสองชั้นให้ปลอดภัยเพื่อป้องกันอาการแพ้ที่ไม่พึงประสงค์ เราสามารถตรวจสอบกาวติดตาสองชั้นก่อนใช้งานด้วยวิธีเบื้องต้น ดังนี้1. ตรวจสอบฉลาก เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐาน ไม่มีส่วนประกอบต้องห้าม รวมทั้งมีสถานที่ผลิตหรือจัดจำหน่ายชัดเจน เราจึงควรตอบสอบฉลากก่อนซื้อ ซึ่งการแสดงฉลากที่ถูกต้อง ต้องเป็นภาษาไทยที่มีข้อมูลครบถ้วน ทั้งชื่อที่ตั้ง สถานที่ผลิต วันเดือนปี การผลิต ฯลฯ 2. ตรวจสอบเลขที่จดแจ้งหากเป็นเครื่องสำอางที่ได้รับมาตรฐาน จะต้องมีเลขที่จดแจ้งจำนวน 10 หลัก เพื่อเป็นการป้องกันสินค้าปลอมหรือลอกเลียนแบบ ซึ่งเราสามารถนำเลขที่จดแจ้งดังกล่าวตรวจสอบผ่านอินเทอร์เน็ต ที่เว็บไซต์ของ อย. ในส่วนของระบบงานบริการตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ (http://164.115.28.102/FDA_SEARCH_CENTER/PRODUCT/FRM_SEARCH_CMT.aspx)  3. ใช้งานอย่างถูกวิธีบางครั้งอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้งานผิดวิธี เช่น ใช้กาวมากเกินไป หรือล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก ซึ่งเราควรล้างกาวติดตาสองชั้นด้วยผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางโดยเฉพาะ (Makeup remover) และไม่ควรดึงสติ๊กเกอร์ออกแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เปลือกตาเป็นแผลและเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อขึ้นได้ อย่างไรก็ตามหากพบว่าเราใช้งานถูกวิธี หรือใช้สินค้าที่มีคุณภาพแล้ว แต่ยังเกิดอาการแพ้อยู่ อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากอาการแพ้เฉพาะบุคคล ซึ่งควรทดลองเปลี่ยนยี่ห้อ โดยอาจเลือกจากส่วนผสมที่ไม่มี Latex เพราะทำให้เกิดการแพ้ง่ายนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 194 กันแดดด้วยเครื่องสำอาง

ความร้อนแรงของแสงแดดในบ้านเรามากขึ้นทุกวัน สาวๆ หลายคนจึงต้องสรรหาสารพัดวิธีมาปกป้องผิวสวย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเลือกซื้อเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพราะเชื่อว่าเครื่องสำอางเหล่านั้นมีความสามารถในการป้องกันอันตรายจากรังสียูวีได้เทียบเท่ากับครีมกันแดดทั่วไป และสามารถช่วยประหยัดเวลาการแต่งหน้าได้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดดเพิ่มอีก อย่างไรก็ตามการป้องกันแดดด้วยวิธีดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผิวจริงหรือ เราลองไปดูกันรู้จักเครื่องสำอางผสมสารกันแดดกันก่อนเครื่องสำอางที่มีสารป้องกันแสงแดด ตามประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด เพื่อปกป้องผิวหนังหรือส่วนของร่างกายจากรังสีอัลตราไวโอเลต (รังสียูวี) แต่ไม่รวมถึงสารป้องกันแสงแดดที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางเพื่อทำหน้าที่อื่น เช่น ปกป้องผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมคุณภาพหรือแต่งสีของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ต้องมีการแสดงค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดดตามจริง ซึ่งแบ่งเป็น 1.ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าที่แสดงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันการไหม้แดงของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีบี 2.ค่า PFA (Protection factor of UV-A) คือ ค่าที่แสดงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันการดำคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีเอ และ 3.ค่า PA (Protection factor of UVA)คือ ค่าที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางแห่งประเทศญี่ปุ่นได้กำหนดขึ้นแทนการใช้ค่า PFA เครื่องสำอางกันแดดได้แค่ไหนแม้ร่างกายเราจะต้องการแสงแดด เพื่อช่วยในการสร้างวิตามินดี แต่มีข้อจำกัดอยู่ว่าควรได้รับในปริมาณที่ไม่มากเกินไปหรือประมาณ 10 – 15 นาที/วัน และต้องไม่อยู่ในช่วงเวลาที่แดดจัดหรือตั้งแต่ 10.00 น. - 16.00 น. เพราะอาจทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย ผิวไหม้ หรือเป็นมะเร็งผิวหนังได้ อย่างไรก็ตามหากเราหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงควรปกป้องผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดด ซึ่งการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารกันแดดป้องกันผิวจากรังสียูวีถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ประสิทธิภาพในการกันแดดก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้1. ปริมาณการใช้แน่นอนว่าปริมาณการใช้ที่เหมาะสม ส่งผลต่อการความสามารถในการป้องกันแดด ซึ่งหากลองเปรียบเทียบปริมาณการใช้ครีมกันแดดกับปริมาณเครื่องสำอางผสมสารกันแดดก็จะพบว่า บางครั้งเราใช้เครื่องสำอางเพียงเล็กน้อย เช่น ใช้รองพื้นทาบางๆ หรือแป้งพัฟแตะเบาๆ ที่ผิวหน้า ซึ่งระหว่างวันเครื่องสำอางเหล่านั้นก็จะหลุดลอกไปพร้อมเหงื่ออีกด้วย ในขณะที่การใช้ครีมกันแดดทั่วไป เราจำเป็นต้องใช้ประมาณ 2 ข้อนิ้วชี้จึงจะทาได้ทั่วผิวหน้า ดังนั้นหากใครที่ใช้เครื่องสำอางในปริมาณเพียงเล็กน้อย อาจทำให้การกันแดดไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทาครีมกันแดดก่อน แล้วตามด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ นั่นเอง2. ค่า SPF และ PA ในผลิตภัณฑ์บางครั้งราคาของแต่ละผลิตภัณฑ์ก็แปรผันตามความสามารถในการกันแดด ซึ่งหากผลิตภัณฑ์มี SPF หรือ PA สูง ราคาก็อาจสูงขึ้นตามไปด้วย สาวๆ หลายคนเลยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการเลือกเครื่องสำอางที่มี SPF หรือ PA ไม่สูงมากนัก แต่ใช้หลายๆ ผลิตภัณฑ์ในครั้งเดียว เพราะเชื่อว่าสามารถนำค่าดังกล่าวมาบวกกันให้สูงขึ้นได้ความจริงก็คือ แม้เราจะใช้เครื่องสำอางที่ผสมสารกันแดดหลายผลิตภัณฑ์ต่อหนึ่งครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้การป้องกันรังสียูวีเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากค่า SPF หรือ PA ไม่สามารถนำมาบวกกันได้ และความสามารถในการป้องกันแดดจะนับจากค่า SPF และ PA สูงสุดของผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เราทาเท่านั้นทั้งนี้ในการเลือกค่า SPF และ PA เราสามารถเลือกตามความเหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าทั้งสองอย่าง เพื่อการป้องกันทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี เช่น หากทำงานในร่มเป็นประจำ การเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 15 และไม่เกิน 50 ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะการเลือกค่า SPF ที่สูงเกินไป อาจทำให้เราได้รับสารเคมีมากเกินความจำเป็น ส่วนค่า PA สามารถเลือกตามเครื่องหมาย + ได้ ดังนี้ PA+, PA++, PA+++ และ PA++++ หมายถึง ประสิทธิภาพการป้องกันในระดับต่ำ กลาง สูง และสูงมากตามลำดับ ซึ่งหากเราไม่ได้เจอกับแสงมากนักก็ไม่จำเป็นต้องเลือกค่า PA สูงหรือแค่ PA++ ก็เพี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 193 อาการตาแห้งจากคอนแทกเลนส์

แม้การใช้คอนแทกเลนส์หรือเลนส์สัมผัสจะช่วยแก้ปัญหาสายตา และทำให้หลายคนรู้สึกสะดวกสบายกว่าการสวมแว่นตา รวมทั้งช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับดวงตาได้ แต่การใส่คอนแทกเลนส์เป็นประจำหรือใช้ไม่ถูกวิธีก็สามารถสร้างปัญหาได้เช่นกัน ซึ่งปัญหาหลักก็คืออาการตาแห้งนั่นเอง โดยเราจะมีวิธีหลีกเลี่ยงหรือป้องกันอย่างไร ไปดูกันเลยรู้จักอาการตาแห้งกันก่อนอาการตาแห้ง เกิดจากความผิดปกติของน้ำตาที่มีปริมาณไม่เพียงพอ น้ำตาหล่อเลี้ยงน้อยหรือมีการระเหยที่มากเกินไป ซึ่งเมื่อเราใส่คอนแทกเลนส์เข้าไปจะทำให้มีอาการคัน เคืองตา แสบตาหรือลืมตาไม่ขึ้น คล้ายมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยหากปล่อยทิ้งไว้อาการจะยิ่งรุนแรงขึ้น จนอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือกระจกตาเป็นแผลได้ อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย นอกเหนือไปจากการใส่คอนแทกเลนส์ เช่น การจ้องจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน หรือจากความเสื่อมของต่อมน้ำตาตามวัย เป็นต้นแนะวิธีเลือกคอนแทกเลนส์ให้ปลอดภัยการเลือกซื้อเลือกซื้อคอนแทกเลนส์ให้ปลอดภัยต่อดวงตาของเรา สามารถทำได้ดังนี้ 1. ตรวจสอบประเภทของคอนแทกเลนส์คอนแทกเลนส์สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือชนิดแข็งและนิ่ม โดยเลนส์ชนิดนิ่มจะมีค่าอมน้ำสูงกว่าชนิดแข็งหรืออยู่ที่ 30 – 70% เพราะผลิตจากสารที่สามารถดูดซึมน้ำได้ดี ซึ่งเลนส์จะมีลักษณะนิ่มและรูปร่างไม่คงที่ แต่อากาศและน้ำจะหมุนเวียนได้สะดวก ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายตาและนิยมใช้งานมากที่สุดอย่างไรก็ตามปริมาณค่าอมน้ำส่งผลต่อความหนาของคอนแทกเลนส์เช่นกัน ซึ่งหากมีค่าอมน้ำสูงกว่า 50% เลนส์ก็จะหนาขึ้น ทำให้บางคนอาจรู้สึกระคายเคืองตา และต้องเลือกใช้เลนส์ที่มีค่าอมน้ำต่ำกว่า 50% เพื่อให้ได้ขนาดที่บางลงและพอดีกับดวงตามากขึ้น ดังนั้นการเเลือกซื้อคอนแทกเลนส์จึงต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ใช่จากค่าอมน้ำสูงเพียงอย่างเดียว 2. ตรวจสอบรายละเอียดสำคัญตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องเลนส์สัมผัส พ.ศ.2553 กำหนดให้คอนแทกเลนส์เป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่ง โดยมีหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อคอนแทกเลนส์ทุกครั้ง เราควรตรวจสอบรายละเอียดบนฉลาก ซึ่งต้องมีภาษาไทยที่สามารถอ่านได้ชัดเจนและระบุข้อความอย่างน้อย ดังนี้1. ชื่อเลนส์สัมผัสและวัสดุที่ใช้ทำเลนส์สัมผัส 2. พารามิเตอร์ของเลนส์สัมผัส (Contact Lens parameter) เช่น กำลังหักเห ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง รัศมีความโค้ง เป็นต้น 3. เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต 4. เดือนปีที่หมดอายุ 5. เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ 6. ชื่อและประเทศของผู้ผลิต3. ใช้งานตามคำแนะนำการใช้งานคอนแทกเลนส์ผิดวิธี นอกจากสามารถทำให้เกิดอาการตาแห้งได้แล้ว ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติกับดวงตาในรูปแบบอื่นได้อีกด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว เราจึงควรใช้งานตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้ 1. หยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น แต่หากพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาควรหยุดใช้ทันที และรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ 2. ไม่ควรใช้เกินอายุของเลนส์ที่ระบุโดยผู้ผลิต 3. ไม่ใส่นอนหรือว่ายน้ำ เพราะสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาได้ 4. ไม่ใช้คอนแทกเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น 5. แช่คอนแทกเลนส์ในน้ำยาสำหรับคอนแทกเลนส์โดยเฉพาะ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 เล็บสีเจล สวยให้ปลอดภัย

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักต้องการให้เล็บมือและเล็บเท้าสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในวิธีการยอดฮิตเพื่อตกแต่งเล็บให้สวยงามก็หนีไม่พ้นการทาเล็บสีเจล เพราะนอกจากจะทำให้เล็บมีสีสันสวยงามแวววาวกว่าการทาเล็บแบบธรรมดาแล้ว ยังทำให้เล็บสวยนานอยู่ทนทานเป็นเดือนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการทำเล็บด้วยวิธีดังกล่าวจะมีข้อดีมากหรือน้อยกว่าข้อเสียอย่างไร เราลองไปดูกันมารู้จักเล็บสีเจลกันสักนิดการทาเล็บสีเจล เริ่มเป็นที่นิยมในบ้านเราเมื่อประมาณ 3 - 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการใช้ยาทาเล็บชนิดเจล (Gel nail polish) มาทาลงบนเล็บจริง หรือเล็บที่ต่ออะคริลิคแล้ว โดยยาทาเล็บชนิดนี้มีจุดเด่นตรงที่ติดทนนาน หรืออยู่ได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาของแต่ละคน และมีสีสันสดใสสวยงามกว่ายาทาเล็บทั่วไป อย่างไรก็ตามหากต้องการล้างออก ต้องใช้ยาล้างเล็บสำหรับเล็บเจลโดยเฉพาะ และไม่สามารถปล่อยให้แห้งเองได้ ต้องใช้เครื่องอบเล็บเท่านั้น นอกจากนี้วิธีการทาเล็บเจลยังต่างจากการทาเล็บธรรมดา เพราะต้องตะไบหน้าเล็บก่อนลงสี เพื่อช่วยให้สีเกาะหน้าเล็บผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อทาเล็บเจลแม้ยาทาเล็บเจลจะสามารถทำให้สีติดทนนานและสวยงามกว่าปกติ จนเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้- หน้าเล็บเสียโฉม เพราะทุกครั้งที่ทาและล้างเล็บเจล ต้องมีการตะไบหน้าเล็บออกเสมอ ซึ่งหากเราทำประจำสามารถส่งผลให้หน้าเล็บพัง หรือมีลักษณะเป็นรอยขูดได้ โดยต้องใช้เวลาดูแลประมาณ 2 – 3 เดือนเพื่อทำให้หน้าเล็บกลับมาปกติเหมือนเดิม นอกจากนี้บางคนอาจเกิดอาการเล็บอ่อนแอ เปราะหักง่าย หรืออักเสบ เพราะถูกตะไบหน้าเล็บออกมากเกินไป- เกิดความผิดปกติที่เล็บ หากอุปกรณ์ที่ใช้สะอาดไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้เชื้อโรคเข้าสู่เล็บหรือเกิดเชื้อราที่เล็บได้ ซึ่งจะทำให้เล็บผิดปกติ เช่น เล็บเป็นขุย เปลี่ยนสี โค้งงอบิดเบี้ยว หรือแตกเปราะ- เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจและดวงตา ตามข้อมูลจากสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ระบุว่าสารเคมีฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในยาทาเล็บ สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ในกลุ่มผู้ที่ไวต่อสารเคมีได้ โดยหากสัมผัสกับผิวหนังจะปรากฏเป็นผดผื่นและมีอาการคัน หรือหากสูดดมเข้าไปเป็นประจำ สามารถสร้างความระคายเคืองในลำคอ หรือก่อให้เกิดโรคมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้- มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง เพราะเล็บสีเจลต้องถูกทำให้แห้งด้วยเครื่องอบเล็บเจล เนื่องจากไม่สามารถแห้งได้ด้วยแรงลมธรรมดา ซึ่งต้องอบหลายครั้งเพื่อช่วยให้สีแห้งสนิท ดังนั้นผู้ที่ใช้บริการเป็นประจำอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เพราะเครื่องอบเล็บเจลใช้ความร้อนจากจากหลอดยูวี (UV) และหลอดแอลอีดี (LED) แต่สามารถป้องกันได้เบื้องต้นด้วยการทาครีมกันแดดที่มือ- ราคาค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันพบว่าอัตราค่าบริการ เริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับลายที่เลือก ร้านหรือยี่ห้อของน้ำยาเราสามารถเลือกวิธีทำเล็บให้สวยสมใจและปลอดภัยได้ดังนี้- ล้างเล็บอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยป้องกันหน้าเล็บเสียโฉม ซึ่งเราควรเลือกทำเล็บกับช่างผู้ชำนาญ- เว้นช่วงการทำเล็บบ้าง เพื่อให้เล็บเกิดการซ่อมแซมตัวเอง ‪ซึ่งหากพบว่าหน้าเล็บบาง ถลอก หรืออักเสบ ควรดูแลจนกว่าจะหายแล้วค่อยทำใหม่ ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน แต่หากพบว่าเล็บไม่มีปัญหาอะไรก็สามารถเว้นระยะ 1-3 เดือนแล้วค่อยทำอีกครั้งก็ได้ ‬‬‬- บำรุงเล็บและมือเสมอ ด้วยการทาครีมกันแดดก่อนเข้าเครื่องอบเล็บเจล และทาครีมบำรุงมือและเล็บเป็นประจำ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเล็บ เช่น อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารประเภทโปรตีนอย่าง ถั่ว ปลา เต้าหู้ หรืออาหารที่มีวิตามิน A C และ E สูง เช่น กล้วย แคนตาลูป ผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว มะม่วง มะละกอ พริกไทย ฟักทอง มะเขือเทศและเมล็ดธัญพืช หรืออาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เช่น อาหารทะเล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 ยิ้มเห็นเหงือกมากไป แก้ไขอย่างไรดี

หนึ่งในปัญหาความงามของสาวๆ คือ การยิ้มเห็นเหงือกมากเกินไป ซึ่งสามารถทำให้ขาดความมั่นใจเวลายิ้มได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันเราสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ด้วยหลากหลายวิธีการ ซึ่งจะมีอะไรบ้างและมีข้อแตกต่างอย่างไร ลองไปดูกันเลยรู้จักภาวะยิ้มเห็นเหงือกกันก่อน ภาวะยิ้มเห็นเหงือกมากเกินไป (Gummy Smile) มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกริมฝีปากบนและมุมปากทำงานเกินพอดี หรือเหงือกเจริญลงมาคลุมคอฟันมากเกินไป ทำให้เวลายิ้มแล้วเห็นเหงือกมากกว่าปกติ วิธีการแก้ไขภาวะยิ้มเห็นเหงือก วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สามารถทำได้หลากหลายและมีข้อแตกต่างกัน ดังนี้ - การศัลยกรรมตกแต่งเหงือก (Gingivectomy) คือ การตัดแต่งเฉพาะเหงือกส่วนเกินออก ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์ ซึ่งจะทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็ก และสามารถหายสนิทภายใน 1-2 เดือน ข้อดีคือให้ผลการรักษาเป็นแบบถาวร เหงือกจะไม่กลับมางอกซ้ำอีก และราคาไม่สูงมากนัก โดยอัตราค่าบริการมักขึ้นอยู่กับความยากง่ายและจำนวนที่แก้ไข อย่างไรก็ตามการศัลยกรรมดังกล่าวต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนว่า สามารถทำได้หรือไม่ เนื่องจากในบางราย การนูนของเหงือก อาจเกิดจากระดูกหุ้มฟัน ซึ่งต้องกรอแต่งกระดูกดังกล่าวก่อนตัดแต่งเหงือก นอกจากนี้บางคนอาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดที่กระดูกขากรรไกรแทน ซึ่งการผ่าตัดชนิดนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่ หลังผ่าตัดต้องมีการพักฟื้นนาน มีการใช้เหล็ก หรือสกรูดามไว้ ทำให้หลังการรักษาอาจจะทำให้การรับประทานอาหารและพูดได้ลำบากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  - การฉีดโบท็อกซ์ วิธีการนี้ใช้แก้ปัญหากรณีกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกริมฝีปากบนและยกมุมปากทำงานเกินพอดี ซึ่งโบท็อกซ์จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวทำงานน้อยลง และเกิดอาการตึงบริเวณริมฝีปาก ทำให้ฉีกยิ้มได้น้อยลงและเห็นเหงือกน้อยลงนั่นเอง ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวมีอัตราค่าบริการสูงและให้ผลการรักษาชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ 4-6 เดือน อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น เพราะหากมีการฉีดผิดจุด อาจทำให้เราขยับปากไม่ได้หรือปากเบี้ยวไปเลย - การอุดเติมเนื้อฟันหรือทำครอบฟัน วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันมีขนาดเล็กหรือสั้นผิดปกติ โดยใช้วัสดุอุดเสมือนฟันช่วยเติมซี่ฟันให้ดูยาวขึ้น หรือใช้การครอบฟันร่วมกับการตัดเหงือก ข้อเสียคือราคาสูง โดยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นที่ซี่ละ 3,500 บาท - การจัดฟัน ช่วยแก้ไขในกรณีที่ตำแหน่งฟันผิดปกติ ยื่นออกมามาก หรือฟันห่าง โดยจะใช้การจัดฟันทำให้ฟันชิดและไม่ยื่นได้ หรืออาจใช้การปักหมุดช่วยดึงฟันลงมาเพื่อให้ระดับฟันสูงขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง - การผ่าตัดตกแต่งบริเวณริมฝีปากบน หากใครที่เคยทำปากกระจับแล้วทำให้ริมฝีปากบนบางเกินไปจนทำให้เกิดภาวะยิ้มเห็นเหงือก สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเสริมริมฝีปากบนให้หนาขึ้น ซึ่งมีข้อเสียคือค่าใช้จ่ายสูงและอาจต้องรักษาหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือสามารถแก้ไขด้วยการฉีดสารเติมเต็ม (Filler) แต่ผลการรักษาจะอยู่ชั่วคราว และต้องฉีดใหม่ทุกๆ 6 เดือนทั้งนี้ไม่ว่าเราจะเลือกวิธีการใดเพื่อแก้ไขภาวะยิ้มเห็นเหงือก ควรคำนึงถึงการเลือกทันตแพทย์ที่มีความชำนาญ เครื่องมือสะอาด ปลอดภัยหรือแจ้งโรคประจำตัว อาการแพ้ยาต่างๆ ก่อนทำ และควรดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด ด้วยการรับประทานยาแก้อักเสบ ทำความสะอาดช่องปากตามที่ทันตแพทย์แนะนำ และหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง ร้อนจัด หรือรสจัด เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองแผล รวมทั้งหมั่นพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 6 เดือน/ครั้ง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 เครื่องสำอาง “ปราศจากแอลกอฮอล์” จริงหรือ

คำว่า “ปราศจากแอลกอฮอล์” ถือเป็นหนึ่งในจุดขายของเครื่องสำอางส่วนใหญ่ เพราะแอลกอฮอล์เป็นตัวการหลักที่สามารถทำให้เราเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางได้ อย่างไรก็ตามหากใครที่เคยลองพลิกดูส่วนประกอบสำคัญบนฉลากของเครื่องสำอางเหล่านั้น จะเห็นว่ายังคงมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ดี ดังนั้นเราควรซื้อเครื่องสำอางดังกล่าวมาใช้หรือไม่ ลองมาหาคำตอบกันทำความรู้จักแอลกอฮอล์ในเครื่องสำอางแอลกอฮอล์ในเครื่องสำอาง มีส่วนช่วยในการทำละลายส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน และช่วยนำสารเข้าสู่ผิวของเรา ดังนั้นเครื่องสำอางทุกประเภทต้องมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามแอลกอฮอล์ที่ใช้ในเครื่องสำอางมีหลายประเภท ซึ่งเราสามารถตรวจสอบก่อนใช้งาน เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อผิวได้มารู้จักประเภทของแอลกอฮอล์แอลกอฮอล์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มที่ดีต่อผิวและกลุ่มที่สร้างความระคายเคือง ซึ่งเครื่องสำอางที่โฆษณาว่าปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ แต่หมายความว่าใช้แอลกอฮอล์ในกลุ่มที่ดีต่อผิวนั่นเอง โดยเราสามารถตรวจสอบก่อนซื้อได้ดังนี้1.แอลกอฮอล์กลุ่มที่ดีต่อผิว หรือกลุ่มที่เป็นตัวทำละลาย (Fatty Alcohol)แอลกอฮอล์กลุ่มนี้ใช้เพื่อทำละลายสารที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยให้เครื่องสำอางติดผิวได้ดีขึ้น และสามารถทำความสะอาดผิว ชะล้างสิ่งสกปรกและไขมันได้ โดยมักพบในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น ครีมหรือโลชั่น ได้แก่ Arachidyl alcohol, Cetyl alcohol, Batyl alcohol, Behenyl alcohol, Ceteareth-20, Hexyl laurate, Lanolin alcohol, Oleyl alcohol, Lauryl alcohol, Panthenol (aka pantothenic acid), Polyvinyl alcohol, Stearyl alcohol, Di-PPG-3 Myristyl Ether Adipate 2.แอลกอฮอล์กลุ่มที่สร้างความระคายเคือง หรือกลุ่มที่ใช้ฆ่าเชื้อ ใช้แทนสารกันเสียแอลกอฮอล์ประเภทนี้ใช้เป็นส่วนผสมของยาทาผิว มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เป็นสารกันบูด นิยมผสมในเครื่องสำอางประเภทน้ำหรือของเหลว โดยส่วนใหญ่พบใน โทนเนอร์ เซรั่มใส่ผม น้ำหอม สเปรย์ และมักทำให้เกิดผิวระคายเคือง ผิวแห้งเพราะทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการแพ้เครื่องสำอางได้ โดยแอลกอฮอล์กลุ่มนี้ ได้แก่ Ethyl Alcohol, Isopropyl Alcohol, Chlorphenesin, SD Alcohol, Alcohol Denat, Benzyl Alcohol, Methanolแนะวิธีเลือกแอลกอฮอล์ให้เหมาะกับผิวเนื่องจากเราหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางได้ยาก วิธีการเลือกแอลกอฮอล์ให้เหมาะกับผิวจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนอกจากเราจะสามารถเลือกโดยการดูประเภทของแอลกอฮอล์ก่อนนำมาใช้งานแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ อีกเล็กน้อย ดังนี้- เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น หากเราเป็นคนผิวแห้ง ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ใช้แอลกอฮอล์กลุ่มฆ่าเชื้อเป็นส่วนผสม เพราะสามารถทำให้ผิวสูญเสียน้ำและยิ่งแห้งขึ้นไปอีก ซึ่งตรงข้ามกับคนผิวมัน ที่สามารถใช้แอลกอฮอล์กลุ่มดังกล่าวได้ เพราะช่วยให้ความมันบนใบหน้าลดลง- ทดสอบการแพ้เบื้องต้นก่อนใช้ทุกครั้ง โดยการทาเครื่องสำอางไว้ตรงบริเวณที่บอบบางอย่างใต้ท้องแขนหรือหลังใบหู ทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อทดสอบว่าเกิดอาการแพ้ แดง คันหรือไม่ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวก็ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางนั้นมาใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 สักปากชมพู ดีจริงหรือ

สีสันที่สวยงามบนริมฝีปากเป็นสิ่งที่สาวๆ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ ซึ่งสีที่ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายคงหนีไม่พ้นสีชมพูหรือแดงอ่อนๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเชื่อว่าช่วยทำให้ใบหน้าหวานและอ่อนเยาว์ขึ้นได้ โดยปัจจุบันมีหลายๆ วิธีที่จะทำให้ริมฝีปากมีสีสันดังกล่าว ซึ่งการสักปากก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่คนให้ความสนใจ เนื่องจากมีการโฆษณาว่าสามารถทำให้ปากชมพูได้ถาวร ไม่ต้องทาลิปสติกเพิ่มและดูเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการสักปากชมพูจะทำให้เราสวยสมใจและมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ลองมาดูกัน มาดูสีปากตามธรรมชาติของเราก่อนสีของริมฝีปากตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติหรือพันธุกรรมของเรา โดยมีทั้งสีชมพูอ่อน-เข้ม สีแดงและสีคล้ำ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นคล้ำขึ้นได้อีก เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยอื่นๆ มากระตุ้น เช่น การสูบบุหรี่ การรับประทานยาบางชนิดหรือการใช้ลิปสติก มารู้จักการสักปากชมพูกันบ้างการสักปากชมพูเป็นการเปลี่ยนสีปากตามธรรมชาติของเรา ด้วยการใช้สีแดงหรือส้มสักลงไปที่ริมฝีปาก หรือขอบปาก เพื่อทำให้ปากกลายเป็นสีชมพูหรือแดงอ่อนๆ ซึ่งส่วนใหญ่หลังสักแล้วสีสันจะยังไม่ออกชัดเจนมากนัก ทำให้ต้องมีการสักซ้ำหรือเติมสีใหม่เรื่อยๆ ทั้งนี้การสักปากชมพูสามารถช่วยเหลือและสร้างความสวยงามให้กับผู้ที่แพ้ลิปสติก หรือมีความบกพร่องของริมฝีปาก เช่น ไม่มีขอบปาก รวมทั้งผู้ที่อาจมีความยากลำบากในการแต่งหน้า เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคข้อ โรคที่ทำให้มือสั่นหรือเคลื่อนไหวมือไม่สะดวก และผู้มีปัญหาด้านสายตาให้สามารถมีริมฝีปากที่สวยงามได้อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้มีข่าวเกี่ยวกับสีหรือหมึกที่ใช้สักว่า ยังไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากหลังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้สุ่มเก็บตัวอย่างสีที่ใช้สักมาตรวจสอบคุณภาพก็พบการปนเปื้อนของโลหะหนักอย่างสารหนูและสารตะกั่ว ซึ่งอาจส่งผลต่อการเป็นมะเร็งและโรคหลายชนิดได้ รวมทั้งยังสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นผื่นหรือตุ่มแดง โดยบางรายอาจเกิดอาการคันในตำแหน่งของรอยสักนั้นๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ผิวหนังอักเสบได้ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อในบริเวณที่ทำ เนื่องจากจากเข็มหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องไม่สะอาด และอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูนที่ผิวหนังได้อีกด้วยเราควรตรวจสอบอะไรบ้างก่อนตัดสินใจแม้การสักปากชมพูจะช่วยอำนวยความสะดวกหลายอย่าง แต่ก็สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนาได้ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ยังไม่ได้จัดให้หมึกสำหรับสักลายเป็นเครื่องสำอาง และยังไม่มีข้อบังคับว่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องปราศจากเชื้อ เราจึงควรระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนตัดสินใจสักปากชมพู ดังนี้- ตรวจสอบอุปกรณ์ว่ามีความสะอาดหรือไม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือเชื้อเอชไอวี- ตรวจสอบสถานบริการ โดยเราควรเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ- ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาและโรคของตัวเอง เช่น หากเคยมีประวัติเคยเป็นเริมที่ริมฝีปาก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อขอรับประทานยาป้องกันโรคก่อนสัก รวมทั้งหากมีประวัติแพ้สารใดมาก่อน ควรพิจารณาส่วนประกอบสำคัญของสีที่ใช้สักอย่างละเอียด รวมทั้งไม่ควรสักในขณะที่ริมฝีปากอักเสบหรือเป็นแผล- ตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจ ซึ่งแต่ละสถานบริการจะคิดราคาต่างกันเริ่มตั้งแต่ 4,000 – 8,000 บาท - ตรวจสอบวิธีการดูแลรักษาริมฝีปากหลังการสักอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการสักปากจะทำให้บริเวณริมฝีปากมีความบอบบางมากเป็นพิเศษ โดยช่วงแรกควรหลีกเลี่ยงอาหารที่สามารถทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมน้ำหรือทำให้แผลหายช้า เช่น อาหารรสจัด อาหารหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสรุนแรง และไม่ควรแกะเกาแผลขณะกำลังตกสะเก็ด เพราะอาจจะไปดึงเอาเนื้อที่ยังไม่ลอกหรือเนื้อแท้ออกมาด้วย นอกจากนี้ยังต้องใช้ขี้ผึ้งหรือลิปมัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากสม่ำเสมอ เนื่องจากการสักปากจะทำให้ริมฝีปากแตกแห้งมากขึ้น รวมทั้งยังต้องหมั่นไปเติมสีเพื่อให้ริมฝีปากสวยงามอยู่ตลอดอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 เพื่อนบ้านเป็นเหตุวิธีสังเกตเครื่องสำอางที่ปลอดภัย

การเลือกเครื่องสำอางให้ปลอดภัยจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากเราตรวจสอบรายละเอียดสำคัญต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ก่อนใช้งาน ซึ่งจะมีวิธีตรวจสอบเบื้องต้นอย่างไรลองมาดูกันเลย1. ตรวจสอบฉลากกันก่อนฉลากเครื่องสำอาง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชนิดจำเป็นต้องมี ซึ่งตามพระราชพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 กำหนดให้ระบุรายละเอียด ดังนี้ 1. ชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้า2. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต กรณีที่ผลิตในประเทศ ส่วนในกรณีที่นำเข้าให้ระบุชื่อและที่ตั้งของผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต 3. ปริมาณ วิธีใช้ ข้อแนะนำ คำเตือน เดือนปีที่ผลิตและที่หมดอายุ เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต และชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิต 4. ข้อความอื่นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภค ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกขาสำหรับกรณีภาชนะบรรจุเครื่องสำอางมีขนาดเล็ก คือ มีพื้นที่แสดงฉลากน้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร อย่างน้อยต้องแสดงข้อความ ดังนี้ 1. ชื่อเครื่องสำอาง 2. เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต 3. เดือน ปี ที่ผลิต/ปี เดือนที่ผลิต 4. เลขที่ใบรับแจ้ง ส่วนข้อความอื่นๆ ให้แสดงในใบแทรกหรือเอกสารคู่มือที่ใช้ประกอบเครื่องสำอาง2. ตรวจสอบเลขที่ใบรับแจ้งปัจจุบันเครื่องสำอางทุกชนิดต้องมีเลขที่จดแจ้งเป็นตัวเลขจำนวน 10 หลัก เช่น 10-2-5624168 โดย 2 หลักแรก บ่งบอกว่าแจ้งรายละเอียดที่จังหวัดใด ถัดมาหลักที่ 3 บ่งบอกว่าเป็นสินค้าที่ผลิต (1) หรือนำเข้า (2) หรือผลิตเฉพาะเพื่อการส่งออก (3) และหลักที่ 4 – 5 บ่งบอกว่าแจ้งรายละเอียดในปี พ.ศ. ใด ซึ่งจะมีอายุ 3 ปีนับแต่วันที่ออกใบรับจดแจ้ง ส่วนหลักที่ 6 -10 จะเป็นลำดับของการออกใบรับแจ้งในปี พ.ศ. นั้น ซึ่งเลขที่จดแจ้งจะแตกต่างจากเลข อย. 13 หลักที่ไว้กำกับควบคุมความปลอดภัยด้านอาหารหากผลิตภัณฑ์ใดผ่านการตรวจสอบจาก อย.แล้วว่าไม่มีสารห้ามใช้ (หรือหากมีสารที่ควบคุมปริมาณการใช้ก็จะต้องมีปริมาณไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด) จะได้รับเลขที่รับแจ้งและต้องแสดงเลขดังกล่าวไว้บนฉลากเครื่องสำอาง เพื่อบ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แจ้งรายละเอียดต่อรัฐตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้สืบค้นข้อมูลได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ อย. (http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/cosmetic/CSerch.asp?id=cos ) ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการระบุชื่อผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายตรงกับในฉลากหรือไม่ โดยหากเราพบว่าไม่ตรงกันก็สามารถแจ้ง อย. เพื่อให้ตรวจสอบได้อย่างไรก็ตามการที่ผลิตภัณฑ์มีเลขที่จดแจ้ง ไม่ได้หมายความว่าเราใช้แล้วจะไม่มีอาการแพ้ เนื่องจากการจดแจ้งเป็นเพียงการแจ้งส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่อาการแพ้เป็นปฏิกิริยาเฉพาะบุคคล ซึ่งต่อให้ไม่มีสารต้องห้ามอยู่ในส่วนประกอบ แต่เราสามารถเกิดอาการแพ้ได้จากสารประกอบอื่นๆ เช่น น้ำหอม แอลกอออล์หรือสารกันเสีย จึงควรทดสอบอาการแพ้เบื้องต้นก่อนใช้งานเสมอ3. สังเกตวิธีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ใดที่มีการโฆษณาโดยใช้ข้อความที่ทำให้เข้าใจว่า มีจุดมุ่งหมายสำหรับให้เกิดผลแก่สุขภาพ โครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ใดๆ ต่อร่างกายมนุษย์ หรือสำหรับใช้ในการบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค ถือว่าเป็นข้อความโฆษณาที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญอันเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เช่น “ยกกระชับ หน้าแลเรียวเล็ก ปลอดภัย 100% นวัตกรรมใหม่ ปรับหน้าเรียวง่ายๆ เมื่อใช้ต่อเนื่อง 7-14 วัน” โดยตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณา คำว่าปลอดภัย 100% ถือเป็นข้อความที่พิจารณาได้ว่าโอ้อวดเกินจริง ยากแก่การพิสูจน์4. สังเกตร้านค้าร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน เป็นทางเลือกที่ดีในการซื้อเครื่องสำอาง เพราะหากเกิดปัญหา เราสามารถติดต่อผู้รับผิดชอบได้ นอกจากนี้เราก็ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในภาชนะบรรจุหีบห่อสภาพดี และมีการเก็บรักษาอย่างดี ไม่อยู่ในที่ร้อนชื้นหรือโดนแสงแดด

อ่านเพิ่มเติม >