ฉบับที่ 107 คู่มือ Photoshop

“เลือกเล่มที่ใช่ เพื่องานที่คุณชอบ”ฉลาดซื้อ เคยได้นำเสนองานทดสอบที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังสือคู่มือการใช้งานโปรแกรมซอร์ฟแวร์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ซึ่งมีวางขายอยู่ในร้านหนังสือทั่วไป แต่ทั้งนี้ด้วยความหลากหลายของโปรแกรมซอร์ฟแวร์ที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีมากมายจนผู้ใช้เองก็แทบจะติดตามกระแสของเทคโนโลยีที่กำลังจะวิ่งแซงความรู้ความสามารถของผู้ใช้ พอจะหาซื้อหนังสือมาอ่านให้ก้าวทันเทคโนโลยีทั้งทีก็ยังต้องมาเจอปัญหาที่ว่าคู่มือสอนการใช้งานโปรแกรม Software เหล่านี้ก็มีมากมายจนประหวั่นพาลไม่มั่นใจว่าจะเลือกเล่มไหนจึงจะดีที่สุด “ฉลาดซื้อ” เล็งเห็นปัญหาของผู้อ่าน เราจึงภูมิใจนำเสนองานทดสอบหนังสือคู่มือโปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกครั้ง โดยครั้งนี้เราได้คัดและเลือกสรรหนังสือสอนการใช้งานโปรแกรมซอร์ฟแวร์หนึ่งซึ่งมีความฮอตฮิตที่สุดในการใช้งานด้านการตกแต่งภาพ และใช้งานด้านการออกแบบตกแต่งงานกราฟฟิกดีไซน์มาเป็นงานทดสอบแรกในบรรดาหนังสือคู่มือการใช้งานโปรแกรมซอร์ฟแวร์ต่างๆ ซึ่งโปรแกรมที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ Adobe Photoshop นั่นเอง ในวงการของผู้ใช้งานโปรแกรมนี้ ย่อมรู้ดีว่า Adobe Photoshop นั้นเป็นโปรแกรมสำหรับงานตกแต่งภาพที่มีการพัฒนาให้มีความสะดวกสบายและง่ายต่อการใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง เวอร์ชั่นล่าสุดของ Adobe Photoshop นั้นจึงดำเนินมาถึง Adobe Photoshop CS 4 ซึ่งข้อดีของมันเห็นจะเป็นการทำให้เครื่องมือ (Tool) ง่ายและสะดวกสบายในการใช้งานในคำสั่งต่างๆ มากขึ้น แน่นอนว่าเมื่อมีการพัฒนาโปรแกรมเป็นเวอร์ชั่นใหม่ หนังสือคู่มือย่อมมีการพัฒนาเพิ่มเติมตามไปด้วย จากการสอบถามข้อมูลโดยการจัดทำสนทนากลุ่ม (Focus Group) จากผู้มีความรู้เกี่ยวกับโปรแกรม Adobe Photoshop และผู้ที่เริ่มต้นศึกษาและใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop ในระดับเบื้องต้นผ่านทางการอ่านหนังสือคู่มือ ทำให้เราได้ข้อมูลที่น่าสนใจอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่จะนำเอาเกร็ดข้อคิดไปใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อหนังสือคู่มือโปรแกรม Adobe Photoshop เวอร์ชั่นต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกซื้อหนังสือคู่มือ โปรแกรม Adobe Photoshop ได้อย่างชาญฉลาด--------------------------ฉลาดซื้อ ได้ทำสำรวจความคิดเห็นในลักษณะ โฟกัสกรุ๊ป (Focus Group) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากกลุ่มผู้ที่เคยเลือกซื้อหนังสือคู่มือการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ซึ่งมีทั้งผู้ที่มีความรู้เรื่องการใช้โปรแกรมอยู่บ้าง ผู้ต้องการใช้โปรแกรมเพื่อปรับแต่งภาพถ่าย และผู้ที่ใช้โปรแกรมเพื่องานกราฟฟิก ทั้งผู้ที่ศึกษาอยู่ในเรื่องนี้โดยตรง และคนทั่วไปที่ต้องการศึกษาการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ด้วยตัวเอง   ข้อแนะนำก่อนเลือกซื้อหนังสือคู่มือคู่มือโปรแกรม Adobe Photoshop1.ให้เวลาอ่านเนื้อหา (ในเล่ม) สักนิดนักอ่านมือสมัครเล่นผู้ที่เคยหาซื้อหนังสือคู่มือ โปรแกรม Adobe Photoshop มาใช้แล้วนั้น กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ในกรณีของมือสมัครเล่นมักจะเกิดปัญหาจากการซื้อคู่มือบางเล่มที่แม้ลักษณะภายนอกสวยงาม และเลือกเล่มที่เหมาะกับระดับความรู้เบื้องต้นของผู้อ่านแล้ว แต่เนื้อหาภายในก็ยังไม่ได้บอกขั้นตอนที่ชัดเจน บางเล่มยังมีคำศัพท์เฉพาะหรือมีการอธิบายเชิงเทคนิคมากเกินไป ผู้อ่านทั่วไปจึงไม่เข้าใจเท่าที่ควร ผู้อ่านหลายต่อหลายท่านคงมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของตนเองในการเลือกซื้อหนังสืออยู่แล้วเป็นทุนเดิม และสิ่งที่ทำคล้ายๆ กันคือการเปิดดูคร่าว ๆ ถึงเนื้อหาภายในอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ซึ่งวิธีนี้สำหรับหนังสือทั่ว ๆ ไป อาจจะเป็นวิธีที่เหมาะสม แต่สำหรับหนังสือคู่มือ Adobe Photoshop นอกเหนือจากการเปิดอ่านหนังสือคู่มือคร่าว ๆ แล้ว สิ่งที่น่าสนใจและสามารถนำไปใช้ประกอบการพิจารณาเลือกซื้อ คือเนื้อหาในเล่มที่ควรจะต้องบอกขั้นตอนของการทำงานในเครื่องมือต่างๆ ของโปรแกรมได้อย่างเป็นระบบ และเข้าใจง่าย มีภาพประกอบ มีการอธิบายไม่วกวนหรือใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไป เพราะถ้าหากผู้อ่านซื้อไปแล้วกลับอ่านไม่เข้าใจ ก็เหมือนว่าเราไม่ได้อะไรจากหนังสือเล่มนั้นเลย 2.ถามตัวเองให้แน่ใจว่าต้องการศึกษาในเรื่องไหนหลายคนที่เริ่มหัดใช้โปรแกรม Adobe Photoshop มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการใช้โปรแกรมเหล่านี้ ในงานตกแต่งภาพหรืองานดีไซน์ต่างๆ และมีไม่น้อยที่เลือกที่จะซื้อหนังสือคู่มือมาชิมลางทดลองด้วยตัวเองก่อน แต่อย่างไรก็ตามในการเลือกซื้อหนังสือผู้ซื้อควรจะให้ความสำคัญในการเลือกซื้อตั้งแต่ครั้งแรกเพื่อจะให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องไปหาซื้อเล่มที่สอง เล่มที่สาม ติดต่อตามกันมาเรื่อยๆ เป็นการสิ้นเปลืองเงินไปไม่ใช่เล่น ๆ เริ่มจากการพิจารณาตัวเองก่อน การพิจารณาตัวเองในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเข้าทางธรรมะแต่อย่างใด แต่หมายถึงผู้ซื้อต้องตรวจสอบก่อนว่าตัวเองนั้นใช้ โปรแกรม Adobe Photoshop เพื่อวัตถุประสงค์อย่างไร และตนเองมีพื้นความรู้บ้างหรือไม่ หากเป็นเพียงคนใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop เพื่อการตกแต่งภาพของตนเองหรือเพื่อนเล็กๆ น้อยๆ หรือศึกษาเอาไว้เพื่อประดับความรู้ ก็อาจจะเลือกซื้อคู่มือสอนการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop ที่ไม่ต้องเป็นเล่มสำหรับระดับมืออาชีพ เพราะจะมีราคาไม่สูงมากนัก แต่ถ้าใครจะหันไปเอาดีทางด้านนี้ จะหาซื้อเล่มสำหรับการพัฒนาฝีมือก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพทางด้านการตกแต่งภาพกันไปเลยอันนี้ก็ไม่ว่ากันสำหรับผู้ที่ต้องการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop เพื่อใช้งานตกแต่งภาพทั่วๆ ไป ในท้องตลาดหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีคู่มือเกี่ยวกับการตกแต่งภาพแยกออกมาจากหนังสือคู่มือการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop ซึ่งหนังสือเกี่ยวกับการแต่งภาพเหล่านี้ แตกต่างจากหนังสือคู่มือการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop โดยทั่วไป ตรงที่หนังสือเหล่านี้ตอบสนองความต้องการด้านการตกแต่งภาพในลักษณะที่จำเพาะไปตามลักษณะของการแต่งภาพ เช่น แต่งภาพถ่ายให้เป็นสไตล์ต่างๆ ลบริ้วรอยของคนในภาพ ปรับแสงให้ภาพถ่ายสวยงาม เหล่านี้เป็นต้น คู่มือลักษณะนี้จึงเหมาะกับผู้ใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop ที่ต้องการทำงานเกี่ยวกับภาพถ่ายโดยเฉพาะ 3.อย่าตัดสินจากปกสวยๆ แม้ลักษณะภายนอกของรูปเล่มหนังสือคู่มือจะมีความสวยงาม มีภาพประกอบที่ดึงดูดใจ แต่ไม่น้อยเล่มเช่นกันที่เนื้อหาภายในไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อ ภาพประกอบปกที่ดูน่าเชื่อถือก็อาจจะเป็นเพียงสิ่งห่อหุ้มที่สวยงามขัดกับเนื้อหาภายใน จากการสนทนากับผู้ที่เคยเลือกซื้อหนังสือคู่มือโปรแกรม Adobe Photoshop พบว่าที่ผ่านมา มีไม่น้อยที่เลือกซื้อโดยการพิจารณาจากลักษณะภายนอกเท่านั้น เช่น ภาพประกอบปก ความหนาบางของเล่ม และสีสันของเล่ม เนื่องจากตัวเล่มในลักษณะนี้ให้ความรู้สึกของการเป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมตกแต่งภาพและงานดีไซน์ หากมีภาพปกที่สื่อถึงความมีสไตล์หรือการออกแบบดีไซน์ สีสันที่สดใส ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้เข้าใจว่าคู่มือเล่มนั้นๆ มีความเป็นมืออาชีพ ความหนาบางของเล่มก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออีกเช่นกัน หลายคนอาจจะชอบเล่มบางเบาพกพาสะดวก บางคนชื่นชอบเล่มที่มีความหนาหน่อย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่คับแน่นเต็มเล่ม 4.ราคาก็เป็นเรื่องสำคัญการเลือกซื้อหนังสือคู่มือการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop อย่างชาญฉลาด นอกจากการนำข้อควรคิดที่นำเสนอไปแล้วดังข้างต้นมาประกอบการตัดสินใจซื้อแล้ว อีกเรื่องสำคัญซึ่งท่านผู้อ่านต้องไม่ลืม คือ ควรตรวจสอบราคาของหนังสือแต่ละเล่มของแต่ละสำนักพิมพ์ก่อนตัดสินใจซื้อด้วย เนื่องจากตอนนี้หนังสือคู่มือการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop ทยอยออกสู่ตลาดกันอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้เกิดการแข่งขันกันในเรื่องราคาของแต่ละสำนักพิมพ์ตามไปด้วยการเลือกซื้อหนังสือคู่มือที่เหมาะสมกับพื้นฐานความรู้ของผู้อ่านเอง อีกทั้งยังถูกใจทั้งหน้าตาภายนอก เนื้อหาภายใน อ่านทำความเข้าใจได้ง่าย ราคาสบายกระเป๋า ย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา อาจจะเสียเวลาสักเล็กน้อยแต่รับรองว่าได้หนังสือคู่มือคุณภาพคุ้มกับราคา อีกทั้งยังได้ความรู้นำไปแต่งภาพให้สวยงามตามใจอยากได้อย่างแน่นอน ***เราสามารถแบ่งประเภทของหนังสือคู่มือการใช้โปรแกรม Photoshop ได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.คู่มือที่สอนเกี่ยวกับเทคนิคการปรับแต่งรูปภาพหรือภาพถ่าย และ 2.คู่มือที่สอนเรื่องการทำงานสร้างสรรค์ด้านกราฟฟิก ซึ่งเนื้อหาในหนังสือก็จะมีแบ่งระดับของผู้ที่ต้องการใช้ออกไปอีก คือมีตั้งแต่ระดับพื้นฐานหรือกลุ่มที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมมาก่อนเลย ไล่ไปจนถึงกลุ่มผู้ใช้ที่มีความรู้เรื่องโปรแกรมดังกล่าวเป็นอย่างดี ใช้งานอยู่เป็นประจำแต่ต้องการศึกษาเทคนิคใหม่ๆ เพื่อใช้ในการทำงาน ซึ่งผู้ที่ต้องการจะซื้อหนังสือคู่มือการใช้โปรแกรม Photoshop ควรถามตัวเองก่อนว่าต้องศึกษาในเรื่องใด ถึงขั้นไหน และต้องลองสำรวจดูว่าตัวเรามีความรู้ความเข้าใจอยู่ในขั้นไหน เพื่อช่วยให้การเลือกซื้อหนังสือได้เหมาะสมและคุ้มค่า ตรงตามความต้องการในการใช้งานของเรามากที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 107 นมโรงเรียน ปลอดภัยแค่ไหน

สวัสดีครับท่านผู้อ่านนิตยสารฉลาดซื้อทุกท่าน พชรกลับมารายงานตัวอีกครั้ง คราวก่อนผมนำเสนอข้อมูลเรื่องไส้กรอก ปรากฏว่าฮือฮากันไปพอสมควร ในครั้งนี้ผมขอนำเสนอเรื่องฮอตอีกเรื่องของปีที่ผ่านมา คือเรื่องนมโรงเรียนครับ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องหลักในโครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังฯ ที่ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดดำเนินการขึ้นเพื่อเฝ้าระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารในช่วงระยะเวลามิถุนายน 2552 – พฤษภาคม 2553 อีกเรื่องหนึ่งครับ โครงการนมโรงเรียนนี้เป็นอภิมหาโครงการที่ได้ชื่อว่า ไม่ค่อยโปร่งใสนัก อย่างเมื่อต้นปีที่แล้วก็มีข่าวนมบูดออกมาให้เดือดเนื้อร้อนใจกันไปทุกฝ่ายที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ รวมทั้งบรรดาผู้ปกครองด้วยล่ะครับที่กังวลว่า ลูกเราจะรอดปลอดภัยไหม  ดังนั้นทางโครงการฯ จึงได้ลองสุ่มตัวอย่างนมโรงเรียน โดยเก็บตัวอย่างจากโรงเรียนในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด ซึ่งแบ่งการเก็บตัวอย่างนมออกเป็นสองประเภทนะครับ คือนมพาสเจอไรซ์กับนมยูเอชที ผลการทดสอบเป็นอย่างไรบ้าง มาลองดูกันครับ นมโรงเรียนชนิดพาสเจอร์ไรซ์เก็บตัวอย่างทั้งสิ้น 16 ตัวอย่าง จาก 8 จังหวัดดำเนินงาน เฉลี่ยจังหวัดละ 2 ตัวอย่าง โดยมีรายชื่อผู้ผลิตดังนี้ สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี, สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น, หนองโพ, บ.แมรี่ แอนเดรี่โปรดักส์, สหกรณ์โคนมขอนแก่น, บ. ขอนแก่นแดรี่ส์, องค์การส่งเสริมกิจการโคนม, หจก. สารคามนมสด, ม.ขอนแก่น สถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรม, สหกรณ์โคนมเชียงใหม่, บริษัท โกล์มิลค์ จำกัด, บริษัท เชียงใหม่ เฟรชมิลค์, สหกรณ์โคนมพัทลุง, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี สงขลา, และไม่ทราบผู้ผลิต อีก 1 ตัวอย่าง ผลการทดสอบ1. พบผลิตภัณฑ์ที่มีค่าจุลินทรีย์รวม (Total Plate Count) เกินมาตรฐาน (≤ 5x104) cfu/ml จำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จาก สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น 3.8 X 105 cfu/ml, สหกรณ์โคนมขอนแก่น 105 cfu/ml, บ. ขอนแก่นแดรี่ส์ 9 X 104 cfu/ml, องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 6.1 X 107  cfu/ml, หจก. สารคามนมสด 2.7 X 106 cfu/ml, ม.ขอนแก่น สถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรม จังหวัดร้อยเอ็ด 1.7 X 106 cfu/ml, สหกรณ์โคนมเชียงใหม่ 9.2x106 cfu/ml, 2. พบผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตที่มีแบคทีเรีย โคลิฟอร์ม เกินมาตรฐาน (≤100) cfu/ml จำนวน 4 ตัวอย่าง คือ สหกรณ์โคนมขอนแก่น 4.6 X 104 cfu/ml, องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 1.1 X 104 cfu/ml, หจก. สารคามนมสด 4.6 X 104 cfu/ml, ม.ขอนแก่น สถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรม จังหวัดร้อยเอ็ด 2.4 X 107 cfu/ml, และ สหกรณ์โคนมเชียงใหม่ 1.1 X 103 cfu/ml 3. พบผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตที่มีแบคทีเรีย อี โคไล เกินมาตรฐาน (ตรวจไม่พบในน้ำนมดิบที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ 0.1 มิลลิลิตร = Not detected in/0.1ml)  จำนวน 5 ตัวอย่าง ได้แก่ หจก. สารคามนมสด, ม.ขอนแก่น สถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรม จังหวัดร้อยเอ็ด, สหกรณ์โคนมพัทลุง, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี สงขลา, และผลิตภัณฑ์ที่เก็บจากโรงเรียนบ้านลาหงา จังหวัดสตูล 4. พบผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตที่มี แบคทีเรีย S. aureus เกินมาตรฐาน (ตรวจไม่พบในน้ำนมดิบที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ 0.1 มิลลิลิตร = Not detected in/0.1ml) จำนวน 3 ตัวอย่าง ได้แก่ สหกรณ์โคนมพัทลุง, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี สงขลา, และผลิตภัณฑ์ที่เก็บจากโรงเรียนบ้านลาหงา จังหวัดสตูล 5. พบผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตที่มีค่าโปรตีนต่ำกว่ามาตรฐาน(≥ 2.8 % ของน้ำหนัก (g/100 ml)) จำนวน 3 ตัวอย่างได้แก่ สหกรณ์โคนมเชียงใหม่ 2.39%, บริษัท โกล์มิลค์ จำกัด 2.43%, และ บริษัท เชียงใหม่ เฟรชมิลค์ 2.52%   ข้อสังเกตสำคัญผลิตภัณฑ์ที่เก็บจากจังหวัดขอนแก่นของผู้ผลิตจำนวน 3 ราย ได้แก่ สหกรณ์โคนมขอนแก่น, บ. ขอนแก่นแดรี่ส์, และ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มีค่าโปรตีนเฉลี่ยค่อนข้างสูง (4.56% 4.74% และ 4.62% ตามลำดับ) ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐาน ทำให้เกิดความกังวลว่า อาจมีการปนเปื้อนสารเมลามีนหรือไม่ อย่างไร เพื่อให้สบายใจ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมเพื่อตรวจหาสารเมลามีนต่อไป นมโรงเรียนชนิด ยูเอชทีเก็บตัวอย่างทั้งสิ้น 14 ตัวอย่างจาก 8 จังหวัดดำเนินงาน โดยมีรายชื่อผู้ผลิตดังนี้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย มวกเหล็ก สระบุรี, บ. ฟรีสแลนด์ ฟู้ดส์ โฟร์โมสต์, หนองโพ, วัวแดง, สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น, องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), บ. แดรี่ พลัส, บริษัท เชียงใหม่ เฟรชมิลค์ จำกัด, โรงงานผลิตภัณฑ์นมภาคเหนือ, และบริษัท โกล์มิลค์ จำกัด ผลการทดสอบ1. พบค่าจุลินทรีย์รวม (Total Plate Count) เกินค่ามาตรฐาน (ND in 0.1 ml/ml) จำนวน 1 ตัวอย่างคือ ตัวอย่างที่เก็บจากโรงเรียนอนุบาลละงู พบค่า total plate count เท่ากับ 5x103 cfu/ ml 2. พบค่าโปรตีนฉลี่ยต่ำมาตรฐาน (≥ 2.8 % ของน้ำหนัก (g/100 ml))ในผู้ผลิตจำนวน 3 รายจากตัวอย่างที่เก็บจากจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดพะเยา ได้แก่ บริษัท เชียงใหม่ เฟรชมิลค์ จำกัด จำนวน 2 ตัวอย่าง 2.65% ที่เชียงใหม่ กับ 2.38% ที่พะเยา โรงงานผลิตภัณฑ์นมภาคเหนือ 2.57% และบริษัท โกล์มิลค์ จำกัด 2.4% ค่ามาตรฐาน นมโรงเรียนชนิดพาสเจอร์ไรซ์ Total plate count                        ≤ 5 x 104  (cfu/ml) Coliform                                   ≤ 100 (cfu/ml) E. coli                                       Not detected S. aureus                                   Not detected B. cereus                                  ≤ 100 (cfu/ml) Protein                                      ³ 2.8 % ของน้ำหนัก (g/100 ml) ตารางผลทดสอบนมโรงเรียน ชนิดพาสเจอร์ไรซ์   นมพาสเจอร์ไรซ์ ขนาด 200 มิลลิลิตร Total plate count Coliform E. coli S. aureus B. cereus Protein (cfu/ml) (cfu/ml) (/0.1ml) (/0.1ml) (cfu/ml) (g/100 ml) จังหวัด สถานที่เก็บตัวอย่าง บริษัทผู้ผลิต วันหมดอายุ กรุงเทพ รร.อนุบาลวัดไผ่เขียว สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี 26/09/52 1.4 X 102 < 1 Not detected Not detected 1 cfu 3.2 โรงเรียนราษฎร์นิยมธรรม สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น 24/09/52 3.8 X 105 1.9 X 10 Not detected Not detected < 10 cfu 3.3 สมุทร สงคราม รร. ถาวรวิทยา หนองโพ ไม่ระบุ 1.4 X 102 < 1 Not detected Not detected 1 cfu 3.1 รร. เมืองสมุทรสงคราม บ.แมรี่ แอนเดรี่โปรดักส์ ไม่ระบุ 8.3 X 10 10 Not detected Not detected < 10 cfu 3 ขอนแก่น รร. การกุศลวัดหนองแวง สหกรณ์โคนมขอนแก่น 21/09/52 10 5 4.6 X 104 Not detected Not detected < 1 cfu 4.56 รร. บ้านบ่อใหญ่ บ. ขอนแก่นแดรี่ส์ 18/09/52 9 X 104 < 3 Not detected Not detected 1 cfu 4.74 รร.เทศบาลบ้านโนนชัย องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 19/09/52 6.1 X 107 1.1 X 104 Not detected Not detected < 1 cfu 4.62 มหาสาร คาม รร. บ้านหัวหนองคู หจก. สารคามนมสด ไม่ระบุ 2.7 X 106 4.6 X 104 Detected Not detected < 1 2.99 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดบูรพา ม.ขอนแก่น สถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรม จังหวัดร้อยเอ็ด ไม่ระบุ 1.7 X 106 2.4 X 107 Detected Not detected < 1 3.17 เชียงใหม่ โรงเรียนบ้านศรีบุญเรือง สหกรณ์โคนมเชียงใหม่ 18/9/52 9.2x106 1.1 X 103 Not detected Not detected Not detected 2.39 โรงเรียนวัดศรีดอนชัย บริษัท โกล์มิลค์ จำกัด 17/9/52 4.1x103 Not detected Not detected Not detected Not detected ตัวอย่างเสีย พะเยา เทศบาล ต.บ้านต๋อม บริษัท เชียงใหม่ เฟรชมิลค์ 17/9/52 6.4 x 10 < 3 Not detected Not detected Not detected 2.52 อบต.แม่สุก บริษัท โกล์มิลค์ จำกัด 14/9/52 3.7 x 10 < 3 Not detected Not detected Not detected 2.43 สตูล โรงเรียนบ้านลาหงา ไม่ระบุ 10/9/2552 1.6 x103 < 3

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 107 "บิ๊กซี" จ่ายแล้ว5.7แสนชดเชยเหยื่อหญิงเดินตกท่อห้าง ศาลชั้นต้นชี้ประมาทเลินเล่อ

"บิ๊กซี" จ่ายแล้ว5.7แสนชดเชยเหยื่อหญิงเดินตกท่อห้าง ศาลชั้นต้นชี้ประมาทเลินเล่อ นั่นเป็นพาดหัวข่าว วันที่ 16 ธันวาคม 2552 บนหน้าหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จในการใช้สิทธิของผู้บริโภคอีกหนึ่งรายที่ตัดสินใจ เรียกร้องสิทธิจากห้างดังอย่างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ คุณจุฬา สุดบรรทัด คนธรรมดาที่กล้าต่อกรกับยักษ์ใหญ่บริษัทค้าปลีกข้ามชาติ ซึ่งมีสาขามากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ เรามาทบทวนเหตุการณ์วันกระตุกหนวดเสือกันสักนิด… เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และคุณจุฬา สุดบรรทัด เดินทางไปยัง ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์สำนักงานใหญ่ ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 97/11 ชั้น 6 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์บังคับคดีลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง เป็นจำนวนเงิน 405,808.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี …ในที่สุดบิ๊กซีก็ยอมจ่ายเงินค่าชดเชยให้เหยื่อหญิงเดินตกท่อลานจอดรถสาขาลำปาง 5.7 แสนบาท จากระยะเวลาการต่อสู้กว่า 2 ปี หลังกรมบังคับคดีบุกยึดทรัพย์ถึงสำนักงานใหญ่ “ความจริงเราก็ไม่อยากให้เรื่องถึงศาลหรอกนะ แต่เราขอเจรจากับทางบิ๊กซีแล้วว่าจะแก้ไขกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร บิ๊กซีจะร่วมรับผิดชอบอย่างไรกับค่ารักษาพยาบาลที่เราต้องผ่าตัดขาทั้ง 2 ข้างของเรา อีกทั้งจะรับผิดชอบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนของเราชั่วระยะเวลาหนึ่งอย่างไร เราต้องนั่งรถเข็น ดูแลตัวเองก็ไม่ได้ แต่ทางบิ๊กซีก็ไม่ขอเจรจา เรื่องจะฟ้องนี่ทางครอบครัวก็คัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันกินเวลานาน” มันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุย้อนเหตุการณ์ไปในเวลาเย็นย่ำของวันที่ 12 มกราคม 2550 ระหว่างที่คุณจุฬา กำลังเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปยังจังหวัดลำปาง เธอได้ขับรถยนต์แวะเข้าไปใช้บริการที่ห้างบิ๊กซีฯ สาขาลำปาง เพื่อซื้อเครื่องใช้ส่วนตัว ครั้นซื้อสินค้าเสร็จสิ้นและกำลังเดินทางกลับมาขึ้นรถที่บริเวณลานจอดรถ ตรงทางสามแยกปรากฏว่ามีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตรงมาตามทางเดินรถที่ไม่มีลูกระนาดด้วยความเร็วในระยะประชิด คุณจุฬาตกใจเกรงว่าตนจะถูกรถชน จึงก้าวขึ้นไปบนเกาะกลางถนนที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างเพื่อหลบรถยนต์ที่วิ่งเข้าใส่ หลังจากที่หลบรถยนต์ได้แล้ว คุณจุฬาจึงตัดสินใจหลบไปอีกด้านหนึ่งของเกาะกลางถนนและก้าวลงจากเกาะกลางถนนด้านที่มืดสลัว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าจุดที่ก้าวเท้าเหยียบลงไปนั้นเป็นร่องรางน้ำรูปตัววีที่ไม่มีฝาปิด ทำให้เท้าทั้งสองข้างลื่นไถลตกลงร่องรางน้ำรูปตัววีต่างระดับนั้นและเสียหลักลื่นล้มลงอย่างแรง กระดูกข้อเท้าขวาหลุดและแตกหัก อาการหนักพอดู.... หลังเกิดเหตุคุณจุฬาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเขลางค์นคร – ราม ลำปาง โดยเท้าซ้ายกระดูกนิ้วก้อยร้าว และเท้าขวากระดูกเท้าหักจนผิดรูป แพทย์ลงความเห็นต้องผ่าตัดทันที จึงอยู่รักษาตัวระหว่างวันที่ 12-15 ธันวาคม 2550 “ตัวแทนห้างฯ เขาก็นำกระเช้ามาเยี่ยมแล้วก็ยอมรับถึงสภาพที่เกิดเหตุ แล้วก็บอกว่าจะเร่งแก้ไขนะ พร้อมทั้งบอกกับเราว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเราทั้งหมด แต่ว่าขอให้เราพักรักษาตัวที่ลำปาง เราก็ฟังเขานะ” ในวันนั้นทางห้างฯ เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะรับผิดชอบ แต่หลังจากปรึกษากับญาติและทีมแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ที่กรุงเทพ ซึ่งแนะนำให้มาฟื้นฟูร่างกายที่กรุงเทพฯ จะดีกว่า เนื่องจากเธอเป็นคนสูงอายุและไม่ใช่คนในพื้นที่ การที่ญาติจะมาดูแลย่อมเป็นเรื่องที่ลำบาก เธอจึงตัดสินใจแจ้งกับตัวแทนของห้างฯ เพื่อขอย้ายตัวมารักษาฟื้นฟูร่างกายที่กรุงเทพฯ แทน “ทางห้างฯ เขาอยากให้เรารักษาตัวที่ลำปาง เพราะทางห้างฯ สาขาลำปางไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนอกพื้นที่จังหวัดลำปางได้ แต่เขาก็จะเอาข้อเสนอของเราไปแจ้งผู้บริหารแล้วจะกลับมาบอกเรา เราก็รออยู่ 2 วัน แต่ก็ไม่มีคำตอบอะไรก็เลยย้ายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎในวันที่ 15 ธันวาคม” คุณจุฬาย้อนเล่าเหตุการณ์ จากการพักรักษาตัวที่ลำปางมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณ 83,497บาท รวมค่าเดินทางและที่พัก โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางห้างดังกล่าวเลย วันที่ 13 มกราคม 2550 คุณจุฬาได้ให้เพื่อนที่ไปด้วยกันไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง (สภ.อ.) จังหวัดลำปาง ไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะพร้อมย้ายการรักษามายังโรงพยาบาลพระมงกุฏ กรุงเทพฯ ซึ่งต้องอยู่รักษาที่โรงพยาบาลเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม – 24 กุมภาพันธ์ 2550 มีค่าใช้จ่าย 149,311.50บาท รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการผ่าตัดครั้งที่ 2 เป็นจำนวน 100,000 บาท “หลังจากย้ายโรงพยาบาล และเข้ารับการรักษาไดัระยะเวลาหนึ่งก็ทำหนังสือเพื่อร้องเรียนไปยังบิ๊กซีฯ สำนักงานใหญ่ ในวันที่11 กุมภาพันธ์ 2550 พร้อมทั้งทำสำเนาส่งถึงนายกเทศมนตรีลำปางเกี่ยวกับกรณีความไม่ปลอดภัยของพื้นที่ห้าง หลังจากนั้นวันที่ 8 มีนาคม 2550 ก็ได้รับหนังสือชี้แจงตอบกลับจากบิ๊กซีว่าไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย โดยเขาชี้แจงว่าได้มีการดูแลไปตามสมควรแล้ว” หลังจากนั้นนายกเทศมนตรีลำปางส่งจดหมายถึงคุณจุฬาในวันที่ 4 เมษายน 2550 ว่าได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุแล้ว พบว่าไม่ปลอดภัยจริง จึงทำหนังสือถึงห้างให้แก้ไข “เราก็ไม่รู้นะว่าทางวิศวกรเขาออกแบบมาได้อย่างไร เพราะโดยทั่วไปท่อหรือรางระบายน้ำ ก็จะต้องมีฝาครอบมาปิด ไม่ควรที่จะเปิดทิ้งไว้อย่างนี้” คุณจุฬาเสริม คุยไม่เวิร์ก ก็ต้องฟ้องเมื่อได้รับจดหมายตอบกลับมาเช่นนั้นเธอก็ได้ขอนัดเพื่อเจรจากับทางบิ๊กซี แต่ไม่มีผู้ใดเข้าเจรจาด้วย เธอจึงตัดสินใจดำเนินเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในวันที่ 9 มกราคม 2551 โดยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้องค่าเสียหายพร้อมค่าชดเชยรวม 1,149,000 บาท ซึ่งในขณะนั้น พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ยังไม่มีผลบังคับใช้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ชนะคดีในวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 ทางบิ๊กซีฯ ต้องชดใช้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 405,808.50บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันเกิดเหตุ เนื่องจากพิจารณาจากที่เกิดเหตุแล้วเห็นว่า จำเลยซึ่งประกอบธุรกิจห้างสรรพสินค้า ประมาทเลินเล่อ ไม่คำนึงถึงประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ “โดยส่วนตัวแล้วก็เป็นคนที่ไม่ชอบปล่อยอะไรที่ไม่ถูกต้องให้ผ่านเลยไป ถ้าหากเราปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ผ่านไปอีกมันก็จะเกิดวัฒนธรรมของการละเมิดสืบต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อีก ก็ทำให้เราคิดที่จะลุกขึ้นมาสู้ แต่ก็คิดอยู่นานนะทั้งหาข้อมูลแล้วก็ปรึกษากับคุณรสนา และคุณสารี ทางครอบครัวก็คัดค้านไม่ให้ฟ้อง เพราะเรื่องศาลเป็นเรื่องที่ยืดเยื้อ แต่สุดท้ายเราก็คิดว่าถ้าเราฟ้อง เราก็จะสร้างบรรทัดฐานว่าผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบผู้บริโภค เราก็เลยตัดสินใจฟ้อง” ถึงแม้ศาลชั้นตนจะมีคำตัดสินออกมาแล้วทั้ง 2 ฝ่ายต่างใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยคุณจุฬาใช้สิทธิเพื่อแสดงสิทธิเรื่องความเท่าเทียมกันและเพื่อสร้างบรรทัดฐานในสังคม ขณะที่ทางด้านบิ๊กซีเห็นว่าเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไปจึงยื่นขอสิทธิทุเลาบังคับคดี และศาลมีคำสั่งให้บิ๊กซีนำหลักทรัพย์มาวางประกัน ในวันที่ 24 เมษายน 2552 ทางบิ๊กซีได้นำพันธบัตรของบริษัท แอ็กซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่รับผิดชอบตรงบริเวณเกิดเหตุ มาวางเป็นหลักประกัน แต่ทางศาลเห็นว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทางบิ๊กซีจะต้องเข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้ ศาลจึงคัดค้านหลักประกันดังกล่าว เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดที่ให้เอาเช็คเงินสดมาวางเป็นหลักทรัพย์ จึงมีผลให้คำร้องขอทุเลาบังคับคดียกเลิกไป แต่วันที่ 30เมษายน 2552 ทางบิ๊กซียื่นขอทุเลาการบังคับคดีอีกครั้ง และคำร้องยกเลิกไป เพราะยังเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันเดิมมาวาง พร้อมกับที่ศาลสั่งให้นำหลักทรัพย์ใหม่มาวางประกันภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ทั้งในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 และ 17 มิถุนายน 2552 และ 1 กรกฎาคม2552 และ 16กรกฎาคม2552 ทางบิ๊กซีได้ยื่นขอทุเลาบังคับคดีและศาลยกคำร้อง จนกระทั่งวันที่ 7 กันยายน 2552 ทางบิ๊กซีชี้แจงว่า ยังไม่สามารถดำเนินการตามคำสั่งศาลได้เนื่องจากยังไม่มีเงินสดตามจำนวน พร้อมยืนยันหลักทรัพย์เดิมของทางบริษัทแอ็กซ่า ประกันภัย ศาลจึงเลื่อนมาพิจารณาเมื่อวันที่ 14 กันยายน2552 โดยพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอทุเลาบังคับคดี ส่งผลให้วันที่ 15 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา คุณจุฬา พร้อมเจ้าหน้าที่จากกรมบังคับคดี เดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์สำนักงานใหญ่เพื่อยึดทรัพย์ที่เป็นของบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ตามมูลค่า 405,808.50 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ รวมทั้งสิ้นเป็นมูลค่า 576,660.33บาท ซึ่งท้ายที่สุดทางบิ๊กซียินยอมจ่ายเป็นเช็คเงินสดเต็มจำนวน อะไรคือสำนึกดีสังคมดีการลุกขึ้นมาสู้เพื่อสิทธิของคุณจุฬาครั้งนี้กินว่าเวลาการต่อสู้กว่า 2 ปี สิ่งที่เธอหวังว่าอยากจะเห็นก็คือ Corporate Social Responsibility (CSR) หรือ ความรับผิดชอบทางสังคมของธุรกิจ จะเกิดขึ้นจริง “อยากให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่อยากให้เอาเปรียบสังคมจนเกินไป ไม่อยากเห็น CSR ให้เป็นเพียงเครื่องมือทำบุญล้างบาปเท่านั้น ควรจะตระหนักให้มากทั้งความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกันไปหมด ผู้บริโภคอย่างเราๆ เองก็เช่นกันนอกจากจะใช้แล้วก็ต้องคอยติดตามเรื่องราวที่ตัวเราใช้สิทธิไปเช่นกัน แล้วเมื่อพบอะไรที่เอาเปรียบกับสังคมก็ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ควรเพิกเฉยหรือปล่อยให้สิ่งไม่ถูกต้องผ่านพ้นไป” และนั่นคืออีกบุคคลที่ฉลาดซื้อขอยกย่องค่ะ สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ คงเพราะคำว่าตามสมควร มีคำนิยามที่แตกต่างกัน การนำกระเช้าของขวัญมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล การเสนอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลโดยยื่นข้อแม้ว่าต้องรักษาที่ลำปางเท่านั้นจึงจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้ นั่นคืออีกนิยามของคำว่าตามสมควรแล้วของห้างบิ๊กซีฯ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ??

กระแสของคนใส่ใจสุขภาพมีแนวโน้มมากขึ้นตลอดเวลา จึงเป็นโอกาสของตลาดอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่พยายามพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีผลดีต่อสุขภาพ ปัจจุบันเราจึงเห็นว่ามีการโฆษณากล่าวอ้างถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเครื่องดื่มที่มีการโฆษณาว่ามีผลดีต่อสุขภาพ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Functional Drinks แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ?? กี่ครั้งกันนะที่คุณๆ อาจนึกสงสัยว่าเจ้าน้ำดื่มสารพัดยี่ห้อที่ใช้เรื่องความงามเป็นจุดขายนั้น ดื่มเข้าไปแล้วมันจะสวยได้จริงหรือ?? หนุ่มจะหันมามองตาค้างอย่างในโฆษณาจริงหรือเปล่า รวมทั้งชื่อสารเคมีแปลกๆ ที่พูดปาวๆ ในสื่อต่างๆ อะมิโนเปปไทด์ คอลลาเจน คิว 10 มันจะมีสรรพคุณวิเศษมหัศจรรย์จนสามารถบันดาลความสวยงามให้ได้จริงล่ะหรือ เรามาหาคำตอบกัน   อย.ให้ขายและโฆษณาได้ แสดงว่าของเขาดีจริงสิ??เชื่อว่ายังมีผู้บริโภคอีกหลายท่าน ที่เข้าใจผิดว่ามี อย. หมายถึงรับรองว่า ดื่มแล้วสวยจริง อันนี้ขอแก้ไขเรื่องจริงคือ อย.รับรองเพียงแค่ว่าดื่มแล้วปลอดภัย(ไม่ตาย) แต่ไม่ได้รับรองแต่อย่างใดเลยว่า ดื่มแล้วสวย ฉลาด สมาร์ท เลิศ อย่างที่เข้าใจกันไปตามที่โฆษณาบอก ลองอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ดูสิ อย.เขาไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ทางอาหารบนฉลากเด็ดขาด เพราะมันไม่มีหลักฐานอะไรที่มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไงล่ะ แต่จะไปห้ามคนไม่ให้เอาสารอาหารมาผสมน้ำขายก็ไม่ได้ เขาจึงรับรองแค่ว่า มันปลอดภัย แต่ไม่ได้ดื่มแล้วสวยขึ้นหรือฉลาดขึ้นนะ แถมยังบังคับให้น้ำดื่มพวกนี้ต้องติดคำเตือนเอาไว้ด้วย“ควรกินอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ” ฉลากบอกอะไรเราบ้าง• เกือบทุกผลิตภัณฑ์เป็นน้ำรสผลไม้(ไม่เกิน 20%) ส่วนใหญ่เป็นน้ำองุ่นขาวจากน้ำองุ่นขาวเข้มข้น เติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพื่อให้มีรสชาติดี จากนั้นก็แล้วแต่ว่าต้องการให้มีคุณสมบัติเพื่อขายอะไรก็เติมสารอาหารนั้นเข้าไป • ฉลากส่วนใหญ่ไม่มีการโฆษณาสรรพคุณว่าดื่มเพื่ออะไร แต่จะแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่า มีสารอะไรเป็นตัวเด่น(จุดขาย) แล้วให้ข้อมูลวิชาการเสริม หรือเพื่อโน้มน้าวใจผู้ซื้อ ซึ่งบางผลิตภัณฑ์เป็นข้อมูลที่คลุมเครือและน่าจะได้มีการตรวจสอบว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ “คลอโรฟิลล์สารสกัดสีเขียว จากอัลฟาฟ่า ช่วยขับสารพิษในร่างกาย บำรุงเลือด ช่วยให้ ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น” เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ คลอโรฟิลล์ • หลายผลิตภัณฑ์เนื้อที่แค่บนฉลากมันไม่พอต้องมีป้ายพิเศษเพิ่มคล้องไว้ที่ขวดด้วย ซึ่งป้ายให้ข้อมูลเพิ่มเติมนี้ บางข้อความหมิ่นเหม่เข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง “ หุ่นดีไม่มีหน้าท้อง หุ่นสวยเพรียวอย่างใจเพราะไฟเบอร์สูงช่วยระบบขับถ่าย อยากหุ่นดีไม่มีหน้าท้องใช่ไหม” บีอิ้ง คอมฟอร์ท สารอาหารหรือยาวิเศษจากการพลิกดูฉลากผลิตภัณฑ์ ที่อ้างว่าเพื่อความสวยงามหรือฉลาดสดใสนี้ น่าจะพอแบ่งกลุ่มหลักๆ ของสารอาหารที่ถูกนำมาผสมขึ้นเป็นเครื่องดื่มแต่ละขวดได้ดังนี้ เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วสวย การโฆษณาว่าดื่มแล้วสวย คงเป็นที่ถูกใจวัยรุ่นสาว ๆ และผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนก็อยากเป็นคนสวยทั้งนั้น เครื่องดื่มประเภทนี้มักมีคำว่า “บิวติ” อยู่ในชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งคำนี้เป็นเสียงพ้องของคำภาษาอังกฤษ “beauty” ที่แปลว่าสวยนั่นเอง หรืออาจมีคำว่า “สกินฟิต” ซึ่งสื่อให้เข้าใจว่ามีผิวหนังที่แข็งแรง เมื่อพิจาณาส่วนประกอบในเครื่องดื่มเหล่านี้มักพบว่ามีการเติม ”คอลลาเจน” เพิ่มลงไปในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 125 – 3000 มิลลิกรัม โดยที่หลายชนิดมีการใช้คำว่าคอลลาเจนในชื่อของผลิตภัฑ์ด้วย เช่น “เซนต์ แอนนา คอลลาเจน” “สก๊อต คอลลาเจน-อี” เป็นต้น ความจริงกินคอลลาเจนแล้วช่วยให้ผิวสวย หรือแก่ช้าจริงหรือไม่ ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากที่สุดในร่างกายคือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย มีลักษณะโครงสร้างที่เกาะเป็นเกลียว ทำหน้าที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ในส่วนของผิวหนังมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก (ประมาณร้อยละ 75) และทำหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังเรียบ ตึง และเนียนเรียบ โดยทำหน้าที่คู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าอีลาสติน (Elastin) คอลลาเจนที่ผิวหนังเกิดจากการสร้างภายในร่างกายเราเอง โดยสร้างจากกรดอะมิโนที่ได้จากการกินอาหารประเภทโปรตีนต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง และต้องอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยให้เกิดคอลลาเจนที่สมบูรณ์ จากหน้าที่ของคอลลาเจนที่ผิวหนังดังกล่าว ทำให้คอลลาเจนได้รับความสนใจนำมาใช้ในการชะลอริ้วรอย เสริมความงาม ช่วยให้ไม่แก่ ผิวหนังจะสวยได้ต้องมีคอลลาเจนที่แข็งแรงอยู่มากพอเป็นเรื่องจริง แต่อย่าลืมว่าการกินคอลลาเจนเข้าไปไม่ได้หมายความว่าคอลลาเจนที่กินนั้นจะไปอยู่ที่ผิวหนังได้ เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีน เมื่อกินเข้าไป จะถูกย่อยเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนเช่นเดียวกับโปรตีนชนิดอื่นๆ จากนั้นกรดอะมิโนจึงถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เอาไว้เป็นตัวตั้งต้นสำหรับการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายต่อไป ที่จริงแล้วในทางโภชนาการคอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้ไม่ครบถ้วนและไม่เพียงพอ ดังนั้นการกินแต่คอลลาเจนโดยที่ไม่ได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพดีอย่างอื่นมากพอในระยะยาว จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และการกินคอลลาเจนเพื่อให้ผิวสวยนั้นคงได้ผลน้อย ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนจากการกินอาหารที่ครบหมวดหมู่อย่างหลากหลายและสมดุล การที่ผิวหนังจะสวยได้จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดอย่างมากพอ และต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เร่งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนด้วย เช่น การอยู่ในที่แสงแดดจัดเป็นเวลานานหรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลบำรุงสมองตัวนี้กำลังมาแรง เครื่องดื่มที่โฆษณาว่าทำให้เก่ง มีผลต่อสมอง เครื่องดื่มในกลุ่มนี้บางชนิดใช้คำว่า “เบรนฟิต” หรือ “สมาร์ท” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อผลิตภัณฑ์ ลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้คือ มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโน หรือในบางผลิตภัณฑ์จะมีการเสริมกรดไขมันโมเลกุลยาวที่สกัดจากปลา ที่เรียกว่าโอเมก้าสามหรือดีเอชเอ ร่วมด้วย ความจริงเปปไทด์และกรดอะมิโนคือหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้เลย โดยปกติเมื่อเรากินอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากพืช (ถั่วต่างๆ) หรือโปรตีนจากสัตว์ ร่างกายจะมีน้ำย่อยหรือเอนไซม์ มาย่อยสลายโปรตีนนั้นให้มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป สำหรับเปปไทด์นั้นคือกรดอะมิโน 2 หรือ 3 ตัวเรียงต่อกัน ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมเปปไทด์สายสั้นนี้ได้ดีกว่ากรดอะมิโนเดี่ยว ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายสามารถนำเปปไทด์หรือกรดอะมิโนนั้นไปใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตามแต่ละท่านคงต้องพิจารณาว่าร่างกายท่านมีความจำเป็นที่ต้องการเปปไทด์หรือกรดอะมิโนต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้นทันทีหรือไม่ ถ้าเรามีการรับประทานอาหารที่เหมาะสมครบถ้วนทั้งสามมื้อแล้ว การได้รับโปรตีนที่มากเกินไปไม่ว่าในรูปแบบใดจะส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการกำจัดออกจากร่างกาย ซึ่งมีโอกาสทำให้ไตของเราเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเหล่านั้นไปใช้ได้ทันที อาจมีผลทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ฉลาดขึ้นไปด้วย ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ก่อนเข้าห้องสอบของนักเรียน/นักศึกษานั้นคงไม่ได้ทำให้นักศึกษาผู้นั้นทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น ถ้าไม่ได้มีการศึกษาทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอมาก่อน ดีเอชเอ (DHA) เป็นคำย่อมาจาก docosahexaenoic acid ซึ่งก็คือคือกรดไขมันโมเลกุลยาวชนิดหนึ่งทีมีอยู่มาก ในสมอง ประสาทตา และหัวใจ เนื่องจากในสมองจะมีเซลล์ไขมันอยู่มากที่สุด ดังนั้นการได้รับกรดไขมันชนิดนี้มากพอจึงเชื่อว่าช่วยพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของร่างกายทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แหล่งอาหาที่สำคัญของไขมันชนิดนี้คือการบริโภคปลาเป็นประจำ อย่างไรก็ตามหลายท่านอาจบอกว่าไม่ค่อยได้กินปลา จึงหันมากินผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริม DHA แทน เพื่อหวังผลทางสุขภาพเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานผลทางสุขถาพที่ชัดเจนของเครื่องดื่มเหล่านี้ว่ามีผลต่อพัฒนาการของสมอง นอกจากนี้อย่าลืมว่าการที่สมองของคนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย เช่น การได้รับออกซิเจนและกลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่สุดของสมองอย่างเพียงพอด้วย การพักผ่อน ที่เพียงพอและไม่เครียดเกินไปก็มีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นด้วย เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อการระบายเครื่องดื่มเชิงสุขภาพส่วนใหญ่ที่จำหน่ายทั่วไปมักมีการเสริมใยอาหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ระบุชนิด (เช่น อินนูบิน) และไม่ระบุชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน (0.25 – 2.1 %) และมักจะกล่าวอ้างคุณประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารและกระตุ้นการขับถ่าย ความจริงอย่างไรก็ตามปริมาณใยอาหารที่เพิ่มขึ้นในบางผลิตภัณฑ์อาจไม่มากพอที่จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ เช่น “บริ๊งค์ คอลลาเจน ดริ๊งค์” ที่มีส่วนประกอบของใยอาหารเพียง 0.25 % ในขวดผลิตภัณฑ์บรรจุ 50 มิลลิลิตรจะได้รับใยอาหารเพียง 0.125 กรัม เท่านั้น หรือบางผลิตภัณฑ์ที่ระบุคำว่าใยอาหารในชื่อผลิตภัณฑ์ เช่น “เซ็ปเป้บิวติ ดริงค์ ใยอาหาร” มีส่วนประกอบของใยอาหาร 2 % ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่ามีใยอาหารประมาณ 3.6 กรัม ต่อขวด (180 มิลลิลิตร) ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ยังไม่มากพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน (20-25 กรัมต่อวัน) ดังนั้นผู้บริโภคที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ต้องไม่ลืมที่จะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม ถูกสัดส่วนเช่นเดิมด้วย เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีตามต้องการ เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อสุขภาพโคเอนไซม์คิวเทน (Co Q 10) เป็นสารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่มีการเติมกันมากในเครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพ ปริมาณที่เติมประมาณ 15-29 มิลลิกรัมต่อขวด ความจริงโคเอนไซม์คิวเทนหรือบางคนเรียกว่าคิวเทน เป็นสารที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีอยู่มากในอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ไต มีหน้าที่ช่วยให้เกิดพลังงานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก โดยทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัวแต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง โดยปกติการสังเคราะห์โคเอนไซม์คิวเทนอาจลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งการได้รับยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดก็ทำให้การสังเคราะห็โคเอนไซม์คิวเทนลดลงได้ จึงควรมีการบริโภคโคเอนไซม์คิวเทนจากอาหารเพิ่มให้มากเพียงพอ โดยการกินอาหารเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับเครื่องดื่มที่มีการเสริมโคเอนไซม์คิวเทนต้องระวังว่าปริมาณที่เติมนั้นอาจลดลงจากเดิมได้ง่าย เนื่องจากสารโคเอนไซม์คิวเทนมีความไวต่อแสงมาก เครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างว่าช่วยในการเผาผลาญพลังงาน มักจะมีการเติมสาร แอล-คาร์นีทีน (L-Carnitine) ประมาณ 0.04-0.7 % ความจริงแอล-คาร์นีทีนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ดังนั้นข้อดีของแอล-คาร์นีทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน โดยปกติร่างกายเราจะมีสารแอล-คาร์นีทีนอยู่มากพอ ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติที่อาจพบว่ามีการขาดสารแอล-คาร์นีทีนได้ โดยที่จริงแล้วคนรักสุขภาพทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีการเติมสารคาร์นีทีนเพิ่ม ถ้ามีการกินอาหารที่เป็นแหล่งของแอลคาร์นีทีนเป็นประจำ ที่พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก เด็กและสตรีมีครรภ์ก็ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร เครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มเพื่อความขาวของผิวพรรณ แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีการเติมเพิ่มในเครื่องดื่มที่กล่าวอ้างทางสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องความขาว รวมทั้งอ้างว่าแก้อาการเมาค้างด้วย ความจริงมีการศึกษาพบว่ากลูตาไธโอนช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซี และอี ในการทำลายอนุมูลอิสระ และยังมีหน้าที่สำคัญ ในการช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ โดยทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น และยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ ในประเด็นหลังนี้ผู้ผลิตเครื่องดื่มนำมาเป็นจุดขายกับผู้ที่นิยมการดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ โดยปกติร่างกายคนเราผลิตสารกลูตาไธโอนได้เอง ยกเว้นคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน การโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตลาดเครื่องดื่มสุขภาพในประเทศไทยที่พบเห็นทั่วไปมักจะกล่าวอ้างว่า “ดื่มแล้วสวย เก่ง ฉลาด มีผลดีต่อสมอง” เป็นหลัก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนหนุ่มสาวหรือวัยทำงานในเมืองที่มีวิถีชีวิตค่อนข้างรีบเร่ง อาจไม่มีเวลาในการดูแลตนเองมากนัก แต่รักสวยรักงาม อยากมีร่างกายที่ฟิต เก่ง และมักมีความสนใจในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ จากการสำรวจตลาดพบว่ามีผลิตภัณฑ์เคื่องดื่มประเภทนี้มากกว่า 30 ชนิดที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป โดยมีราคาแตกต่างกันตั้งแต่ประมาณ 20-40 บาท เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใดคงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย จากการพิจารณาส่วนประกอบของเครื่องดื่มเหล่านี้ที่แสดงอยู่ที่ภาชนะบรรจุจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะประกอบด้วยส่วนผสมของน้ำผลไม้ และมักมีการเติมวิตามินแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่มีการเติมสารเฉพาะบางอย่างที่มีการกล่าวอ้างว่ามีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น คอลลาเจน โคเอนไซม์คิวเทน คาร์นีทีน กรดอะมิโนหรือเปปไทด์ เป็นต้น เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อดื่มแล้วจะได้รับ”น้ำ”เข้าสู่ร่างกายเป็นหลัก ช่วยลดความกระหายและเพิ่มความชุ่มชื้นกับร่างกาย สำหรับสารเสริมต่างๆ นั้นอาจมีประโยชน์กับร่างกายบ้างแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ซึ่งที่จริงแล้วคนเราทั่วไปไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องดื่มสารเสริมต่าง ๆ เหล่านั้น เพิ่มขึ้น เพราะสารต่างๆ เหล่านั้นมีอยู่มากพอในอาหารตามธรรมชาติ (ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้) ที่รับประทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่า การดื่มเครื่องดื่มเสริมสุขภาพเหล่านี้เป็นการดื่มน้ำที่มีราคาแพงที่ให้ผลต่อสุขภาพค่อนข้างน้อย แต่จากการโฆษณาอาจทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพ ซื้อมาบริโภคเป็นประจำ จนละเลยการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคที่ดี ก็อาจจะไม่มีสุขภาพแข็งแรง ผิวสวย เก่ง หรือฉลาดอย่างที่ต้องการได้ โดยทั่วไปราคาของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีค่อนข้างแพง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อหามาบริโภค โดยเฉพาะถ้ามีรายได้ไม่มากพอ แต่ถ้าคุณรวยล้นฟ้าจะซื้อหามาดื่มบ้างก็คงไม่ว่ากันถ้ายังยึดการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคให้ดีอยู่ ท้ายที่สุดคงไม่มีอะไรที่จะดีกับสุขภาพของตนเองเท่ากับการให้เวลาใส่ใจในสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริง รู้จักการกินอาหารตามธรรมชาติให้เหมาะกับความต้องการ มีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เหมาะสม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และทำใจให้เป็นสุข ไม่เครียดจนเกินไป ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วอาหารเสริมสุขภาพชนิดใดก็สู้ไม่ได้แน่นอนค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 107 เสียงผู้บริโภค

ลูกอมเรืองแสง แรงฤทธิ์ “ตอนนี้ลูกอมเรืองแสงกำลังเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ มาก ที่อื่นไม่ทราบว่ากำลังเป็นที่นิยมหรือเปล่า” คุณหทัยชนก สมาชิกฉลาดซื้อเขียนจดหมายมาถามไถ่โดยให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ที่แถวบ้านแถบปทุมธานีเจ้าลูกอมเรืองแสงกำลังได้รับความนิยมสูง “ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเห็นลูกขอเงินไปซื้อลูกอมเรืองแสง แล้วบ่นว่าหาซื้อไม่ค่อยได้ แม่ค้าขายหมดไวเลยลองสอบถามลูก ลูกก็บอกว่าด้ามจับจะเรืองแสงได้ แต่เคยมีเพื่อนกัดลูกอมแล้วด้ามพลาสติกแตก น้ำเรืองแสงเกือบเข้าปาก” ฟังแล้วก็รู้สึกหวาดเสียวจริงๆ ครับ ลูกของคุณหทัยชนกบอกกับแม่ว่า คุณครูที่โรงเรียนบอกว่าให้กินแบบระมัดระวังอย่ากัดให้ด้ามแตก ต้องบอกว่าน่าตกใจจริงๆ กับคำแนะนำลักษณะนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำเรืองแสงหรือเศษพลาสติก มันไม่ควรเข้าปากเด็กได้ทั้งสิ้นเพราะมันไม่ใช่อาหาร “ดิฉันพยายามหาซื้อเพื่อส่งมาให้มูลนิธิฯ ดูว่าเป็นอันตรายหรือเปล่า แต่ก็เจอแค่กล่องเพราะแม่ค้าบอกว่าขายดีมาก เห็นกล่องพอจะทราบว่ามาจากจีนแต่ไปซื้อกี่ครั้งก็ไม่เคยได้เพราะว่าของหมดตลอด อันที่ส่งตัวอย่างมาให้ดูนี่ลูกไปหามาให้จากโรงเรียน เมื่อวานดิฉันไปเดินตลาดไทสำรวจว่ามีขายหรือเปล่าปรากฏว่าขายส่ง 30 อันต่อกล่อง ราคา 60 บาท มีขายตามร้านขายส่งทั่วไป และเมื่อหาข้อมูลจากเน็ตก็มีขายทั่วไปอีกเหมือนกัน” คุณหทัยชนกให้ข้อมูลมาด้วยความเป็นห่วง แนวทางแก้ไขปัญหา ถ้าพูดถึงเรื่องความปลอดภัยในอาหารการกินคงไม่พ้นไปจากความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ว่า ได้มีการสั่งการและประสานงานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม เพื่อกำชับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยเป็นหูเป็นตาดูการจำหน่ายลูกอมหรืออมยิ้มเรืองแสง ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากมีการลักลอบนำเข้าจากประเทศจีนมาจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและประชาชนที่พบการจำหน่ายอมยิ้มหรือลูกอมเรืองแสง สามารถแจ้งเบาะแสมายัง อย. ได้ที่สายด่วน 1556 หรือจะแจ้งเจ้าหน้าที่ สสจ.ทั่วประเทศ เพื่อ อย.จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผอ.กองควบคุมอาหาร อย. เปิดเผยว่า ขณะนี้ลูกอมหรืออมยิ้มเรืองแสง ทางกองควบคุมอาหาร ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว ทั้งตัวอมยิ้มและก้านอมยิ้ม ที่นำมาหักแล้วจะเกิดเป็นสารเรืองแสงว่ามีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายหรือไม่ โดยเกรงว่าเด็กๆ อาจจะได้รับอันตราย ซึ่งคงจะทราบผลในเร็วๆ นี้ว่าข้างในมีสารอะไรบ้าง สำหรับความผิดของผู้จำหน่ายเบื้องต้น คือ 1.ขายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะไม่ได้มีการขออนุญาตนำเข้า 2.ฉลากอาหารไม่ถูกต้อง โทษปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท และ 3.ถ้าตรวจพบว่ามีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายจะเข้าข่ายขายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดนน้ำร้อนลวกบนแอร์เอเซีย เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2552 คุณปาริจฉัตร์ ได้เดินทางไปฮ่องกงกับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์แห่งหนึ่ง โดยได้ใช้บริการไป-กลับ กับสายการบินไทยแอร์เอเซีย ขาไปเหตุการณ์ปกติ แต่ในขากลับ วันที่ 6 พ.ย. 2552 ออกจากฮ่องกงเวลา 20.50 น. และถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น.นั้น นับเป็นช่วงเวลาการเดินทางที่คุณปาริจฉัตร์ต้องจดจำไปอีกนาน คุณปาริจฉัตร์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ในขณะที่มีการเสิร์ฟอาหารบนเครื่อง เมื่อถึงที่นั่งแถวเธอ พนักงานต้อนรับบนเครื่องแจ้งว่า อาหารไม่มีให้เลือกแล้ว เหลือแต่สปาเก็ตตี้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอเลยสั่งบะหมี่ถ้วยปกติและพี่ที่นั่งติดกันสั่งเป็นบะหมี่เกาหลีถ้วยใหญ่ “หลังจากได้รับอาหารแล้วดิฉันก็รับประทานตามปกติ โดยวางกระเป๋าบนขาแล้วเอาถาดที่ใช้วางอาหารลงมา แต่ถ้วยบะหมี่ของพี่ที่นั่งข้างๆ นั้น น้ำที่ใส่ให้ในถ้วยเป็นแค่อุ่นน้อยๆ เอามือสัมผัสที่ถ้วยแล้วแทบจะไม่มีความร้อนเลยทำให้บะหมี่ไม่สุก เส้นแข็ง ไม่สามารถรับประทานได้ ดิฉันจึงได้เรียกพนักงานให้นำอาหารไปอุ่นให้” ไม่นานพนักงานก็เดินถือบะหมี่ถ้วยใหญ่มาเสิร์ฟ เมื่อเดินมาถึงทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลัง พนักงานแจ้งว่า “ได้แล้วค่ะ” แต่ทันใดนั้นบะหมี่ที่มีน้ำร้อนอยู่เต็มถ้วยได้หกรดใส่ตัวคุณปาริจฉัตร์อย่างไม่ทันตั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณต้นขาขวา “ตอนนั้นตกใจมากทั้งแสบทั้งร้อน ร้องออกมาเสียงดังมากด้วยความเจ็บปวดสะดุ้งสุดตัวจนลุกขึ้นยืนแต่ยืนไม่ได้เพราะติดเบลท์(belt) ที่คาดไว้” คุณปาริจฉัตร์ได้เล่าต่อว่า พนักงานได้กล่าวคำขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ในจังหวะนั้นคุณปาริจฉัตร์รีบปลดเบลท์ ปัดทุกอย่างออกจากตัวแล้ววิ่งไปทางด้านหลังเครื่องโดยมีพนักงานที่ก่อเหตุวิ่งตามมาด้วย และได้ร้องขอน้ำเปล่า น้ำเย็น น้ำแข็ง จากพนักงานแล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในห้องน้ำ และต้องนั่งอยู่ในนั้นตลอดการเดินทางเพราะต้องถอดเสื้อผ้าออกเกือบทั้งหมดเพื่อทำการปฐมพยาบาล และเมื่อมาถึงสนามบินเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันจึงได้พาคุณปาริจฉัตร์ไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที และได้มีการร้องเรียนผ่านทางศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดชลบุรีและส่งต่อมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลืออีกที แนวทางแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ครั้งนี้มีรายละเอียดอีกเยอะที่คุณปาริจฉัตร์ได้เล่ามา แต่ต้องขอตัดทอนเอาเฉพาะที่สำคัญ ซึ่งโดยสรุปคือเป็นเรื่องที่พนักงานของสายการบินประมาทขาดความระมัดระวังทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่หนักหนาสาหัสแต่ก็มีความเสียหายทุกข์ทรมานไม่น้อยที่ต้องโดนน้ำร้อนลวกจนเกือบจะถูกจุดสำคัญ เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงแนะนำให้ผู้ร้องรายนี้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และในวันที่ 27 พ.ย.2552 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายคือคุณปาริจฉัตร์และตัวแทนของบริษัทไทยแอร์เอเซียคือคุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ขึ้น โดยในวันดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าผู้บริโภคจะไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป โดยไทยแอร์เอเซียได้เสนอเยียวยาความเสียหายดังนี้ 1. ชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง จำนวน 2,160.80 บาท2. ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินคือ กระเป๋าและเสื้อผ้าที่ถูกบะหมี่หกราด จำนวน 5,000 บาท3. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ของสายการบินแอร์เอเซีย จำนวน 6 ที่นั่ง(ไม่ระบุวันเดินทางไป-กลับ)4. ให้บริษัทไทยแอร์เอเซียฯ ออกจดหมายขอโทษผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ ต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม 2552 คุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท ไทยแอร์เอเซีย ได้ดำเนินการเยียวยาความเสียหายตามที่ได้ตกลงกันไว้ พร้อมกับจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการถึงคุณปาริจฉัตร์ โดยมีสาระที่น่าสนใจดังนี้ ทางสายการบินฯ และพนักงานทุกคนขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับท่าน และขอเรียนให้ทราบว่าหลังจากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมและหารือถึงสาเหตุและมาตรการต่างๆ ซึ่งทางหลักปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น พนักงานต้อนรับจะต้องรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ชุดอุปกรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยาน และจะต้องทำการแจ้งกับผู้ควบคุมการบินประจำเที่ยวบินนั้นโดยทันที ผู้ควบคุมการบินจะทำการติดต่อหอบังคับการ และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเพื่อดำเนินการเตรียมอุปกรณ์เพื่อพร้อมรับผู้โดยสารไปยังโรงพยาบาลทันที ณ เครื่องบินลงจอด ซึ่งสายการบินฯ ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับหนึ่ง พนักงานทุกภาคส่วนได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยานมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวมิได้มีการแจ้งไปยังหน่วยงาน ผู้เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติแต่อย่างใด ยังผลให้ท่านผู้โดยสารไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อันเป็นเหตุมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนดของพนักงานต้อนรับท่านดังกล่าว ทั้งนี้สายการบินฯ ได้มีการเรียกประชุมแผนกพนักงานต้อนรับเพื่อให้มีการรับทราบ และเพื่อให้พนักงานทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป.... “ไฮสปีดกลายเป็นโลว์สปีด” ปัญหาของอินเตอร์เน็ตที่มีการร้องเรียนจากผู้บริโภคมากที่สุดในขณะนี้คือ เน็ตช้า ความเร็วไม่เป็นไปตามที่โฆษณา อารมณ์สะเทือนใจของชาวเน็ตเป็นอย่างไรบ้างลองอ่านดูกันครับ “ที่บ้านดิฉันใช้บริการอินเตอร์เน็ต แบบ 3Mb ค่ะ ใช้มาสองปีแล้ว แต่เพิ่งเปลี่ยนแพคเกจเป็น 3MB เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและเมื่อเปลี่ยนแล้ว ความเร็วไม่เต็มสปีดสักเท่าไหร่ ที่สำคัญ หลุดบ่อยมากค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตก และตอนกลางคืนใช้ได้ 5-10 นาที เน็ตก็ตัดแล้วทำอะไรไม่ได้เลย โทรศัพท์ไปแจ้งกับทางศูนย์บริการก็รับเรื่องแบบแกนๆ เคยโทรไปหลายครั้งแล้วรอสายนานมาก แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขสักทีตอนนี้ใช้งานที่ราชบุรีค่ะ ศูนย์บริการปิดตอนห้าโมงเย็น แต่ปัญหาเกิดตอนกลางคืนค่ะ เคยโทรไปฝากเรื่องตอนกลางคืน เพราะอินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้ตอนเช้าพนักงานเพิ่งจะโทรมา ปัญหาก็หายไปแล้ว ทำแบบนี้ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรจริงมั้ยคะ?? จ่ายเต็มราคาทุกครั้งแต่เจอสภาพอินเตอร์เน็ตแบบนี้สมควรเรียกร้องมั้ยล่ะคะ” หรืออีกกรณีหนึ่ง “ผมทำสัญญาใช้บริการอินเตอร์เน็ตรายเดือน ความเร็ว 3 เม็ก แต่ความเร็วจริงต่างกับที่โฆษณาเอาไว้มากครับน่าจะโฆษณาว่าเน็ต 2.5 เม็กมากกว่า ต้องจ่ายเงินให้ทีโอทีทุกเดือน แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบอยู่ทุกเดือน ต่างกับของ ทีทีแอนด์ที มากครับ 3 เม็กเต็ม บางวันก็จะตกมาอยู่ที่ 2.9 หรือ 2.8 ดาวน์โหลดทุกอย่างเร็วทันใจ ผมใช้เน็ตของทีโอทีดาวน์โหลดไฟล์ให้ลูกค้า บางไฟล์ ต้องรอถึงสามวันกว่าจะโหลดเสร็จ ทั้งๆ ที่ เคยใช้ของทีทีแอนด์ทีใช้เวลาแค่ 8 ชั่วโมง เก็บค่าใช้บริการเท่ากันแท้ๆ แต่ทีโอทีกลับเอาเปรียบผู้บริโภคไม่ดีเลยครับ” “ดูหนัง ฟังเพลงได้ช้ามากๆ กระตุกหยุดโหลดทุกสามวินาที ทั้งที่เป็น 3 เม็ก เช็คความเร็วดูปรากฏว่าไม่ถึง 3 เม็ก โทรไปร้องเรียนที่ 1100 คอนแทคเซ็นเตอร์ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย โทรไปกี่ครั้งก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย มีแต่เสียงตอบรับอัตโนมัติว่าคู่สายบริการเต็มให้โทรมาใหม่เสียความรู้สึกมากๆ รบกวนช่วยรับเรื่องร้องเรียนของฉันด้วยค่ะ มันไม่ยุติธรรมเลยที่ต้องเสียค่าบริการเต็ม แต่ได้รับบริการห่วยๆแบบนี้” ฯลฯ “มีปัญหาสัญญาณหลุดบ่อย อีกทั้งมีความล่าช้าในการแก้ไข และไม่ได้รับความเร็วตามที่กำหนด 3 เม็กแต่ใช้งานได้เพียงไม่ถึง 1 เม็ก แต่ก็ยังเก็บค่าบริการรายเดือนเต็มจำนวนอีกด้วยทุกเดือน โดยที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขให้เสร็จสมบูรณ์” แนวทางแก้ไขปัญหาบรรดาสารพันปัญหาอินเตอร์เน็ตล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา สามารถดำเนินการได้ 4 แนวทางนะครับ 1. สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้จัดทำโครงการทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ตของผู้ให้บริการร่วมกับ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย บนเว็บไซต์ www.speedtest.or.th ให้ไปเช็คความเร็วอินเตอร์เน็ตและแจ้งไว้เป็นหลักฐานที่นี่ ปกติแล้วถ้าได้ความเร็วสัก 80% ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นคุณภาพที่พอรับได้ครับ 2. ถ้าโทรแจ้งที่คอลเซนเตอร์แล้วไม่ได้ผล ผู้บริโภคทำหนังสือร้องเรียนโดยตรงที่บริษัทผู้ให้บริการ โดยเรียนถึงกรรมการผู้จัดการ เรื่องขอให้แก้ไขปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานการบริการ และขอให้คืนเงินค่าบริการในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานไปหักลบกลบหนี้ของบิลรอบเดือนถัดไป ดังนั้นควรระบุให้ชัดเจนว่าเน็ตช้ามากในช่วงไหนถึงไหนจากหลักฐานที่เราได้เช็คจากwww.speedtest.or.th 3. หากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตไม่แก้ไขปัญหา หรือยังไม่ยอมคืนเงินในช่วงที่ไม่ได้ใช้บริการหรือใช้บริการแล้วแต่ได้ความเร็วไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือสัญญา ให้ทำหนังสือร้องเรียนพร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. ส่งไปที่สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) 404 อาคารพหลโยธินเซนเตอร์ ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร.02-2790250 โทรสาร 02-2790251 หรือจะเดินทางไปร้องเรียนด้วยตนเองก็ได้ 4. การร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สิ่งที่เราจะดำเนินการให้คือ ออกจดหมายเรียกร้องให้บริษัทปรับปรุงคุณภาพบริการ หากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ อีก คุณสามารถขอให้มูลนิธิฯ ดำเนินการเขียนคำฟ้องเพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นคดีผู้บริโภคได้ครับ ความผิดของผู้ให้บริการคือ การให้บริการที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐานไม่เป็นไปตามที่โฆษณาหรือสัญญาไว้ครับ ปัญหาจาก พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถอีกแล้วครับ..ท่านเรื่องโดย บุญยืน ศิริธรรม สวัสดีปีใหม่ ขอให้โชคดีมีชัยทุกท่านนะจ๊ะ(ไม่ช้าไปใช่ไหม) และเรื่องที่ตามมาคือจำนวนอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดจากการเดินทางด้วยรถประเภทต่างๆ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย และที่หนีไม่พ้นคือเมื่อเกิดเหตุจากรถ ก็ต้องมี พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ จึงเขียนเรื่องที่เกิดเหตุเมื่อตอนปลายปี 2552 ช่วงนั้นมีข่าวแปลกๆ คือชาวบ้าน “แห่ศพไปสวดที่หน้าสถานีตำรวจ” สาเหตุเพราะผู้ตายประสบเหตุ ถูกรถกระบะของตำรวจเฉี่ยวชน รถซาเล้ง(มอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง) จนทำให้แม่ลูก 2 คน ที่โดยสารมาเสียชีวิตทั้งคู่ โดยตำรวจคนที่ขับรถมาชน(ซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพล) สั่งห้ามแจ้งความและไม่ยอมแจ้งประกัน แต่จะจ่ายให้ 2 ศพ 30,000 บาท ชาวบ้านไม่กล้าแจ้งความเพราะกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะคนที่ขับรถชนคือตำรวจ แล้วเขาก็ต้องไปแจ้งตำรวจอีก ญาติจึงตัดสินใจแห่ศพไปสวดหน้าโรงพักซะเลย เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ปรากฏว่าวิธีนี้ได้ผลมากเพราะสื่อต่างๆ ให้ความสนใจ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ (ออกหน้าหนึ่งไทยรัฐ) ทำให้ผู้ว่าฯ นั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ ต้องลุกขึ้นมาสั่งการให้มีการสอบสวนให้เกิดความเป็นธรรมในกรณีนี้ ศูนย์พิทักษ์ผู้บริโภคได้เข้าไปช่วยเหลือเพราะกลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง ข่าวสงบทุกอย่างก็จะเงียบอีก จึงได้ไปประสานงานเรื่องการชดเชยเบื้องต้นตามพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถก่อน จากข้อมูลที่ศูนย์ฯ ได้มาคือ รถซาเล้ง พรบ. ขาดยังไม่ได้ต่อ แต่รถคันที่มาชนมี พรบ. ผู้ประสบภัยจากรถ ศูนย์ฯ จึงได้ไปประสานงานกับบริษัทประกันภัยกลางจังหวัด เพื่อรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้โดยสารซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 ต้องได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายศพละ 100,000 บาท ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด เพราะไม่ใช่คนขับขี่ แต่กรณีนี้ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยกลางแจ้งมาว่า จ่ายให้ได้แค่ศพละ 35,000 บาท เท่านั้น เพราะรถที่ผู้เสียชีวิตนั่งไปไม่ได้ทำประกัน อ้าว..ก็รถคันที่ชนมันมีประกันทำไมไม่ให้คันนั้นจ่ายให้ ล่ะ.. เพราะถึงรถคันที่นั่งไปไม่มีประกัน หากเขาไม่ถูกรถกระบะวิ่งมาชนเขาก็ไม่ตายนี่.. บริษัทกลางยืนยันยังไงก็จ่ายได้แค่นั้น เพราะกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ และนี่คือเหตุผลที่ต้องเขียนเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังว่า พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถมันมีปัญหาซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย ที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก พรบ.นี้ได้จริง เห็นมีแต่บริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ และบริษัทประกันภัยกลางก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เฉื่อยแฉะและเย็นชาเอามาก...ก...ก...เครือข่ายผู้บริโภคและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้กฎหมายฉบับนี้ เพราะเรารู้ว่าเราพึ่งใครไม่ได้ (นักการเมืองไม่ว่างเพราะทะเลาะกันอยู่) ขณะนี้เราร่างพรบ.ฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว และได้ชื่อมาแล้วกว่า 8,000 ชื่อ ยังขาดอีกนิดหน่อย จึงขอเรียนเชิญท่านผู้อ่านช่วยร่วมลงชื่อเพื่อแก้ไข พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประสบภัยมากขึ้น หรือ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 Let’s Go…ประดิษฐ์ประเพณีกันเถอะ

“ประเพณี” คืออะไร? ใครมีคำตอบให้ได้บ้าง? นักสังคมวิทยายุคหนึ่ง เคยมีความเชื่อกันว่า ประเพณีหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “tradition” นั้น ต้องเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากคนยุคหนึ่งสู่คนอีกยุคหนึ่ง ตกทอดสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งที่สังคมนั้นๆ ยอมรับนับถือกันว่าเป็นมรดกสืบทอดแห่งบรรพชน จนกระทั่งมีนักทฤษฎีสังคมวิทยาชาวอังกฤษคนหนึ่งที่ชื่อ อีริค ฮ็อบสบอว์ม ได้เสนอแนวคิดขึ้นมาใหม่ว่า ประเพณีอาจไม่ใช่มรดกที่ตกทอดมาแต่ครั้งบรรพกาลเสมอไป แต่เป็นกระบวนการประดิษฐ์ความรู้ ความคิด และวัตถุธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ในทุกยุคทุกสมัย นั่นหมายความว่า นอกจากประเพณีจะเป็นกระบวนการสืบทอดความรู้ความคิดของมนุษย์แล้ว อีกด้านหนึ่ง มนุษย์ในแต่ละยุคเองก็มีศักยภาพและอำนาจที่จะประดิษฐ์สร้างสรรค์สิ่งที่เรียกว่าประเพณีใหม่ๆ ในสังคมของตนเองได้ แต่คำถามที่สำคัญก็คือ มนุษย์ผู้ใดกันเล่าที่จะมีศักยภาพและอำนาจในการสรรค์สร้างประเพณีเพื่อป้อนสู่สังคมในแต่ละยุคสมัยสำหรับผมแล้วเชื่อว่า หากเป็นในสังคมบุพกาลดั้งเดิมนั้น กลุ่มคนที่มีอำนาจในการประดิษฐ์ประเพณีก็น่าจะจำกัดวงอยู่ในพื้นที่ราชสำนักหรือศาสนจักรเป็นหลัก ถ้าใครเคยมีโอกาสได้ไปเยือนกำแพงเมืองจีน ไปเห็นปิรามิดที่อียิปต์ หรือไปสัมผัสจตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์กลางกรุงโรม ก็คงจะเข้าใจได้ทันทีว่า ราชสำนักและคริสตจักรเป็นศูนย์รวมของการก่อรูปศิลปะประเพณีต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตได้อย่างไร แต่ถ้ามาถึงสังคมทุกวันนี้ ผมเข้าใจว่า อำนาจดังกล่าวอาจจะเริ่มถ่ายโอนมาอยู่ในมือของกลุ่มชนที่เรียกตัวเองว่า “นักท่องเที่ยว” และบุคลากรที่ทำงานว่ายเวียนอยู่ใน “องค์กรและธุรกิจการท่องเที่ยว” ต่าง ๆ กันเสียมากกว่าแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองจีนเอย มหาปิรามิดเอยหรือจตุรัสเซ็นปีเตอร์เอย ทุกวันนี้ก็เริ่มถูกผันตัวกลายมาเป็นศิลปะประเพณีแบบใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และเข้ามารับใช้อารยธรรมการท่องเที่ยวที่กำลังขยายตัวเบ่งบานกันทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเพณีประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมท่องเที่ยวที่แผ่ซ่านเข้ามาในสังคมไทยถ้าคุณผู้อ่านสังเกตดีๆ ทุกครั้งที่สังคมไทยอยู่ในภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ รัฐก็มักจะเร่งโหมโฆษณารณรงค์กระแสการท่องเที่ยวไทยกันอย่างน่าอะเมซิ่ง แบบที่เรียกกันว่าเป็น “Amazing Thailand” และในความน่าอะเมซิ่งนั้น ประเพณีและรูปแบบการดำเนินชีวิตใหม่ๆ ก็จะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อรองรับกระแสธารแห่งการท่องเที่ยวทุกครั้งไป ล่าสุด มีโฆษณา “เที่ยวไทยกันอย่างครึกครื้น ให้เศรษฐกิจไทยได้เกิดความคึกคัก” ที่ออกอากาศมาแล้วในช่วงหลายเดือน ในขณะที่เราเสียดุลการค้าให้กับนักท่องเที่ยวไทยที่ดั้นด้นเดินทางไปเที่ยวแดนกิมจิกันมาเสียนาน โฆษณาชิ้นนี้ก็เลยเลือกเอาพรีเซ็นเตอร์อย่างนิชคุณ นักร้องหนุ่มไทยแต่สังกัดอยู่ในวงบอยแบนด์ 2PM ของเกาหลี มาเชิญชวนรณรงค์เที่ยวเมืองไทยกันเสียเลย โฆษณาเริ่มต้นด้วยเนื้อเพลงที่เชิญชวนคนไทยให้หยุดหาจังหวะพักผ่อนให้กับชีวิต เนื้อร้องก็ประมาณว่า “Let’s take a break ออกไป ออกไป Let’s go ออกไปเที่ยวกัน The more you have fun…” อะไรทำนองนี้ พร้อมกับภาพหนุ่มนิชคุณที่เต้นแบบอิเล็คทรอนิกแดนซ์ และยักคิ้วหลิ่วตาให้กับคนดู จากนั้นเราก็จะค่อยๆ เริ่มเห็นภาพบรรดาประเพณีประดิษฐ์ต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉลิมฉลองวัฒนธรรมท่องเที่ยวไทยกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันเริ่มตั้งแต่นักร้องหนุ่มที่มาปรากฏตัวอยู่ริมทะเล สูดโอโซนเข้าไปจนเต็มสองปอด ก่อนจะกระโจนทะยานลงเล่นเจ็ตสกีกันในท้องทะเลสีครามมาต่อกันที่การระเริงเล่นน้ำสงกรานต์แอ่วเมืองเหนือ ประดิษฐ์ธรรมเนียมขี่ช้างชมเมือง และเอาปืนฉีดน้ำมาเล่นใส่กัน สนุกสุขสันต์ทั้งคนทั้งช้างในวันสงกรานต์ ตามต่อมาที่การดำน้ำสน็อคเคิ้ลดูฝูงปลาการ์ตูนนีโมตามแนวปะการัง แถมงมจับกุ้งล็อบสเตอร์จากใต้ทะเลลึก ก่อนจะมาอิ่มอร่อยกับการแทะกรรเชียงปูนึ่งเป็นอาหารมื้อกลางวันตามด้วยการโชว์ลีลาชกมวยไทย เต้นฟุตเวิร์คตามจังหวะอย่างแข็งขัน เตรียมสู้ศึกอัศวินดำแห่งการท่องเที่ยวไทย ก่อนที่จะมารับบริการนวดแผนไทย ลีลาดัดหน้าดัดหลังเพื่อแก้เคล็ดขบเมื่อยในภายหลังและที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ การใส่เสื้อลายสีสดลงเล่นคลีตีกอล์ฟกันในสนามหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และก็ต้องตีลีลาโฮลอินวันกันอย่างแน่นอน ก่อนจะปิดท้ายด้วยภาพหนุ่มนักร้องมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ริมทะเลแหวกของชายฝั่งอันดามัน ทอดน่องทอดอารมณ์ และพูดส่งท้ายโฆษณาว่า “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก”ก็เหมือนกับที่ผมได้เกริ่นนำไว้ตอนแรกนะครับว่า ในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบรรดานักเดินทางทั้งหลาย ได้กลายมาเป็นกลุ่มคนร่วมสมัยที่มีศักยภาพและความชำนิชำนาญในการประดิษฐ์วัฒนธรรมหรือรูปแบบการดำเนินชีวิตแปลกๆ ใหม่ๆ ออกป้อนสู่สังคมประเพณีประดิษฐ์เหล่านี้ มีทั้งที่เป็นของใหม่ล้วนๆ แบบการเดินสูดโอโซนริมหาดทราย การแข่งขันเจ็ตสกี หรือการตีกอล์ฟแบบโฮลอินวัน ไปจนถึงประเพณีแบบที่เอาของเก่ามาลอกหน้าทำศัลยกรรมให้ดูเป็นของใหม่ๆ ร่วมสมัย เพื่อต้อนรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น การเล่นปืนฉีดน้ำในวันสงกรานต์ การเต้นฟุตเวิร์คชกมวยไทย หรือการนวดแผนไทยแผนโบราณ แล้วเหตุใดนักท่องเที่ยวทั้งหลายจึงต้องมาเสียเวลายุ่งวุ่นวายประดิษฐ์สร้างสรรค์ประเพณีใหม่ๆ ขึ้นมาเช่นนี้? คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะว่า “ความหวือหวาแปลกตา” เป็นคุณค่าหลักที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเขาเสาะแสวงหาและปรารถนาจะสัมผัสในชีวิตการเดินทาง เนื่องจากความหวือหวาแปลกตานี้เป็นโลกที่แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาเวียนว่ายใช้ชีวิตอยู่เป็นปกติทุกวัน เพราะฉะนั้น เพื่อสนองการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย พวกเขาจึงต้องสร้างสรรค์ธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ๆ ขึ้นมา ทะเลไทยก็ต้องมีไว้เพื่อใช้สูดโอโซนกันให้เต็มปอด หรือมีไว้เพื่อสน็อคเคิ้ลค้นหาฝูงปลาการ์ตูน รวมไปถึงการสร้างสนามกอล์ฟผืนใหญ่ให้มองไปเห็นพรมหญ้าเขียวๆ สุดลูกหูลูกตา ส่วนธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมๆ อย่างวันสงกรานต์ปีใหม่ไทยก็ต้องจับมาปรับแปลงแต่งโฉมกันใหม่ แทนที่จะเล่นปะพรมน้ำอบน้ำปรุงกันแบบอดีตก็ต้องมาดัดแปลงเป็นประเพณีเล่นปืนฉีดน้ำหรือสาดน้ำโครมๆ ในวันสงกรานต์ กลายเป็นประเพณีประดิษฐ์ใหม่ที่น่าอะเมซิ่งไทยแลนด์กันไปเสียเลยอย่างไรก็ดี ใช่ว่าประเพณีประดิษฐ์ของการท่องเที่ยวไทยจะเป็นธรรมเนียมที่สักๆ แต่สร้างกันขึ้นมาเล่นๆ เสียอย่างนั้น แต่ตรงกันข้าม กิจกรรมทางวัฒนธรรมเหล่านี้ต้องได้รับการวางแผนออกแบบมาเป็นอย่างดี และจะมีเฉพาะประเพณีที่ “ขายได้” เท่านั้น ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเลือกสรรมาประดิษฐ์เพื่อการเวลคัมบรรดาทัวริสต์ทั้งเทศและไทยด้วยเหตุฉะนี้ จะให้หนุ่มนิชคุณมาดำน้ำดูปลาซิวปลาสร้อย หรือจับกุ้งฝอยมาตกปลากะโห้ก็กระไรอยู่ โฆษณาก็เลยต้องจับนักร้องหนุ่มมาดำน้ำชมปลาการ์ตูน หรือจับกุ้งล็อบสเตอร์ตัวยักษ์มาจากใต้ทะเลลึกกันไปโน่นเลย ทั้งนี้เพราะจะมีก็แต่ปลาการ์ตูนและล็อบสเตอร์เท่านั้น ที่จะสร้างความตื่นเต้นแปลกตาให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งกลายเป็นคุณค่าใหม่ที่ “ขายได้” ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสมัยใหม่ หากมองจากสายตาของภาครัฐและธุรกิจแล้ว การท่องเที่ยวอาจเป็นอุตสาหกรรมบริการที่เป็นแหล่งรายได้แอ่งใหญ่ป้อนเศรษฐกิจของชาติ แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ในอีกด้านหนึ่ง การท่องเที่ยวไทยเองก็เป็นแหล่งประดิษฐ์ประเพณีใหม่ๆ แอ่งใหญ่ที่น่าอะเมซิ่งสำหรับคนไทยได้ไม่แพ้กัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 นาโนเทคโนโลยี : โอกาสหรือความเสี่ยง (ตอน 1)

นาโนเทคโนโลยีถือว่าเป็นเทคโนโลยี ในอนาคตที่สำคัญ อย่างไรก็ตามการใช้เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากมนุษย์ได้นำมาใช้งานตั้งแต่เมื่อหลายทศวรรษก่อนในผลิตภัณฑ์เคลือบ เงาและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาถึงแม้ว่าในตอนนั้นมันจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้ก็ตาม ปัจจุบันนาโนเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่กำหนดไว้ในหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องสำอาง อาหารและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค โดยที่ผู้บริโภคไม่ได้มีโอกาสรับรู้เลย และปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อกำหนดว่าต้องมีการติดฉลากแสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์นาโน บทความในคราวนี้จึงขออธิบายความรู้และความไม่รู้ ที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยี ที่มีผลต่อชีวิตของผู้บริโภคกระแสหลักในบ้านเราครับ โดยขออนุญาตนำข้อมูลจาก สถาบันประเมินความเสี่ยงแห่งของสหพันธรัฐ เยอรมนี (Federal Institute for Risk Assessment) มาลงในคอลัมน์นี้ครับ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และผู้บริโภคเชื่อว่าการใช้งานวัสดุนาโนจะนำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามว่าผลิตภัณฑ์นาโนใหม่ๆ เหล่านี้จะนำความเสี่ยงที่ยังไม่รู้มาสู่มนุษย์หรือไม่ อนุภาคนาโนบางชนิดที่ปรากฎอยู่ในรูปแบบที่ไม่เกาะเกี่ยวกัน (unbound form) อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพบางประการได้ การวิจัยเรื่องความเสี่ยงของนาโนเทคโนโลยี ในบริบทนี้ทางสถาบันประเมินความเสี่ยง ให้ความสนใจเรื่องปฏิกิริยาต่อต้านอนุภาคนาโนที่อาจเกิดขึ้นได้ในร่างกายมนุษย์ ถึงแม้ว่าพบวัสดุนาโนในผลิตภัณฑ์หลายประเภทจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ประชากรเยอรมันเกินกว่าครึ่งหนึ่งแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้เลย ประโยชน์ของมันหรือความเสี่ยงที่เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นบทความนี้ จะตอบคำถามในประเด็นที่สำคัญ สำหรับนาโนเทคโนโลยี1 “นาโน” มีขนาดเล็กแค่ไหน ?“นาโน” มาจากภาษากรีก หมายความว่าคนแคระ “นาโน” เป็นคำศัพท์ที่ใช้สำหรับเศษส่วนพันล้านของเมตร (= 1 นาโนเมตร)อนุภาคนาโนหมายถึงอะไร ?อนุภาคนาโนคืออนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 100 นาโนเมตร (nm) เนื่องจากอนุภาคนาโนขนาดเล็กเหล่านี้มีสมบัติทางกายภาพ แตกต่างจากอนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่าในวัสดุประเภทเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้มันน่าสนใจสำหรับการนำไปใช้งานที่หลากหลาย แต่ทว่า ในขณะเดียวกันความเล็กของอนุภาคนาโนก็สามารถนำไปสู่ปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายมนุษย์ได้   สถาบันประเมินความเสี่ยง เกี่ยวข้องอย่างไรในการวิจัยเรื่องความเสี่ยงของนาโนเทคโนโลยี ?สถาบัน (FRA) ร่วมมือกับสถาบันกลางความปลอดภัยและสุขภาพในสถานที่ทำงาน (Federal Institute for Occupatioanl Safety and Health) และสำนักงานสิ่งแวดล้อมกลาง (Federal Environment Agency) ได้พัฒนากลยุทธ์ในการวิจัยเพื่อแยกแยะความเสี่ยงที่เป็นไปได้จากนาโนเทคโนโลยี จุดประสงค์ของ กลยุทธ์การวิจัยนี้คือจัดโครงสร้างในเรื่องสาขาการวิจัย เพื่อพัฒนาวิธีการในการวัดผลและแยกแยะอนุภาคนาโน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการได้รับอนุภาคและผลกระทบที่เป็นพิษหรือผลกระทบที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการทดสอบความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการตรวจสอบ ในขณะเดียวกัน (FRA) จะทำการสำรวจผู้เชี่ยวชาญในสาขานาโนเทคโนโลยี เป้าหมายคือแยกแยะวัสดุนาโนที่กำลังถูกใช้หรืออาจจะถูกใช้ เพื่อจัดกลุ่มพวกมันตามการนำไปใช้งานและเพื่อร่างข้อสรุปเกี่ยวกับการที่ผู้บริโภคได้รับอนุภาคจากข้อมูลเหล่านั้น จากพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ที่มีเรื่องการได้รับสารและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น (FRA) ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ แยกประเภทการใช้งานตามระดับความเสี่ยงที่เป็นไปได้และพัฒนากลยุทธ์สำหรับทำให้ความเสี่ยงลดน้อยลงที่สุด ในตอนที่ 2 ฉบับหน้าจะตอบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผลิตภัณฑ์จากนาโนเทคโนโลยีครับ   ข้อมูลอ้างอิง1 Frequently Ask Question on Nanotechnology, Federal Institute for Risk Assessment, 2006   นาโนเทคโนโลยีหมายถึงอะไร ?นาโนเทคโนโลยีเป็นศัพท์ทั่วไปที่ใช้เรียกเทคโนโลยีกว้างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติหลายประเภท เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และการแพทย์ ที่จริงแล้วมันจะถูกต้องมากกว่าถ้าจะเรียกว่ากลุ่มของนาโนเทคโนโลยี นาโนเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการวิจัยในเรื่องกระบวนการประมวลผลและการผลิตโครงสร้างและวัสดุที่ด้านอย่างน้อยหนึ่งด้านมีขนาดเล็กกว่า 100 นาโนเมตร (nm)  วัสดุนาโนมีโครงสร้าง “รูปทรงจุด” (อนุภาคนาโน แคปซูลนาโน กลุ่มก้อนหรือกลุ่มโมเลกุล) โครงสร้าง “เส้นตรง” (เส้นใยนาโน หลอดนาโน เสื้อร่มนาโน) และการเคลือบที่บางมาก โครงสร้างกลับรูป (รู) ก็อยู่ในประเภทนี้ด้วย เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในการนำนาโนเทคโนโลยีมาพัฒนาโครงสร้าง เทคนิค และระบบที่มีคุณสมบัติและการทำงานแบบใหม่ จึงเพิ่มความน่าสนใจในภาคอุตสาหกรรม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และผู้บริโภค โดยหวังว่าศักยภาพนี้จะนำไปสู่การใช้งานที่มีประโยชน์ เช่น หุ่นยนต์ เทคโนโลยีรับรู้ความรู้สึก วิศวกรรมกระบวนการ ชีวเทคโนโลยี และการแพทย์ รวมไปถึงการพัฒนาต่อไปในอนาคตเกี่ยวกับอาหาร ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค และเครื่องสำอาง ฐานข้อมูลของผลิตภัณฑ์นาโนที่อยู่ในท้องตลาด ณ ปั¬¬¬จจุบันนี้สามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.nanotechproject.org/44/consumer-nanotechnology ฐานข้อมูล “คลังผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ใช้นาโนเทคโนโลยี” เป็นโครงการของ Woodrow Wilson International Centre for Scholars. จะทราบได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นมีวัสดุนาโนอยู่รึเปล่า ?ผู้บริโภคไม่สามารถทราบได้เลยว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีวัสดุนาโนหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อกำหนดว่าต้องติดฉลากสำหรับผลิตภัณฑ์นาโน ผู้บริโภคสามารถรู้ถึงการใช้วัสดุนาโนได้ก็ต่อเมื่อผู้ผลิตทำการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของพวกเขาโดยการอ้างถึงนาโนเทคโนโลยี แต่การโฆษณาผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีอนุภาคนาโนหรือวัสดุนาโนอยู่จริงหรือไม่ ผู้บริโภครู้อะไรบ้างเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี ?ถึงแม้ว่าจะมีวัสดุใหม่ๆ ที่ผลิตโดยการใช้นาโนเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอะไร ตามที่มีการสำรวจมา คนเยอรมัน 50% ไม่รู้เลยว่าคำย่อที่เรียกว่า “นาโน” นั้นหมายถึงอะไร คนที่ได้ยินอะไรบางอย่างเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี มักจะมองเทคโนโลยีในทางบวกและชี้ไปที่ประโยชน์ของมัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคส่วนมากอยากให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยการใช้นาโนเทคโนโลยีมีการติดฉลากอย่างชัดเจน  นาโนเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ประเภทไหนแล้วบ้าง ?ขณะนี้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ซึ่งมีส่วนประกอบที่ผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยีแล้ว ได้แก่ เครื่องสำอาง อาหารหรือสิ่งทอ ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์นาโนเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขนาดในระดับนาโนคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการที่จะผลิตวัตถุที่มีสมบัติใหม่อย่างสิ้นเชิง เช่น สีรถยนต์ที่ทนต่อรอยขูดขีด เน็คไทที่กันฝุ่น หรือผลิตภัณฑ์กันแดดที่ปกป้องแสงยูวีได้ดีขึ้น  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 มาดื่มน้ำประปากันเถอะ....(พูดแล้วสยอง)

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตในฉลาดซื้อฉบับนี้ เราจะมาคุยเรื่องที่พื้นฐานมากๆ เลย คือ เรื่องของน้ำดื่ม ซึ่งหลายท่านเคยถามว่า เราควรรู้อะไรบ้างในเรื่องเกี่ยวกับน้ำดื่ม ผู้เขียนเลยสั่งตัวเองว่า เรารู้อะไรก็น่าจะบอกให้ท่านผู้อ่านรู้เท่ากัน http://en.cop15.dk/ ซึ่งเป็นเว็บอย่างเป็นทางการของการประชุมเกี่ยวกับโลกร้อนที่กรุงโคเปนเฮเกน (ซึ่งจบอย่างไม่เป็นท่า) กล่าวว่า  “Water -- Due to the very high quality of groundwater in Denmark, all potable water at the conference venue will be tap-water served in decanters or at self-service automatic dispensers. This implies a considerable energy saving advantage because production, transportation and disposal of water bottles will be avoided.” ก่อนจะเข้าเรื่อง ผู้เขียนไปพบข้อความที่น่าอิจฉาใน ผู้เขียนขอแนะนำเว็บที่น่าสนใจเว็บหนึ่งคือ ในเว็บhttp://www.wtop.com มีบทความที่โดนใจคนทั้งโลกคือ หัวข้อ How safe is your tap water? Report finds hundreds of pollutants หัวข้อดังกล่าวนี้เป็นที่ตราตรึงใจคนไทยมานาน และยังไม่มีหน่วยงานใดในประเทศเราที่สามารถตอบให้ประทับใจสักที www.wopular.com ซึ่งเป็นเว็บที่รวมข่าวจาก CNN, NY Times, Digg, Google News, Twitter, YouTube, Flickr, Yahoo, Bing, Wikipedia และอื่น ๆ เพื่อให้สามารถติดตามข่าวสารสำคัญได้เร็วขึ้นโดยเข้าเว็บเดียวในเว็บนี้เมื่อค้นหาข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดื่มน้ำโดยใช้กุญแจคำว่า dinking และ water ก็จะพบข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆ เช่น คำจำกัดความของ น้ำดื่ม ว่าน้ำดื่มนั้นต้องมีคุณภาพที่ดีพอที่เราดื่มได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออันตรายต่าง ๆ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต (“Drinking water or potable water is water of sufficiently high quality that it can be consumed or used without risk of immediate or long term harm.”) ซึ่งความจริงคำจำกัดความนี้มาจาก wikipedia นั่นเอง   ในศตวรรษนี้เราคงไม่เห็นข้อมูลแบบนี้ในการประชุมในประเทศไทยแน่ เนื่องจาก ground water ของประเทศเรานั้น นับวันมีแต่จะน่าเชื่อถือน้อยลงๆ และถ้ามีโรงแรมไหนเอาอย่างบ้างโดยกรอกน้ำก๊อกให้เรากินขณะไปใช้บริการ โดยไม่สนว่าคุณภาพน้ำก๊อกของเราเหมือนที่โคเปนเฮเกนหรือไม่ เราคงได้ฮาแบบขื่นขมกันทั่วหน้า เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม้ตัวมาตรฐานข้อกำหนดคุณภาพน้ำของเราลอกของ WHO มาเด๊ะๆ เลย แต่ความจริงย่อมอยู่เหนือความสามารถว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือไม่ อะไรๆ ที่มันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมันก็มักเป็นเช่นนี้ในประเทศไทย ดูตัวอย่างที่มาบตาพุดก็แล้วกัน มีแต่เรื่องมันๆ ทั้งนั้น แล้วชาวบ้านจังหวัดไหนบ้างที่อยากให้พื้นที่ตัวเองเป็น มาบตาพุด 2   www.wtop.com กล่าวว่า มีผู้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลราว 20 ล้านข้อมูลที่ได้จากรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ตั้งแต่ปี 2004 นั้นมีการพบมลพิษในน้ำประปาถึง 316 ชนิด ซึ่งเป็นมลพิษที่มาจาก 97 แหล่ง เช่น จากการเกษตรรวมถึงสารกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี และของเสียจากชุมชน ที่สำคัญคือ มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมมีถึง 205 ชนิด พร้อมอีก 86 ชนิดจากน้ำเสียโรงงานที่มีระบบการกำจัดน้ำเสีย เป็นต้น ทั้งนี้เพราะการผลิตน้ำประปาที่ส่งให้เมืองใหญ่นั้นมักใช้น้ำท่า ในรูปแบบที่ประเทศไทยทำเช่นกัน เพราะน้ำท่าหรือน้ำจากแม่น้ำนั้นต้นทุนถูก มาตรฐานเรื่อง dirnking water ของ WHO นั้นสามารถเข้าไปดูได้จะจะเลยที่ http://www.who.int/water_sanitation_health/dwq/fulltext.pdf ซึ่งเป็นหนังสืออีเล็คโทรนิคหนา 668 หน้า แต่มันค่อนข้างบอกอะไรต่อมิอะไรมากเกินความต้องการของผู้บริโภค เพราะเขาเล่าประวัติศาสตร์และกระบวนการทำมาตรฐานน้ำ ซึ่งเหมาะเฉพาะกับผู้ที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการทำน้ำประปา หรือต้องการทำรายงานส่งอาจารย์เท่านั้น   การที่พบจำนวนสารพิษในน้ำประปาของประเทศที่เจริญแล้วนั้น ไม่ได้บอกว่าน้ำนั้นไม่ได้มาตรฐาน เพราะปริมาณมลพิษแต่ละชนิดที่เจอนั้นอาจต่ำมากๆ เพียงแต่ว่าประเทศที่เจริญแล้วเขาวิเคราะห์ได้ด้วยเครื่องมือที่วิลิศมาหราในขณะที่บางประเทศยังไม่โอกาสซื้อเครื่องมือชั้นวิลิศมาหรามาวิเคราะห์เลยไม่เจอ คนในประเทศนั้นก็คงยังสบายใจ เพราะทางผู้ผลิตน้ำประปาในหลายประเทศมักบอกว่า ไม่พบ (ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่มี) ที่น่าประหลาดใจมากก็คือ Jane Houlihan ซึ่งเป็นคนสำคัญของ EWG หรือ The Environmental Working Group กล่าวว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของมลพิษเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำหนดปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย เพราะไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลกลาง จึงไม่น่าประหลาดใจที่ตรวจพบส่วนผสมของน้ำมันเครื่องบินเจ็ท สารเปอคลอเรต สารอะซีโตน สารกำจัดวัชพืช น้ำยาจากระบบปรับอากาศและตู้เย็น ตลอดจนสารเรดอนที่เป็นผลพลอยได้จากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีในน้ำประปาบางแหล่งของประเทศเขาดังที่ได้ขยักไว้ว่าจะคุยเรื่องมาตรฐานน้ำดื่มว่าควรเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านคงเคยได้เห็นคำคุยของการประปาประเทศหนึ่งในจอโทรทัศน์ประเทศหนึ่งแล้วว่า น้ำประปานั้นอยู่ในระดับมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เป็นการรับรอง ณ. หน้าโรงผลิตน้ำนะครับ ซึ่งคงคล้ายน้ำประปาที่บ้านผู้เขียนที่เมื่อเติมลงในอ่างเลี้ยงปลา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็มีแหนเกิดขึ้นได้ แสดงว่าไข่แหนนั้นมันคงเล็กมากเกินกว่าจะกรองออก ก็ยอมรับครับ ไม่ได้ร้องเรียนอะไร http://www.lenntech.com/applications/drinking/standards/who-s-drinking-water-standards.htm ซึ่งเป็นรายละเอียดที่เกี่ยวกับชนิดและปริมาณที่ไม่ควรเกินของสารเคมีที่มีได้ในน้ำดื่มของคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วย มีตัวอย่างที่น่าทึ่งบวกอึ้งคือ มีการกำหนดปริมาณของสารก่อมะเร็งที่เกินไม่ได้ไว้ด้วย สารเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่จัดว่าเป็น สารอินทรีย์ (organic compounds) ได้แก่ carbon tetrachloride, dichlormethne , chlorinated hydrocarbon ต่างๆ กลุ่มสารที่เรียกว่า solvents ของโรงงานอุตสาหกรรมแถวมาบตาพุด ยาฆ่าแมลงที่มีการห้ามใช้แล้วเพราะก่อมะเร็งและทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้นสารพิษเหล่านี้สามารถพบได้ในน้ำที่อยู่ในมาตรฐานของ WHO ซึ่งกำหนดให้มีได้ไม่เกินค่าที่ไม่ควรก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ดื่มน้ำ ทั้งนี้เพราะในหลักการทางพิษวิทยาแล้ว มนุษย์ (ที่แข็งแรง) มีความสามารถในการกำจัดสารพิษที่กินเข้าไปได้ในระดับหนึ่งมาถึงตอนนี้ ถ้าบทความนี้ทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อผู้ดื่มน้ำประปาแล้ว ก็มีเว็บที่แนะนำว่า ดื่มน้ำที่กรองผ่านระบบกรองน้ำก็แล้วกัน โดยให้ไปเลือกดูสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบจาก http://www.consumersearch.com/water-filters ซึ่งน่าจะพอเชื่อได้ว่า ไม่ได้เสียเงินเปล่า ส่วนผู้ดื่มน้ำประปานั้นแนะนำให้ไปดูที่   เว็บหนึ่งซึ่งผู้เขียนใช้บริการบ่อยคือ www.about.com มีเรื่องเกี่ยวกับการดื่มน้ำที่น่าสนใจเขียนโดย Shereen Jegtvig บทความนั้นชื่อ Drinking Water to Maintain Good Health ซึ่งบอกว่า น้ำนั้นสำคัญมาก อาการขาดน้ำของร่างกายที่ดูได้ชัด ๆ คือ เวลาปัสสาวะแล้ว ถ้ากลิ่นแรงและ/หรือมีสีเหลืองเข้ม นั่นแหละ........ ใช่เลย ขาดน้ำแน่ เหตุที่จำเป็นต้องเชิญให้ไปดูเว็บต่างประเทศ เพราะหาเว็บของราชการไทย ที่กล้าออกมาแนะนำว่าให้ซื้อระบบกรองน้ำของบริษัทใดไม่ได้ เหตุที่ยังหาไม่ได้เนื่องจากยังไม่มีใครว่างจะทำ นี่คือคำตอบของบุคลากรของหน่วยงานหนึ่งที่ควรมีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรฐานเครื่องมือต่างๆ ที่ผู้บริโภคมักใช้   http://www.miamiherald.com ว่า Tourist killed by hotel water ซึ่งตัวเนื้อข่าวคือ มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเกิดไปตายในขณะที่มีคนอีกสองคนป่วยหลังจากเข้าพักในโรงแรมหรูในเมืองไมอามี เนื่องจากการติดเชื้อที่เรียกว่า Legionnaire's Disease ปัญหาเกี่ยวกับการขาดน้ำของคนทำงานกับโต๊ะ คือ ไม่ได้ออกไปไหนคือ ยุ่งกับงานจนลืมดื่มน้ำ ซึ่งอาจเพราะเหงื่อไม่ค่อยออก หรือคิดว่ากินน้ำมากไปเดี๋ยวไตพังเนื่องจากทำงานหนัก แบบที่มีนักวิชาเกินบางคนกะล่อนไว้ในเน็ต นักวิชาการคนนี้อาจคิดว่าตนเองเป็นกิ้งก่าทะเลทรายกลับชาติมาเกิด จึงต้องการน้ำน้อย Shereen บอกไว้ในบทความของเธอว่า มนุษย์ต้องการน้ำวันหนึ่งค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากสุขภาพดี เธอแนะนำว่า เราควรดื่มน้ำเท่ากับน้ำหนักตัวเราคิดเป็นปอนด์ (1 กิโลกรัม เท่ากับ 2.2 ปอนด์) แล้วหารด้วยสอง จะได้ปริมาตรน้ำที่ต้องดื่มคิดเป็น ออนซ์ (ounce) โดยที่ 1 ออนซ์ของอเมริกัน คือ 0.03 ลิตร ดังนั้น ถ้าท่านผู้อ่านหนัก 70 กิโลกรัม หรือ 154 ปอนด์ ซึ่งเมื่อหาร 2 แล้วจะได้ผลลัพธ์ว่า ท่านก็ควรดื่มน้ำ 77 ออนซ์ หรือ 2.31 ลิตร เป็นอย่างน้อย ในกรณีที่ท่านผู้อ่านออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราว ท่านควรดื่มน้ำเพิ่มอีกอย่างน้อยราว 240 มิลลิลิตร หรือง่าย ๆ คือ 1 แก้ว ทุก 20 นาที ที่กำลังออกกำลังกาย ถ้านั่งเครื่องบินก็ควรดื่มน้ำเพิ่มชั่วโมงละ 1 แก้ว เช่นกัน (แต่ต้องมั่นใจว่าถ้านั่งข้างหน้าต่างเครื่องและคนนั่งข้างทางเดินไม่อ้วนเกินไป เพราะมิเช่นนั้นเวลาจะขยับตัวไปปลดปล่อยน้ำเสีย อาจลำบากเนื่องจากปัจจุบันที่นั่งบนเครื่องบินใกล้จะมีความห่างของแถวเก้าอี้คล้ายรถ (ร้อน) ร่วม ขสมก เข้าทุกที ที่สำคัญถ้าคุณชอบทำผิดศีลข้อห้าหรือดื่มกาแฟ คุณควรดื่มน้ำเท่ากับปริมาตรเครื่องดื่มที่คุณดื่มเข้าไปด้วย แล้วก็เตรียมมองหาโถปัสสาวะไว้เพื่อป้องกันความขายหน้า เพราะน้ำชา กาแฟ และเหล้า ล้วนแต่นำสู่การปวดปัสสาวะทั้งสิ้น ในวันที่กำลังเขียนบทความนี้คือ 14 ธันวาคม 2552 มีข่าวในเว็บ   มีผู้ตั้งสมมุติฐานว่า “After a hotel's powerful filter removed all the chlorine from city water, bacteria grew -- killing one and making two others ill..” ซึ่งแปลง่าย ๆ ให้ได้ความว่า เนื่องจากระบบกรองน้ำของโรงแรมดีมากเกินไป จนกรองเอาคลอรีนที่ใช้ฆ่าเชื้อในน้ำประปาออกไปหมด น้ำในระบบท่อของโรงแรมเลยมีเชื้อให้เกิดการป่วยได้ เลยทำให้ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าตำรับ เปิดน้ำดื่มจากก๊อกได้เลยต้องเสียหน้าด้วยประการฉะนี้   ในบทความที่คนทั้งโลกน่าจะสนใจนี้กล่าวว่า ชาวอเมริกัน 53.6 ล้านคนได้รับมลพิษที่ปนเปื้อนในระบบน้ำที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการประปาของประเทศแล้ว ทั้งนี้เพราะน้ำที่ผ่านมาตรฐานนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นน้ำที่ปลอดจากสารพิษ (แต่มาตรฐานจะกำหนดว่ามีสารพิษใดบ้างได้และไม่เกินเท่าใด ขอขยักไว้ก่อนว่าข้อมูลส่วนนี้เป็นอย่างไร โดยจะกล่าวถึงหลังจากจบเรื่องของเว็บนี้)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 เครื่องดื่มสุขภาพ ดื่มแล้วสวย สาวและฉลาด ?

ปัจจุบันนับเป็นยุคที่ผู้คนในสังคมตื่นตัวกับการดูแลสุขภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ นักเรียนต้องกวดวิชาทุกวัน ผู้ใหญ่ต้องเร่งรีบทำงานไขว่คว้าหาเงิน ทำให้กลัวว่าจะดูแลตัวเองไม่เพียงพอ จึงเป็นช่องว่างให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความสวยความงามเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มสุขภาพทั้งหลายเลยโผล่ออกมาอวดโฉมมากมาย  ชาเขียวแช่เย็นเมื่อเข้าร้านอาหาร ชาเขียวแช่เย็นจะเป็นเครื่องดื่มที่ถูกนำเสนอแทนน้ำเปล่า ทำให้เจ้าของสินค้าหรือผู้ผลิตรวยแล้วรวยอีก จนสามารถให้รางวัลเปิดฝาขวดและได้เงินล้านใน 2 ปีที่ผ่านไป ผู้บริโภคหลายครอบครัวถึงขนาดซื้อกันเป็นแพคใหญ่ๆ นำกลับไปบริโภคเป็นประจำทั้งเช้า-เย็นเพราะเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดื่มแล้วชะลอความแก่ได้ ดื่มแล้วผิวสวย แต่คงรู้แล้วว่าดื่มแล้วไม่เห็นสวยขึ้นแต่กลับน้ำหนักขึ้นอีกต่างหาก? ส่วนเจ้าของสินค้นกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว!  เครื่องดื่มชาเขียวแช่เย็นเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายมากกว่า เพราะถูกแต่งแต้มด้วยรสหวานและกลิ่นหอม ดื่มมากๆ จะเป็นการสะสมน้ำตาลในเลือดและยังมีคาเฟอีนไม่แตกต่างจากน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังทั่วไป ความจริงชาเขียวมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 4 ชนิดที่มีคุณค่าต่อร่างกายทุกส่วนรวมทั้งผิวพรรณ เนื่องจากสารทั้งสี่ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ผ่านขบวนการกลั่นกรองทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้วว่าดีจริง มีการค้นพบว่าสารสกัดชาเขียวสามารถต้านมะเร็ง ต้านเชื้อโรคในลำไส้ใหญ่ได้ ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษทั้งหลาย แต่เนื่องจากสารสำคัญในชาเขียวมีน้อยมากและไวต่อความร้อน ดังนั้นการจะดื่มให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรที่จะดื่มชาเข้มข้นเช่นเดียวกับกาแฟเอสเปรสโซ่ ไม่ควรเติมน้ำตาลหรือนมสดหรือนมผง เพราะจะไปทำลายสารสำคัญ เครื่องดื่มคอลลาเจนเปปไทด์ กำลังฮอตมากพบทั้งในทีวีและทางอินเตอร์เน็ต มีโฆษณาว่าให้ดื่มทุกวันแล้วจะทั้งสวย หล่อ และฉลาด ความจริงคือ คอลลาเจนนับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย มีคุณสมบัติที่สำคัญคือไม่ละลายน้ำ แต่อุ้มน้ำได้มาก มีความแข็งแรงโดยทำงานร่วมกับอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อวัยวะส่วนต่างๆ รวมทั้งผิวหนัง เมื่ออายุคนเรามากขึ้น คุณสมบัติของคอลลาเจนจะเสื่อมลงทำให้ประสิทธิภาพการอุ้มน้ำไม่ดี จะเห็นได้ชัดจากการที่ผิวหนังแห้ง เหี่ยว หย่อนคล้อย กระดูกเสื่อม เส้นเอ็นตามร่างกายและข้อต่อทั้งหลายตึงและอักเสบ นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสกัดเอาคอลลาเจนจากสัตว์ใหญ่ เช่น หนังหมู หนังปลา กระดูกลูกวัวและกระดูกปลา หากนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์จะไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากโมเลกุลของคอลลาเจนมีขนาดใหญ่มาก ไม่ละลายน้ำและไม่สามารถซึมผ่านกระเพาะอาหารหรือผิวหนังคนได้ จึงได้นำคอลลาเจนจากสัตว์มาสลายด้วยขบวนการทางเคมีเพื่อให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลงมากๆ คือ คอลลาเจนเปปไทด์ ซึ่งละลายน้ำได้ดีและสามารถซึมเข้าผ่านกระเพาะอาหารและผิวหนังได้เร็ว นักวิทยาศาสตร์หลายคณะเชื่อว่าการที่ร่างกายคนเราได้รับอาหารเสริมคือคอลลาเจนเปปไทด์ทุกวันในปริมาณมากเพียงพอ จะช่วยทดแทนคอลลาเจนธรรมชาติที่เสื่อมได้ และยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ได้อีกด้วย แต่ก็ยังไม่รายงานพิสูจน์ถึงข้อบ่งชี้ดังกล่าว เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์จัดเป็นสารอาหารจำพวกโปรตีนเทียบเท่ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องดื่มชนิดนี้จึงน่าจะเหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนป่วยหลังพักฟื้นที่ต้องการโปรตีนสูงมากกว่า ซอยเปปไทด์ ตัวนี้ได้จากการนำน้ำนมถั่วเหลืองไปย่อยด้วยเอนไซม์ย่อยโปรตีนบางชนิด เพื่อให้ได้โปรตีนถั่วเหลืองที่มีโมเลกุลเล็กลง จะได้ถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากกระเพาะอาหาร โปรตีนจากถั่วเหลืองนับเป็นแหล่งอาหารเสริมที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับว่าถั่วเหลืองให้คุณค่าทางโปรตีนที่สมบูรณ์เทียบได้กับโปรตีนจากสัตว์ นอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวจำนวนมาก มีรายงานการวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ สามารถช่วยยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลภายในร่างกายได้ และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลจากลำไส้ได้ดี มีผลทำให้ค่าแอลดีแอล (LDL)และไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดลดลง จึงมีคุณค่าต่อผู้ที่มีความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและผู้ที่ต้องการห่างไกลจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำนมถั่วเหลืองยังประกอบไปด้วยสารไฟโตร์เอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงจากพืช สามารถทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดน้อยลงในหญิงวัยทองได้บ้าง การดื่มเป็นประจำ จะช่วยให้หญิงวัยทองมีผิวพรรณชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งตึง แต่ไม่ได้มีผลต่อความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใด มีข้อควรระวังสำหรับการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองหรือซอยเปปไทด์สำหรับเด็ก เนื่องจากในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วยสารสำคัญบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการจับแร่ธาตุและโลหะหนัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ฯ ดังนั้นการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำในเด็กอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนในวัยสูงอายุ แร่ธาตุหรือโลหะหนักที่มีมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ การบริโภคน้ำนมถั่วเหลืองเป็นประจำ จะช่วยลดปริมาณส่วนเกินลงได้เพื่อป้องกันไม่ให้แร่ธาตุหรือโลหะหนักส่วนเกินไปเกาะตามผนังหลอดเลือด หรือเกาะตามข้อต่อของกระดูกส่วนต่างๆ ได้ Smart Drink คือกลุ่มเครื่องดื่มที่ผู้ขายต้องการประชาสัมพันธ์ว่า ดื่มแล้วจะเพิ่มความฉลาดและเก่งสำหรับวัยนักเรียนนักศึกษา เครื่องดื่มยี่ห้อดังในทีวี ซึ่งโฆษณาว่าเป็นเปปไทด์ต้นกำเนิดจากนมถั่วเหลือง (Original Soy Peptides) ความจริงก็คือน้ำนมถั่วเหลืองธรรมดา และให้คุณค่าของโปรตีนถั่วเหลืองที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ใช่ดื่มแล้วทำให้นักเรียนนักศึกษามีไอคิวสูงขึ้น ท่องหนังสือได้มากขึ้น หรือเรียนเก่งขึ้นแต่อย่างไร นับเป็นการตลาดที่มุ่งหวังเจาะตลาดวัยนักเรียนนักศึกษาที่สังคมยุคใหม่เน้นให้ต้องทั้งสวย หล่อ และ ฉลาด อาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับวัยนี้และทุกวัย ควรมุ่งเน้นไปที่ปลาทะเลซึ่งมีสารโอเมก้า-3 บำรุงเซลสมองโดยตรง เช่น ปลาทู ราคาถูกและอร่อย หาซื้อง่าย เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลายที่มีต้นกำเนิดจากประเทศไทย ก็จัดอยู่ในหมวด Smart Drink นี้เช่นกัน ซึ่งมีองค์ประกอบเพียงเกลือแร่ น้ำตาลซูโครส และคาเฟอีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ขายดีมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ Beauty Drink and Health Drink เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วช่วยให้สวยเร็วขึ้น บำรุงร่างกายได้รวดเร็ว ทดแทนความเครียดและความวุ่นวายในหน้าที่การงานได้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่คอลลาเจนเปปไทด์ เจลลาตินเปปไทด์ และหรือมีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี ลองกลับไปอ่านทบทวนประโยชน์ของคอลลาเจนที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะพบว่ายังไม่ข้อพิสูจน์บ่งชี้ใดๆ ว่าเป็นเรื่องจริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 สวัสดีปี 53 จากในสวน

เช้าวันเสาร์ เป็นเช้าแรกของการกลับมาบ้านหลังจากที่ไปอยู่กับแม่มา 1 สัปดาห์ - - ตื่นนอนราวเจ็ดโมงกว่า ลงมาก็ลอบถอนหายใจกับใบไม้แห้งที่กลาดเกลื่อนถนนแคบๆ เล็กๆ หน้าบ้าน ฉันกวาดเศษใบไม้แห้งใส่ที่ตักผงขยะเอาไปเทคลุมดินใต้ต้นไม้และในกระถางที่อยู่ในสวน  หอยทากอัฟริกาที่อยู่คู่บ้านฉันยังคงดำเนินชีวิตของมันไปอย่างปกติ และฉันก็รู้สึกปกติไปแล้วกับบรรดาไข่สีเหลืองเม็ดเล็กๆ ที่มันไข่เรี่ยไว้ตามซอกมุมอับแสง ครั้นพอเหลือบไปดูเก้าอี้และโต๊ะไม้ตัวเก่ายิ่งทำให้ต้องทอดถอนใจเฮือกใหญ่ ปลวกฟันคมฝูงใหญ่กำลังกัดแทะเนื้อไม้เก่าๆ ที่ทั้งทนทานและแข็งแรงอย่างเมามัน ฉันลากดึงเอาชุดรับแขกกลางสวนออกอย่างเก้กัง ได้แต่เอาน้ำฉีดไล่ปลวกให้ออกไปจากโต๊ะแล้วลากไปตากแดดแรง แล้วปล่อยให้ท่อสายยางลำเลียงน้ำประปามาเอ่อท้นพื้นที่เต็มไปด้วยฝูงปลวก ใจหนึ่งคิดถึงว่าแล้วรากโมกกับส้มจี๊ด อีก 3-4 ต้นที่ขึ้นคลุมบริเวณนี้จะถูกพวกฝูงมดแทะทึ้งไหม แล้วใจก็ไพล่ไปคิดต่อเรื่องบริการแสนห่วยของบริษัทกำจัดปลวกรายเดียวที่ใช้สมุนไพรล่อเหยื่อและฉีดพ่นเมื่อ 4 ปีก่อน นึกถึงน้ำส้มควันไม้ และอีกสารพัดสมุนไพร รวมทั้งงานวิจัยของ ม.เกษตรที่เอาเชื้อรามากำจัดปลวก เพื่อนบ้านที่ฉันเพิ่งออกปากขอบคุณที่ช่วยมารดน้ำต้นไม้ให้เมื่อไม่อยู่บ้านบอกให้ฉันใช้วิธีง่ายๆ แต่ได้ผลด้วยกระป๋องสเปรย์หัวฉีดพิฆาต แต่ฉันยังเกี่ยงเรื่องสารตกค้างในสารพัดผักที่ปลูกไว้กินและดูรอบบ้านมากมาย ผักกินได้ที่ใครอีกหลายคนไม่คาดคิดว่ามันจะกินได้จริงคงจะกินไม่ได้จริงๆ ก็อีตอนนี้แหละ ละจากฝูงปลวกกับชุดรับแขก ฉันใช้สายยางน้ำฉีดพรมต้นไม้ที่รกๆ ไปอย่างสบายใจ อากาศกำลังเย็นสบาย กอกล้วยไม้ 2-3 กระถางกำลังแตกตาดอก บางกระถางคลี่กลีบสวยออกมาให้ได้ชมแม้ว่าในกอเดียวกันจะมีอีกหลายดอกที่กำลังซีดสีและเหี่ยวโรย สามถั่วก็ดูจะรักใคร่กลมเกลียวดี ฉันหมายถึงอัญชันที่เลื้อยพันเกาะเกี่ยวกับดอกแคแข่งกับถั่วพู อัญชันนั้นแม้จะมีแค่กลีบเดี่ยว แต่ออกดอกดกแทบทุกข้อและติดฝักแทบทุกดอกหากไม่เก็บดอกสดไปกินหรือตากแดดเสียก่อน ส่วนถั่วพู ที่เพิ่งเอาลงใหม่เมื่อเดือนกันยายน ก็กำลังแตกดอกและออกฝักชุดแรกๆ ให้ได้เห็น เจ้าต้นแคผู้เอื้อเฟื้อนั่นก็ออกดอกขาวพราวมีให้เก็บเต็มกอบได้ทุกวัน ใต้โคนต้นแคฉันเอา ”ลองซีเมนต์” ราคาถูกแค่ 80 บาทมาทำเป็นกระถางขนาดใหญ่ ก็มีกอโหระพาที่ดอกแก่และร่วงโรยให้รอลุ้นอยู่ว่าจะมีกล้าขึ้นมาตอนไหน กอดอกอ่อมแซ่บหรือเบญจรงค์ห้าสีบานรับแสงทั้งสีนวล สีแปลกจากอื่นๆ ในสวนซึ่งมีสีม่วงอ่อนและม่วงเข้ม ... อืมจะขาดก็แต่สีชมพูหวานไปอีกสี ขณะที่อีกฟากของรั้วข้างบ้านมีต้นงาที่กำลังออกดอกสีขาวกลีบบานชูกิ่งก้านรับลมไหว เมล็ดที่ฉันหว่านทิ้งไว้คงปลิวไปตก ดีที่เพื่อนบ้านดูจะเข้าอกเข้าใจในความอยากปลูกต้นไม้ของฉันแม้ว่าจะงงๆ กับวิธีการทำสวนของฉันเมื่อแรกมาเป็นเพื่อนบ้าน หรือคำกล่าวว่าเธอและลูกได้รู้จักต้นไม้ใบผักไปพร้อมๆ กับผลผลิตที่ออกดอกผลใบ ถึงกระนั้นฉันก็ออกตัวและขออภัยต่อพี่ข้างบ้านเสมอเมื่อสารพัดไม้เลื้อยอย่างถั่วพู ยอดมันเทศ ตำลึง แตงร้าน มะระขี้นก รวมไปถึงกิ่งพริก และผักโขมจะเลื้อยไปกวนข้างทางเดินตรงริมรั้วของทั้งสองบ้าน สวนที่ดูไม่เป็นสวนผักอย่างที่ฉันปลูก ใต้ร่มไม้ใหญ่ใบโปร่งอย่างปีบที่เพิ่งออกดอกมาให้ชมเพียง 2 ครั้งในรอบ 4 ปี ยังรกเรื้อไปด้วยผักหวานบ้าน ผักหวานป่า เหมียง และผักใบแต่งกลิ่น อย่างกะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก เบียดกับกองผักกูด และกอผีเสื้อสีม่วงแดงที่รสเปรี้ยวอร่อยที่ฉันชอบกินคู่กับผักเป็ดทั้งในเมนูสลัดผักสด และยำผักสดต่างๆ เพื่อนบ้านยังเย้าอย่างอารมณ์ดีว่าตอนที่ฉันไม่อยู่นี่มีคนมาจับจองบ้านเอาไว้ ฉันว่าฉันก็อยากยกให้พวกเขามาอยู่เหมือนกันถ้าจะมาอยู่จริง คู่นกผัวเมียตัวกระจิ๊ดเดียวที่มีปากเรียวโค้งงุ้มเล็กๆ เพื่อให้เหมาะกับการดูดกินน้ำหวานและเกสรดอกไม้ รวมทั้งแมลงตัวจิ๋วในบางครั้งคราว พวกชอบส่งเสียงจิ๊บๆ ใสๆ เจี๊ยวจ๊าวแต่ฟังเพลินยามมันมาเล่นหยดน้ำเย็นที่ค้างอยู่ตามยอดไม้ใบไม้ แต่คราวนี้เจ้าตัวใหญ่กว่านิดหนึ่งและมีท้องสีเหลืองทำหน้าที่คีบใยขาวมาลองข้างในรังอันขยุกขยุยที่สะท้อนให้เห็นความเพียรพยายามในการเก็บเศษนั่นนี่ที่ดูไม่น่าจะสร้างเป็นรังได้ ขณะที่ทุกรอบของการปฏิบัติการอย่างขะมักเขม้น มันจะต้องเรียกเสียงแหลมใสให้นกอีกตัวซึ่งมีสีท้องเหลืองสดกว่าแต่มีคอเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำมาคอยสอดส่องและส่งสัญญาณให้กันและกัน ท่ามกลางเสียงอึกทึกจากปรับซ่อมเพื่อเข้ามาอยู่ใหม่ของเพื่อนบ้านอีกฟากของรั้ว ความสุขที่นอกไปจากคิดทำเมนูแปลกๆ ใหม่ๆ ที่กินได้อร่อย ปลอดภัยและประหยัดตังค์แบบไม่จำเจซ้ำซากนักจากในสวนของฉันก็มีอันประกอบไปด้วยความสุขปลีกย่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ... ที่เอามาฝากและแบ่งปันกัน สุขสันต์ปี 53 ค่ะ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point