ฉบับที่ 102 ช้อปช่วยโลก ซื้อของห้างไหนช่วยลดใช้ถุงพลาสติก

ฉลาดซื้อ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นให้ทุกคนหันมาสนใจปัญหาโลกร้อนกันอย่างจริงจัง เราจึงอยากชวนทุกคนมาช่วยกันลดขยะถุงพลาสติก ซึ่งเป็นขยะที่ย่อยสลายยาก สิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต แถมยังสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม เมื่อเรากำจัดมันไม่ได้ (เพราะถ้าเผาก็จะไปทำลายชั้นบรรยากาศ ถ้าฝังดินก็จะทำให้ดินเสื่อมสภาพ) เราก็ลองมาหาวิธีลด-ละ-เลิกการใช้ถุงพลาสติกกันดีกว่า   ในชีวิตประจำวันของเราคงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติก เพราะร้านค้าเกือบแทบจะทุกแห่งต่างก็ใช้ถุงพลาสติกใส่ของให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ต วงจรชีวิตการใช้งานของถุงพลาสติกนั้นสั้นมากๆ คือเมื่อของที่ใส่ถุงพลาสติกมาถูกนำไปใช้ ถุงพลาสติกก็จะถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะ มีบ้างที่เก็บไว้สำหรับใส่ของอื่นๆ (ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นขยะ) ซึ่งเมื่อเก็บรวมกันไว้มากๆ เป็นเวลานานๆ แล้วไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อะไร สุดท้ายถุงพลาสติกทั้งหลายก็ต้องแปรสภาพกลายเป็นขยะอยู่ดี   ฉลาดซื้อ อยากชวนทุกคนมาลดการใช้ถุงพลาสติก เราเลยลองสุ่มสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างค้าปลีกต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ว่าแต่ละที่มีวิธีการจัดสรรถุงพลาสติกใส่ของให้กับลูกค้าอย่างไรบ้าง โดยเราได้กำหนดรายการสินค้าจำนวน 20 รายการ โดยเลือกสินค้าที่คนส่วนใหญ่ต้องซื้อใช้อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเดือนละครั้ง อย่าง ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น กระดาษชำระ กาแฟ นม น้ำตาล เสริมด้วยพวกของสด อย่าง ผัก และลูกชิ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของประเภทและลักษณะแพ็คเก็จบรรจุภัณฑ์ของสินค้า ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการจัดสินค้าใส่รวมลงในถุงพลาสติก ฉลาดซื้อ อยากรู้ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตไหนให้ถุงพลาสติกกับเราน้อยที่สุด ตารางแสดงผลสุ่มสำรวจการใช้ถุงพลาสติกของห้างค้าปลีกและซุปเปอร์มาร์เก็ต(รายชื่อสินค้า 1. ผงซักฟอก โอโมพลัส ดีโอเฟรช 1,100 กรัม 2.น้ำยาทำความสะอาดพื้น มาจิคลีน 900 มิลลิลิตร 3.น้ำยาล้างห้องน้ำ วิกซอล 900 มิลลิลิตร 4.น้ำยาซักผ้าขาว ไฮเตอร์ 600 ซีซ๊ 5.น้ำยาล้างจาน ซันไลต์ 600 ซีซี x 3 6.เนสกาแฟ เรดคัพ (ถุงเติม) 200 กรัม 7.ครีมเทียม .คอฟฟี่เมต 450 กรัม 8.น้ำตาล มิตรผล 1 กิโลกรัม 9.นม UHT โฟร์โมสต์ 225 มิลลิลิตร x 6 10.น้ำสละ เฮลส์ บลู บอย 710 ซีซี 11.กระดาษเช็ดหน้า เลดี้สก็อตต์ กล่อง 150 ชิ้น 12.กระดาษชำระ สก็อตต์เอ็กซ์ตร้า แพ็ค 6 ม้วน x 2 13 ผ้าอนามัน ลอริเอะซูเปอร์อัลตร้าสลิม 20 ชิ้น 14.บะหมี่คัพ มาม่า 60 กรัม x 3 15.มันฝรั่งทอดกรอบ เลย์ 125 กรัม 16.แฮม ซีพี แพ็ค 150 กรัม 17.ไข่เค็ม 18.อาหารสด 19.ผักสด)  *หมายเหตุ: เป็นการทดสอบสุ่มซื้อในช่วงวันที่ 16 – 22 กรกฎาคม 2552 ห้างเขาก็ใส่ใจเรื่องลดใช้ถุงพลาสติก“โลกร้อน” เป็นปัญหาของทุกคนบนโลกใบนี้ เราจึงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลายก็ไม่ได้ใจร้าย ปล่อยให้ผู้บริโภคอย่างเราต้องหาวิธีลดใช้ถุงพลาสติกกันอยู่ฝ่ายเดียว เพราะแต่ละที่ก็คิดว่าวิธีการดีๆ เพื่อลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกในสถานประกอบการของตัวเอง วิธีที่ฮิตที่สุด คงหนีไม่พ้น “ถุงผ้าฟีเวอร์” ซึ่งก็มีอยู่หลายห้างที่ขานรับวิธีนี้ ซึ่งการแจกหรือจำหน่ายถุงผ้าของห้างค้าปลีกหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เป็นวิธีการที่ช่วยกระตุ้นและสร้างความรู้สึกของการช่วยกันลดใช้ถุงพลาสติกให้กับผู้ที่มาซื้อสินค้าได้ชัดเจนที่สุด เช่น บิ๊กซี ที่มีแคมเปญให้ ซื้อถุงผ้าที่ห้างทำขึ้น จะได้รับค่าโทรศัพท์ฟรี 10 บาท หรือ คาร์ฟูร์ ที่มีการจำหน่ายถุงผ้าซึ่งผลิตจากสารที่ได้จากการรีไซเคิลขวดพลาสติก เพื่อให้ลูกค้านำมาใช้แทนถุงพลาสติก เป็นต้น บางห้างไม่ได้ทำออกมาแค่เพียงถุงผ้า แต่ยังผลิตถุงกระดาษออกมาใช้ด้วย เช่น เซ็นทรัล ฟู้ดส์ ฮอลล์ และ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่อยู่ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล บางที่ก็ใช้วิธีให้ส่วนลดสำหรับคนที่หิ้วถุงผ้ามาซื้อสินค้า หรือจัดแคมเปญกระตุ้นจิตสำนึกเรื่องภาวะโลกร้อน เช่น Think Green ของเดอะ มอลล์ กรุ๊ปส์ (โฮม เฟรช มาร์ช และ กรูเมต์ มาร์เก็ต) ที่เป็นโครงเพื่อสิ่งแวดล้อม อย่างการจัดกิจกรรมให้ลูกค้าที่บอกไม่รับถุงพลาสติก 1 ใบ เท่ากับได้ร่วมปลูกต้นไม้ 1 ต้น หรืออย่าง ตั้งฮั้วเส็ง ที่เคยร่วมกับเขตหลักสี่ ส่งวิทยากรมาสาธิตประดิษฐ์และตกแต่งถุงผ้าในโครงการรณรงค์ใช้กระเป๋าผ้าลดภาวะโลกร้อน แถมแต่ละห้างที่เราสำรวจในครั้งนี้ก็เข้าร่วมในโครงการ “45 วัน รวมพลัง ลดถุงพลาสติก ลดโลกร้อน” ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถ้าการลดการใช้ถุงพลาสติกเป็นเรื่องยาก ก็มีอีกหนึ่งทางเลือก คือ ถุงพลาสติกที่ย่อยสลายได้ หรือ oxo-biodegradable plastic bag ซึ่งถุงพลาสติกชนิดนี้สามารถย่อยสลายได้ด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์ และออกซิเจนในอากาศ ภายในระยะเวลา 1 - 2 ปี (แตกต่างจากถุงพลาสติกทั่วไปที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี) สาเหตุที่ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ยังไม่ค่อยแพร่หลาย คงเป็นเพราะต้นทุนที่สูงกว่าถุงพลาสติกทั่วไปประมาณ 5 – 10% ห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใช้ถุงพลาสติกชนิดนี้ ก็อย่างเช่น วิลล่า มาร์เก็ต, โฮม เฟรช มาร์ช กับ กรูเมต์ มาร์เก็ต ในเครือ เดอะ มอลล์ กรุ๊ปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ดส์ ฮอลล์ กับ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล   ไม่ใช้ถุงพลาสติก เราทุกคนทำได้-ถุงผ้ารักษาโลก –ถุงผ้าไม่ได้มีไว้สะพายตามแฟชั่นเท่านั้น แต่ประโยชน์ของมันคือการนำมาใช้แทนถุงพลาสติก ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เอามาใส่ไว้ในถุงผ้า แบบนี้ลดใช้ถุงพลาสติกได้แน่นอน-ถือเอาเลยก็ได้ ถ้าซื้อไม่กี่ชิ้น – ซื้อชิ้น 2 ชิ้น จะใส่ถุงทำไมให้เป็นขยะทำลายโลก ถือกลับมาเลยดีกว่า ไม่น่าจะลำบาก-ขับรถมาอย่าพาถุงไป –ใครที่ขับรถยนต์ไปซื้อของ ก็บอกกับห้างได้เลยว่าไม่เอาถุง แค่ใส่ของที่ซื้อมาลงในรถเข็นแล้วค่อยหยิบมาใส่ไว้ในรถได้เลย-รวมกันได้ในถุงใบเดียว – ถุงพลาสติกมีความยืดหยุ่นและทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ถ้ามีของมากสามารถใส่ถุงเดียวกันได้ ก็บอกให้พนักงานเขาใส่รวมกันได้เลย-บอกอย่างมั่นใจ ว่าไม่เอาถุง – พยายามฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ถุงพลาสติก ซื้อของคราวหน้า บอกไปเลยว่า “ไม่เอาถุง”-ลดการซื้อ = ลดใช้ถุง – ซื้อเท่าที่ใช้ ใช้เท่าที่จำเป็น ทั้งช่วยโลกแล้วยังช่วยประหยัดอีกต่างหาก แถมจ้า! ตารางเปรียบเทียบราคาสินค้าจากการทดสอบการใช้ถุงพลาสติกของห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต*หมายเหตุ: เป็นราคาในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 22 กรกฎาคม 2552 ประเทศไทยมีปริมาณขยะต่อวันเท่ากับ 40,000 ตันเฉพาะในกทม.มีปริมาณขยะต่อวันเท่ากับ 8,500 ตันขยะถุงพลาสติกเฉพาะในกทม.ต่อวันเท่ากับ 1,800 ตันเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บขนขยะต่อวันเป็นเงิน 1.78 ล้านบาท แต่ถ้าหากเราสามารช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกลงได้ จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บขนขยะได้ถึง 650 ล้านบาทต่อปี และยังช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกได้ถึง 1 ล้านตันต่อปี(ข้อมูลจาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 98 โฆษณาในรายการเด็ก เยอะไปไหม???

เรื่องทดสอบ 3 กองบรรณาธิการ พ่อแม่หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่า ทุกวันนี้ทีวีได้กลายมาเป็นเสมือนเพื่อนที่แสนดีของลูกๆ ของเรา เด็กๆ หลายคนใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวีมากกว่าอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งช่วงเวลาที่เด็กดูทีวีส่วนใหญ่คือช่วงเวลาหลังเลิกเรียน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 โมงเย็น จนถึง 2 ทุ่ม ของวันจันทร์ – วันศุกร์ และเกือบตลอดทั้งวัน ในวันเสาร์ – วันอาทิตย์ เนื่องจากเป็นวันหยุด โดยรายการที่เด็กๆ ชอบดูมากที่สุดหนีไม่พ้น การ์ตูน รองลงมาคือ เกมส์โชว์ ซึ่งทุกรายการจะมีผลิตภัณฑ์ขนมและอาหารสำหรับเด็กเป็นผู้สนับสนุน ดังนั้นเด็กจึงได้เห็นขนมยี่ห้อต่างๆ ตลอดการชมรายการโปรด ซึ่งมาทั้งในรูปแบบโฆษณาขั้นเวลาระหว่างรายการและโฆษณาแฝง หลายคนอาจยังไม่รู้ถึงกลไกในการดำเนินธุรกิจทีวี สาเหตุที่เราได้ดูทีวีฟรีในช่องฟรีทีวีอย่าง 3 5 7 9 เป็นเพราะมีคนจ่ายเงินค่าเวลาให้กับเรา ซึ่งก็คือบรรดาเจ้าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ลงเงินไปกับค่าโฆษณาที่ออกอากาศสลับกับรายการต่างๆ ตลอดทั้งวัน ซึ่งแน่นอนว่าในรายการทีวีสำหรับเด็กก็ไม่มีข้อยกเว้น บรรดาสินค้าพวกขนมนมเนยทั้งหลายต่างก็รู้ว่าผู้ชมรุ่นเยาว์กำลังนั่งชมรายการโปรดของพวกเขา และนั่นก็คือช่วงเวลานาทีทองที่เหล่าสินค้าเอาใจคุณหนูๆ ทั้งขนมขบเคี้ยว หมากฝรั่ง ลูกอม นมผง นมกล่อง อาหารเช้า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง จะสร้างภาพจำและนำเสนอสินค้าให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของคุณหนูๆ ที่นั่งดูตาใสใส่ใจกับจอทีวี ซึ่งพร้อมที่จะซึมซับทุกอย่าง แน่นอนว่าเมื่อเขาลงทุนไปกับค่าโฆษณาสิ่งที่เขาหวังได้คืนกลับมาก็คือยอดขายของสินค้าและผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลุ่มลูกค้ารุ่นเยาว์เหล่านี้ยังคงมีความสามารถในการตัดสินใจแยกแยะในระดับต่ำตามอายุและวุฒิภาวะ จึงไม่น่าแปลกใจที่สินค้าจำพวกขนมขบเคี้ยว ลูกกวาดสีสันสดใส หรือแม้กระทั้งฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย เจาะจงเลือกใช้กลุ่มลูกค้าที่เป็นเยาวชน โฆษณาอาหารในรายการทีวี ทำเด็กวันนี้เป็นผู้ป่วยในวันหน้าผลเสียจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการที่เด็กๆ นั่งชมโฆษณา แต่เกิดจากการที่เด็กๆ เลือกรับประทานอาหารจากการที่เขาได้เห็นจากในโฆษณา ซึ่งโฆษณาส่วนใหญ่มักทำออกมาในภาพลักษณ์ที่เหนือความเป็นจริง ทั้งเรื่องความรสชาติ รูปร่างลักษณะ หรือแม้แต่คุณค่าทางอาหาร โฆษณาอาหารหรือขนมสำหรับเด็กหลายตัวตั้งใจใช้สีสันที่ดูสดใสสะดุดตาเกินกว่าความเป็นจริง เช่น บรรดาลูกอม ลูกกวาด เยลลี่ และขนมขบเคี้ยว ซึ่งสีสันเหล่านี้ไปกระตุ้นเร้าให้เด็กๆ เกิดความสนใจ และอยากลิ้มลองหาซื้อมารับประทาน ขณะที่ผลิตภัณฑ์จำพวก นม อาหาร เช้า รวมทั้งซุปไก่สกัด ที่ขายภาพลักษณ์ของอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ก็สร้างภาพที่สื่อออกมาเกินจริง ด้วยการให้เด็กๆ หรือตัวละครในภาพยนตร์โฆษณามีความสามารถ เก่ง และฉลาดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่ได้ทานผลิตภัณฑ์นั้นๆ ส่วนโฆษณาของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดก็มักใช้ของเล่นมาเป็นจุดขายหลัก ขายพร้อมคู่ไปกับชุดอาหาร ซึ่งของเล่นที่นำมาใช้ล่อใจเด็กๆ ก็มาจากการ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่เด็กๆ รู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งตัวอย่างกลยุทธ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหลอกล่อให้เด็กเกิดความสนใจในตัวโฆษณา ต่อด้วยการรู้จักและจดจำตัวสินค้า ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลร้ายไปยังพฤติกรรมการบริโภคของเด็กๆ ขนมกับผลเสียต่อสุขภาพเด็กผลวิจัยหลายๆ ตัวชี้ให้เห็นว่า เด็กไทยมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนสูงขึ้น ขณะที่การเจริญเติบโตทางร่างกายค่อนข้างต่ำ ซึ่งมาจากการที่เด็กมีพฤติกรรมการรับประทานขนมขบเคี้ยวและน้ำอัดลม ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่มีความจำเป็นต่อร่างกายมากเกินความพอดี ผลสืบเนื่องมาจากการรับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้องจากการโฆษณา อีกทั้งการที่ผู้ปกครองหลายๆ คนเองก็เชื่อตามคำบอกกล่าวในโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายของบุตรหลาน อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารเช้าซีเรียล ซึ่งในหลายยี่ห้อมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง นอกจากนี้ในการตรวจสอบดูปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ที่ให้ไว้ในฉลากข้อมูลโภชนาการบนบรรจุภัณฑ์ของแต่ละผลิตภัณฑ์พบว่า มีขนมหลายยี่ห้อที่มี่ส่วนผสมของ น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม สูงเกินกว่าเกณฑ์ที่หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านมาตรฐานอาหารของประเทศอังกฤษ (UK Food Standards Agency) กำหนดไว้ เมื่อเด็กมีภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสมจากการรับประทานขนมที่มี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม มากเกินความพอดี จนทำให้เด็กมีภาวะการณ์เจริญเติบโตบกพร่องเกิดเป็นโรคอ้วนแล้ว ผลเสียของสุขภาพที่จะตามมาเมื่อเด็กโตขึ้นคือโรคภัยไข้เจ็บมากมายหลากหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูกเสื่อม โรคระบบทางเดินหัวใจ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ เช่น เด็กบางคนติดที่จะรับประทานขนมจนไม่ทานข้าว ซึ่งก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้กลายเป็นเด็กผอม สุขภาพไม่แข็งแรง เด็กบางคนมีนิสัยก้าวร้าวเมื่อไม่ได้ทานขนม ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของโภชนาการที่ดีย่อมมีผลต่อการพัฒนาของไอคิวและอีคิว ***การแถมของเล่นไปพร้อมกับอาหารชุดสำหรับเด็กเคยทำอันตรายให้กับเด็กๆ มาแล้ว เมื่อปี 2001 มีรายงานว่าเด็กชาวอเมริกาและแคนาดาจำนวนหนึ่ง ได้กลืนชิ้นส่วนของเล่นที่หักแล้วไปติดอยู่ในลำคอ ซึ่งของเล่นที่ว่าคือ แมคโดนัลด์ แฮปปี้มีลล์ ชุด "สกูตเตอร์บั๊ก" *** เมื่อปี 2007 รัฐบาลได้เสนอข้อบังคับใช้ในการควบคุมโฆษณาที่ออกฉายในรายการทีวีสำหรับเด็กอายุระหว่าง 3 – 12 ปี รวมทั้งรายการทีวีอื่นๆ ที่มีกลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่เป็นเยาวชน- สถานีโทรทัศน์สามารถโฆษณาในรายการสำหรับเด็กได้ไม่ 12 นาทีต่อรายการความยาว 1 ชั่วโมง โดยต้องเป็นโฆษณาที่ส่งเสริมสุภาพและพฤติกรรมการกินที่ดีสำหรับเด็ก- สินค้าชนิดเดียวกันสามารถโฆษณาซ้ำได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อรายการความยาว 1 ชั่วโมง และไม่ซ้ำกันเกิน 2 ครั้งในระยะเวลา 30 นาที- ห้ามโฆษณาในลักษณะส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ ทั้งการเล่นเกมชิงรางวัล แถม แจกของขวัญ ของเล่น- ห้ามนำเสนอเนื้อหาหรือข้อมูลที่ดูเกินจริง ทั้งเรื่องภาพและเสียง ไม่เชิญชวนให้เด็กอยากซื้อหรืออยากรับประทานจนเกินขอบเขต ไม่แสดงคุณประโยชน์ ความเร็ว ขนาด สี ที่สร้างความเย้ายวนใจจนเกิดความเข้าใจผิด- ต้องมีคำเตือนที่ออกโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาปรากฏหน้าจอขณะโฆษณา โดยกำหนดขนาดตัวอักษรไว้ที่ 1 ใน 25 ส่วนของภาพ และแช่ภาพคำเตือนไว้ 3 – 5 วินาที- ห้ามใช้ตัวการ์ตูน บุคคล ตัวละครที่เด็กรู้จักหรือปรากฏในรายการสำหรับเด็กเพื่อการขายหรือแนะนำสินค้า โฆษณา…จะเยอะไปไหนตารางแสดงผล 20 อันดับภาพยนตร์โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารนี้ เป็นภาพยนตร์โฆษณาที่ออกอากาศทางโทรทัศน์มากที่สุดในช่วงเวลารายการสำหรับเด็ก (สำรวจในช่วงวันพุธที่ 25 – วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 17.00 น. – 19.00 น. และวันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2552 เวลา 08.00 น. – 12.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3, 7 และ 9) โดยตลอดช่วงเวลาที่มีการสำรวจมีจำนวนภาพยนตร์โฆษณาออกอากาศทั้งหมด 1,242 เรื่อง เป็นภาพยนตร์โฆษณาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารจำนวน 408 เรื่อง หรือ 32.85% เป็นยี่ห้อของผลิตภัณฑ์อาหารจำนวน 123 ยี่ห้อ ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารที่มีภาพยนตร์โฆษณาออกอากาสมากที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์ประเภทขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอด ข้าวกรอบ ข้าวโพดกรอบ 16.4% รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์จำพวก ลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ 15.2% อันดับสามคือ ผลิตภัณฑ์นม 9.3% ตามมาด้วยร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด 9% และเครื่องดื่ม น้ำอัดลม ชา น้ำผลไม้ 7.8% โดยผลิตภัณฑ์ที่มีความถี่ในการออกอากาศมากที่สุดคือ โอวัลติน ที่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นม ซึ่งยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ติดอยู่ใน 20 อันดับอีกถึง 6 ยี่ห้อ คือ แลคตาซอย,ไวตามิลด์, เอส 26 โปรเกรสโกลด์, เอนฟาโกรว เอ+, โฟร์โสท์ และดีน่า ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มักนำเสนอการโฆษณาที่บอกเล่าเรื่องของสุขภาพ เช่น ดื่มแล้วแข็งแรง สามารถทำสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ หรือทานแล้วอิ่มเหมือนรับประทานข้าว ขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนความถี่ในการออกอากาศมากเป็นอันดับสองคือ แบรนด์ ซึ่งข้อมูลที่นำเสนอในโฆษณาใกล้เคียงกับกลุ่มผลิตภัณฑ์นม คือขายเรื่องสุขภาพ เสริมเรื่องความเก่งและฉลาด โดยใช้กลวิธีให้บุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซนเตอร์นำเสนอขายสินค้า ขณะที่อันดับ 3 คือโฆษณาร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง แมคโดนัลด์ ซึ่งมักเป็นการโฆษณาอาหารชุดแฮปปี้มีลล์ที่ใช้ของเล่นมาเป็นของแถมจูงใจ ชื่อผลิตภัณฑ์ ความถี่ของการโฆษณา น้ำหนักสุทธิ ปริมาณน้ำตาล ปริมาณน้ำตาลต่อ 100 กรัม ปริมาณไขมัน ปริมาณไขมันต่อ 100 กรัม ปริมาณโซเดียม ปริมาณโซเดียมต่อ 100 กรัม 1.โอวัลติน 20 180 มิลลิลิตร 14 กรัม 7.7 2 กรัม 1.1 140 มิลลิกรัม 0.07 2.แบรนด์ 16 42 มิลลิลิตร ไม่มีข้อมูล 3.แมคโดนัลด์* 13 171 กรัม 8 กรัม 4.6 28 กรัม 16.37 730 มิลลิกรัม 0.42 4.ทิวลี่ เมจิก ทวิน 12 15 กรัม 3 กรัม 20 3 กรัม 20 55 มิลลิกรัม 0.36 5.แลคตาซอย 10 300 มิลลิลิตร 28 กรัม 9.3 11 กรัม 3.6 160 มิลลิกรัม 0.05 6.ไวตามิลค์ 10 250 มิลลิลิตร 23 กรัม 9.2 8 กรัม 3.2 45 มิลลิกรัม 0.018 7.เนสท์เล่ โกโก้ครั้นช์ 9 25 กรัม 9 กรัม 36 1 กรัม 4 50 มิลลิกรัม 0.2 8.เอส 26 โปรเกรส โกลด์ 8 200 มิลลิลิตร 15 กรัม 7.5 7 กรัม 3.5 95 มิลลิกรัม 0.047 9.เดอะ พิซซ่า คัมปานี 7               10.โค้ก 6 325 มิลลิลิตร 31 กรัม 9.5 0 0 20 มิลลิกรัม 0.006 11.นมพร้อมดื่ม เอนฟาโกรว เอ+ 6 180 มิลลิลิตร 8 กรัม 4.4 6 กรัม 3.3 70 มิลลิกรัม 0.03 12.โฟร์โมสท์ 6 225 มิลลิลิตร 9 กรัม 3.9 3 กรัม 1.3 120 มิลลิกรัม 0.05 13.เคลลอกซ์ คอร์นฟรอสตี้ 6 30 กรัม 9 กรัม 30 0 0 170 มิลลิกรัม 0.56 14. เพียงริคุ ? 6 350 มิลลิลิตร น้ำตาลทราย6.80% + กลูโคสไซรัป 4.00% 10.8 0 0 0 0 15.พิซซ่า ฮัท** 5 118 กรัม 3 กรัม 0.71 13 กรัม 11 630 มิลลิกรัม 0.53 16.ปาร์ตี้ 5 40 กรัม 12 กรัม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 97 มาวัดความยาวกระดาษทิชชูกัน

ทดสอบภาส พัฒนกำจรผลทดสอบนี้ทำขึ้นโดยทีมผลิตรายการกระต่ายตื่นตัว และออกอากาศไปเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้นก็เถอะบางท่านก็อาจพลาดชมรายการ และหลายท่านคงอยากรู้ว่า กระดาษทิชชู ที่เราท่านใช้กันอยู่นี้ ซื่อตรงหรือคดโกงมากน้อยแค่ไหน ทีมงานกระต่ายฯ จึงนำมาเรียบเรียงใหม่ในฉลาดซื้อฉบับนี้ กระดาษทิชชูหรือกระดาษชำระ เป็นตัวช่วยสำคัญในการขจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ เป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดที่นิยมมากที่สุดชนิดหนึ่ง ซึ่งในเมืองไทยของเราไม่ค่อยมีใครบันทึกเรื่องราวการใช้กระดาษทิชชูเอาไว้มากนัก ไม่เหมือนประเทศญี่ปุ่นแดนอาทิตย์อุทัย ที่เรื่องของกระดาษทิชชูไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่มองข้ามไปได้เพราะมีการประมาณการว่า ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งใช้กระดาษชำระปีละ 55 ม้วน ต่อคนเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนสุขาสาธารณะที่เพิ่มขึ้นยังทำให้การใช้กระดาษชำระเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาด้วย ฟังดูแล้วน่าตกใจอยู่นะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มีนักสถิติสำนักไหนบันทึกถึงปริมาณการใช้กระดาษทิชชูในเมืองไทยว่ามีมากหรือน้อยกว่าที่ญี่ปุ่น แต่ทางออกในระยะยาวของเราๆ ชาวฉลาดซื้อก็คือ การใช้ผ้าที่สามารถซักแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช็ดแทนทิชชูให้มากขึ้นก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เอ้า !!! ช่วย ๆ กัน เพื่อลดปัญหาขยะล้นโลกกันนะครับ เราทดสอบยี่ห้ออะไรบ้างคราวนี้มาดูกันครับว่าผลการทดสอบความยาวของเจ้ากระดาษทิชชูเจ้าไหนจะให้ความคุ้มค่ากับคนซื้ออย่างเรามากที่สุด โดยทางทีมงานได้เลือกกระดาษทิชชูมาทดสอบทั้งหมด 7 ยี่ห้อ 8 แบบ ได้ผลทดสอบ ดังนี้ จากการวัดทั้งหมดยี่ห้อละ 3 ม้วน เพื่อหาค่าเฉลี่ย ยี่ห้อที่ยาวน้อยกว่าที่ฉลากบอก ได้แก่ Silk cotton วัดได้ยาว 16.33 เมตร ต่ำกว่า 0.67 เมตร Cellox Fancy วัดได้ยาว 22.46 เมตร ต่ำกว่า 0.54 เมตร Dion วัดได้ยาว 22.64 เมตร ต่ำกว่า 0.36 เมตร Scott select วัดได้ยาว 17.26 เมตร ต่ำกว่า 0.34 เมตร ส่วนยี่ห้อที่วัดแล้วเกินมาจากที่ระบุ ได้แก่ Home Fresh Mart Economy วัดได้ 18..30 เมตร เกินมา 1.3 เมตร Ha-ne วัดได้17.73 เมตร เกินมา 0.73 เมตร Home Fresh Mart พรีเมี่ยม วัดได้ 17.56 เมตร เกินมา 0.56 เมตร Pinn Plus วัดได้ 17.26 เมตร เกินมา 0.26 เมตร สรุป โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละยี่ห้อนั้นความยาวจะไม่เกินหรือต่ำกว่าบนฉลาก (+ - ) 0.59 เมตร ซึ่งจะเห็นได้ว่าทางผู้ผลิตเขาก็ซื่อสัตย์กับผู้บริโภคในเรื่องความยาวพอสมควร ยี่ห้อ จำนวนม้วน/แพ็ค ราคา(บาท) เฉลี่ยราคาต่อ 1 ม้วน (บาท) ความยาวที่ระบุบนฉลาก (เมตร) ความยาวที่วัดได้จริง (เมตร) น้อย/เกิน (เมตร) การกระจายตัวในน้ำ ความยาวเกินฉลากระบุ Home Fresh Mart Economy 6 ม้วน 29 4.83 17 18..30 เกินมา 1.3 สูง Pinn Plus 8 ม้วน 29.50 4.91 17 17.26 เกินมา 0.26 ต่ำ Ha-ne 6 ม้วน 32 5.33 17 17.73 เกินมา 0.73 สูง Scott select คุ้มค่า 6 ม้วน 35.25 5.875 17 17.56 เกินมา 0.56 ต่ำ ความยาวน้อยกว่าฉลากระบุ Home Fresh Mart premium 6 ม้วน 40 6.66 17.6 17.26 น้อยกว่า 0.34 ต่ำ Cellox Fancy 6 ม้วน 57 9.5 23 22.46 น้อยกว่า 0.54 ปานกลาง Silk cotton 6 ม้วน 35.25 5.89 17 16.33 น้อยกว่า 0.67 ปานกลาง Dion 6 ม้วน 52 8.66 23 22.64 น้อยกว่า 0.36 ต่ำ ข้อสังเกต ถึงดูว่าเขาซื่อสัตย์ แต่ความจริงถ้าว่ากันตาม มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือ มอก. ที่กำหนดเอาไว้ว่า สินค้าประเภทกระดาษชำระนั้นต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 31 เมตร ต่อม้วนนั้น พบว่า ไม่มีผู้ผลิตกระดาษทิชชูเจ้าไหนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของกระดาษชำระ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เห็นสัญลักษณ์ มอก. แปะอยู่ที่สินค้ายี่ห้อใดเลย มาตรฐานกระดาษชำระ ได้รับเลขที่ มอก. 214-2530 เป็นผลิตภัณฑ์ใกล้ตัว ที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) จัดอยู่ให้อยู่ในประเภท มาตรฐานทั่วไป โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มีการกำหนดให้มีมาตรฐาน ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปไม่มีการบังคับคือจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้าได้รับเครื่องหมายก็แสดงถึงคุณภาพที่ได้มาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆ การกระจายตัวในน้ำ นอกจากทดสอบเรื่องความยาวแล้ว เราได้ทดสอบเรื่องการกระจายตัวในน้ำของกระดาษทิชชูด้วยโดยเราจะแช่กระดาษไว้ในน้ำ แล้วทิ้งไว้ 30 วินาที แล้วลองดึงขึ้นมาด้วยความแรงพอประมาณนะครับ หลังจากนั้นเราก็จะจุ่มลงแช่อีก 30 วินาทีแล้วดึงขึ้นมาดูผลอีกรอบ (การทดสอบวิธีนี้นำมาจากวารสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 19 มิถุนายน-กรกฎาคม 2540) ผลทดสอบ พบได้ว่ามีอยู่เพียงสองยี่ห้อเท่านั้นที่มีการกระจายตัวในน้ำสูง ชนิดที่เพียง 30 วินาทีแรกก็เริ่มแตกรุ่ยเมื่อหยิบขึ้นมา คือ Home Fresh Mart Economy และ ฮาเนะ ส่วนสองยี่ห้อที่เราจัดว่าปานกลางเพราะจะเริ่มขาดรุ่ยเมื่อยกขึ้นมาใน 30 วินาทีที่สอง คือ Cellox Fancy และ Silk Cotton ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่เราจะจัดว่าการกระจายตัวในน้ำต่ำ เพราะเอาขึ้นมาสองครั้งก็ยังคงรูปกระดาษเป็นแผ่นอยู่คือ Scott พินน์พลัส ดิออน และ Home Fresh Mart Premium ที่บอกได้ว่าเนื้อกระดาษนั้นแตกต่างกับแบบ Economy จริงๆ ทางเราพอตั้งข้อสังเกตได้ว่า เนื่องจากกระดาษชำระในตลาดนั้นจะใช้ชนิดสองชั้นแทบทุกยี่ห้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการดูดซึมเวลาที่ต้องใช้เช็ดหรือทำความสะอาดอะไร แต่มีข้อเสียเพราะเมื่อโดนน้ำจะห่อรวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้ง่ายๆ ดังนั้นเราจึงขอแนะนำว่า ไม่ควรที่จะทิ้งกระดาษชำระลงในชักโครกหรือลงท่อน้ำใดๆ ถ้าไม่อยากเจอปัญหาท่ออุดตันอย่าลืมนะครับ ใช้กระดาษทิชชูเฉพาะที่จำเป็น เลือกการใช้ผ้าที่สามารถซักแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกทดแทนบ้างเพื่อลดปัญหาเรื่องขยะล้นโลกครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 96 ทดสอบเป้โรงเรียนของใครโอเคกว่ากัน

กระเป๋าสะพายหลังหรือที่เราเรียกกันติดปากว่าเป้นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กนักเรียนที่แต่ละวันมีสัมภาระต้องนำติดตัวไปด้วยจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่สมุด หนังสือ กระติกน้ำ กล่องข้าว และอื่นๆอีกมากมาย   สมาชิกของฉลาดซื้อคงจำกันได้ว่าในฉบับที่ 76 เมื่อปี 2550 เราเคยทำสำรวจน้ำหนักที่เด็กๆวัยประถมต้องแบกไปโรงเรียนกันในแต่ละวันและ พบว่ากว่าร้อยละ 80 ของนักเรียนจำนวน 368 คนที่เราไปสำรวจนั้น แบกน้ำหนักกระเป๋าเกินกว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเอง เนื่องจากเป้สะพายหลังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเด็กในการบรรจุสิ่งของต่างๆไปโรงเรียน เพราะมันสามารถช่วยกระจายน้ำหนักของสิ่งของได้ดีกว่ากระเป๋าชนิดอื่นๆ ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงกลับมาอีกครั้งด้วยการสุ่มนำกระเป๋าสะพายหลังที่โรงเรียนต่างๆเป็นผู้จ้างผลิตและจัดจำหน่ายให้กับนักเรียน มาลองทดสอบดูว่าจะมีความแข็งแรงทนทานเพียงใด โดยตัวอย่างที่นำมาทดสอบนั้นเป็นเป้จากโรงเรียนในกรุงเทพมหานครและอีก 7 จังหวัดคือ ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี ตราด สมุทรสงคราม ยะลา และลำปาง จำนวนทั้งหมด 23 โรงเรียน ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 180 -250 บาท ผู้ปกครองโปรดทราบ ไม่ควรให้เด็กๆถือหรือสะพายกระเป๋าที่มีน้ำหนักเกิน ร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวของพวกเขา เช่นเด็กที่มีน้ำหนัก 30 กิโลกรัม ก็ไม่ควรแบกกระเป๋าหนักที่หนักเกินกว่า 3 กิโลกรัม เป็นต้น สายสะพายเป้นั้นควรปรับให้ได้ระดับที่เหมาะสม คือให้เป้แนบกับหลัง และตัวเป้ไม่ห้อยอยู่ในระดับต่ำกว่าบั้นเอวของเด็ก ที่สำคัญหัดให้เด็กๆเคยชินกับการสะพายเป้ด้วยสายทั้งสองข้าง เพราะการสะพายเพียงข้างใดข้างหนึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดที่ต้นคอ ไหล่และหลังได้ ที่มา: ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บใน เด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักเรียนไทยได้เริ่มใช้เป้สะพายหลังแทนการหิ้วกระเป๋าเมื่อปีพ.ศ. 2527 โดยรมว.ศึกษาธิการซึ่งขณะนั้นคือนาย ชวน หลีกภัย ได้สนองพระดำริสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในการให้องค์การค้าของคุรุสภาผลิตกระเป๋าสะพายหลังตามแบบจากต่างประเทศ เพื่อขายให้กับนักเรียนในราคาถูกมติชน วันที่ 5 มกราคม 2551 เป้ของใครจะทนทานกว่ากัน ฉลาดซื้อร่วมกับห้องปฏิบัติการของบริษัท เอส จีเอส ได้ทำการทดสอบกระเป๋าเป้นักเรียนทั้ง 23 ใบใน 5 ประเด็นต่อไปนี้ 1. ความต้านทานแรงดึง 2. ความต้านทานแรงฉีกขาด3. ความแข็งแรงของสายสะพายบ่า4. ความคงทนต่อการขัดถู5. ความสามารถในการบรรจุ ผลทดสอบความแข็งแรงของกระเป๋าเป้นักเรียนในด้านต่างๆ มีดังนี้ เป้ทุกใบที่ทดสอบมีความคงทนต่อการขัดถูก มากกว่า 20,000 ครั้ง (โดยเครื่องทดสอบ Martindale wear & abrasion ที่ขัดถูชิ้นผ้าทดสอบจนขาดด้วยค่าความดัน 12 กิโลปาสคาล) และเมื่อเราทดลองบรรจุน้ำหนัก 5 กิโลกรัม เป็นเวลานาน 30 นาที พบว่าไม่มีเป้จากโรงเรียนไหนปริแตก ทั้งในบริเวณของตะเข็บก้นกระเป๋าและตะเข็บสายสะพายบ่า น่าเสียดาย เรายังไม่พบเป้ที่ดีพร้อมในทุกๆด้าน เป้ที่ใช้วัสดุที่มีความทนทานต่อแรงดึงและแรงฉีกขาดสูงกลับมีสายสะพายที่ไม่แข็งแรงเท่าไรนัก (บ้างก็ด้ายที่เย็บฉีกขาด บ้างก็วัสดุที่ใช้ทำตัวเป้ขาดบริเวณตะเข็บ) ที่สำคัญเป้เหล่านี้มีสายสะพายที่ความกว้างน้อยกว่า 6 เซนติเมตร เช่นเป้ของโรงเรียนพินิจวิทยา โรงเรียนวัดลาดเป้ง และโรงเรียนเทพมงคลรังสี เป็นต้น และในทางกลับกัน เป้ที่มีสายสะพายขนาดที่เหมาะแก่การสะพายของเด็กๆ (ประมาณ 6 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการกดทับบริเวณไหล่ และไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อและเส้นประสาท) กลับมีวัสดุที่มีความทนทานต่อแรงดึงหรือการฉีกขาดต่ำ เช่น เป้ของโรงเรียนสตรียะลา และโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง เป็นต้น ผลทดสอบความแข็งแรงของกระเป๋าเป้นักเรียน   หมายเหตุ: 1. ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength) โดยวิธีทดสอบหาค่าแรงดึงขาดแบบแกรบ (BS EN ISO 13934-2 : 1999; Instron CRE-Grab method) ประเภทของเครื่องทดสอบ Instron CRE แบบอัตราการยืดตัวคงที่ (CRE: Constant-rate-of-extension) ระยะห่างของปากจับ 100 มิลลิเมตร ความเร็วในการทดสอบ 50+/- มิลลิเมตร/นาที ในทิศทางการดึงออกตรงๆ โดยจะวัดแรงต้านทานแรงดึงทั้งทางด้านเส้นยืน (ด้านแนวตั้ง) และด้านเส้นพุ่ง (ด้านแนวนอน) ของชิ้นผ้าทดสอบมีหน่วยการวัดเป็นกิโลแรง (Kgf: Kilogram-force)2. ความต้านทานแรงฉีกขาด (Tearing Strength) โดยวิธีทดสอบการฉีกขาดแบบ single tear (BS EN ISO 13937-2 : 2000; Single tear method) ประเภทของเครื่องทดสอบ Instron CRE แบบอัตราการยืดตัวคงที่ (CRE: Constant-rate-of-extension) ระยะห่างของปากจับ 100 มิลลิเมตร ความเร็วในการทดสอบ 100 มิลลิเมตร/นาที ในทิศทางการดึงเพื่อทำให้ผ้าฉีกขาด ในทิศทางการดึงออกตรงๆ โดยจะวัดแรงต้านทานแรงดึงทั้งทางด้านเส้นยืน (ด้านแนวตั้ง) และด้านเส้นพุ่ง (ด้านแนวนอน) ของชิ้นผ้าทดสอบมีหน่วยการวัดเป็นกิโลแรง (Kgf: Kilogram-force)3. ความแข็งแรงของสายสะพายบ่า (Attachment Strength of Handle/Shoulder Strap) เป็นวิธีทดสอบของบริษัท SGS เป็นเครื่องทดสอบแบบ Instron CRE (SGS In-House Method ; Instron CRE Tester) ระยะห่างของปากจับ 75 มิลลิเมตร ความเร็วในการทดสอบ 300 มิลลิเมตร/นาที ปากจับขนาด 3x2 นิ้ว (Jaw face) ความแข็งแรงของสายสะพายบ่าจะวัดจากแรง ที่ทำให้เกิดการปริขาดเกิดจาก 2 สาเหตุ ซ

อ่านเพิ่มเติม >